เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาเรื่องราว "ความสงสัยเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา" จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ในสมัยอินเดียโบราณ ยุคนั้นเป็นยุคที่ศาสนาพราหมณ์เจริญรุ่งเรือง ชาวสักกะและชาวโกลิยะต่างศรัทธาในเทพเจ้า เช่น พระพรหมและพระอิศวรซึ่งเป็นที่พึ่งสูงสุดของพวกเขา เป็นต้น ผู้เขียนได้ยินความจริงของเรื่องราวนี้ผ่านอายตนะภายในร่างกาย แล้วรวบรวมเรื่องราวเหล่านั้นเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ จากนั้นจึงนำข้อมูลเหล่านั้น มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องราวเหล่านี้
ในขณะที่ผู้คนในอนุทวีปอินเดียต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิตอันเนื่องมาจากการพลัดพรากจากคนที่รัก สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ ภัยแล้งจากฝนที่ตกผิดฤดู ความอดอยากจากการขาดแคลนอาหาร ไฟป่า การไร้ที่อยู่อาศัย และโรคระบาด ผู้คนล้นตายมากมาย และไม่มีใครให้พึ่งพา ผู้คนต่างแสวงหาการสนับสนุนทางจิตวิญญาณจากเทพเจ้าด้วยการบูชาเทพเจ้า เพื่อมอบความหวังให้พวกเขาผ่านพิธีบูชายัญด้วยวัตถุล้ำค่า อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์จากการบูชาซึ่งมีค่ามหาศาล กลับกลายเป็นประเด็นทางการเมืองระหว่างชาวอารยันและชาวมิลักขะ เนื่องจากความเห็นแก่ตัวและความโลภของพราหมณ์บางคนซึ่งเห็นประโยชน์ของการบูชาเทพเจ้า เพียงเพื่อพราหมณ์และชาวอารยันเท่านั้น
เนื่องจากการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ และชาวอารยันมีอำนาจทางการเมือง พวกเขาจึงใช้อำนาจอธิปไตยของตนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง พวกเขาริเริ่มการตรากฎหมายวรรณะและจารีตประเพณี เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองกฎหมายนี้กำหนดสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของพลเมืองที่มีต่อประเทศชาติ ชาวสักกะถูกแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะได้แก่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เป็นต้น เมื่อมีการตรากฎหมายวรรณะและจารีตประเพณี ก็มีกำหนดเงื่อนไขเพื่อบังคับใช้กฎหมายโดยการห้ามไม่ให้ชาวสักกะแต่งงานข้ามวรรณะ และการห้ามชาวสักกะปฏิบัติหน้าที่ในวรรณะอื่น ส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เนื่องจากกฎหมายให้อำนาจแก่พลเมืองในการติดตามพฤติกรรมของกันและกันในสังคม และลงโทษซึ่งกันและกันได้
เมื่อชีวิตของชาวสักกะตกอยู่ในความมืดมน พวกเขาสูญเสียความมั่นใจในตนเองและพึ่งพาเทพเจ้าอยู่เสมอ พวกเขาขาดความเพียรพยายามแสวงหาความรู้เป็นที่พึ่ง ขาดสติสัมปชัญญะในการจดจำความรู้จากประสบการณ์ชีวิต ขาดสมาธิและความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่น และขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงของชีวิต ทั้งความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ พวกเขาไม่สามารถวิเคราะห์หลักฐาน โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมา โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญา ใช้อธิบายความจริงอย่างสมเหตุสมผล เป็นต้น
เมื่อชีวิตมนุษย์ไม่แน่นอน ญาติพี่น้องก็ล้มหายตายจากไป อาชีพการงานที่รุ่งเรืองก็สิ้นสุดลงเพราะไม่มีใครเมตตา และเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือพวกเขาอีกต่อไป ถึงเวลาที่้ต้องพึ่งพาตนเองเพื่อแก้ไขปัญหาชีวิต เมื่อผู้คนดำเนินชีวิตอย่างไม่ระมัดระวังและขาดความมั่นใจ พวกเขาหมดศรัทธาในการค้นคว้า และแสวงหาความรู้อย่างขยันขันแข็ง ขาดทักษะและความสามารถในการทำงาน ขาดสติในการจดจำความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในและเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ ขาดสมาธิและพลังในการคิดหาเหตุผลและใช้ความรู้เป็นพื้นฐานในการแยกแยะความจริง เมื่อจิตใจไม่มั่นคงพวกเขาจะฟุ้งซ่านด้วยความไม่รู้ หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ชอบและหวาดกลัวเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เมื่อชีวิตมีปัญหา พวกเขาก็ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ พวกเขาก็จะแสวงหาพราหมณ์ในสำนักต่าง ๆ เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาของตนและพึ่งพาเทพเจ้า ด้วยศรัทธาในเทพเจ้า พวกเขาจึงบูชาเทพเจ้าด้วยของมีค่าต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน จนกลายเป็นต้นแบบของขนบธรรมเนียมและประเพณีต่าง ๆในปัจจุบัน
เมื่อผู้คนในอนุทวีปอินเดียเชื่อโดยปริยายถึงการมีอยู่ของพระพรหมและเทพเจ้าอื่น ๆแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผ่านอายตนะภายในร่างกายของพวกเขาก็ตาม แต่พวกเขาสามารถรับรู้การมีอยู่ของเทพเจ้าได้ผ่านการพิธีบูชายัญของพราหมณ์อารยันเท่านั้น เมื่อคำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนของศาสนา และกฎหมายวรรณะตามจารีตประเพณี (Customary law on caste ) แม้ผู้คนจะสงสัยในเรื่องนี้ แต่กลัวลงพรหมทัณฑ์จากผู้คนในสังคมที่เชื่อในเทพเจ้า จึงเก็บความมืดมนในเรื่องนี้ไว้ในจิตใจต่อไป
โดยทั่วไปแล้ว ทั้งปรัชญาพราหมณ์และพระพุทธศาสนาล้วนเป็นความรู้ของมนุษย์ ที่มาจากประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ได้เรียนรู้ ค้นคว้า และปฏิบัติ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตรับรู้ผ่านอายตนะภายใน และสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตถูกรวบรวมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม มนุษย์มีธรรมชาติของชีวิต ไม่ใช่เพียงรับรู้และสั่งสมความรู้เท่านั้น ชีวิตของพวกเขายังมีหน้าที่เป็นนักคิด เมื่อรู้สิ่งใดก็จะใคร่ครวญจากสิ่งนั้น ตัวอย่างเช่น การฆ่าคน การโกหก การลักขโมยของคนอื่นโดยการทำพิธีกรรม และการมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วยความไม่รู้ความจริงของผู้อื่น การดูหมิ่นผู้อื่น การดื่มสุราและการเสพยาเสพติด ทำให้เกิดความสุขสำราญเป็นเวลานาน และนำไปสู่ความประมาทในชีวิต เป็นต้น การเกิดปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง แผ่นดินไหว เป็นต้น และเหตุการณ์ทางสังคม เช่น การศรัทธาในพระพรหมและพระอิศวร ซึ่งเป็นที่พึ่งของชาวอนุทวีปอินเดีย เป็นต้น เมื่อบุคคลมีความศรัทธาในคำสอนของพราหมณ์อารยัน บุคคลจะปฏิบัติโดยการประกอบพิธีกรรมบูชายัญเพื่อถวายของมีค่าแด่เทพเจ้า เป็นต้น
เมื่อจิตใจมนุษย์รับรู้ ก็จะรวบรวมเรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์และสั่งสมไว้ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรับรู้ และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น จิตใจมนุษย์ยังทำหน้าที่เป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อมนุษย์รับรู้เรื่องใด พวกเขาจะคิดจากเรื่องนั้น แต่เมื่อชีวิตมนุษย์มีอายตนะภายในถูกจำกัดความสามารถในการรับรู้ และมีอคติเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเนื่องจากความไม่รู้ ชีวิตของมนุษย์จะเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผล เพื่อธิบายความจริงเหล่านี้และแยกแยะความจริงและความเท็จได้ เมื่อชีวิตมนุษย์ถูกผู้อื่นหลอกลวง พวกเขาก็ตัดสินใจที่ผิดพลาด ส่งผลให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาแรกที่สอนให้มนุษย์ใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงของชีวิตมนุษย์ ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าผู้คนในอนุทวีปอินเดียเชื่อในคำสอนของพราหมณ์อารยันเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าและเทวดาตามคำสอนของพราหมณ์มิลักขะ ความรู้นี้เกินขอบเขตที่คนทั่วไปจะเข้าถึงได้ ยกเว้นพราหมณ์นิกายต่าง ๆ ที่สามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้โดยการบูชายัญ เมื่อเผชิญกับกรรมแห่งชีวิตเนื่องจากความไม่รู้กฎธรรมชาติของชีวิต พวกเขาจึงเกิดความกลัว จนสูญเสียสติสัมปชัญญะและปัญญา ดังนั้น จึงไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริง คำตอบก็จะคลุมเครือและน่าสงสัย
เมื่อชีวิตของชาวอนุทวีปอินเดียตกอยู่ในความมืดมน พวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในชีวิตของตนเองได้ พวกเขาแสดงความคิดเห็นของตนเองและคาดคะเนความจริงโดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริง ต้องแสวงหาที่พึ่งสุดท้ายของตนเองโดยพึ่งพาเทพเจ้าตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน เพื่อแสวงหาพรที่จะช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นความทุกข์และบรรลุผลที่ปรารถนา ในขณะผู้คนทั่วทั้งอนุทวีปอินเดียบูชาเทพเจ้าและเทวดา พราหมณ์ทั้งสองนิกายคือพราหมณ์และดราวิเดียน ก็มีรายได้มหาศาลจากการบูชาเทพเจ้าและเทวดา อย่างไรก็ตามความโลภของพราหมณ์อารยัน ต้องการรายได้อันไม่มีที่สิ้นสุดจากการบูชา เพื่อประโยชน์ของตนเองเท่านั้น พราหมณ์อารยันต้องการจำกัดสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของพราหมณ์มิลักขะในการบูชาเทวดา เมื่อมหาราชาของอาณาจักรต่าง ๆ ทรงได้รับคำแนะนำจากปุโรหิต พระองค์ทรงบัญญัติคำสอนของพราหมณ์อารยันเป็นทั้งคำสอนของศาสนา และกฎหมายวรรณะตามจารีตประเพณี โดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ คือ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เมื่อบัญญัติใช้เป็นกฎหมายแล้ว ย่อมมีสภาพบังคับที่ข้อห้ามมิให้ประชาชนแต่งงานข้ามวรรณะและปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น เป็นต้น
เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายวรรณะกับประชาชน แต่ประชาชนกลับขาดการศึกษาและสั่งสมกิเลสไว้ในจิตใจ จึงไม่สามารถควบคุมกิเลสตัณหาได้จึงก่ออาชญากรรมอย่างร้ายแรงต่อกฎหมายวรรณะ เช่นการล่วงละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะ โดยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้คนต่างวรรณะ และปฏิบัติหน้าที่ของผู้ต่างวรรณะ เป็นต้น เมื่อเกิดความสงสัยในพฤติกรรมดังกล่าว ประชาชนในสังคมจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ ก็จะนำข้อมูลเหล่านั้น มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงว่า คำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะถูกละเมิดหรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบที่สมเหตุสมผล สังคมจะลงโทษผู้นั้นด้วยการขับไล่ออกจากสังคม พวกเขาจะต้องเร่ร่อนอยู่บนท้องถนนไปตลอดชีวิตแม้จะแก่ชรา เจ็บป่วย และตายบนท้องถนนก็ตาม ประชาชนในสังคมจะเรียกนักโทษเหล่านี้ว่า "จัณฑาล"
แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงถามว่าประวัติความเป็นมาของพระพรหมและพระอิศรเป็นอย่างไร ? แต่ไม่มีพราหมณ์ปุโรหิตองค์ใด สามารถอธิบายความจริงของคำตอบนี้ได้อย่างมีเหตุผล เจ้าชายสิทธัตถะทรงพิจารณาข้อเท็จจริงและเห็นว่า ตามคำสอนของพราหมณ์อารยันเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้านั้นพระองค์ทรงไม่เชื่อว่าเทพเจ้ามีอยู่จริง และพระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะปฏิรูปสังคมในแคว้นสักกะ โดยเสนอกฎหมายยกเลิกระบบวรรณะในแคว้นสักกะต่อรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะเพื่อพิจารณา อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปสังคมของเจ้าชายสิทธัตถะในแคว้นสักกะไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากข้อเสนอของพระองค์ที่จะยกเลิกกฎหมายที่ที่มีอยู่ เช่น กฎหมายวรรณะจารีตประเพณีนั้น ถูกห้ามโดยรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีแห่งราชอาณาจักรสักกะ มาตรา ๓ เป็นต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยในความมีอยู่ของเทพเจ้า พระองค์จึงทรงพยายามสืบหาข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่งพยานบุคคล เช่น ปุโรหิตที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งแคว้นสักกะ แม้ว่าพวกเขาจะยืนยันการมีอยู่ของเทพเจ้าและพัฒนาทฤษฏีเกี่ยวกับกำเนิดของโลก โดยอ้างอิงจากคำสอนของครูบาอาจารย์ แต่พวกเขาก็ยังยืนยันว่าพระพรหมสร้างมนุษย์จากร่างกายของพระองค์เอง และสร้างวรรณะสำหรับมนุษย์ที่พระพรหมสร้างขึ้นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่พวกเขาเกิดมา ยิ่งไปกว่านั้นพวกปุโรหิต (priesthoods) ยังยืนยันว่าปุโรหิตรุ่นก่อน ๆ เคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะมาแล้ว
เมื่อผู้คนล้มเหลวในการพัฒนาศักยภาพของตนเอง พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าวิญญาณของพวกเขาถูกกำหนดให้กลับชาติมาเกิดใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะชีวิตเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาจึงไม่สามารถควบคุมตัวเอง และเชื่อว่าความคิดเห็นที่หลอกลวงนั้นเป็นความจริง ดังนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจลงทุนในธุรกิจนั้นโดยคาดหวังผลตอบแทนมหาศาล การหลอกลวงนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของการหลอกลวงทั้งในระดับบุคคล ระดับชาติและระดับนานาชาติ ตัวอย่างเช่น การชักชวนให้ผู้คนลงทุนในตลาดหุ้น โดยอ้างว่าลงทุนเพียงเล็กน้อยจะให้ผลตอบแทนมหาศาล แต่สุดท้ายกลับถูกฉ้อโกงไปจนหมดสิ้น หรือหลอกลวงผู้อื่นให้ฆ่าเพื่อเอาทรัพย์สิน หรือหลอกลวงผู้คนทางออนไลน์โดยใช้ภาพของผู้อื่น เพื่อขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น เพราะธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ คือ ความเห็นแก่ตัวที่มักซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจ
โดยปกติแล้ว บุคคลเหล่านี้มักจะไม่เปิดเผยตัวตนจนกว่าผลลัพท์จะเป็นไปตามที่คาดไว้ หรือจนกว่าพวกเขาจะยอมจำนนต่อหลักฐานนั้นได้แก่ การฉ้อโกงเงินเหยื่อแล้วฆ่าเพื่อปิดปาก การขโมยเงินและข่มขู่ผู้อื่น การชักจูงเหยื่อให้กระทำการล่วงละเมิดทางเพศ การดูหมิ่นผู้อื่น การใช้แฮลกอฮอล์และยาเสพติด เพื่อบังคับให้เหยื่อกระทำการที่ผิดศีลธรรมและผิดกฎหมาย เนื่องจากอาชญากรรมเกิดจากจิตใจที่เสื่อมทรามของมนุษย์ ซึ่งเกิดจากคนใกล้ชิดโดยตรงและโดยอ้อมเกิดจากอาชญากรที่ใช้เทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต เนื่องจากปัญหาความจริงของอาชญากรรมและพระพุทธศาสนา คือความรู้ของมนุษย์ คำสอนของพระพุทธศาสนาจะสามารถแก้ปัญหาการหลอกลวงของมนุษย์ได้อย่างไร ? ประเด็นนี้ควรค่าแก่การศึกษาอย่างละเอียด เพราะเหตุการณ์ทางสังคมไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือไร้สาเหตุ ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผลที่มาจากประสบการณ์ของมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่นคำสอนของพราหมณ์อารยันระบุว่า ชีวิตมนุษย์เกิดจากกายของพระพรหมซึ่งแสดงให้เห็นว่า มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างโดยพระพรหม อย่างไรก็ตาม พระโพธิสัตว์สิทธัตถะตรัสรู้ว่าชีวิตมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยพระพรหม แต่ถูกสร้างโดยปัจจัยทางร่างกายและจิตใจรวมกันในครรภ์มารดา คำสอนของพระพุทธศาสนาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงเหตุผล และวิธีการในบรรลุถึงความจริงว่าชีวิตเกิดจากปัจจัยและเงื่อนไขเดียวกัน
จากข้อเท็จจริงที่กล่าวมาข้างต้น แม้ว่าผู้เขียนจะได้ยินแนวคิดที่ว่าปรัชญา พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ เป็นความรู้ของมนุษย์ แต่เนื้อหาของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่หลายแขนง ก็แยกออกจากพุทธศาสนาและปรัชญา หลังจากผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ก็ใช้หลักฐานเป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริง โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้ เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบนั้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความรู้ทางพระพุทธศาสนาและปรัชญาจะเป็นความรู้ของมนุษย์ แต่เมื่อผู้เขียนเป็นมนุษย์ที่มีข้อจำกัดของอายตนะภายในในการรับรู้ และมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ก็มีความสงสัยและต้องการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องนี้ โดยจะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติม มาใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้
บทความเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนานี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ศึกษาพระพุทธศาสนา ปรัชญา และวิทยาศาสตร์เพื่อให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและแจ่มชัด พวกเขาจะเห็นคุณค่าของการศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพในการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญา พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ พวกเขาจะสามารถประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อแยกแยะเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เพื่อแสวงหาความจริงได้อย่างถูกต้อง บริสุทธิ์ และยุติธรรมยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดปัญหาสังคมขึ้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงคิดหาวิธีแก้ไข ในสมัยนั้นชาวสักกะดำรงชีวิตด้วยความศรัทธาในคำสอนของพราหมณ์อารยัน ที่สอนเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้า
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักพระพรหมและเทพเจ้าอื่น ๆ จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายใน และสั่งสมความรู้ทางอารมณ์ในจิตใจ แต่พวกเขาก็ยอมรับโดยปริยายว่าเป็นความจริง เพราะพวกเขาถูกบังคับให้ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ เนื่องจากขาดการศึกษาในหลักสูตรศิลปศาสตร์ ที่เหมาะสมกับความต้องการและโอกาสของพวกเขา ชาวสักกะจึงขาดแรงจูงใจที่จะไขว้คว้าหาความฝันของตนเอง ในยามมืดมนที่สุดของชีวิต พวกเขาไม่มีความรู้ใดที่จะพึ่งพาได้ พวกเขาต้องแสวงหาที่พึ่งอันศักดิ์สิทธิ์ก็คือพระพรหมซึ่งพวกเขาเชื่อที่ว่าพระพรหมจะช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิต พวกเขาจึงตกลงที่จะบูชาพระพรหมตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน อย่างไรก็ตาม การบูชาเทพเจ้าหลายองค์ด้วยวัตถุมีค่าต่าง ๆ ได้นำความมั่งคั่งมหาศาลมาสู่พราหมณ์อารยันและมิลักขะทุกปี
เมื่อมหาราชาแห่งรัฐใดรัฐหนึ่ง ทรงประกอบพิธีบูชายัญผ่านพราหมณ์จากสำนักใดสำนักหนึ่ง และทรงประสบความสำเร็จในการปกครองประเทศ พระองค์จะทรงแต่งตั้งพราหมณ์ผู้นั้นให้เป็นปุโรหิต (priesthood) เพื่อให้คำปรึกษาแก่มหาราชาในเรื่องกฎหมาย ประเพณี และขนบธรรมเนียม เป็นต้น เมื่อพราหมณ์อารยันได้รับแต่งตั้งเป็นปุโรหิต พวกเขาก็มีอิทธิพลทางการเมือง ดังนั้น พวกเขาจึงเสนอต่อรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะให้ตรากฎหมายวรรณะ เพื่อผูกขาดพิธีกรรมบูชายัญและลิดรอนสิทธิและหน้าที่ของพราหมณ์มิลักขะในการบูชา การศึกษา การประกอบอาชีพ การค้า การเกษตรและอื่น ๆ เป็นต้น
