Introduction: Doubt is the root cause of Buddhism
บทนำ ความสงสัย บ่อเกิด พระพุทธศาสนา
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนาหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือกำลังเกิดขึ้นซึ่งเรียกกันว่า "ข้อเท็จจริง" (facts) จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ ซึ่งบันทึกเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ในสมัยอินเดียโบราณ ยุคนี้เป็นยุคที่ศาสนาพราหมณ์เจริญรุ่งเรือง ชาวสักกะและชาวโกลิยะมีความศรัทธาในเทพเจ้าเช่น พระพรหมและพระอิศวร ซึ่งเป็นที่พึ่งสูงสุดของตน เป็นต้น ตามที่ได้ยินจากบรรพบุรุษและเป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านอายตนะภายในร่างกาย และสั่งสมมาในจิตใจ เนื่องจากต้องเผชิญกับความทุกข์ในชีวิตจากการพลัดพรากจากคนที่รัก อันตรายจากฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุของมนุษย์ ความแห้งแล้งจากฝนตกผิดฤดูกาล ความอดอยากจากการขาดแคลนอาหาร ไฟป่าและการไร้ที่อยู่อาศัย โรคระบาดเกิดขึ้นและผู้คนจำนวนมากเสียชีวิต ไม่มีใครให้พึ่งพา ผู้คนจึงแสวงหาที่พึ่งทางจิตวิญญาณซึ่งก็คือเทพเจ้า การบูชาเทพเจ้าช่วยให้ชีวิตมีความหวังในสิ่งดี ๆ ผู้คนในอนุทวีปอินเดียจึงขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้า ผ่านพิธีกรรมการบูชายัญด้วยของมีค่า อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์เกิดขึ้นจากเครื่องบูชาซึ่งมีมูลค่ามหาศาลทุกปี กลายประเด็นทางการเมืองระหว่างชนเผ่าอารยันและมิลักขะ เมื่อธรรมชาติของมนุษย์บางคนเป็นพราหมณ์เห็นแก่ตัวมีความโลภ ต้องการผลประโยชน์การบูชาเทพเจ้าไว้เพียงกลุ่มเดียว
ดังนั้น เมื่อพวกพราหมณ์อารยันมีอำนาจทางการเมือง ก็ใช้อำนาจอธิปไตยนั้นแสวงหาผลประโยชน์ทางเมือง โดยเริ่มต้นบัญญัติกฎหมายวรรณะประเพณีและขนบธรรมเนียม เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง โดยกำหนดสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองที่มีต่อประเทศ โดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะคือวรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เป็นต้น เมื่อบัญญัติเป็นกฎหมาย ก็ต้องมีสภาพที่บังคับให้ประชาชนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย คือการห้ามแต่งงานข้ามวรรณะและห้ามปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น ส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเพราะทำให้ประชาชนมีอำนาจตรวจสอบและถ่วงดุลกันเอง ชีวิตของประชาชนเต็มไปด้วยความมืดมน เพราะพวกเขาสูญเสียศรัทธาในตนเองและอาศัยความภักดีต่อเทพเจ้า ขาดความพวกเพียรในการแสวงหาความรู้ไว้เป็นที่พึ่งของตนเอง ไม่มีสติที่จะระลึกความรู้จากประสบการณ์ก่อนลงมือปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ไม่มีสมาธิแนวแน่ในการทำงานเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นขาดปัญญาหยั่งรู้ความจริงของชีวิต และไม่สามารถคิดวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริง เพื่อใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา อธิบายความจริงได้อย่างสมเหตุสมผล เป็นต้น
เมื่อชีวิตมนุษย์นั้นไม่เที่ยง ญาติพี่น้องก็ต้องตายไป ชีวิตที่รุ่งเรืองต้องจบสิ้น เพราะไม่มีใครห่วงใยให้ความอบอุ่นและช่วยเหลืออีกต่อไป ถึงเวลาที่้ต้องพึ่งตนเองในการแก้ไขปัญหาต่างๆในชีวิต เมื่อดำเนินชีวิตอย่างประมาท ขาดความมั่นใจ ก็จะไม่สามารถศึกษาค้นคว้าความรู้ในหลายๆ ด้านด้วยความขยันมั่นเพียรและพัฒนาทักษะความสามารถในการทำงาน จึงไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะจดจำความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสต่างๆมาเก็บไว้ในจิตใจ จึงไม่สามารถคิดหาเหตุผลเพื่อใช้ความรู้นั้นเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาความจริงได้ เมื่อจิตใจไม่มั่นคงก็จะฟุ้งซ่านด้วยความไม่รู้ มุ่งแต่สิ่งที่ชอบและหวาดกลัวเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เมื่อชีวิตมีปัญหาและพึ่งตนเองไม่ได้ ก็จะไปหาพราหมณ์ตามสำนักต่าง ๆ เพื่อปรึกษาปัญหาและพึ่งเทพเจ้า เมื่อพวกเขาเกิดศรัทธาในเทพเจ้าจึงบูชาด้วยของมีค่าต่าง ๆจนกลายเป็นประเพณีที่ได้รับความนิยมที่สืบทอดกันมาจนกลายเป็นต้นแบบของขนบธรรมเนียมหรือประเพณีต่าง ๆในปัจจุบัน
เมื่อผู้คนในอนุทวีปอินเดียเชื่อโดยปริยายว่าพระพรหมและเทพเจ้าอื่น ๆมีอยู่จริง แม้ว่า พวกเขาจะไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกายโดยตรง แต่การสื่อสารกับเทพเจ้าผ่านการพิธีบูชายัญของพราหมณ์อารยัน แต่เนื่องจากคำสอนของศาสนาพราหมณ์ได้บัญญัติเป็นกฎหมายวรรณะอีกด้วย แม้ผู้คนจะสงสัยในเรื่องนี้ แต่กลัวลงพรหมทัณฑ์จากผู้คนส่วนใหญ่ที่เชื่อในเทพเจ้า จึงเก็บความมืดมินในเรื่องนี้ต่อไป โดยทั่วไปแล้วทั้งสองวิชาเป็นความรู้ของมนุษย์ที่สร้างความรู้จากประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์ ที่เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านอายตนะภายในร่างกาย และรวบรวมความรู้เป็นอารมณ์ความรู้สึกในจิตใจ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับมนุษย์ ที่มนุษย์ได้เรียนรู้มาล้วนแต่เป็นปัญหาสังคม ที่ทำลายชีวิตและทรัพย์สินทั้งสิ้น เช่น การฆ่าคน การโกหก ขโมยของคนอื่นด้วยการทำพิธีกรรม และการมีเพศสัมพันธ์กับความเขลาของผู้อื่น การดูถูกผู้อื่น การดื่มสุราและเสพยา ทำให้เกิดความร่าเริงแจ่มใสเป็นเวลานานขึ้น ก่อให้เกิดประมาทในการใช้ชีวิต เป็นต้น ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง แผ่นดินไหว เป็นต้น และเหตุการณ์ทางสังคม เช่น การเชื่อว่ามีพระพรหมและพระอิศวร ซึ่งเป็นที่พึ่งของชาวอนุทวีปอินเดีย เป็นต้น เมื่อมีศรัทธาในคำสอนของพราหมณ์ ก็จะยอมปฏิบัติตามโดยทำพิธีกรรมบูชายัญเพื่อถวายของมีค่าแด่เทพเจ้า เป็นต้น
เมื่อจิตของมนุษย์รับรู้แล้ว ก็จะรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์จากประสบการณ์เหล่านั้นและสั่งสมไว้ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของจิตมนุษย์ ไม่ได้มีไว้เพียงการรับรู้และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น แต่จิตของมนุษย์ยังมีหน้าที่เป็นนักคิด เมื่อมนุษย์รู้เรื่องใด ก็จะคิดจากเรื่องนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อชีวิตมนุษย์เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ทำให้ไม่รู้จักแยกแยะอะไรจริงและอะไรไม่จริง บางครั้งมนุษย์ได้ยินความจริง แม้ไม่มีความรู้จากประสาทสัมผัสก็ตาม แต่ก็ยังเชื่อว่าเป็นความจริง ส่งผลให้หลอกลวงผู้อื่นให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน จึงมีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ทั่วโลก และมีการแชร์ตามเว็บไซต์ให้ผู้คนศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
