The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับความสงสัยของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก


Epistemological Problem regarding the Buddha's doubts

บทนำ ญาณวิทยา ที่มาของความรู้ ความสงสัย พระพุทธเจ้า พระไตรปิฎก

          ในการศึกษาปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์   โครงสร้างความรู้ของมนุษย์       วิธีการของมนุษย์ที่จะแสวงหาความรู้      ความสมเหตุสมผลของความรู้ และญาณวิทยามีหน้าที่ตอบคำถามในประเด็นนั้นว่า  "เราจะรู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นเรื่องจริง ?  โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ได้รับรู้ข้อความและความคิดเห็นในเรื่องราวต่าง ๆ  ที่เข้ามาในชีวิตประจำวันทั้งความจริงและความเท็จ      เมื่อมนุษย์เกิดมาพร้อมกับอวิชชาและอคติของตนเอง  พวกเขาไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างถึงความคิดเห็นในเรื่องใดเป็นจริงหรือเท็จ ?     เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่าเมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงหรือความคิดเห็นในเรื่องใดที่เล่าต่อกันมา       จากตำราหรือคัมภีร์ในศาสนา หรือคำสอนของครูหรือาจารย์ของตน       อย่าเชื่อทันทีจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน      มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ   เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงหรือพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น  มีความสมเหตุสมผลที่จะยืนยันความจริงในเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ  เป็นต้น     ดังนั้น  เมื่อผู้ใดกลา่วถึงข้อเท็จจริงประการใด จะต้องมีหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นด้วย  หากไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น   ข้อเท็จจริงที่ได้ยินมาจากพยานคนหนึ่งนั้น  เชื่อถือไม่ได้และไม่สามารถฟังข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวได้เป็นเรื่องจริง  เพราะธรรมชาติของมนุษย์เห็นแก่ตัว และมักมีอคติต่อกันเกิดขึ้นจากความโง่เขลา,   ความเกลียดชัง, ความกลัว   และการรับรู้อันจำกัดต่อเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในอดีต      ย้อนไปถึงสมัยพระพุทธเจ้าเมื่อ   ๒๕๐๐ กว่าปีก่อนหรือความรู้ที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัสข้อเท็จจริงนั้นยังไม่ชัดเจนถึงที่มาของเรื่องนั้น ?  แต่นักปรัชญาชอบที่จะแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้    เขาก็จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานในเรื่องนี้ต่อไป   

       หลักฐานที่น่าเชื่อถือ           เมื่อผู้เขียนศึกษาทฤษฎีความรู้แบบประจักษ์นิยมมีแนวคิดที่ว่า "ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์จะต้องรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์เท่านั้น   จึงจะถือว่าเป็นความจริงในเรื่องนั้น "ตามทฤษฎีความรู้ของมนุษย์     ผู้เขียนตีความว่า เมื่อหลักฐานทางปรัชญาเป็นคน     ซึ่งเป็นมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของร่างกายมีความสามารถอย่างจำกัดในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ  ที่เข้าในชีวิตและสั่งสมอยู่ในจิตของตนเอง       นอกจากนี้มนุษย์มีความไม่รู้เพราะอคติของตนเอง  ชีวิตจึงมีความมืดมน   ดังนั้น เมื่อมีความคิดเห็นในเรื่องใดผ่านเข้ามาในชีวิตจึงไม่สามารถแยกแยะความคิดเห็นในเรื่องนั้นด้วยวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน  เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบได้     