เหตุผลในการบัญญัติกฎหมายวรรณะ ก็คือ เมื่อพระพรหมทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างวรรณะเพื่อให้มนุษย์ทำงานตามหน้าที่ที่เกิดมาโดยมีเงือนไขที่กฎหมายกำหนด สิ่งนี้ห้ามมิให้มนุษย์ทำงานในหน้าที่ของวรรณะอื่นและห้ามการแต่งงานข้ามวรรณะ เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว กฎหมายจะเพิกถอนไม่ได้ในภายหลัง ยกตัวอย่างเช่นสมัยที่ชาวสักกะยังอ่อนแอ เนื่องจากยังไม่สามารถพัฒนาศักยภาพในชีวิตตามอริยมรรคมีองค์ ๘ พวกเขาขาดความมั่นใจในการศึกษา ค้นคว้าและแสวงหาความรู้ เพื่อนำความรู้นั้นไปใช้ในการทำงานและการดำเนินชีวิต ส่งผลให้พวกเขาขาดความเพียรศึกษาและแสวงหาความรู้เพื่อการทำงานและการดำเนินชีวิต ตามแรงบันดาลใจของชีวิตให้บรรลุถึงความฝันของตนเอง ขาดสติในการทำงานตามความรู้และทักษะความสามารถของตน ขาดความเงียบสงบในจิตใจและขาดความรู้ เพื่อแก้ไขความทุกข์ของตนเองได้ เมื่อชีวิตขาดพลังทั้ง ๕ ประการนี้ พวกเขาจึงขาดความสำนึกในความผิดชอบชั่วดี และขาดความสามารถในการควบคุมกิเลสตัณหาของตนได้ ส่งผลให้พวกเขามีเพศสัมพันธ์กับผู้คนต่างวรรณะ แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะขัดต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะก็ตาม เมื่อเกิดพฤติกรรมที่น่าสงสัย สังคมก็จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเป็นข้อมูลสำหรับวิเคราะห์อย่างละเอียด โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ความจริงเรื่องนั้น ๆ

พระองค์ทรงใช้เหตุผล เป็นเครื่องมืออธิบายความจริงของคำตอบ พวกเขาได้กระทำความผิดร้ายแรงต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะ จึงถูกสังคมลงโทษด้วยลงพรหมทัณฑ์ คือ ขับออกจากสังคมตลอดชีวิต นักโทษเหล่านี้ ถูกเรียกว่า "จัณฑาล" และต้องถูกบังคับให้เร่ร่อนไปตาม ถนนในพระนครกบิลพัสดุ์และพระนครเทวทหะ ถึงแม้ว่า พวกเขาจะแก่ชรา เจ็บป่วย และตายอยู่บนท้องถนน เป็นต้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงพัฒนาความรู้ทางพุทธศาสนาเพื่อแก้ไขปัญหาสังคม
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้เห็นความทุกข์ทรมานของจัณฑาล (outcast) พระองค์ทรงแสดงความเมตตาอย่างยิ่งใหญ่ต่อพวกเขา โดยทรงปลดปล่อยพวกเขาจากการลงโทษทางสังคมตลอดชีวิต ทรงให้สิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกับวรรณะอื่น ๆ และทรงฟื้นฟูพวกเขาให้กลับคืนสถานะทางสังคมดั้งเดิม ขณะเจ้าชายสิทธัตถะทรงสืบหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานจากปุโรหิต (priesthood) พระองค์ก็ทรงได้ทราบจากปุโรหิตว่า พระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์และวรรณะขึ้น เพื่อให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะของตนได้ ปุโรหิตในรุ่นก่อน ๆ เคยเห็นพระพรหมและพระอิศวรในอาณาจักรสักกะมาก่อน
แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามปุโรหิตว่าประวัติของพระพรหมและพระอิศวรเป็นอย่างไร ? ไม่มีปุโรหิตคนใดตอบพระองค์ได้ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเกิดความสงสัยในความมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยที่จะปฏิรูปสังคมในอาณาจักรสักกะเพื่อยกเลิกระบบวรรณะ อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเจ้าชายสิทธัตถะ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีของอาณาจักรสักกะที่เรียกว่า "หลักอปริหานิยธรรม" เป็นต้น
เมื่อทรงพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะทรงเชื่อว่าแม้พระองค์จะทรงเกิดในวรรณะกษัตริย์ ผู้ทรงมีสิทธิและหน้าที่ในการปกครองประเทศตามกฎหมายวรรณะ แต่พระองค์ก็ทรงไม่สามารถปฏิรูปสังคมให้เกิดเท่าเทียมกันในหมู่ประชาชนทุกคนได้ เพราะรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดของแคว้นสักกะ ไม่เปิดโอกาสให้พระองค์ทรงปฏิรูปสังคมได้ เป็นต้นเมื่อข้อเท็จจริงของประเทศเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็ทรงเกิดความสงสัยในความมีอยู่ของเทพเจ้า เพราะพระองค์ทรงไม่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้ โดยการบูชาเพื่อขอพรในการยกเลิกวรรณะได้ เพราะเป็นกระทำที่ขัดกฎหมายวรรณะ พระองค์จึงเสด็จออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อหาหนทางปฏิบัติธรรม เพื่อบรรลุสัจธรรมแห่งชีวิตเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร พระองค์ทรงใช้เวลาหลายปีค้นพบหลักปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ เมื่อทรงปฏิบัติธรรมพระองค์ก็เกิดญาณหยั่งรู้เหนือมนุษย์ ซึ่งทำให้พระองค์สามารถมองเห็นวิญญาณออกจากร่างผู้ตายไปเกิดในภพอื่นตามกรรมของตนหรือเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ก็จะปฏิสนธิในครรภ์มารดา การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจึงหักล้างคำสอนของพราหมณ์อารยัน ในเรื่องการมีอยู่จริงของพระพรหมพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ และวรรณะให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ทำงานตามหน้าที่ของวรรณะที่ตนเกิดมา เป็นต้น
การศึกษาในสาขาที่เปิดสอนในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั่วโลกนั้นเป็นความรู้ของนักปรัชญา พระพุทธเจ้า และนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ที่มีต้นกำเนิดของความรู้จากมนุษย์เพราะมนุษย์มีอายตนะภายในร่างกายที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ทางสังคมตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ การฆาตรกรรม การจมน้ำตาย การผิดประเวณีสามีหรือภรรยาของผู้อื่นในรูปแบบต่าง ๆ การโฆษณาชวนเชื่อ การหลอกลวง เป็นต้น เมื่อได้ยินข้อเท็จจริง บางตนก็เชื่อว่าเป็นความจริงอย่างไม่มีข้อสงสัยและไม่รวบรวมหลักฐาน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์หาสาเหตุของข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นจำนวนมากในทุกปี ในปัญหาเหล่านั้น พระพุทธศาสนาจะช่วยแก้ไขปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ? เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ์แล้ว ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ทรงสอนเฉพาะเรื่อง "มนุษย์" ซึ่งเรียกว่า "ขันธ์ห้า"ประกอบด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นต้นเพื่อให้สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เราสามารถลดองค์ประกอบของขันธ์ทั้งห้าให้เหลือเพียง ๒ อย่าง คือกายและจิตใจ จิตจะอยู่ในร่างกายเป็นระยะเวลาหนึ่ง อาจเป็น ๑๐๐ ปี, ๕๐ ปี, หรือ ๒๐ ปีก็ตาย เมื่อคนเราตาย วิญญาณจะออกจากร่างกายไปเกิดในภพอื่น ในขณะยังมีชีวิตอยู่ จิตจะอาศัยอายตนะภายในร่างกายเพื่อรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลก
โดยหูของมนุษย์เชื่อมโยงกับคำพูดของผู้อื่นเกี่ยวกับอาชญากร การฆาตกรรม การลักขโมย การหลอกลวงผู้อื่น การดูหมิ่นผู้อื่น การดื่มสุราและเสพยา เป็นต้น เมื่อหูมนุษย์ได้ยินข้อเท็จจริงที่ผู้อื่นเล่า และยอมรับอารมณ์เหล่านั้นมาสั่งสมในจิตใจ หากพวกเขาเชื่อทันทีโดยไม่สงสัยก่อน โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผล มาพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุผล ข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากพยานเพียงคนเดียวก็จะไม่น่าเชื่อถือ เพราะมนุษย์มักจะมีอคติต่อกัน และอายตนะภายในร่างกาย มีความสามารถในการรับรู้ที่จำกัด พวกเขาอาจทำสิ่งที่ไม่ควรทำ สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความอยุติธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา เป็นต้น
สำหรับการปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเกิดขึ้น เพราะโลกและดวงอาทิตย์มีไฟฟ้าสถิตที่ดึงดูดซึ่งกันและกัน เมื่อดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าโลก จึงเหวี่ยงโลกให้หมุนรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี ทำให้โลกมีฤดูกาลที่แตกต่างกันตลอดทั้งปี เพราะการอยู่ใกล้หรือไกลจากดวงอาทิตย์ เมื่อนักปรัชญาได้ยินข้อเท็จจริง พวกเขาก็สงสัยข้อเท็จจริงนั้น และชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้เพิ่มเติม พวกเขาจะสืบสวนและรวบรวมหลักฐานเป็นข้อมูล เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นและเป็นความรู้ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ ด้วยเหตุผลที่กล่าวข้างต้น จึงถือว่า มนุษย์เป็นเจ้าของความรู้ในการได้ยินเสียงนั้น
ดวงตาของมนุษย์รับรู้เหตุการณ์ทางสังคมผ่านประสาทสัมผัสเช่น เห็นคนตาย, เห็นคนทำร้ายกัน, เห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่นฝนตกหนัก ฟ้าผ่า เป็นต้น เมื่อมนุษย์รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเมื่อรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราก็ไม่ควรเชื่อทันที่ เราควรจะสงสัยเสียก่อน จนกว่าเราจะได้สืบเสาะหาข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานอย่างเพียงพอเป็นข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผล มาอธิบายความจริง แต่ที่มาของคำตอบปรากฏขึ้นในใจ ไม่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร ? นักปรัชญาชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ เขาจะสืบเสาะหาข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลโดยการอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผล มาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ดังนั้น ผลการวิเคราะห์ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ก็จะเป็นความรู้ที่ติดตามชีวิตมนุษย์ ไปในสถานที่ต่าง ๆ เมื่อมนุษย์รับรู้ภาพเหล่านั้น ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมไว้ในจิตใจ มนุษย์ถือเป็นเจ้าของความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสังคมนั้น
เมื่อจมูกเชื่อมโยงกับกลิ่นต่าง ๆ จิตใจมนุษย์รับรู้กลิ่นต่าง ๆ ก็ไม่ควรเชื่อทันที เราควรสงสัยก่อน จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผล มาพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบว่าคือกลิ่นอะไร ? เมื่อมนุษย์รู้จักกลิ่นเหล่านั้นแล้ว มันจะเป็นความรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ชีวิตผ่านการกลิ่นและสั่งสมอยู่ในจิตใจ ดังนั้นอนุมานความรู้ได้ว่า มนุษย์มีความรู้เกี่ยวกับกลิ่นนั้น