ดังนั้น พระพุทธศาสนา จึงเป็นวิชาแรกที่สอนให้มนุษย์ใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก่อนสมัยพระพุทธเจ้า ชาวอนุทวีปอินเดียเชื่อในคำสอนของพราหมณ์อารยันเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพ และเทวดาตามคำสอนของพราหมณ์มิลักขะ ซึ่งเป็นความรู้ที่เกินขอบเขตการรับรู้ของคนทั่วไป ไม่สามารถรับรู้ได้โดยตรง ยกเว้นแต่พราหมณ์นิกายต่าง ๆ ที่สามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้โดยการบูชายัญ เมื่อเผชิญกับกรรมแห่งชีวิต เนื่องจากความไม่รู้กฎธรรมชาติของชีวิต พวกเขาจึงกลัว จนสูญเสียสติสัมปชัญญะและปัญญา ไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานได้ เมื่อไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะใช้เป็นข้อมูล ในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริง คำตอบก็จะคลุมเครือและน่าสงสัย
ชีวิตของชาวอนุทวีปอินเดียปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ดังนั้นพวกเขาจึงพึ่งพาเทพเจ้าเพื่อขอพรเพื่อช่วยให้พวกเขาพ้นทุกข์และบรรลุผลตามที่ต้องการ เมื่อผู้คนในสังคมทั่วทั้งอนุทวีปอินเดียบูชาเทพเจ้าและเทวดา นิกายพราหมณ์ทั้งสอง ได้รับรายได้มหาศาลจากการบูชาเทพเจ้าและเทวดา แต่ความโลภของพราหมณ์อารยันต้องการรายได้ไม่สิ้นสุดจากการบูชาเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเท่านั้นพราหมณ์อารยันต้องการจำกัดสิทธิและหน้าที่ของพราหมณ์มิลักขะในการบูชา เมื่อมหาราชาของแคว้นต่าง ๆ ทรงได้รับคำแนะนำจากพราหมณ์ปุโรหิต ก็ทรงประกาศคำสอนของพราหมณ์อารยัน ซึ่งบังคับใช้ให้เป็นทั้งคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ โดยแบ่งชาวสักกะออกเป็น ๔ วรรณะ คือ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร ห้ามการแต่งงานข้ามวรรณะ และปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น เป็นต้น
จากการประกาศใช้กฎหมายวรรณะ เมื่อผู้คน เกิดมาด้วยความไม่รู้และมีกิเลสในจิตใจ จึงไม่อาจควบคุมกิเลสของตนได้ จึงก่ออาชญากรรมร้ายแรง โดยละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ โดยการมีเพศสัมพันธ์กับคนต่างวรรณะและปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น เป็นต้น เมื่อพฤติกรรมดังกล่าวเป็นที่สงสัย คนในสังคมจะสืบหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ ก็จะใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริงว่า ละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะหรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบที่สมเหตุสมผล ก็จะถูกสังคมลงโทษด้วยการถูกขับไล่ออกจากสังคม ต้องใช้ชีวิตอย่างคนไร้บ้านอยู่บนท้องถนนไปตลอดชีวิต แม้กระทั่งเมื่อแก่ ป่วยและตายบนท้องถนน เป็นต้น คนในสังคมจะเรียกนักโทษเหล่านี้ว่า "จัณฑาล"
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยในความมีอยู่ของเทพเจ้า พระองค์ก็ทรงสืบเสาะหาข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานจากบรรดาปุโรหิต ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งแคว้นสักกะ แม้ว่าพวกเขาจะยืนยันความมีอยู่ของเทพเจ้าและสร้างทฤษฏีกำเนิดโลกจากคำสอนของครูบาอาจารย์พวกเขา และยืนยันว่าพระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์จากร่างกายของพระองค์เอง และสร้างวรรณะให้ผู้คนที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ทำงานตามหน้าที่ของวรรณะที่พวกเขาเกิดมา นอกจากนี้บรรดาปุโรหิต (priesthoods) ยังยืนยันด้วยว่าบรรดาปุโรหิตในรุ่นก่อน ๆ เคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะมาก่อน
แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงถามว่าประวัติของพระพรหมและพระอิศรเป็นอย่างไร ? แต่ไม่มีปุโรหิตคนใดตอบได้ด้วยเหตุผลที่อธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนี้ เจ้าชายสิทธัตถะทรงพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า ตามคำสอนของพราหมณ์อารยันไม่มีเทพเจ้า พระองค์จึงทรงตัดสินใจปฏิรูปสังคมในแคว้นสักกะ โดยเสนอกฎหมายยกเลิกระบบวรรณะในแคว้นสักกะต่อรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ เพื่อพิจารณาแต่การปฏิรูปสังคมในแคว้นสักกะของเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงไม่ประสบความสำเร็จ เพราะข้อเสนอยกเลิกกฎหมายที่ประกาศบังคับใช้แล้วเช่นกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะนั้น ต้องห้ามตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีแห่งราชอาณาจักรสักกะ เป็นต้น
เมื่อมนุษย์ขาดการพัฒนาศักยภาพชีวิตของตนเองจึงไม่เข้าใจในชีวิตของตนว่าดวงวิญญาณของตนเองต้องเวียนว่ายตายเกิด เพราะชีวิตถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่สามารถควบคุมตนเองได้และเชื่อว่าความเห็นที่หลอกลวงบางอย่างเป็นเรื่องจริง จึงตัดสินใจลงทุนในธุรกิจนั้นและคิดว่าจะได้รับผลตอบแทนมหาศาล ซึ่งก็คือ การหลอกลวงผู้คนทั้งในระดับบุคคล ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ เป็นต้น ตัวอย่างเช่นชักชวนให้ผู้คนเล่นหุ้นโดยอ้างว่า จะลงทุนเพียงเล็กน้อยแต่ได้รับผลตอบแทนมหาศาลแต่สุดท้ายกลับโกง หรือหลอกลวงไปฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ หลอกลวงบนอินเตอร์เน็ตโดยใช้ภาพคนอื่น เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่น เป็นต้น ทั้งนี้เพราะธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ คือความเห็นแก่ตัวที่มักซ่อนอยู่ในใจ
โดยปกติแล้ว จะไม่เปิดเผยธรรมชาติที่แท้จริงของตนให้ผู้อื่นทราบจนกว่าผลลัพท์ จะเป็นไปตามคาดหวังหรือยอมจำนนต่อหลักฐานนั้น เช่น การหลอกลวงผู้อื่นเพื่อหาเงินก็จะฆ่าเหยื่อเพื่อปิดปาก ขโมยเงินและขู่ทำร้ายคนอื่น ชักจูงเหยื่อให้ยอมล่วงละเมิดทางเพศดูหมิ่นคนอื่น ใช้สุราและยาเสพติดเพื่อบังคับให้เหยื่อทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมและผิดกฎหมาย เมื่อปัญหาอาชญากรรมเกิดจากจิตใจที่เสื่อมทรามของมนุษย์ ที่ถูกกระทำโดยตรงจากคนใกล้ชิด การกระทำโดยอ้อมจากอาชญากรที่ใช้เทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเมื่อปัญหาความจริงของอาชญากรรมและพระพุุทธศาสนาคือความรู้ของมนุษย์ด้วย คำสอนของพระพุทธศาสนาจะแก้ปัญหาการหลอกลวงของมนุษย์ได้อย่างไร?