             ดังนั้น ทฤษฎีความรู้ในเรื่องนี้  จึงเป็นสร้างองค์ประกอบความรู้เกี่ยวกับพยานหลักฐานที่น่าถือ  ก็ต้องมีความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้นโดยการรับรู้ผ่านอวัยวะอินทรียฺทั้ง ๖  นั้น   และสั่งสมความรู้อยู่ในจิตใจของพวกเขานั้นใช้ได้เฉพาะความรู้ที่สมมติขึ้น   ส่วนพยานบุคคลที่มีความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์นั้น        จะต้องได้พัฒนาศักยภาพตามอริยมรรคมีองค์ ๘ และบรรลุถึงความจริงในระดับอภิญญา ๖  นั้น    มนุษย์ทุกคนจึงไม่สามารถรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมได้ทุกเรื่องดังนั้น จึงไม่สามารถเป็นพยานหลักฐานที่เห็นเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุได้ทุกคน   เว้นแต่พยานหลักฐานที่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเองเท่านั้น  จึงจะเป็นพยานหลักฐานน่าเชื่อ และรับฟังเป็นความจริงหากพยานหลักฐานใด ? ไม่ผ่านการรับรู้ของมนุษย์ถือหลักฐานนั้นไม่มีอยู่จริงข้อเท็จจริงที่ได้ยินมาถือเป็นความเท็จ เป็นต้น

วิธีพิจารณาความจริงของพระพุทธศาสนา   

           เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๑  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่            ๑๒  อังคุตตรนิกาย  [๒.ทุติยปัณณาสก์] ๒.มหาวรรค ๒. เกสปุตติสูตรข้อ.๖๖...........ลำดับนั้น       พวกกาลามะชาวเกสปุตตนิคม เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ บางพวกถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ สมควรบางพวกสนทนาปราศัยพอเป็นที่บันเทิงใจพอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้วนั่ง  ณ ที่สมควรบางพวกประนมไหว้ไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่แล้วนั่ง ณ ที่สมควรบางพวกประกาศชื่อและโคตรแล้วนั่ง  ณ ที่สมควร บางพวกนั่งนิ่งอยู่ ณ ที่สมควร     พวกกาลามะชาวเกสปุตตนิคผู้นั่ง  ณ ที่สมควรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ     มีสมณะพราหมณ์พวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคมแสดงประกาศวาทะของตนเท่านั้นแต่กระทบกระเทียบ ดูหมิ่น กล่าวข่มวาทะของผู้อื่นทำให้ไม่น่าเชื่อถือ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีสมณะพราหมณ์อีกพวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคมแสดงประกาศวาทะของตนเท่านั้น       แต่กระทบกระเทียบ ดูหมิ่น กล่าวข่มวาทะของผู้อื่นทำให้ไม่น่าเชื่อถือ  

       ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าแต่พระองค์ทั้งหลายมีความสงสัยลังเลใจในสมณพราหมณ์เหล่านั้นว่า "บรรดาสมณะพราหมณ์เหล่านี้ ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ"   พระผู้มีพระภาคตรัสว่ากาลามชนทั้งหลายก็สมควรที่ท่านทั้งหลาย ก็สมควรที่ท่านทั้งหลายจะสงสัยสมควรที่จะลังเลใจท่านทั้งหลายเกิดความสงสัยใจในฐานะที่ควรสงสัยอย่างแท้จริง มาเถิดกาลามะทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา,อย่าปลงใจเชื่อด้วยการถือสืบๆกันมา, อย่าปลงใจเชื่อด้วยการเล่าลือ, อย่าปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์,  อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ (การคิดเอาเอง),  อย่าปลงใจเชื่อเพราะการอนุมาน, อย่าปลงใจเชื่อด้วยการตริตรองตามแนวเหตุผล, อย่าปลงใจเชื่อเพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว, อย่าปลงใจเชื่อเพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้, อย่าปลงใจเชื่อเพราะนับถือว่าท่านสมณะเป็นครูของเรา กาลามาะทั้งหลาย เมื่อใดท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองเท่านั้นว่า "ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ที่บุคคลถือปฏิบัติบริบูรณ์แล้วย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรละ(ธรรมเหล่านั้น) เสีย  