โผฏฐัพพะ คือ สิ่งที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้ด้วยกาย หรือสิ่งที่มนุษย์สามารถรู้สึกได้ด้วยกายกัน กล่าวคือ เมื่อมนุษย์สัมผัสด้วยกาย ย่อมเกิดการรับรู้และสั่งสมเป็นอารมณ์ในจิตใจ จนกระทั่งจิตใจเกิดอาการพอใจในกายที่ได้สัมผัส เป็นความรัก ความผูกพัน และยึดมั่นในความเป็นเจ้าของ เมื่อคนอื่นมายึดครอง แล้วเกิดความโกรธก็บังเกิดขึ้น ความเกลียดชัง ฯลฯ เมื่อได้ยินรับความคิดเห็นเช่นนั้น ก็ไม่ควรเชื่อทันที เราควรสงสัยก่อน จนกว่าจะสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน วิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนี้อย่างสมเหตุสมผล ดังนั้นอนุมานได้ว่ามนุษย์เป็นเจ้าของความรู้เกี่ยวกับโผฏฐัพพะนั้น
ลิ้นมนุษย์ การรับรู้ของลิ้นในการกินอาหารที่มีรสเปรี้ยว หวาน มันเค็ม เป็นต้น เมื่อจิตใจมนุษย์รับรู้ถึงการสัมผัสอาหารทางลิ้นนั้น และเก็บหลักฐานเป็นข้อมูลอารมณ์ไว้ในจิตใจของตนเองและติดตามไปยังที่ต่าง ๆ ด้วย ดังนั้นมนุษย์จึงมีความรู้ในการสัมผัสอาหารซึ่งเป็นประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสของตนเองทางลิ้นนั้น ถือว่ามนุษย์เป็นเจ้าของความรู้ผ่านลิ้นนั้น เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความจริงของชีวิตที่ มนุษย์เป็นเจ้าของความรู้ที่สั่งสมมาในจิตใจ ซึ่งมนุษย์ได้ความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตน ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมในเรื่องใด ๆ อย่างไรก็ตาม มนุษย์เป็นผู้ที่จะตัดสินใจที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือเท็จในเรื่องที่รับรู้ หากเชื่อโดยไม่มีหลักฐาน มายืนยันความจริง อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด หรือไปยั่วยุผู้อื่นในลักษณะที่เกินจริงหรือดูหมิ่นผู้อื่น
ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงมีแนวคิด ที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการสร้างความสงสัยก่อนจะเชื่อว่าเป็นความจริงโดยสืบเสาะข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเป็นข้อมูลทางอารมณ์ที่สั่งสมมาในจิตใจ จากนั้น จิตใจของมนุษย์ จะวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้จากข้อมูลทางอารมณ์ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบว่าเป็นจริงหรือเท็จ เมื่อวิเคราะห์หลักฐานแล้ว ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่มาของเรื่องก็ยังไม่ชัดเจน เพราะการขาดองค์ประกอบความรู้ที่สมบูรณ์ ทำให้เราสงสัยที่มาของเรื่องนั้น แต่สำหรับนักปรัชญาสนใจศึกษาเพิ่มเติมจะต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ๆ
ตัวอย่าง เช่น เมื่อคำสอนของพวกพราหมณ์อารยัน เป็นทั้งคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ สอนผู้คนในอนุทวีปอินเดียว่าพระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างมนุษยชาติ และวรรณะให้มนุษย์ทำงานตามวรรณะที่ตนเกิดมาเท่านั้น เมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายวรรณะ ก็ทำให้เกิดปัญหาการละเมิดคำสอนทางศาสนาและกฎหมายวรรณะ ที่ห้ามการร่วมประเวณีกับคนต่างวรรณะ เพราะบางคนไม่สามารถควบคุมกิเลสของตนได้ เมื่อการแต่งงานข้ามวรรณะ ถือเป็นความผิดต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน สังคมจึงลงโทษพวกเขาในฐานะเป็นจัณฑาล ถูกขับไล่ออกจากสังคม และต้องใช้ชีวิตเร่รอนอยู่บนท้องถนนในเมืองใหญ่ของแคว้นต่าง ๆ เป็นต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของจัณฑาล ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ตามท้องถนนในวัยชรา ต้องเจ็บป่วยnและนอนตายอยู่ข้างถนน เป็นต้น สมาชิกรัฐสภาแห่งแคว้นสักกะได้บัญญัติคำสอนของพราหมณ์ขึ้น เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ ที่แบ่งประชาชนในแคว้นสักกะออกเป็น ๔ วรรณะ คือ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น ทำให้คนในสังคมถูกเลือกปฏิบัติ จึงมีสิทธิและหน้าที่ไม่เท่าเทียมกันในการประกอบอาชีพ การศึกษา การมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ และการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์นิกายของตนเอง
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสอบสวนข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานจากคำให้การของปุโรหิต ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะ พระองค์ทรงได้รับฟังข้อเท็จจริงยืนยันว่า พระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์ และยืนยันความจริงว่าเคยพบเห็นพรหมและอิศวรในแคว้นสักกะมาก่อน แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงถามความเป็นมาของพระพรหมและพระอิศวร ก็ไม่มีปุโรหิตคนใดตอบพระองค์ได้ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดความสงสัยในความจริงของเทพเจ้า ที่พระองค์ทรงเคยได้ยินข้อเท็จจริงที่สืบทอดกันมา เป็นต้น
ในปัจจุบัน โลกได้ก้าวหน้าไปมาก นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์และดาวอังคารรวมถึงการสร้างเทคโนโลยี่อินเตอร์เน็ต ที่ช่วยให้มนุษย์สามารถทำงาน และส่งงานผ่านแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตได้ แต่ทำไมมนุษย์ยังต้องศึกษาพระพุทธศาสนา และปรัชญาอยู่ มีเหตุผลดังนี้
๒.พระพุทธศาสนาเกิดจากความสงสัยของมนุษย์ เป็นความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกาย และสั่งสมเป็นอารมณ์ความรู้สึกในจิตใจ ทั้งนี้เป็นเพราะจิตวิญญาณอยู่ในร่างกายและอาศัยออายตนะภายในร่างกายในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวมนุษย์และเก็บหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ จากนั้นจึงวิเคราะห์หลักฐานโดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ๆ โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้น แต่ผลการวิเคราะห์นั้น หากข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจนว่าเรื่องนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ? ถือว่าเรื่องนั้นยังคงมีข้อเท็จจริงที่น่าสงสัย มนุษย์ก็จะแสวงหาความจริงในเรื่องนั้นต่อไป โดยจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมในเรื่องนั้น
โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความโง่เขลา มักเชื่อคำพูดของผู้อื่นที่มีเจตนาไม่สุจริต ตัวอย่าง เช่น มีคนหลอกให้ลงทุนแบ่งปันผลกำไรเพื่อให้ได้เงินเยอะ ๆ เมื่อได้ยินข้อเท็จจริง ก็ไม่คิดจะสงสัย เพราะโลภมาก และถูกคนใกล้ชิดตัวโน้มน้าว จนจิตใจมืดมน แต่พระพุทธศาสนาสอนให้เราสงสัยเสียก่อนจะเชื่อ โดยขอความเห็นจากหลาย ๆ คนก่อนจะตัดสินใจเชื่อ หรือไม่เชื่อคำพูดของคนนั้น เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงโดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบ แต่คนที่ขาดศรัทธาในตนเอง จึงขาดความพากเพียรในการแสวงหาความรู้ ไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะจดจำว่าไม่มีธุรกิจใดที่จะสร้างรายได้ง่ายเช่นนี้ ไม่มีสมาธิแน่วแน่ในตนเอง จึงขาดปัญญาหยั่งรู้ความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น ชีวิตจึงมืดมน พวกเขาจึงไว้วางใจผู้อื่นง่าย และยอมจำนนต่อความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลของคนอื่น
ชีวิตหาทางออกไม่ได้ เพราะคิดไม่ได้ แต่คนเราก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา พวกเขาจึงปรึกษาคนอื่นที่เชื่อว่ามีปัญญาหยั่งรู้ เช่น หมอดู ครูบาอาจารย์ พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีบูชายัญและที่ปรึกษาปัญหาของชีวิตเพราะมนุษย์ขาดการพัฒนาศักยภาพชีวิต จึงสมาธิสั้น ไม่บริสุทธิ์เพราะมีอคติต่อผู้อื่นและมีกิเลสมาก จึงเป็คนเศร้าหมอง พูดจาหยาบคายเพราะจิตไม่อ่อนโยน จึงไม่มั่นคงและหวั่นไหวกับปัญหาหนักๆในชีวิตที่เข้ามา แต่ไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนโง่ บางคนเรียนเก่งและมีงานดี แต่กลับตัดสินยิงตัวตายเพราะอกหัก จึงโง่เรื่องความรักแต่ฉลาดเรื่องเรียน บางคนต้องการปฏิรูปสังคมด้วยคำพูดของตัวเอง ชอบทำให้คนอื่นเชื่อว่าคำพูดที่สมเหตุสมผลของตนเป็นความจริง โดยไม่ดูบริบทของคนในสังคมที่เวลาเปลี่ยนไป มนุษย์ได้พัฒนาศักยภาพชีวิต จนมีทักษะในการสร้างเครื่องมือเทคโนโลยี่และอินเตอร์เน็ต บันทึกตัวตนของมนุษย์ที่เจตนาของการกระทำตลอดเวลา หากเราแบ่งปันความคิดและการกระทำของตนเอง พฤติกรรมของเราจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากชุมชนออนไลน์มากมายทั้งที่ผู้เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของเรา หากเราฟุ้งซ่านเป็นคนที่ไม่มีสมาธิ อ่อนแอ ไม่มั่นคงและหวั่นไหวกับปัญหาต่าง ๆ เราก็จะเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ คิดจนนอนไม่หลับซึ่งอาจนำไปสู่ความทุกข์ทางร่างกายและภาวะซึ่มเศร้าได้
๓.พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราแสวงหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริง เมื่อเราศึกษาพระพุทธศาสนาแล้ว แม้พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์เป็นหลักก็ตาม แต่ก็เกี่ยวเนื่องกับโลก จักรวาล และพระเป็นเจ้า ฯลฯ จุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนานั้น ก็เกิดจากความสงสัยของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อพระองค์ทรงได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องพระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างโลก มนุษย์ แล้ว พระองค์ทรงไม่เชื่อทันที แต่พระองค์ทรงสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมก็จะแสวงหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น พยานบุคคล พยานเอกสารและพยานวัตถุเพื่อนำข้อมูลนำมาวิเคราะห์ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของตอบในเรื่องนั้น และนำคำตอบในเรื่องนี้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นความรู้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อยอดกันต่อไป