ปัญหานี้ควรศึกษาให้มาก เพราะเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือไม่มีสาเหตุ ทุกอย่างล้วนมีเหตุและผลมาจากมนุษย์ ตัวอย่างเช่น คำสอนของพราหมณ์อารยัน ชีวิตมนุษย์เกิดขึ้นจากร่างของพระพรหม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มนุษย์ไม่ได้เกิดมาด้วยตนเอง แต่เกิดจากปัจจัยที่พระพรหมสร้างขึ้น อย่างไรก็ตาม พระโพธิสัตว์สิทธัตถะตรัสรู้ว่าชีวิตมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างโดยพระพรหม แต่เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจในครรภ์มารดารวมกัน คำสอนของพระพุทธศาสนาได้แสดงเห็นเหตุผล และวิธีการเข้าถึงความจริงอย่างชัดเจนว่าชีวิตของมนุษย์มาจากปัจจัยและเงื่อนไขเดียวกัน
ตามข้อเท็จจริงที่กล่าวมาข้างต้น แม้ว่าผู้เขียนจะได้ยินความคิดเห็นว่าปรัชญา พระพุทธศาสนา และวิทยาศาสตร์ เป็นความรู้ของมนุษย์ แต่เนื้อหาของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่หลายเรื่องมีเนื้อหาแยกจากพุทธศาสนาและปรัชญาเมื่อผู้เขียนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่างๆ แล้วนำมาใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลในการพิสูจน์ความจริง คำตอบยังไม่ชัดเจนว่าปัจจัยใด ที่มนุษย์สร้างองค์ความรู้ในพระพุทธศาสนาและปรัชญา ดังนั้น ผู้เขียนจึงมีข้อสงสัยและต้องการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องนี้ โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลในการพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้
บทความเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนานี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ศึกษาพระพุทธศาสนา ปรัชญา และวิทยาศาสตร์เพื่อให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและแจ่มชัด จะเห็นคุณค่าของการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพในการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญา พระพุทธศาสนา และวิทยาศาสตร์ สามารถนำความรู้ไปใช้ในการแยกแยะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต เพื่อค้นหาความจริงได้ถูกต้อง บริสุทธิ์และยุติธรรมยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดปัญหาสังคมขึ้น ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะ ก็ทรงคิดหาทางแก้ไข ในเวลานั้น ชาวสักกะดำรงชีวิตด้วยความศรัทธาในคำสอนของพราหมณ์อารยัน ที่สอนเรื่องการมีอยู่ของเหล่าเทพเทพ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักพระพรหมและเหล่าเทพอื่น ๆ จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกายและสั่งสมไว้ในจิตใจก็ตาม
แต่พวกเขาก็ยอมรับว่าเป็นความจริงโดยปริยาย เนื่องจากพวกเขาถูกบังคับให้ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะ เมื่อชาวสักกะขาดการศึกษาในหลักสูตรศิลปศาสตร์ ที่เหมาะสมกับความต้องการและโอกาสในชีวิตในชีวิตของพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีแรงจูงใจที่จะดำเนินการเพื่อบรรลุความฝันของพวกเขา ในยามยากลำบาก พวกเขาไม่สามารถหาที่พึ่งอันประเสริฐได้ เนื่องจากความเชื่อที่ว่า พระพรหมสามารถช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิตตามคำสอนของพราหมณ์ปุโรหิตในประเทศของพวกเขาสอน พวกเขาจึงตกลงที่จะบูชาพระพรหมตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน แต่การบูชาในสมัยนั้นเกี่ยวกับเทพเจ้าหลายองค์ด้วยสิ่งของที่มีค่าต่าง ๆสร้างความมั่งคั่งมหาศาลให้กับพราหมณ์อารยันและพราหมณ์มิลักขะทุกปี
เมื่อมหาราชาของแคว้นใด ทรงประกอบพิธีบูชายัญผ่านพราหมณ์แห่งสำนักใด พระองค์ก็ทรงประสบความสำเร็จในการปกครองประเทศ พระองค์ก็จะทรงแต่งตั้งพราหมณ์ของสำนักนั้นเป็นปุโรหิต (priesthood) เพื่อเป็นที่ปรึกษาของมหาราชาในเรื่องกฎหมาย ประเพณี และขนบธรรมเนียม เป็นต้น เมื่อพราหมณ์อารยันได้รับแต่งตั้งเป็นปุโรหิต พวกเขาก็มีอิทธิพลทางการเมือง ดังนั้น พวกเขาจึงเสนอให้บัญญัติกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะต่อรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ เพื่อผูกขาดพิธีบูชายัญเป็นของตนเพียงฝ่ายเดียว และเพื่อลิดรอนสิทธิและหน้าที่ของชาวมิลักขะในการบูชา การศึกษา การประกอบอาชีพ การค้า และการเกษตร เป็นต้น
เหตุผลที่บัญญัติกฎหมายจารีตประเพณีเรื่องวรรณะ ก็คือ เมื่อพระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้้ว จึงสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้น ทำงานตามหน้าที่ที่ตนเกิดดมา โดยมีสภภาพบังคับตามกฎหมาย โดยห้ามมิให้มนุษย์ทำงานในหน้าที่ของวรรณะอื่น และห้ามการแต่งงานระหว่างวรรณะ เมื่อบังคับใช้กฎหมายแล้ว ต่อมาภายหลังกฎหมายจะยกเเลิกกกฎหมายนั้นมิได้ เป็นต้น เมื่อชาวสักกะยังอ่อนแอ เนื่องจากยังไม่พัฒนาศักยภาพในชีวิต ขาดการศึกษาจึงไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี และไม่สามารถควบคุมตัณหาได้ พวกเขาก็จึงร่วมประเวณีกับคนต่างวรรณะ แม้ว่าการกระทำนั้นจะขัดต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะก็ตาม เมื่อมีพฤติการณ์น่าสงสัย คนในสังคมก็จะสืบหาข้อเท็จจริงอย่างละะเอียด และเก็บหลักฐานเป็นข้อมูลมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องที่ว่า

พวกเขาได้กระทำความผิดฐานละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีอย่างร้ายแรง จึงถูกคนในสังคมนั้นลงโทษโดยลงพรหมทัณฑ์ คือ ถูกขับออกจากสังคมตลอดชีวิต นักโทษเหล่านี้เรียก "จัณฑาล" และต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนบนท้องถนนในพระนครกบิลพัสดุ์และพระนครเทวทหะ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแก่ชรา เจ็บป่วย และนอนตายอยู่ข้างถนน เป็นต้น เจ้าชายสิทธัตถะสร้างองค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาสังคม
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นนักปราชญ์ พระองค์ก็ทรงได้เห็นปัญหาของจัณฑาล (outcast) สิ่งนี้ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงรู้สึกเมตตาต่อจัณฑาลที่ต้องทนทุกข์ต่อโศกนาฏกรรมดังกล่าว พระองค์จึงทรงเมตตาพวกเขา และมีพระกรุณาธิคุณเพื่อปลดปล่อยพวกเขาจากถูกสังคมลงโทษตลอดชีวิต ทรงให้สิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกับวรรณะอื่นและคืนสถานะทางสังคมดั้งเดิมได้ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสืบหาข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานจากพราหมณ์ในฐานะปุโรหิต (priesthood) พระองค์ก็ทรงได้ยินข้อเท็จจริงจากปุโรหิตว่าพระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์ และวรรณะขึ้น เพื่อให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่พวกเขาเกิดมา พวกเขาเคย เห็นพระพรหมและพระอิศวรในอาณาจักรสักกะมาก่อน
แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงถามปุโรหิตว่า พระพรหมและพระอิศวรมีปะวัติความเป็นมาอย่างไร? ปุโรหิตใครตอบได้ ทำให้พระองค์ทรงเกิดความสงสัยในการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยที่จะปฏิรูปสังคมในอาณาจักรสักกะ เพื่อยกเลิกระบบวรรณะ แต่พระองค์ทรงไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ ไม่อนุมัติข้อเสนอของเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะการกระทำดังกล่าวขัอต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดของอาณาจักรสักกะที่เรียกว่า "ราชอปริหานิยธรรม" เป็นต้น