 ข้อเท็จจริงเบื้องต้น ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ ข้างต้น ผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เมื่อชาวกาลามะได้ฟังคำสอนของเจ้าลัทธินิกายอื่นที่เผยแพร่คำสอนในนิคมเกสปุตตะ แต่เมื่อเจ้าลัทธินั้นได้ประกาศคำสอนของตนแล้วก็ยังดูหมิ่นคำสอนของศาสนาอื่น พวกกาลามะสงสัยว่าคำสอนของศาสนาใดเป็นความจริงหรือความเท็จ หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงได้ยินข้อเท็จจริงจากชาวกาลามะแล้ว พระองค์ได้ทรงสอนว่าเมื่อได้ยินข้อเท็จจริงของเรื่องใดที่ฟังต่อกันมา ไม่ควรเชื่อทันที เราควรสงสัยก่อนว่ามันไม่เป็นความจริง  เมื่อพระองค์ชอบที่จะแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป ก็จะตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานในเรื่องนี้ต่อไป เพื่อเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบหรือมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องต่อไป ตัวอย่าง เช่น ในสมัยยุคศาสนาพราหมณ์กำลังเจริญรุ่งเรือง  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาจัณฑาลที่ถูกคนในสังคมพิพากษาลงโทษตลอดชีวิต ก็ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนในวัยชรา ล้มป่วย และตายข้างถนนในเขตพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นต้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาจัณฑาล สิ่งนี้ทำให้พระองค์ทรงสงสัยการมีอยู่ของพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน   แต่เจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่เชื่อการมีอยู่ของพระพรหม เพราะพระองค์ทรงไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระพรหมจากประสบการณ์ชีวิตผ่านทางประสาทสัมผัสของพระองค์เอง  แต่พระองค์ทรงชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป จึงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานทีเป็นประจักษ์พยานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้คือพราหมณ์อารยันในฐานะปุโรหิต พวกเขาให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเทพเจ้าต่อพระองค์ว่าพวกเขาเคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะมาก่อนและพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้กับมนุษย์จริง แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามว่าพระพรหมและพระอิศวรมีประวัติความเป็นมาอย่างไร? แต่ไม่มีปุโรหิตคนใดตอบพระองค์ได้  เมื่อพระองค์ทรงได้ยินข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ เป็นสาเหตุให้พระองค์สงสัยในการมีอยู่ของพระพรหม พระองค์ทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงพอแล้ว  พระองค์ทรงใช้หลักฐานเป็นข้อมูลวิเคราะห์หาเหตุผลพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนี้ว่าจริงหรือเท็จ แต่ผลของการวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงวาเป็นเท็จ  เป็นต้น   

           เมื่อผลการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวรเป็นเท็จแล้ว เจ้าชายสทธัตถะทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมในรัฐสักกะตามกระบวนการทางเมืองของอาณาจักรสักกะ พระองค์ทรงเสนอตรากฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการยกเลิกวรรณะต่อรัฐสภาศากยวงศ์โดยมีพระเจ้าสุทโธทนะเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศและประธานรัฐสภาศายวงศ์ แต่สมาชิกแห่งรัฐสภาศากยวงศ์ได้ร่วมกันพิจารณาร่างกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการยกเลิกวรรณะแล้ว มีมติไม่อนุมัติร่างกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการยกเลิกวรรณะตามที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสนอเพื่อพิจารณา เพราะขัดต่อ "หลักธรรมของกษัตริย์" ซึ่งเป็นกฎหมายจารีตประเพณีสูงสุดในการบริหารปกครองประเทศในขณะนั้น ที่นักวิชาการชาวพุทธเรียกว่า "หลักอปริหานิยธรรม" ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายจารีตประเพณีที่บัญญัติไว้ดีแล้วเช่นกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะเป็นต้น เมื่อการปฏิรูปสังคมผ่านระบบรัฐสภาศากยวงศ์ของเจ้าชายสิทธัตถะไม่สามารถกระทำได้ เมื่อความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าและกฎหมายจารีตประเพณีสูงสุดในการบริหารประเทศ เป็นอุปสรรค์ต่อการปฏิรูปสังคมในประเทศเจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยผนวช เพื่อค้นหาความจริงของชีวิตต่อไป เป็นต้น 

1 ความคิดเห็น:

พ.ต.ท.หญิง วิสาสิริ เกียรวิลัย กล่าวว่า...

พระพุทธเจ้า ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ จากกรณีศาสนาพราหมณ์
ยังพิสูจน์ไม่ได้ เรื่องวรรณะ มีการตาย เกิด แก่ เจ็บ จึงได้
ออกบวช เพื่อหาความจริงของชีวิตค่ะ

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