เมื่อมนุษย์ไขปริศนาข้อสงสัยมากขึ้นและมีเนื้อหาสาระมากยิ่งขึ้น พวกเขาก็แยกตัวเองออกไปตั้งสาขาวิชาการใหม่ โดยเฉพาะเพื่อศึกษาเรื่องนั้นโดยเฉพาะเช่น วิทยาศาสตร์ เมื่อเวลาผ่านไปมนุษย์ได้พัฒนาศักยภาพมาขึ้นเรื่อย ๆ จนมีทักษะในการสร้างเครื่องมือด้านเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลได้รับผลลัพธ์ที่ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น และนำความรู้นั้นไปพัฒนาต่อยอดให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจมากยิ่งขึ้น เช่นมนุษย์สร้างเทคโนโลยี่และอินเตอร์เน็ตจนถึงการสร้างนวัตกรรมที่ทันสมัยจนสามารถทำงานที่บ้านและทำธุรกิจผ่านอินเตอร์เน็ตได้
๔.ความรู้คือสิ่งที่สั่งสมในจิตใจ โดยทั่วไปแล้ว จิตใจของมนุษย์เป็นนักคิด เมื่อเราเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เราจะคิดสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ มนุษย์ยังเก็บเรื่องราวของสิ่งต่าง ๆ ไว้ในจิตใจในรูปแบบนามธรรม แล้วมนุษย์ก็ใช้เรื่องราวเหล่านั้น มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น แต่เมื่อธรรมชาติของมนุษย์มีอายตนะภายในร่างกายมีความสามารถจำกัดในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ และมักมีอคติเข้าข้างผู้อื่นเนื่องจากความรู้ของตนเอง ชีวิตของมนุษย์จึงเต็มไปด้วยมืดมน พวกเขาจึงขาดความสามารถคิดและใช้เหตุผลเพื่อธิบายความจริงของเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล เมื่อพวกเขาเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญามักจะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนั้นตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงในสิ่งที่ได้ยินมานั้น เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นของเรื่องนั้น บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงเรื่องนั้นอย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงเรื่องนั้นอย่างผิด ๆ สิ่งที่มนุษย์ประสบพบเจอทำให้ผู้คนสงสัยว่ามันคืออะไร มนุษย์จะแสวงหาคำตอบเพื่ออธิบายสิ่งนั้นมีลักษณะอย่างไร โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ไม่จับต้องไม่ได้ทั้งผี วิญญาณ และเทพเจ้า ซึ่งเป็นความรู้ที่มนุษย์สมัยโบราณสนใจศึกษา และแสวงหาคำตอบโดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาสาเหตุผลลัพท์ของคำตอบสำหรับปัญหาที่น่าสงสัย เพื่ออธิบายการมีอยู่ของสิ่งที่มีตัวตนและสิ่งไม่มีตัวตนนั้นว่ามีลักษณะอย่างไร เมื่อมนุษย์รู้ว่าสิ่งใดคืออะไร พวกเขาก็ไม่สนใจที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานอย่างเพียงพอ มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบนั้นอีกต่อไป แต่ถ้ามีบางสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันเป็นสิ่งที่เขาสงสัยและยังคงแสวงหาคำตอบจากผู้อื่นต่อไป แต่หลังจากฟังคำตอบจากคนอื่นแล้ว แต่ก็ยังไม่ชัดเจน เขาจะค้นหาคำตอบต่อไปโดยเฉพาะความรู้ที่อยู่เนอกขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์เช่น ผี เปรต วิญญาณของคนตาย ผีปอบ ฯลฯ
แม้ว่าบางคนจะเชื่อการมีอยู่ของอมนุษย์ โดยอ้างเหตุผลคำตอบจากคนเคยเจอผีมาก่อน แต่บางคนก็เชื่อโดยไม่มีเหตุผลในการตอบ และบางคนก็บูชายัญ เพื่อขอให้เทพเจ้ามาช่วยให้บรรลุความปรารถอันเนื่องมาจากแรงจูงใจจากคำพูดของมนุษย์ด้วยกัน แต่ทำแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรจากการบูชายัญ เหมือนการทำพิธีบูชายัญด้วยของมีค่าต่อเทพเจ้าเพื่อให้บรรลุสิ่งที่ปรารถนา แต่เมื่อทำการบูชายัญแล้วไม่พึงพอใจก็เกิดความทุกข์ที่จะดำเนินต่อไป
การพัฒนาศักยภาพชีวิตตามคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยการปฏิบัติธรรมตาม "มรรคมีองค์ ๘ ผลของการปฏิบัตินี้ ทำให้มนุษย์รู้ความจริงของชีวิตว่า มนุษย์มีวิญญาณอาศัยอยู่ในร่างกายชั่วคราวบั้นปลายชีวิต มนุษย์ทุกคนต้องตาย มันเป็นกฎธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความตายไม่ใช่สาเหตุของการยุติชีวิตมนุษย์ เมื่อวิญญาณออกจากร่างไปสู่โลกอื่น ๆ เช่น โลกของมนุษย์ เทวดา นรก เป็นต้น เมื่อมีโลกมากมายที่อยู่นอกขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ ส่วนดวงวิญญาณจะไปเกิดในโลกไหน ก็ขึ้นกับกรรมที่สั่งสมไว้ในใจ การศึกษาปรัชญาสร้างความคิดสร้างสรรค์
เมื่อจิตรับรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายในชีวิตและสนใจในเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่างๆให้เพียงพอ เพื่อเป็นข้อมูลมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อเหตุผลมาอธิบายความจริงในเรื่องนั้น ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจที่จะเลือกสิ่งนั้น เป็นประโยชน์ในการทำงาน และการดำรงชีวิตเพื่อการพักผ่อนให้หลุดพ้นจากความเครียด แต่ถ้าความรู้นั้นสัมผัสแล้วขาดความสนใจแล้ว การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาเหตุผลของคำตอบไม่ได้เกิดขึ้น
การรับรู้สิ่งที่ผ่านเข้ามานั้น ยังไม่ถือว่าเป็นความรู้ แม้จะเป็นการรับรู้ แต่ไม่มีเหตุผลของคำตอบว่าคืออะไร มีลักษณะอย่างไร รู้ได้อย่างไรว่าเป็นความจริงและวิธีการปฏิบัติให้ถึงความจริงได้อย่างไร มาวิเคราะห์ พิจารณา ไตรตร่ตรองใคร่ครวญ หาเหตุผลด้วยวิธีการต่าง ๆ จนเกิดความมั่นใจแล้วความจริงคืออะไรแล้ว ก็ตัดสินใจว่าความจริงเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างไร และกลายเป็นความรู้ที่ถือว่าเป็นความจริงเรื่องนั้น ในความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของตนเองว่า มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรด้วยตนแต่อย่างใด แต่เพราะมนุษย์รู้จักคิดหาเหตุผลจนสร้างกระจกเงาขึ้นมาและสะท้อนภาพของตัวเอง ถึงจะบอกตัวเองด้วยเหตุผลได้ว่าตนเองสวยหรือตนเองขึ้เหล่ได้
แต่การเห็นตนผ่านกระจกเงาสะท้อง ให้เห็นแค่สิ่งภายนอกห่อหุ้มสังขารเท่านั้นแต่ก็ยังมิใช่ตัวตนที่แท้จริง อาจจะมีสภาพเหมือนหุ่นยนต์ก็ได้เพราะไม่มีจิตวิญญาณภายในสังขารนั้น แต่ไม่รู้จักรู้โลกภายนอกเท่านั้นไม่รู้จักคิดและไม่รู้จักข้อมูลสัญญาไว้ใช้เอาตัวรอดในยามเผชิญหน้ากับภัยต่าง ๆ ในบาง ครั้งมนุษย์ไม่ชอบพฤติกรรมของมนุษย์คนหนึ่งคนใดมักจะไม่แสดงตัวตนของความไม่พอใจที่แท้จริงออกมา และมักซ่อนความรู้สึกที่โกรธ เกลียด ริษยา แท้จริง มีอยู่ภายในจิตวิญญาณออกมาให้ผู้อื่นรับรู้ว่าตนรู้สึกอย่างไร พอใจหรือไม่พอใจอะไรในยามผัสสะพฤติกรรมของมนุษย์คนหนึ่งคนใดที่จรเข้ามาสู่ชีวิตของตัวเอง
ในชีวิตมนุษย์มีกายและจิตวิญญาณ เป็นปัจจัยซึ่งกันและกันก่อให้เกิดชีวิตใหม่ขึ้นมาแล้วเราก็สมมติชื่อบุคคลนั้น เพื่อแยกแยะความแตกต่างระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และง่ายต่อการจดจำ ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์อาศัยอินทรีย์ ๖ เป็นรับรู้ทุกสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่จรเข้ามาสู่ชีวิตตนตลอดเวลา เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดย่อมเกิดความสงสัย คิดหาเหตุผลจากสิ่งนั้นและพยานหลักฐานข้อมูลที่แวดล้อมสิ่งนั้น จนเกิดองค์ความรู้ที่ผ่านวิเคราะห์พยานหลักฐานอย่างสมเหตุสมผล และตัดสินว่าเป็นความจริงว่าสิ่งนั้นคืออะไรเป็นความจริงหรือความเท็จ ความดีหรือความชั่ว ความผิดหรือความถูกความงามหรือความน่าเกลียด เป็นต้น
เมื่อความรู้ของต่างๆ ที่มนุษย์ศึกษาและนำไปใช้บรรยายในสถาบันการศึกษานั้น เป็นของครูอาจารย์ ผู้บรรยายและวิทยากร เป็นต้น เพราะเป็นความรู้สั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของผู้นั้น และมีบ่อเกิดความรู้จากการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียวของมนุษย์เท่านั้น แต่เมื่อจิตวิญญาณมนุษย์มีมีอคติ ความอ่อนแอและไม่มีเข้มแข็ง จิตวิญญาณสั่งสมความรู้ไม่บริสุทธิ์ อันเกิดจากตัณหาในความทะเยอทะยานอยากมี อยากเป็น หยาบกระด้างไม่อ่อนน้อมถ่อมตน จิตไม่มั่นคงและอารมณ์หวั่นไหว การคิดหาเหตุผลในความรู้ของมนุษย์ขาดมาตรฐานของความเป็นสากล เพราะมีอคติความลำเอียงตลอดเวลาที่ตัดสินอะไรลงไป ทำให้เกิดความสงสัยในเหตุผลของการตัดสินใจในแต่ละครั้ง
ดังนั้นเหตุผลของอคติของมนุษย์เอง ทำให้มนุษย์เกิดความไม่วางใจซึ่งกันและกัน จำเป็นต้องสร้างเครื่องมือขึ้นมาคอยตรวจสอบ หรือวิเคราะห์ความถูกผิดของพฤติกรรมของมนุษย์ นอกจากนี้มนุษย์ยังรู้จักวิธีแสวงหาความรู้ และความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ กล่าวคือในแต่ละวันมนุษย์มีหลายสิ่งเข้ามาสู่ชีวิต เมื่อจิตวิญญาณมนุษย์ผัสสะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมเกิดความสงสัยในสิ่งนั้น เมื่อจิตวิญญาณสงสัยย่อมคิดหาเหตุผลจากสิ่งนั้นว่าสิ่งนั้นคือความจริงในเรื่องใดโดยจิตวิญญาณมนุษย์ เป็นผู้คิดหาวิธีการต่างๆให้ได้มาซึ่งความรู้ และความเป็นจริงในสิ่งที่สงสัยการคิดหาเหตุผลของความรู้และความเป็นจริงในสิ่งที่มาผัสสะ ต้องสามารถอธิบายเกณฑ์ตัดสินที่มีความสมเหตุสมผล ได้ปราศจากความสงสัยในความรู้และความเป็นจริงอีกต่อไป
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนจึงสนใจที่จะศึกษาประเด็น-ข้อสงสัยอันเป็นที่มาของพระพุทธศาสนาโดยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานอย่างเพียงพอ เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ ทั้งพระไตรปิฎก อรรถกถา เอกสารวิชาการต่าง ๆ และการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของผู้เขียนเอง เป็นต้น เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล ข้อมูลที่ได้จากวิเคราะห์ จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาระดับปริญญาเอกในการแสวงหาความรู้ เป็นระบบแนวคิดทางพระพุทธศาสนา และปรัชญาที่สร้างองค์ประกอบความรู้ที่แท้จริง ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการศึกษาพุทธศาสนา และปรัชญาอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังสามารถบูรณาการกระบวนการวิเคราะห์ได้อีกด้วย เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ในด้านวิชาการอื่น ๆ อีกด้วย