เจ้าชายสิทธัตถะทรงพิจารณาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว ทรงเห็นว่าแม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นชนวรรณะกษัตริย์ จะมีสิทธิและหน้าที่ปกครองบ้านเมืองตามกฎหมายวรรณะ พระองค์ก็ทรงไม่สามารถปฏิรูปสังคมให้ประชาชนเท่าเทียมกันได้ เพราะรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดของแคว้นสักกะ ไม่เปิดโอกาสให้พระองค์ทรงปฏิรูปสังคมได้ เป็นต้น เมื่อข้อเท็จจริงของประเทศเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็ทรงเกิดความสงสัยในความมีอยู่ของเทพเจ้า เพราะพระองค์ทรงไม่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้ โดยการบูชาเพื่อขอพรในการยกเลิกวรรณะได้ เพราะเป็นกระทำที่ขัดกฎหมายวรรณะ พระองค์จึงเสด็จออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อหาหนทางปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุสัจธรรมแห่งชีวิตเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร พระองค์ทรงใช้เวลาหลายปีค้นพบหลักปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ เมื่อทรงปฏิบัติธรรม พระองค์ก็เกิดญาณหยั่งรู้เหนือมนุษย์ ซึ่งทำให้พระองค์สามารถมองเห็นวิญญาณออกจากร่างผู้ตายไปเกิดในภพอื่นตามกรรมของตน หรือเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ก็จะปฏิสนธิในครรภ์มารดา การตรัสู้ของพระพุทธเจ้าจึงหักล้างคำสอนของพราหมณ์อารยัน ในเรื่องการมีอยู่จริงของพระพรหมพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ และวรรณะให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ทำงานตามหน้าที่ของวรรณะที่ตนเกิดมา เป็นต้น
การศึกษาในสาขาที่เปิดสอนในสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วโลกนั้น เป็นความรู้ของนักปรัชญา พระพุทธเจ้าและนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้นที่มีต้นกำเนิดของความรู้จากมนุษย์ เพราะมนุษย์มีอายตนะภายในร่างกายที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ทางสังคมตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ การฆาตรกรรม การจมน้ำตาย การผิดประเวณีสามีหรือภรรยาของผู้อื่นในรูปแบบต่าง ๆ การโฆษณาชวนเชื่อ การหลอกลวง เป็นต้น
เมื่อได้ยินข้อเท็จจริง บางตนก็เชื่อว่าเป็นความจริงอย่างไม่มีข้อสงสัยและไม่รวบรวมหลักฐาน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์หาสาเหตุของข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นจำนวนมากในทุกปี ในปัญหาเหล่านั้น พระพุทธศาสนาจะช่วยแก้ไขปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ์แล้ว ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ทรงสอนเฉพาะเรื่อง "มนุษย์" ซึ่งเรียกว่า "ขันธ์ห้า"ประกอบด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นต้นเพื่อให้สามารถบูรณาการเข้ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้อย่างสอดคล้องกัน โดยเราสามารถย่อองค์ประกอบของขันธ์ห้าให้เหลือเพียง ๒ สิ่ง คือกายและจิตใจ จิตจะอยู่ในร่างกายเป็นระยะเวลาหนึ่งอาจเป็น ๑๐๐ ปี, ๕๐ ปี, หรือ ๒๐ ปี เมื่อบุคคลตายไป จิตก็จะออกจากร่างไปเกิดในภพอื่น เมื่อยังมีชีวิตอยู่ จิตจะอาศัยอายตนะภายในร่างกายรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของโลก
โดยหูของมนุษย์เชื่อมโยงกับคำพูดของผู้อื่นเกี่ยวกับอาชญากร การฆาตกรรม การลักขโมย การหลอกลวงผู้อื่น การดูหมิ่นผู้อื่น การดื่มสุราและเสพยา เป็นต้น เมื่อหูมนุษย์ได้ยินข้อเท็จจริงที่ผู้อื่นเล่า และยอมรับอารมณ์เหล่านั้นมาสั่งสมในจิตใจ หากพวกเขาเชื่อทันทีโดยไม่สงสัยก่อน โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผล มาพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุผล ข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากพยานเพียงคนเดียวก็จะไม่น่าเชื่อถือ เพราะมนุษย์มักจะมีอคติต่อกัน และอายตนะภายในร่างกาย มีความสามารถในการรับรู้ที่จำกัด พวกเขาอาจทำสิ่งที่ไม่ควรทำ สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความอยุติธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา เป็นต้น
สำหรับการปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเกิดขึ้น เพราะโลกและดวงอาทิตย์มีไฟฟ้าสถิตที่ดึงดูดซึ่งกันและกัน เมื่อดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าโลก จึงเหวี่ยงโลกให้หมุนรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี ทำให้โลกมีฤดูกาลที่แตกต่างกันตลอดทั้งปี เพราะการอยู่ใกล้หรือไกลจากดวงอาทิตย์ เมื่อนักปรัชญาได้ยินข้อเท็จจริง พวกเขาก็สงสัยข้อเท็จจริงนั้น และชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้เพิ่มเติม พวกเขาจะสืบสวนและรวบรวมหลักฐานเป็นข้อมูล เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น และเป็นความรู้ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ ด้วยเหตุผลที่กล่าวข้างต้น จึงถือว่า มนุษย์เป็นเจ้าของความรู้ในการได้ยินเสียงนั้น
ดวงตาของมนุษย์รับรู้เหตุการณ์ทางสังคมผ่านประสาทสัมผัสเช่น เห็นคนตาย, เห็นคนทำร้ายกัน, เห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ฝนตกหนัก ฟ้าผ่า เป็นต้น เมื่อมนุษย์รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราก็ไม่ควรเชื่อทันที่ เราควรจะสงสัยเสียก่อน จนกว่าเราจะได้สืบเสาะหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานอย่างเพียงพอ เป็นข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผล มาอธิบายความจริง แต่ที่มาของคำตอบปรากฏขึ้นในใจ ไม่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร ? นักปรัชญาชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ เขาจะสืบเสาะหาข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลโดยการอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผล มาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ดังนั้น ผลการวิเคราะห์ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ก็จะเป็นความรู้ที่ติดตามชีวิตมนุษย์ ไปในสถานที่ต่าง ๆ เมื่อมนุษย์รับรู้ภาพเหล่านั้น ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมไว้ในจิตใจ มนุษย์ถือเป็นเจ้าของความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสังคมนั้น
เมื่อจมูกเชื่อมโยงกับกลิ่นต่าง ๆ จิตใจมนุษย์รับรู้กลิ่นต่าง ๆ ก็ไม่ควรเชื่อทันที เราควรสงสัยก่อน จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผล มาพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบว่าคือกลิ่นอะไร ? เมื่อมนุษย์รู้จักกลิ่นเหล่านั้นแล้ว มันจะเป็นความรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ชีวิตผ่านการกลิ่นและสั่งสมอยู่ในจิตใจ ดังนั้นอนุมานความรู้ได้ว่า มนุษย์มีความรู้เกี่ยวกับกลิ่นนั้น
โผฏฐัพพะ คือ สิ่งที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้ด้วยกาย หรือสิ่งที่มนุษย์สามารถรู้สึกได้ด้วยกายกัน กล่าวคือ เมื่อมนุษย์สัมผัสด้วยกายกเกิดการรับรู้และสั่งสมเป็นอารมณ์ในจิตใจ จนกระทั่งจิตใจเกิดอาการพอใจในกายที่ได้สัมผัส เป็นความรัก ความผูกพัน และ ยึดมั่นในความเป็นเจ้าของ เมื่อคนอื่นมายึดครอง แล้วเกิดความโกรธก็บังเกิดขึ้น ความเกลียดชัง ฯลฯ เมื่อได้ยินรับความคิดเห็นเช่นนั้น ก็ไม่ควรเชื่อทันที เราควรสงสัยก่อน จนกว่าจะสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน วิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนี้อย่างสมเหตุสมผล ดังนั้นอนุมานได้ว่ามนุษย์เป็นเจ้าของความรู้เกี่ยวกับโผฏฐัพพะนั้น