๒. เหตุผลที่มนุษย์ต้องเรียนรู้ เมื่อมนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข ขณะเดียวกันสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมนุษย์ ก็อาจก่อให้เกิดความทุกข์ได้เช่นกัน เข้ามาในชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกายและเข้าสู่จิตใจตลอดเวลา เมื่อมนุษย์สัมผัสสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะต้องมีกระบวนการคิดเพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบจากสัมผัสนั้น ๆ ดังนั้น เหตุผลจึงเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยให้มนุษย์ได้คำตอบสำหรับคำถามของตน คำตอบจะต้องผ่านเกณฑ์การวิเคราะห์ จากหลักฐานจากต่าง ๆ สาระสำคัญของความรู้หรือลักษณะของความรู้และความเป็นจริงของมนุษย์เกิดขึ้น ความรู้ที่ได้มาจากการคิดวิเคราะห์นั้นมิใช่การวิเคราะห์จากสภาวะภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องวิเคราะห์คุณสมบัติหรือคุณลักษณะของสิ่งที่เราสัมผัส เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้และความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อไม่มีหลักฐานใดอื่นใดที่จะหักล้าง และอธิบายความจริงของคำตอบที่มีอยู่ได้ให้เป็นอย่างอื่นได้ให้พิจารณาว่า คำตอบนั้นเป็นความรู้และความจริง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์นั้น มีความลำเอียง อคติ หมายถึง ความลำเอียงที่เกิดจากความไม่รู้ ลำเอียงที่เกิดจากความรัก อคติที่เกิดจากความเกลียดชัง และอคติที่เกิดจากความกลัว เป็นต้น จึงมักทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อพยานยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็มักให้การเท็จเพื่อเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เมื่อใช้เป็นหลักฐานมาวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ซึ่งเป็นสิ่งไม่สมเหตุสมผล เกณฑ์การตัดสินไม่บริสุทธิ์และยุติธรรม ยากที่จะไม่สงสัยในเหตุผลนั้นเพราะธรรมชาติของจิตใจมนุษย์นั้นอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ไม่มีจิตใจบริสุทธิ์ มีกิเลสมาก ไม่อ่อนน้อม จิตหยาบแข็งกระด้าง ไม่มั่นคงเพราะหวั่นไหวในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต
กล่าวคือ สิ่งที่มาผัสสะจิตวิญญาณมนุษย์นั้น ทำให้เกิดอาการของจิตที่เป็นความชอบหรือไม่ชอบในสิ่งใดที่ตนผัสสะนั้นเอง โดยธรรมชาติของจิตวิญญาณมนุษย์นั้น เมื่อตนชื่นชอบแล้วและมักจะลืมข้อบกพร่องของสิ่งนั้นที่เป็นนี้เพราะมนุษย์มีอคติ ลำเอียงเพราะชอบพอนั้นเอง อคติเป็นนามธรรมที่ผัสสะได้เฉพาะผู้มีปัญญาญาณเท่านั้น แต่ผู้มีสติปัญญาระดับปุถุชน ก็ศึกษาเข้าใจได้จากคัมภีร์หลักคำสอนทางพุทธศาสนาก็สามารถเกิดความรู้และความจริงของชีวิตได้ เมื่อความรู้ของมนุษย์กล่าวถึงความผิดหรือความถูก ความจริงหรือความเท็จ เป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมแล้วเพื่อป้องกันอคติให้เกิดความสงสัย มนุษย์ถึงใช้กระบวนการวิเคราะห์โดยนักปรัชญาหลายคน ให้เหตุผลในความรู้และความจริงของสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้ว่าคำตอบจะถูกต้องหลักเหตุผล แต่มนุษย์ก็ไม่เคยไว้วางใจความรู้และการตัดสินความจริงของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะอาจเป็นเผด็จการทางความคิดได้ มนุษย์จึงจำเป็นต้องสร้างเครื่องมือคอมพิวเตอร์ขึ้น เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลให้แม่นยำ แน่นอน และลึกซึ้งกว่าการวิเคราะห์ด้วยจิตใจของมนุษย์ เป็นความรู้ดั้งเดิมนี้แหละ นำไปสู่การพัฒนาวิทยาศาสตร์ ให้ปรากฏชัดดังที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ทุกคนที่เกิดมาต้องตายกัน ประเด็นที่ว่า มนุษย์จะสูญสิ้นไปหลังความตายหรือไม่นั้น เมื่อวิเคราะห์จากทฤษฎีกำเนิดความรู้ของมนุษย์ที่เรียกว่า "ทฤษฎีประจักษ์นิยม" นั้น มีแนวคิดว่า สิ่งใดก็ตามรับรู้ได้ด้วยอายตนะภายในของมนุษย์ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ตามแนวคิดของทฤษฎีประจักษ์นิยมนั้นเราวิเคราะห์ได้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีอยู่จริงนั้นต้องรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์เอง เมื่อตายไปแล้วก็มีการประชุมเพลิงศพนั้นจนเหลือแค่เถ้ากระดูกเท่านั้น ซึ่งไม่ชีวิตอีกต่อไปดูจากสภาวะของร่างกายแล้วเหมือนตายแล้วสูญเพราะเราไม่อาจผัสสะสภาพของชีวิตมีการเคลื่อไหวทางร่างกาย การพูด การนึกคิดของมโนกรรมอีกต่อไป ดังนั้น แนวคิดของทฤษฎีบ่อเกิดความรู้ "ประจักษ์นิยม" จึงถือว่าชีวิตมนุษย์ตายสูญ ถูกต้องตามแนวคิดบ่อเกิดความรู้ ดังกล่าว เป็นต้น เพราะตามคำนิยามของทฤษฎีนี้ว่า สิ่งไหนผัสสะได้ด้วยอินทรีย์ ๖ ของมนุษย์สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่จิตวิญญาณของมนุษย์ใด จะผัสสะชีวิตหลังความตายของมนุษย์คนใดคนหนึ่งได้นั้น มีได้เฉพาะมนุษย์ที่พัฒนาศักยภาพของตนเองให้บรรลุถึงความรู้ระดับอภิญญา ๖ เท่านั้นจึงจะมองเห็นวิญญาณไปจุติจิตในภพภูมิอื่น หรือมองเห็นวิญญาณมาอุบัติในครรภ์มารดา
ดังนั้นธรรมชาติของวิญญาณ จึงเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย แม้ว่าชีวิตมนุษย์จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่วิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่มีวันสิ้นสุดลง เพราะเมื่อชีวิตสิ้นลง ร่างกายของมนุษย์ก็จะเหมือนท่อนไม้ไร้สีที่ไม่ตอบสนองต่อสิ่งใด ๆ ที่สัมผัสมันอีกต่อไป ส่วนวิญญาณไม่อาจอาศัยอยู่ในร่างนี้ต่อไปไม่ได้อีก ต้องออกจากร่างไปเกิดในภพภูมิใหม่ พร้อมอารมณ์แห่งการกระทำที่เรียกว่า"กรรม" ที่ได้กระทำไว้ในชีวิตนั้น และคงอยู่ในจิตใจ แล้วตามวิญญาณไปยังภพภูมิอื่นต่อไป
ปรัชญาเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับความรู้และความจริง ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน คำว่า "ปรัชญา" มีความหมายว่า"วิชาที่เกี่ยวข้องกับ ความรู้และความเป็นจริง" จากคำจำกัดความเพียงไม่กี่คำ ทำให้เราเกิดความสงสัยเกี่ยวกับปรัชญาที่ว่าด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าความเป็นจริงของวิชานั้นคืออะไร ? จากคำจำกัดความดังกล่าวนั้น มีประเด็นต้องวิเคราะห์ ๒ ประเด็น คือคำว่า "ความรู้"และความเป็นจริง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ คำนิยามว่าความรู้คือ
(๑) คำนาม สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ เช่น ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์, สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิด หรือการปฏิบัติ เช่น ความรู้เรื่องสุขภาพ ความรู้เรื่องนิทานพื้นบ้าน
(๒)คำนามความเข้าใจหรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์เช่น ผู้ชายคนนี้เก่งแต่ไม่มีความรู้เรื่องชีวิตจากคำนิยามดังกล่าวเราวิเคราะห์ได้ดังนี้

๒) สิ่งที่ได้สั่งสมจากการค้นคว้า(วิจัย) กล่าวคือ ความรู้ของมนุษย์นั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่การนั่งฟังการบรรยายหรือชมวีดีโอ เท่านั้น แต่ยังต้องมีการศึกษาวิจัยจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ด้วย เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วก็ต้องนำมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อคิดหาเหตุผลมาอธิบายความจริง หรือพิสูจน์ความจริงความจริงของคำตอบ จนได้ความรู้ที่ผู้วิจัยเองได้พิจารณาอย่างสมเหตุสมผล โดยไม่ต้องสงสัยในความจริงของความรู้เรื่องนั้นอีกต่อไป เป็นต้น
๓) สิ่งสั่งสมจากประสบการณ์ กล่าวคือ มนุษย์ได้ผัสสะสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จรเข้ามาสู่ชีวิต สิ่งนั้นล้วนแต่เป็นความรู้จากประสบการณ์ของตนเองเช่น ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นย่อมเกิดความทุกข์ ความอกหักเพราะคนรักไปมีคนใหม่ เป็นต้น ฯลฯ ทำไมจำเป็นต้องเรียนวิชาปรัชญานี้เพราะเมื่อศึกษาอย่างจริงจังเราพบว่า วิชาการต่าง ๆ ของมนุษย์ เองก็มีหลายวิชาที่แยกตัวออกมาจากวิชาปรัชญาให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้า และสามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพให้ตนเองมีชีวิตที่มั่งคั่ง ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ เพียงพอที่จะหาความอุดมสมบูรณ์ในการดื่ม กิน และแสวงหาสิ่งต่าง ๆ มาสนองอารมณ์ของความอยากของตนได้
วิชาปรัชญาเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นมาจากความสงสัยของมนุษย์ ที่มีธรรมชาติเกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะชีวิตมนุษย์ผัสสะวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งตลอดเวลา แม้กระทั่งกระแสจิตวิญญาณที่ส่งออกมาจากร่างกายซึ่งเป็นวิชาการแรกนั้นเรียกว่าวิชาปรัชญา แต่ธรรมชาติของจิตวิญญาณมนุษย์มิได้คิดหาเหตุผลของคำตอบในความรู้และความเป็นจริงจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เพราะสิ่งที่มาผัสสะอินทรีย์ ๖ นั้นมีมากมายหลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน บางครั้งมิได้จำกัดเฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ผัสสะเฉพาะ แต่มียังมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากมายหลายร้อยเรื่องที่ห่างไกลออกไปเกินประสาทสัมผัสจะรับรู้ก็มี ยิ่งมนุษย์สงสัยมากขึ้นเท่าใด ย่อมคิดหาเหตุผลจากสิ่งที่ตนเกิดความสงสัยมากยิ่งขึ้น
เมื่อวิเคราะห์หาเหตุผลได้ข้อมูลของเนื้อหาวิชาการได้มากยิ่งขึ้นเท่าใด ย่อมมีการบันทึกด้วยตัวอักษรมากยิ่งขึ้น ทำให้ความรู้ที่มนุษย์คิดหาคำตอบในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นนั้นมากมายหลายต่อหลายเรื่องยิ่งในยุคต่อมาก็มีการสร้างเครื่องมือต่าง ๆ มาช่วยจิตวิญญาณของมนุษย์ให้วิเคราะห์ข้อมูลได้แม่นยำยิ่งขึ้นอย่างสมเหตุสมผลปราศจากข้อสงสัยในคำตอบของความรู้และความเป็นจริงอีกต่อไป ทำให้มีการแยกเนื้อหาวิชาการต่าง ๆ ออกเป็นสาขาใหม่อีกหลายวิชาตัวอย่างเช่น วิชาสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ นิติศาสตร์ เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น เจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดสงสัยในชีวิตมนุษย์ว่า พระพรหมทรงลิขิตโชคชะตาของชีวิตมนุษย์เป็นไปตามที่พระพรหมต้องการหรือไม่ เพียงใด เพราะเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตั้งสติพิจารณาด้วยการคิดหาเหตุผลและทรงมีความเห็นว่า หากพระพรหมลิขิตชีวิตมนุษย์ได้จริง ทำไมพระองค์ทรงปล่อยให้ทุกชีวิตมนุษย์ในทุกชนชั้นวรรณะเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นเดียวกับพวกจัณฑาล หรือว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้าไม่มีอยู่จริง เมื่อพระพรหมเป็นความรู้ด้วยเหตุผลแต่ไม่มีอยู่จริงจึงไม่ได้ลิขิตชีวิตมนุษย์ให้เป็นไปอย่างเดียวกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าว พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยออกศึกษาค้นคว้าหาคำตอบของความรู้และความเป็นจริงเกี่ยวกับชีวิต

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ พระองค์ทรงพบความเป็นจริง จากการตรัสรู้ว่า มนุษย์ทุกชนชั้นวรรณะอยู่ภายใต้อำนาจของกฎธรรมชาติในวัฏจักรแห่งการเกิดและการตายในสังสารวัฏ ไม่มีชนชั้นวรรณะใดจะหนีพ้นจากกฎธรรมชาติข้อนี้ได้ คือ เมื่อมนุษย์ตายไปแล้ว ร่างกายของมนุษย์ก็เปรียบเสมือนท่อนที่ไม้มีชีวิต แต่แท้จริงแล้ว มนุษย์ยังจิตเป็นปัจจัยในการสร้างชีวิต เมื่อชีวิตมนุษย์ตายไป จิตวิญญาณที่อยู่ในร่างกายนี้ จะออกจากร่่างกายไปเกิดในภพอื่น หนทางที่จะค้นพบกฎธรรมชาติได้ ก็คือ การปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ของพระองค์ทรงเคยปฏิบัติเท่านั้น
นอกจากนี้ กระบวนการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ นั้น ยังช่วยให้มนุษย์ค้นพบจิตวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์แต่ละคนที่ได้ไปเกิดในภูมิอื่น ดังนั้น การค้นพบความเป็นจริงในกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ โดยพระโพธิสัตว์ (สิทธัตถะภิกษุ) ทรงเรียกพระองค์เองว่า "ตถาคต" ส่วนพวกเราเรียกพระนามของพระองค์ง่าย ๆ ว่า พระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรกที่เมืองพาราณสี ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นกาสีทำให้ความรู้ที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเคยศึกษาในปรัชญาศาสนาพราหมณ์นั้น ทรงเกิดความสงสัยในชีวิตมนุษย์ โดยอาศัยเหตุปัจจัยเรื่องพระพรหมในปรัชญาศาสนาพราหมณ์ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทดสอบความรู้และความเป็นจริงของชีวิตเป็นเวลา ๗ สัปดาห์หรือ ๔๙ วันแล้ว เราพบว่าความรู้ทุกวิชาไม่ว่า พระพุทธศาสนา ปรัชญา วิทยาศาสตร์ สังคมและศาสนาที่เราศึกษากันในสถาบันการศึกษา โรงเรียน มหาวิทยาลัย เป็นต้น เป็นความรู้ที่มีต้นกำเนิดจากมนุษย์กันทั้งสิ้น
เมื่อปรัชญาคือความรู้ของมนุษย์ กล่าวคือ เมื่อชีวิตมนุษย์มาสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ เรื่องราวที่ไม่ชัดเจน ก็จะปรากฏขึ้นในจิตใจ มนุษย์จะสงสัยว่าเรื่องราวนั้นคืออะไร เช่น หากเห็นคนตายไม่ใช่คนในพื้นที่ของตนเอง ก็จะสงสัยว่าคนตายเป็นใคร มาจากไหน ชื่อเดิมของเขาคืออะไร และอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตาย ความรู้คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในใจที่ไม่ชัดเจน เพราะมนุษย์มีอายตนะภายในของร่างกายที่มีข้อจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคนหรือพราหมณ์อารยันที่เป็นนักตรรกะหรือนักปรัชญาสอนว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้นมา และสร้างวรรณะให้กับมนุษย์ที่พระพรหมสร้างขึ้นมานั้น เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา
เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงยังไม่เชื่อความจริงทันที แต่พระองค์ทรงสงสัยความจริงเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่ง จึงมีอายตนะภายในร่างกายที่มีข้อจำกัดในการรับรู้ถึงการมีอยู่ของเทพเจ้า แต่พระองค์ทรงชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป พระองค์ทรงสืบเสาะหาความจริงในเรื่องนี้และได้รวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพยานบุคคล ได้แก่ ปุโรหิตซึ่งเป็นพราหมณ์อาวุโสของอาณาจักรสักกะ แม้พยานบุคคลจะยืนยันข้อเท็จจริงถึงการมีอยู่ของเทพเจ้า โดยเหตุผลเป็นเครื่องมือของตนเองในการอธิบายความจริงเรื่องนี้ได้อย่างสมเหตุสมผลก็ตาม แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามถึงความเป็นมาของเทพเจ้าหลายองค์ แต่พราหมณ์ซึ่งเป็นปุโรหิตไม่สามารถตอบพระองค์ได้ เมื่อข้อเท็จจริงเรื่องนี้ประจักษ์พยานไม่สามารถยืนยันความจริงได้ เจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่เชื่อถือปุโรหิต ซึ่งเป็นประจักษ์พยานยืนยันการมีอยู่ของเทพเจ้าและไม่ยอมรับการมีอยู่ของเทพเจ้าตามคำสอนของพราหมณ์ปุโรหิตด้วยเหตุพระพุทธศาสนาจึงจัดอยู่ในศาสนาอเทวนิยม เป็นต้น
โลกเปลี่ยนไป มีเครือข่ายอินเตอรืเน็ตเชื่อมโยงกันทั่วโลกมนุษย์มีโอกาสเรียนรู้ซึ่งกันและกันมากยิ่งขึ้น แนวคิดของคนในโลกได้เปลี่ยนไปตามความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เครื่องมือชี้วัดความสำเร็จในชีวิตของมนุษย์นั้น วัดจากปริมาณของมูลค่าทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ที่มนุษย์ครอบครองอยู่ในขณะนั้น โดยสื่อมวลชนที่นำเสนอเป็นแนวคิดสากล เป็นเครื่องมือวัดความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคน ผู้คนจึงให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจ การซื้อขายรวดเร็ว ทำเงินได้ง่าย ขายได้คล่องกว่าอาชีพอื่น ทำให้รวยได้เร็วกว่าทำอาชีพอื่น ดังนั้น ปรัชญาจึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก
ตอนที่ผู้เขียนเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอินเดีย สาขาวิชาปรัชญาศาสนานั้นไม่ได้รับความสนใจจากคนอินเดียเข้าศึกษาเพราะเมื่อเรียนจบแล้ว พวกเขาไม่รู้จะใช้ความรู้ทางปรัชญาไปทำงานในตำแหน่งอะไร ซึ่งแนวคิดของการทำงานเป็นลูกจ้าง ทำงานเพียงตามคำสั่งของนายจ้าง อาจไม่ต้องใช้ความรู้มากนัก ดังนั้น มนุษย์ทุกคน จึงสนใจความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่ทุกคนสนใจศึกษามากกว่าความรู้ในสาขาอื่น ๆ ทำไมคนไม่สนใจศึกษาปรัชญา ส่วนใหญ่มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความยากจนขาดแคลนรายได้ ในการดำรงชีวิตอาชีพดั่งเดิมที่บรรพบุรุษทำไว้ไม่ตอบโจทก์ความร่ำรวยเพราะขายไม่ได้ราคา มนุษย์จึงแสวงหาวิธีการร่ำรวยในชีวิตมากกว่าเป็นนักคิดทางปรัชญาเมื่อมนุษย์สนใจความร่ำรวยมากกว่าจะมาเรียนทฤษฎีความรู้ทางญาณวิทยา.
นอกจากนี้ในยุคปัจจุบันมนุษย์พัฒนาศักยภาพตัวเอง ผ่านระบบการศึกษาในสถาบันการศึกษาที่รัฐสร้างขึ้นมา เมื่อจบการศึกษาก็หางานทำ และหารายได้ตอบสนองความต้องการของตัวเอง ชีวิตน่าจะเป็นสุขแล้ว นี่คือความคิดของคนที่เกิดมาเพื่อลูกจ้างคนอื่นตลอดชีวิต ไม่เคยคิดจะเป็นเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของกิจการแต่อย่างใด แต่การเป็นลูกจ้างก็มีข้อจำกัดของการทำงานไม่เกิน ๖๐ ปี ก็ต้องเกษียณอายุการทำงานลงหรือตกงานเพราะถูกเลิกจ้าง หากมีหนี้สินและไม่มีรายได้เข้ามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลที่เพิ่มเติมเข้ามา หากมีปัญหาเกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองคิดว่า จะทำอย่างไรให้ชีวิตตนสมบูรณ์แบบเช่นเดิม การไม่มีรายได้มาหล่อเลี้ยงชีวิตนั้น ย่อมนำซึ่งการคิดฟุ้งซ่านตลอดทั้งวันคิดซ้ำ ๆ จิตย่อมเกิดความเครียดทั้งจิตวิญญาณ และร่างกายทำให้ร่างกายไม่ทำงานตามปกติ ทำให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนย่อมนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เป็นต้น.
หากชีวิตของเรามีอสังหาริมทรัพย์สินมากมายและมีเงินเหลือใช้ไปตลอดทั้งชีวิต แต่เราก็ยังไม่เข้าใจความสุขที่แท้จริงของชีวิตที่พอเพียง คือทำงานเพื่อมีอาชีพ ไม่ใช่ชีวิตที่โดดเดียว การพูดคุยกับผู้อื่น เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กัน จะไม่ทำให้ชีวิตไร้ค่า การแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตทั้งความล้มเหลวในการทำงาน การแต่งงาน การเลี้ยงดูบุตรให้ประสบความสำเร็จในชีวิตจะทำใช้ชีวิตดีขึ้น หากเราไม่มีประสบการณ์ในชีวิต เราจะใช้ชีวิตตามอารมณ์ของจิตใจ ท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ อย่างไร้จุดหมายทั้งคืน และพัวพันกับยาเสพติด เพื่อปรุงแต่งชีวิตให้สนุกสนานตลอดทั้งคืน ตัวอย่างมากมายในสังคมปัจจุบัน เพราะชีวิตยังคงติดอยู่ในอารมณ์แห่งความเสื่อมโทรม ทำให้ชีวิตยังยังไม่มีอิสรภาพที่แท้จริง หรือหลายคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานและชีวิต
แต่ชีวิตยังขาดอะไรที่ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร ปัญหาสุดท้ายคือสุขภาพร่างกายที่เป็นภาระให้คนอื่น ๆ ด้วย และใช้เงินดูแลสุขภาพที่เสื่อมโทรม เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว จะเห็นว่ามนุษย์ไม่อาจพ้นทุกข์ของชีวิตเพราะการเสพสุขตามใจตัวเอง การนอนไม่หลับติดต่อกันหลายวันไม่ได้หมายความว่าจะพ้นทุกข์ เพราะร่างกายต้องการพักผ่อนเช่นกัน หากเรายังมัวเมาในสุขภาพที่ดี และคิดว่าไม่ได้เจ็บป่วย เราก็จะต้องตายในที่สุดเพราะการพักผ่อนไม่เพียงพอเช่นเดิม ดังนั้นการศึกษาปรัชญา จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตด้วยการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลผ่านตรรกะเชิงปรัชญา ช่วยให้เรามีสติ รู้จักคิด (จินตนาการ) และมีวิธีคิดที่เป็นระบบทำให้เข้าใจชีวิตมนุษย์มากยิ่งขึ้น
๓. ทำไมจึงต้องเป็นเรียนพุทธปรัชญา