ลิ้นมนุษย์ การรับรู้ของลิ้นในการกินอาหารที่มีรสเปรี้ยว หวาน มันเค็ม เป็นต้น เมื่อจิตใจมนุษย์รับรู้ถึงการสัมผัสอาหารทางลิ้นนั้น และเก็บหลักฐานเป็นข้อมูลอารมณ์ไว้ในจิตใจของตนเองและติดตามไปยังที่ต่าง ๆ ด้วย ดังนั้นมนุษย์จึงมีความรู้ในการสัมผัสอาหารซึ่งเป็นประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสของตนเองทางลิ้นนั้น ถือว่ามนุษย์เป็นเจ้าของความรู้ผ่านลิ้นนั้น เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความจริงของชีวิตที่ มนุษย์เป็นเจ้าของความรู้ที่สั่งสมมาในจิตใจ ซึ่งมนุษย์ได้ความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตน ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมในเรื่องใด ๆ อย่างไรก็ตาม มนุษย์เป็นผู้ที่จะตัดสินใจที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือเท็จในเรื่องที่รับรู้ หากเชื่อโดยไม่มีหลักฐาน มายืนยันความจริง อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด หรือไปยั่วยุผู้อื่นในลักษณะที่เกินจริงหรือดูหมิ่นผู้อื่น
ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงมีแนวคิด ที่จะแก้ปัญหาเหล่านีด้วยการสร้างความสงสัยก่อนจะเชื่อว่าเป็นความจริง โดยสืบเสาะข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เป็นข้อมูลทางอารมณ์ ที่สั่งสมมาในจิตใจ จากนั้น จิตใจของมนุษย์จะวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้จากข้อมูลทางอารมณ์ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบว่าเป็นจริงหรือเท็จ เมื่อวิเคราะห์หลักฐานแล้ว ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่มาของเรื่องก็ยังไม่ชัดเจน เพราะการขาดองค์ประกอบความรู้ที่สมบูรณ์ ทำให้เราสงสัยที่มาของเรื่องนั้น แต่สำหรับนักปรัชญาสนใจศึกษาเพิ่มเติมจะต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ๆ
ตัวอย่าง เช่น เมื่อคำสอนของพวกพราหมณ์อารยัน เป็นทั้งคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ สอนผู้คนในอนุทวีปอินเดียว่าพระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างมนุษยชาติ และวรรณะให้มนุษย์ทำงานตามวรรณะที่ตนเกิดมาเท่านั้น เมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายวรรณะ ก็ทำให้เกิดปัญหาการละเมิดคำสอนทางศาสนาและกฎหมายวรรณะ ที่ห้ามการร่วมประเวณีกับคนต่างวรรณะ เพราะบางคนไม่สามารถควบคุมกิเลสของตนได้ เมื่อการแต่งงานข้ามวรรณะ ถือเป็นความผิดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน สังคมจึงลงโทษพวกเขาในฐานะเป็นจัณฑาล ถูกขับไล่ออกจากสังคม และต้องใช้ชีวิตเร่รอนอยู่บนท้องถนนในเมืองใหญ่ของแคว้นต่าง ๆ เป็นต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของจัณฑาล ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ตามท้องถนนในวัยชรา ต้องเจ็บป่วย และนอนตายอยู่ข้างถนน เป็นต้น สมาชิกรัฐสภาแห่งแคว้นสักกะได้บัญญัติคำสอนของพราหมณ์ขึ้นเป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ ที่แบ่งประชาชนในแคว้นสักกะออกเป็น ๔ วรรณะ คือ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น ทำให้คนในสังคมถูกเลือกปฏิบัติ จึงมีสิทธิและหน้าที่ไม่เท่าเทียมกันในการประกอบอาชีพ การศึกษา การมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ และการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์นิกายของตนเอง
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสอบสวนข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานจากคำให้การของปุโรหิต ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะ พระองค์ทรงได้รับฟังข้อเท็จจริงยืนยันว่า พระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์ และยืนยันความจริงว่าเคยพบเห็นพรหมและอิศวรในแคว้นสักกะมาก่อน แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงถามความเป็นมาของพระพรหม และพระอิศวร ก็ไม่มีปุโรหิตคนใดตอบพระองค์ได้ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดความสงสัยในความจริงของเทพเจ้า ที่พระองค์ทรงเคยได้ยินข้อเท็จจริงที่สืบทอดกันมา เป็นต้น
ในปัจจุบัน โลกได้ก้าวหน้าไปมาก นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์และดาวอังคารรวมถึงสร้างเทคโนโลยี่อินเตอร์เน็ต ที่ช่วยให้มนุษย์สามารถทำงาน และส่งงานผ่านแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตได้ แต่ทำไมมนุษย์ยังต้องศึกษาพระพุทธศาสนา และปรัชญาอยู่ มีเหตุผลดังนี้
๒.พระพุทธศาสนาเกิดจากความสงสัยของมนุษย์ เป็นความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมเป็นอารมณ์ความรู้สึกในจิตใจ ทั้งนี้เป็นเพราะจิตวิญญาณอยู่ในร่างกายและอาศัยออายตนะภายในร่างกายในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวมนุษย์และเก็บหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ จากนั้นจึงวิเคราะห์หลักฐานโดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ๆ โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้น แต่ผลการวิเคราะห์นั้น หากข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจนว่าเรื่องนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ? ถือว่าเรื่องนั้นยังคงมีข้อเท็จจริงที่น่าสงสัย มนุษย์ก็จะแสวงหาความจริงในเรื่องนั้นต่อไป โดยจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมในเรื่องนั้น
โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความโง่เขลา มักเชื่อคำพูดของผู้อื่นที่มีเจตนาไม่สุจริต ตัวอย่าง เช่น มีคนหลอกให้ลงทุนแบ่งปันผลกำไรเพื่อให้ได้เงินเยอะ ๆ เมื่อได้ยินข้อเท็จจริง ก็ไม่คิดจะสงสัย เพราะโลภมาก และถูกคนใกล้ชิดตัวโน้มน้าว จนจิตใจมืดมน แต่พระพุทธศาสนาสอนให้เราสงสัยเสียก่อนจะเชื่อ โดยขอความเห็นจากหลาย ๆ คนก่อนจะตัดสินใจเชื่อ หรือไม่เชื่อคำพูดของคนนั้น เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงโดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบ แต่คนที่ขาดศรัทธาในตนเอง จึงขาดความพากเพียรในการแสวงหาความรู้ ไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะจดจำว่าไม่มีธุรกิจใดที่จะสร้างรายได้ง่ายเช่นนี้ ไม่มีสมาธิแน่วแน่ในตนเอง จึงขาดปัญญาหยั่งรู้ความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น ชีวิตจึงมืดมน พวกเขาจึงไว้วางใจผู้อื่นง่าย และยอมจำนนต่อความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลของคนอื่น
ชีวิตหาทางออกไม่ได้ เพราะคิดไม่ได้ แต่คนเราก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา พวกเขาจึงปรึกษาคนอื่น ที่เชื่อว่ามีปัญญาหยั่งรู้ เช่น หมอดู ครูบาอาจารย์ พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีบูชายัญ และที่ปรึกษาปัญหาของชีวิต เพราะมนุษย์ขาดการพัฒนาศักยภาพชีวิต จึงสมาธิสั้น ไม่บริสุทธิ์เพราะมีอคติต่อผู้อื่น และมีกิเลสมาก จึงเป็คนเศร้าหมอง พูดจาหยาบคายเพราะจิตไม่อ่อนโยน จึงไม่มั่นคงและหวั่นไหวกับปัญหาหนัก ๆ ในชีวิตที่เข้ามา แต่ไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนโง่ บางคนเรียนเก่ง และมีงานดี แต่กลับตัดสินยิงตัวตายเพราะอกหัก จึงโง่เรื่องความรักแต่ฉลาดเรื่องเรียน บางคนต้องการปฏิรูปสังคมด้วยคำพูดของตัวเอง ชอบทำให้คนอื่นเชื่อว่าคำพูดที่สมเหตุสมผลของตนเป็นความจริง โดยไม่ดูบริบทของคนในสังคมที่เวลาเปลี่ยนไป มนุษย์ได้พัฒนาศักยภาพชีวิต จนมีทักษะในการสร้างเครื่องมือเทคโนโลยี่และอินเตอร์เน็ต บันทึกตัวตนของมนุษย์ที่เจตนาของการกระทำตลอดเวลา หากเราแบ่งปันความคิดและการกระทำของตนเอง พฤติกรรมของเราจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากชุมชนออนไลน์มากมาย ทั้งที่ผู้เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของเรา หากเราฟุ้งซ่าน เป็นคนที่ไม่มีสมาธิ อ่อนแอ ไม่มั่นคง และหวั่นไหวกับปัญหาต่าง ๆ เราก็จะเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ คิดจนนอนไม่หลับ ซึ่งอาจนำไปสู่ความทุกข์ทางร่างกายและภาวะซึ่มเศร้าได้
๓.พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราแสวงหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริง เมื่อเราศึกษาพระพุทธศาสนาแล้ว แม้พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์เป็นหลักก็ตาม แต่ก็เกี่ยวเนื่องกับโลก จักรวาล และพระเป็นเจ้า ฯลฯ จุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนานั้น ก็เกิดจากความสงสัยของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อพระองค์ทรงได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องพระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างโลก มนุษย์ แล้ว พระองค์ทรงไม่เชื่อทันที แต่พระองค์ทรงสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมก็จะแสวงหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น พยานบุคคล พยานเอกสารและพยานวัตถุเพื่อนำข้อมูลนำมาวิเคราะห์ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของตอบในเรื่องนั้น และนำคำตอบในเรื่องนี้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นความรู้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อยอดกันต่อไป
เมื่อมนุษย์ไขปริศนาข้อสงสัยมากขึ้นและมีเนื้อหาสาระมากยิ่งขึ้น พวกเขาก็แยกตัวเองออกไปตั้งสาขาวิชาการใหม่ โดยเฉพาะเพื่อศึกษาเรื่องนั้นโดยเฉพาะเช่น วิทยาศาสตร์ เมื่อเวลาผ่านไปมนุษย์ได้พัฒนาศักยภาพมาขึ้นเรื่อย ๆ จนมีทักษะในการสร้างเครื่องมือด้านเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลได้รับผลลัพธ์ที่ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น และนำความรู้นั้นไปพัฒนาต่อยอดให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจมากยิ่งขึ้น เช่นมนุษย์สร้างเทคโนโลยี่และอินเตอร์เน็ตจนถึงการสร้างนวัตกรรมที่ทันสมัยจนสามารถทำงานที่บ้านและทำธุรกิจผ่านอินเตอร์เน็ตได้
๔.ความรู้คือสิ่งที่สั่งสมในจิตใจ โดยทั่วไป จิตใจของมนุษย์นั้น เป็นนักคิดโดยธรรมชาติ เมื่อเราเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้าในชีวิต เราจะคิดสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่จับต้องได้ และจับต้องไม่ได้ เป็นต้น และมนุษย์ก็เก็บเรื่องราวของสิ่งต่าง ๆ ไว้ในใจในรูปแบบนามธรรม สิ่งที่มนุษย์ประสบพบเจอทำให้ผู้คนสงสัยว่ามันคืออะไร มนุษย์จะแสวงหาคำตอบเพื่ออธิบายสิ่งนั้นมีลักษณะอย่างไร โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ไม่จับต้องไม่ได้ทั้งผี วิญญาณ และเทพเจ้า ซึ่งเป็นความรู้ที่มนุษย์สมัยโบราณสนใจศึกษา และแสวงหาคำตอบโดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาสาเหตุผลลัพท์ของคำตอบสำหรับปัญหาที่น่าสงสัย เพื่ออธิบายการมีอยู่ของสิ่งที่มีตัวตนและสิ่งไม่มีตัวตนนั้นว่ามีลักษณะอย่างไร เมื่อมนุษย์รู้ว่าสิ่งใดคืออะไร พวกเขาก็ไม่สนใจที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานอย่างเพียงพอ มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบนั้นอีกต่อไป แต่ถ้ามีบางสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันเป็นสิ่งที่เขาสงสัยและยังคงแสวงหาคำตอบจากผู้อื่นต่อไป แต่หลังจากฟังคำตอบจากคนอื่นแล้ว แต่ก็ยังไม่ชัดเจน เขาจะค้นหาคำตอบต่อไป โดยเฉพาะความรู้ที่อยู่เนอกขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์เช่น ผี เปรต วิญญาณของคนตาย ผีปอบ ฯลฯ
แม้ว่าบางคนจะเชื่อการมีอยู่ของอมนุษย์ โดยอ้างเหตุผลคำตอบจากคนเคยเจอผีมาก่อน แต่บางคนก็เชื่อโดยไม่มีเหตุผลในการตอบ และบางคนก็บูชายัญ เพื่อขอให้เทพเจ้ามาช่วยให้บรรลุความปรารถอันเนื่องมาจากแรงจูงใจจากคำพูดของมนุษย์ด้วยกัน แต่ทำแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรจากการบูชายัญ เหมือนการทำพิธีบูชายัญด้วยของมีค่าต่อเทพเจ้าเพื่อให้บรรลุสิ่งที่ปรารถนา แต่เมื่อทำการบูชายัญแล้ว ไม่พึงพอใจ ก็เกิดความทุกข์ที่จะดำเนินต่อไป
การพัฒนาศักยภาพชีวิตตามคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยการปฏิบัติธรรมตาม "มรรคมีองค์ ๘ ผลของการปฏิบัตินี้ ทำให้มนุษย์รู้ความจริงของชีวิตว่า มนุษย์มีวิญญาณอาศัยอยู่ในร่างกายชั่วคราวบั้นปลายชีวิต มนุษย์ทุกคนต้องตาย มันเป็นกฎธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความตายไม่ใช่สาเหตุของการยุติชีวิตมนุษย์ เมื่อวิญญาณออกจากร่างไปสู่โลกอื่น ๆ เช่น โลกของมนุษย์ เทวดา นรก เป็นต้น เมื่อมีโลกมากมายที่อยู่นอกขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ ส่วนดวงวิญญาณจะไปเกิดในโลกไหน ก็ขึ้นกับกรรมที่สั่งสมไว้ในใจ การศึกษาปรัชญาสร้างความคิดสร้างสรรค์
เมื่อจิตรับรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายในชีวิตและสนใจในเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่างๆให้เพียงพอ เพื่อเป็นข้อมูลมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อเหตุผลมาอธิบายความจริงในเรื่องนั้น ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจที่จะเลือกสิ่งนั้น เป็นประโยชน์ในการทำงาน และการดำรงชีวิตเพื่อการพักผ่อนให้หลุดพ้นจากความเครียด แต่ถ้าความรู้นั้นสัมผัสแล้วขาดความสนใจแล้ว การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาเหตุผลของคำตอบไม่ได้เกิดขึ้น
การรับรู้สิ่งที่ผ่านเข้ามานั้น ยังไม่ถือว่าเป็นความรู้ แม้จะเป็นการรับรู้ แต่ไม่มีเหตุผลของคำตอบว่าคืออะไร มีลักษณะอย่างไร รู้ได้อย่างไรว่าเป็นความจริงและวิธีการปฏิบัติให้ถึงความจริงได้อย่างไร มาวิเคราะห์ พิจารณา ไตรตร่ตรองใคร่ครวญ หาเหตุผลด้วยวิธีการต่าง ๆ จนเกิดความมั่นใจแล้วความจริงคืออะไรแล้ว ก็ตัดสินใจว่าความจริงเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างไร และกลายเป็นความรู้ที่ถือว่าเป็นความจริงเรื่องนั้น ในความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของตนเองว่า มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรด้วยตนแต่อย่างใด แต่เพราะมนุษย์รู้จักคิดหาเหตุผลจนสร้างกระจกเงาขึ้นมาและสะท้อนภาพของตัวเอง ถึงจะบอกตัวเองด้วยเหตุผลได้ว่าตนเองสวยหรือตนเองขึ้เหล่ได้
แต่การเห็นตนผ่านกระจกเงาสะท้อง ให้เห็นแค่สิ่งภายนอกห่อหุ้มสังขารเท่านั้นแต่ก็ยังมิใช่ตัวตนที่แท้จริง อาจจะมีสภาพเหมือนหุ่นยนต์ก็ได้เพราะไม่มีจิตวิญญาณภายในสังขารนั้น แต่ไม่รู้จักรู้โลกภายนอกเท่านั้นไม่รู้จักคิดและไม่รู้จักข้อมูลสัญญาไว้ใช้เอาตัวรอดในยามเผชิญหน้ากับภัยต่าง ๆ ในบาง ครั้งมนุษย์ไม่ชอบพฤติกรรมของมนุษย์คนหนึ่งคนใดมักจะไม่แสดงตัวตนของความไม่พอใจที่แท้จริงออกมา และมักซ่อนความรู้สึกที่โกรธ เกลียด ริษยา แท้จริง มีอยู่ภายในจิตวิญญาณออกมาให้ผู้อื่นรับรู้ว่าตนรู้สึกอย่างไร พอใจหรือไม่พอใจอะไรในยามผัสสะพฤติกรรมของมนุษย์คนหนึ่งคนใดที่จรเข้ามาสู่ชีวิตของตัวเอง