คำว่า"ปรัชญา" ตามพจนานุกรมราช บัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายไว้ว่า วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง จากความหมายดังกล่าว จึงอาจวิเคราะห์ได้ว่าปรัชญาคือความรู้และความจริง เพื่อนำหลักความรู้นั้น เป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ โดยการอนุมานความรู้และคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงของปรากฎการณ์ของสิ่งต่าง ๆ โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม เมื่อธรรมชาติของมนุษย์มีอาตนะภายในร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ และมีความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเรื่องจากความไม่รู้ ความกลัว ความเกลียดชัง และความรักเป็นต้น ทำให้ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมน
เมื่อมนุษย์บางคนเป็นนักตรรกะและนักปรัชญามักจะแสดงทัศนะในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามปฏิภาณของตนเอง และการคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล แต่การให้เหตุผลนั้น บางครั้งก็อาจให้เหตุผลผิดบ้าง บางครั้งอาจให้เหตุผลถูกบ้าง บางครั้งอาจให้เหตุผลเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้บ้าง เป็นต้น ดังนั้น ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงสอนวิธีแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ฟังตามๆ กันมา เราไม่ควรเชื่อข้อเท็จจริงทันที่เราควรสงสัยเสียก่อน เพื่อให้ได้ความจริงปรากฏการณ์ที่จิตใจมนุษย์รับรู้ผ่านประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสแล้ว จิตใจมนุษย์ต้องสงสัยในปรากฏการณ์เหล่านั้นว่าสิ่งนั้นคืออะไร ?และปรากฎการณ์นั้นมีลักษณะเช่นไร
ด้วยความคิดของมนุษย์ที่หาเหตุผลของตรรกะ อธิบายปรากฏการณ์เหล่านั้น มีประสบการณ์ก่อนย่อมคิด (ความสงสัย)มนุษย์มีจิตอาศัยร่างกายตัวเอง เป็นทวารรับรู้เกี่ยวกับโลกมนุษย์และปรากฎการณ์ตามธรรมชาติเมื่อรับรู้แล้วย่อมสงสัยเกี่ยวกับประสบการณ์เหล่านั้น จึงต้องแสวงหาเหตุผลทางตรรกะเพื่อให้เกิดความรู้ขึ้น ดังนั้นถึงแม้มนุษย์จะไม่เรียนรู้หาหลักความรู้ และความจริงของปรัชญาในสถาบันการศึกษาที่สอนปรัชญา แต่มนุษย์ย่อมรู้จักคิดจากประสบการณ์ที่ผ่านประสาทสัมผัสของตนเข้ามาตลอดเวลา แต่ประสบการณ์เหล่านั้น ได้แค่รู้ยังไม่เป็นความรู้ที่สมบูรณ์แบบเพราะยังไม่การนึกคิดหา เหตุผลทางตรรกะ ซึ่งเป็นเครื่องมือให้สิ่งรู้กลายเป็นความรู้ที่สมบูรณ์แบบปราศจากข้อสงสัยทางปรัชญานั้นเอง
๓.๑ จุดมุ่งหมายของการเรียนพระพุทธศาสนาคือเพื่อสอนให้มนุษย์คิดหาเหตุผลก่อนเชื่อโดยเรียนรู้จากสิ่งต่าง ๆ ที่มาสัมผัสด้วยความสงสัยจากนั้นมนุษย์ ก็เริ่มคิดและหาเหตุผล จนกระทั่งความรู้ผ่านเกณฑ์ในการตัดสินอย่างสมเหตุสมผลอย่างไร อย่างไม่ต้องสงสัยแม้ว่าจะมีข้อโต้แย้งก็ตาม การศึกษาพระพุทธศาสนาจึงเป็นวิธีการคิดให้เป็นระบบ ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงเป็นการสอนมนุษย์ใช้สติปัญญา (สติแปลว่า ความระลึกถึงข้อมูลที่ผ่านมาหรือระลึกถึงประสบการณ์ของความรู้ที่ผ่านมา ส่วนตัวปัญญา คือการใช้จิตพิจารณาข้อมูลความรู้เคยศึกษามา ทดลอง ปฏิบัติมา ฯลฯ เป็นต้น เมื่อพระพุทธศาสนาเป็นวิชาที่สอนให้ผู้เรียนคิดแตกต่างจากคนอื่น และหาเหตุผลที่จะยืนยันความคิดเห็นของเขาเอง นั่นคือหลักความรู้และเป็นความจริงที่ถูกต้อง การศึกษาพระพุทธศาสนา นำไปสู่การค้นพบแนวคิดที่มีเหตุผลมากมาย การได้รับหลายแนวคิดมากมาย ทำให้เกิดการพัฒนาความคิดในทางสังคมและนำไปสู่การใช้แนวคิด ดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมได้
๓.๒ แม้ปรัชญาจะเป็นมารดาแห่งศาสตร์ทั้งปวงตามความเห็นของนักปรัชญาตะวันตกก็ตาม แต่พระพุทธศาสนาก็เกิดก่อนปรัชญาตะวันตกและวิชาการต่าง ๆ เปิดสอนในสถาบันการศึกษาทั่วโลกนั้น แม้นักวิชาการต่าง ๆจะอ้างว่าต่างแยกตัวออกจากวิชาปรัชญา เมื่อวิชาใดแม้แยกตัวจากวิชาปรัชญาสาขาวิชานั้น ยังนำแนวคิดจากปรัชญาไปใช้ด้วยทุกวิชา เช่นวิชานิติศาสตร์ แยกตัวออกจากปรัชญาแต่นำทฤษฎีความรู้ทางปรัชญาไปใช้โดยเฉพาะการรับฟังพยานหลักฐาน (ที่มาของความรู้) ในลงโทษจำเลย หรือยกฟ้องจำเลย แต่ละวิชาจึงมีหลักความรู้หรือแนวคิดของปรัชญาเป็นของตัวเอง กล่าวคือทุกวิชาต้องใช้ตรรกะ (ลักษณะพื้นฐานของขอบเขตแนวคิดของปรัชญาอย่างหนึ่ง) หรือวิธีการคิดทางปรัชญาอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อเรามีวิธีคิดทางปรัชญาติดตัวไป เราก็สามารถนำไปบูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ของมนุษย์ได้ทุกสาขาวิชา
๓.๓ การศึกษาพระพุทธศาสนาช่วยให้เราเข้าใจตนเองและผู้อื่น
โดยธรรมชาติของมนุษย์ มักสนใจเรื่องภายนอกมากกว่าภายในชีวิตของตนเอง โดยเฉพาะเรื่องราวของผู้อื่น มากกว่าเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง เมื่อมนุษย์เรียนรู้เรื่องราวของผู้อื่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มนุษย์จะได้รับแรงบันดาลใจให้แสวงหาความฝันเพื่อให้ได้ความรู้และความก้าวหน้าในชีวิตมากกว่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การศึกษาในปัจจุบันเน้นการแข่งขัน เพื่อนำความรู้มาสู่ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ความมั่นคง ความมั่งคั่งและความสะดวกสบายในชีวิตปัจจุบันมากกว่าการดำรงชีวิตเพื่อหลีกหนีจากความทุกข์ที่เกิดจากอันตรายในชีวิตบนโลก
ดังนั้น การศึกษาปรัชญาเพื่อให้มีความรู้ความเข้าในหลักความรู้และความจริงของปรัชญา วิธีการเรียนจึงมีความสำคัญเนื่องจากแนวคิดทางปรัชญามีอยู่ในสำนักคิดต่าง ๆ โดยแต่ละสำนักเสนอแนวคิดทางปรัชญาในรูปแบบตำราเรียนและเอกสารบันทึกจำนวนมาก วิธีการศึกษาของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ จะเน้นให้นิสิตเรียนรู้จากตำราเรียนที่ผู้เขียนตำราขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากการฟังการบรรยายจากอาจารย์ผู้รับผิดชอบวิชานั้น ๆ และอาจารย์ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้รับความรู้เพิ่มเติมจากตำราเรียนที่เขียนโดยนักเขียนหลาย ๆ คนแล้ว
แต่การศึกษาปรัชญาจากเอกสารวิชาการต่าง ๆ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน ผู้เรียนต้องสามารถวิเคราะห์แนวคิดของนักปรัชญาในสำนักต่าง ๆ เพื่อให้ได้หลักความรู้ และความจริง มาประยุกต์ใช้สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ สร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ และสามารถมาประยุกต์ใช้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนในเชิงธุรกิจได้อย่างแท้จริง การเรียนปรัชญาในยุคปัจจุบัน ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียน เพื่อฟังอาจารย์อีกต่อไปเพราะทุกหนทุกแห่งบนโลกใบนี้ มีการแบ่งปันความรู้ผ่านอินเตอร์เน็ตเพื่อการเรียนรู้ โลกออนไลน์ถือเป็นสถาบันการศึกษายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เพราะมนุษย์สามารถสร้างเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ให้เป็นเครื่องมือสื่อสาร ให้มนุษย์ได้แบ่งปันความรู้ในสาขาต่าง ๆ ให้เราได้ศึกษาตลอดเวลา ทำให้เราจัดการเรียนการสอนในรูปแบบการสัมมนาวิชาการในหัวข้อต่าง ๆ ได้ และยังศึกษาจากเว็บไซด์ต่าง ๆ ที่เขียนแนวคิดทางปรัชญา ที่ทำให้ผู้เรียนสนใจศึกษามีแนวคิดในการใช้ความรู้ที่หลากหลายมากขึ้น
การสอบวัดผลแนวคิดทางปรัชญาควรจัดในรูปแบบการสอบวิเคราะห์ ช่วยให้การศึกษาหลักสูตรปรัชญามีความน่าสนใจและมีความรู้มากขึ้น สิ่งที่เรียกว่า "ปรัชญาประยุกต์" ช่วยให้ผู้เรียนมองเห็นประโยชน์ของแนวคิดทางปรัชญาได้ชัดเจนขึ้น เพราะแนวความคิดที่แท้จริงของสาาวิชาต่าง ๆ ที่เกิดในโลก ล้วนแยกออกจากปรัชญาทั้งสิ้น โดยนำแนวคิดทางปรัชญาที่นำเสนอปัญหาต่าง ๆ สู่สังคมนั้น ผู้ที่สนใจสามารถนำความรู้และความจริงมาปรับใช้กับวิธีการพัฒนามนุษย์ให้มีศักยภาพในการดำเนินชีวิตมากขึ้น ความรู้ถูกเผยแพร่เพิ่มมากขึ้น และมีการสร้างเครื่องมือคอมพิวเตอร์ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น.
เนื่องจากมนุษย์เรียนรู้ความเป็นมนุษย์ของตน พวกเขาก็รู้วิถีแห่งชีวิต แม้จะยากที่มนุษย์จะเข้าถึงความรู้และชีวิตจริง แต่หากมนุษย์ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการพึ่งพาตนเองและลงมือปฏิบัติด้วยความอดทนแล้ว ก็จะเกิดสติสัมปชัญญะระลึกถึงความรู้จากประสบการณ์ชีวิตที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ เกิดกำลังสมาธิแน่วแน่ในการปฏิบัติ ก็จะมีปัญญาเข้าใจในความรู้และความจริงของชีวิตตามกฎธรรมาติ เมื่อมนุษย์มีความรู้และความเข้าใจในชีวิตของตนเองแล้ว ย่อมไม่ใช้ชีวิตอย่างคนโง่เขลาเหมือนหุ่นยนต์ไร้ความคิด อัตตาหรือความโง่เขลา และยากที่จะเข้าถึงอารมณ์ที่แท้จริงได้ วิธีการดำรงชีวิตอย่างโดยไม่ทำร้ายกัน เริ่มต้นด้วยการไม่ทำสงคราม เพื่อแผ่ขยายอำนาจเพื่อยึดครองดินแดนเพื่ออยู่อาศัย น้ำ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค สิ่งเหล่านี้เป็นสัญชาตญาณของสัตว์โลกในการดำรงชีวิต ทั่วไป การเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์จึงมีความสำคัญ ดังนั้นการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของชีวิตมนุษย์ จะแสดงให้เห็นว่าทุกคนมีลักษณะคล้ายคลึงกันมากจากสภาพทั่วไป เมื่อเราพิจารณาอย่างท่องแท้แล้ว คำถามที่เกิดขึ้นคือ ทำไมมนุษย์จึงดำเนินชีวิตแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้าน การอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันขนาดของบ้าน สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ความสมบรูณ์ของอาหารสำหรับแต่ละครอบครัว มีฐานะทางสังคมที่แตกต่างกัน มีจำนวนของคนรับใช้ที่แตกต่างกัน มีกฎเกณฑ์ทางสังคมมากมายที่ทำให้มนุษย์ทุกคนดำเนินชีวิตแตกต่างกัน จนไม่สมารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคมปัจจุบัน



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น