ในชีวิตมนุษย์มีกายและจิตวิญญาณ เป็นปัจจัยซึ่งกันและกันก่อให้เกิดชีวิตใหม่ขึ้นมาแล้วเราก็สมมติชื่อบุคคลนั้น เพื่อแยกแยะความแตกต่างระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และง่ายต่อการจดจำ ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์อาศัยอินทรีย์ ๖ เป็นรับรู้ทุกสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่จรเข้ามาสู่ชีวิตตนตลอดเวลา เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดย่อมเกิดความสงสัย คิดหาเหตุผลจากสิ่งนั้นและพยานหลักฐานข้อมูลที่แวดล้อมสิ่งนั้น จนเกิดองค์ความรู้ที่ผ่านวิเคราะห์พยานหลักฐานอย่างสมเหตุสมผล และตัดสินว่าเป็นความจริงว่าสิ่งนั้นคืออะไรเป็นความจริงหรือความเท็จ ความดีหรือความชั่ว ความผิดหรือความถูกความงามหรือความน่าเกลียด เป็นต้น
เมื่อความรู้ของต่างๆ ที่มนุษย์ศึกษาและนำไปใช้บรรยายในสถาบันการศึกษานั้น เป็นของครูอาจารย์ ผู้บรรยายและวิทยากร เป็นต้น เพราะเป็นความรู้สั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของผู้นั้น และมีบ่อเกิดความรู้จากการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียวของมนุษย์เท่านั้น แต่เมื่อจิตวิญญาณมนุษย์มีมีอคติ ความอ่อนแอและไม่มีเข้มแข็ง จิตวิญญาณสั่งสมความรู้ไม่บริสุทธิ์ อันเกิดจากตัณหาในความทะเยอทะยานอยากมี อยากเป็น หยาบกระด้างไม่อ่อนน้อมถ่อมตน จิตไม่มั่นคงและอารมณ์หวั่นไหว การคิดหาเหตุผลในความรู้ของมนุษย์ขาดมาตรฐานของความเป็นสากล เพราะมีอคติความลำเอียงตลอดเวลาที่ตัดสินอะไรลงไป ทำให้เกิดความสงสัยในเหตุผลของการตัดสินใจในแต่ละครั้ง
ดังนั้นเหตุผลของอคติของมนุษย์เอง ทำให้มนุษย์เกิดความไม่วางใจซึ่งกันและกัน จำเป็นต้องสร้างเครื่องมือขึ้นมาคอยตรวจสอบ หรือวิเคราะห์ความถูกผิดของพฤติกรรมของมนุษย์ นอกจากนี้มนุษย์ยังรู้จักวิธีแสวงหาความรู้ และความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ กล่าวคือในแต่ละวันมนุษย์มีหลายสิ่งเข้ามาสู่ชีวิต เมื่อจิตวิญญาณมนุษย์ผัสสะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมเกิดความสงสัยในสิ่งนั้น เมื่อจิตวิญญาณสงสัยย่อมคิดหาเหตุผลจากสิ่งนั้นว่าสิ่งนั้นคือความจริงในเรื่องใดโดยจิตวิญญาณมนุษย์ เป็นผู้คิดหาวิธีการต่างๆให้ได้มาซึ่งความรู้ และความเป็นจริงในสิ่งที่สงสัยการคิดหาเหตุผลของความรู้และความเป็นจริงในสิ่งที่มาผัสสะ ต้องสามารถอธิบายเกณฑ์ตัดสินที่มีความสมเหตุสมผล ได้ปราศจากความสงสัยในความรู้และความเป็นจริงอีกต่อไป
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนจึงสนใจที่จะศึกษาประเด็น-ข้อสงสัยอันเป็นที่มาของพระพุทธศาสนาโดยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานอย่างเพียงพอ เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ ทั้งพระไตรปิฎก อรรถกถา เอกสารวิชาการต่าง ๆ และการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของผู้เขียนเอง เป็นต้น เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล ข้อมูลที่ได้จากวิเคราะห์ จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาระดับปริญญาเอกในการแสวงหาความรู้ เป็นระบบแนวคิดทางพระพุทธศาสนา และปรัชญาที่สร้างองค์ประกอบความรู้ที่แท้จริง ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการศึกษาพุทธศาสนา และปรัชญาอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังสามารถบูรณาการกระบวนการวิเคราะห์ได้อีกด้วย เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ในด้านวิชาการอื่น ๆ อีกด้วย
๒. เหตุผลที่มนุษย์ต้องเรียนรู้ เมื่อมนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข ขณะเดียวกันสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมนุษย์ ก็อาจก่อให้เกิดความทุกข์ได้เช่นกัน เข้ามาในชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกายและเข้าสู่จิตใจตลอดเวลา เมื่อมนุษย์สัมผัสสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะต้องมีกระบวนการคิดเพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบจากสัมผัสนั้น ๆ ดังนั้น เหตุผลจึงเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยให้มนุษย์ได้คำตอบสำหรับคำถามของตน คำตอบจะต้องผ่านเกณฑ์การวิเคราะห์ จากหลักฐานจากต่าง ๆ สาระสำคัญของความรู้หรือลักษณะของความรู้และความเป็นจริงของมนุษย์เกิดขึ้น ความรู้ที่ได้มาจากการคิดวิเคราะห์นั้นมิใช่การวิเคราะห์จากสภาวะภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องวิเคราะห์คุณสมบัติหรือคุณลักษณะของสิ่งที่เราสัมผัส เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้และความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อไม่มีหลักฐานใดอื่นใดที่จะหักล้าง และอธิบายความจริงของคำตอบที่มีอยู่ได้ให้เป็นอย่างอื่นได้ให้พิจารณาว่า คำตอบนั้นเป็นความรู้และความจริง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์นั้น มีความลำเอียง อคติ หมายถึง ความลำเอียงที่เกิดจากความไม่รู้ ลำเอียงที่เกิดจากความรัก อคติที่เกิดจากความเกลียดชัง และอคติที่เกิดจากความกลัว เป็นต้น จึงมักทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อพยานยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็มักให้การเท็จเพื่อเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เมื่อใช้เป็นหลักฐานมาวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ซึ่งเป็นสิ่งไม่สมเหตุสมผล เกณฑ์การตัดสินไม่บริสุทธิ์และยุติธรรม ยากที่จะไม่สงสัยในเหตุผลนั้นเพราะธรรมชาติของจิตใจมนุษย์นั้นอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ไม่มีจิตใจบริสุทธิ์ มีกิเลสมาก ไม่อ่อนน้อม จิตหยาบแข็งกระด้าง ไม่มั่นคงเพราะหวั่นไหวในสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต
กล่าวคือ สิ่งที่มาผัสสะจิตวิญญาณมนุษย์นั้น ทำให้เกิดอาการของจิตที่เป็นความชอบหรือไม่ชอบในสิ่งใดที่ตนผัสสะนั้นเอง โดยธรรมชาติของจิตวิญญาณมนุษย์นั้น เมื่อตนชื่นชอบแล้วและมักจะลืมข้อบกพร่องของสิ่งนั้นที่เป็นนี้เพราะมนุษย์มีอคติ ลำเอียงเพราะชอบพอนั้นเอง อคติเป็นนามธรรมที่ผัสสะได้เฉพาะผู้มีปัญญาญาณเท่านั้น แต่ผู้มีสติปัญญาระดับปุถุชน ก็ศึกษาเข้าใจได้จากคัมภีร์หลักคำสอนทางพุทธศาสนาก็สามารถเกิดความรู้และความจริงของชีวิตได้ เมื่อความรู้ของมนุษย์กล่าวถึงความผิดหรือความถูก ความจริงหรือความเท็จ เป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมแล้วเพื่อป้องกันอคติให้เกิดความสงสัย มนุษย์ถึงใช้กระบวนการวิเคราะห์โดยนักปรัชญาหลายคน ให้เหตุผลในความรู้และความจริงของสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้ว่าคำตอบจะถูกต้องหลักเหตุผล แต่มนุษย์ก็ไม่เคยไว้วางใจความรู้และการตัดสินความจริงของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะอาจเป็นเผด็จการทางความคิดได้ มนุษย์จึงจำเป็นต้องสร้างเครื่องมือคอมพิวเตอร์ขึ้น เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลให้แม่นยำ แน่นอน และลึกซึ้งกว่าการวิเคราะห์ด้วยจิตใจของมนุษย์ เป็นความรู้ดั้งเดิมนี้แหละ นำไปสู่การพัฒนาวิทยาศาสตร์ ให้ปรากฏชัดดังที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
โดยธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนเกิดมาก็ต้องตายกันทุกคน คปัญหาว่ามนุษย์ตายแล้วไปสิ้นสูญหรือไม่ เพียงใด เมื่อวิเคราะห์จากทฤษฎีบ่อเกิดความรู้ของมนุษย์ เรียกว่า ทฤษฎีประจักษ์นิยมนั้น มีแนวคิดว่าสิ่งใดรับรู้ทางประสาทของมนุษย์ได้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ตามแนวคิดของทฤษฎีประจักษ์นิยมนั้นเราวิเคราะห์ได้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีอยู่จริงนั้นต้องรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์เอง เมื่อตายไปแล้วก็มีการประชุมเพลิงศพนั้นจนเหลือแค่เถ้ากระดูกเท่านั้น ซึ่งไม่ชีวิตอีกต่อไปดูจากสภาวะของร่างกายแล้วเหมือนตายแล้วสูญเพราะเราไม่อาจผัสสะสภาพของชีวิตมีการเคลื่อไหวทางร่างกาย การพูด การนึกคิดของมโนกรรมอีกต่อไป ดังนั้น แนวคิดของทฤษฎีบ่อเกิดความรู้ "ประจักษ์นิยม" จึงถือว่าชีวิตมนุษย์ตายสูญ ถูกต้องตามแนวคิดบ่อเกิดความรู้ ดังกล่าว เป็นต้น เพราะตามคำนิยามของทฤษฎีนี้ว่า สิ่งไหนผัสสะได้ด้วยอินทรีย์ ๖ ของมนุษย์สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่จิตวิญญาณของมนุษย์ใด จะผัสสะชีวิตหลังความตายของมนุษย์คนใดคนหนึ่งได้นั้น มีได้เฉพาะมนุษย์ที่พัฒนาศักยภาพของตนเองให้บรรลุถึงความรู้ระดับอภิญญา ๖ เท่านั้นจึงจะมองเห็นวิญญาณไปจุติจิตในภพภูมิอื่น หรือมองเห็นวิญญาณมาอุบัติในครรภ์มารดา ดังนั้นธรรมชาติของจิตวิญญาณเป็นตัวตนแท้จริงของมนุษยแม้ชีวิตมนุษย์จะหมดอายุขัยสิ้นลงไปก็ตาม แต่สิ่งไม่เคยหมดอายุขัยไปคือจิตวิญญาณ เพราะเมื่อชีวิตสิ้นลงไป ร่างกายของมนุษย์ จะมีลักษณะดุจท่อนไม้ไร้สีสรรค์ไม่ตอบสนองสิ่งใด ๆ มาผัสสะอีกต่อไป ส่วนจิตวิญญาณไม่สามารถอาศัยร่างกายนี้อีกต่อไปจำเป็นต้องออกจากร่างกายไปจุติจิตในภพภูมิใหม่ พร้อมกับอารมณ์ของการกระทำที่เรียกว่า"กรรม" ได้กระทำไปขณะดำรงชีวิตอยู่นั้น และนอนเนื่องอยู่ในจิตอย่างนั้นจึงตามจิตวิญญาณไปสู่ภพภูมิอื่นต่อไป ปรัชญาเป็นวิชาที่ว่าด้วยความรู้และความจริงตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้คำนิยามคำว่า "ปรัชญา" ว่า"วิชาว่าด้วยความรู้และความเป็นจริง" จากคำนิยามเพียงไม่กี่คำ ทำให้เราเกิดความสงสัยในปรัชญาด้วยความอยากรู้ว่า ความเป็นจริงของเนื้อหาวิชานั้นปรัชญาเป็นอย่างไร จากคำนิยามดังกล่าวนั้น มีประเด็นต้องวิเคราะห์อยู่ ๒ ประเด็น กล่าวคือคำว่า "ความรู้" นั้น ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้คำนิยามว่า
(๑) คำนาม สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ เช่น ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์, สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิด หรือการปฏิบัติ เช่น ความรู้เรื่องสุขภาพ ความรู้เรื่องนิทานพื้นบ้าน
(๒)คำนามความเข้าใจหรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์เช่น ผู้ชายคนนี้เก่งแต่ไม่มีความรู้เรื่องชีวิตจากคำนิยามดังกล่าวเราวิเคราะห์ได้ดังนี้

๒) สิ่งที่ได้สั่งสมจากการค้นคว้า(วิจัย) กล่าวคือ ความรู้ของมนุษย์นั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่การนั่งฟังการบรรยายหรือชมวีดีโอ เท่านั้น แต่ยังต้องมีการศึกษาวิจัยจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ด้วย เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ก็ต้องนำมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อคิดหาเหตุผลมาอธิบายความจริงหรือพิสูจน์ความจริงความจริงของคำตอบ จนได้ความรู้ที่ผู้วิจัยเองได้พิจารณาอย่างสมเหตุสมผล โดยไม่ต้องสงสัยในความจริงของความรู้เรื่องนั้นอีกต่อไป เป็นต้น
๓) สิ่งสั่งสมจากประสบการณ์ กล่าวคือ มนุษย์ได้ผัสสะสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จรเข้ามาสู่ชีวิต สิ่งนั้นล้วนแต่เป็นความรู้จากประสบการณ์ของตนเองเช่น ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นย่อมเกิดความทุกข์ ความอกหักเพราะคนรักไปมีคนใหม่ เป็นต้น ฯลฯ ทำไมจำเป็นต้องเรียนวิชาปรัชญานี้เพราะเมื่อศึกษาอย่างจริงจังเราพบว่า วิชาการต่าง ๆ ของมนุษย์ เองก็มีหลายวิชาที่แยกตัวออกมาจากวิชาปรัชญาให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้า และสามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพให้ตนเองมีชีวิตที่มั่งคั่ง ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ เพียงพอที่จะหาความอุดมสมบูรณ์ในการดื่ม กิน และแสวงหาสิ่งต่าง ๆ มาสนองอารมณ์ของความอยากของตนได้ วิชาปรัชญาเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นมาจากความสงสัยของมนุษย์ ที่มีธรรมชาติเกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะชีวิตมนุษย์ผัสสะวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งตลอดเวลา แม้กระทั่งกระแสจิตวิญญาณที่ส่งออกมาจากร่างกายซึ่งเป็นวิชาการแรกนั้นเรียกว่าวิชาปรัชญา แต่ธรรมชาติของจิตวิญญาณมนุษย์มิได้คิดหาเหตุผลของคำตอบในความรู้และความเป็นจริงจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เพราะสิ่งที่มาผัสสะอินทรีย์ ๖ นั้นมีมากมายหลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน บางครั้งมิได้จำกัดเฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ผัสสะเฉพาะ แต่มียังมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากมายหลายร้อยเรื่องที่ห่างไกลออกไปเกินประสาทสัมผัสจะรับรู้ก็มี ยิ่งมนุษย์สงสัยมากขึ้นเท่าใด ย่อมคิดหาเหตุผลจากสิ่งที่ตนเกิดความสงสัยมากยิ่งขึ้น เมื่อวิเคราะห์หาเหตุผลได้ข้อมูลของเนื้อหาวิชาการได้มากยิ่งขึ้นเท่าใด ย่อมมีการบันทึกด้วยตัวอักษรมากยิ่งขึ้น ทำให้ความรู้ที่มนุษย์คิดหาคำตอบในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นนั้นมากมายหลายต่อหลายเรื่องยิ่งในยุคต่อมาก็มีการสร้างเครื่องมือต่าง ๆ มาช่วยจิตวิญญาณของมนุษย์ให้วิเคราะห์ข้อมูลได้แม่นยำยิ่งขึ้นอย่างสมเหตุสมผลปราศจากข้อสงสัยในคำตอบของความรู้และความเป็นจริงอีกต่อไป ทำให้มีการแยกเนื้อหาวิชาการต่าง ๆ ออกเป็นสาขาใหม่อีกหลายวิชาตัวอย่างเช่น วิชาสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ นิติศาสตร์ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น เจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดสงสัยในชีวิตมนุษย์ว่า พระพรหมทรงลิขิตโชคชะตาของชีวิตมนุษย์เป็นไปตามที่พระพรหมต้องการหรือไม่ เพียงใด เพราะเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตั้งสติพิจารณาด้วยการคิดหาเหตุผลและทรงมีความเห็นว่า หากพระพรหมลิขิตชีวิตมนุษย์ได้จริง ทำไมพระองค์ทรงปล่อยให้ทุกชีวิตมนุษย์ในทุกชนชั้นวรรณะเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นเดียวกับพวกจัณฑาล หรือว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้าไม่มีอยู่จริง เมื่อพระพรหมเป็นความรู้ด้วยเหตุผลแต่ไม่มีอยู่จริงจึงไม่ได้ลิขิตชีวิตมนุษย์ให้เป็นไปอย่างเดียวกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าว พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยออกศึกษาค้นคว้าหาคำตอบของความรู้และความเป็นจริงเกี่ยวกับชีวิต

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ พระองค์ทรงพบความเป็นจริง จากการตรัสรู้ว่า มนุษย์ทุกชนชั้นวรรณะอยู่ภายใต้อำนาจของกฎธรรมชาติในวัฏจักรแห่งการเกิดและการตายในสังสารวัฏ ไม่มีชนชั้นวรรณะใดจะหนีพ้นจากกฎธรรมชาติข้อนี้ได้ คือ เมื่อมนุษย์ตายไปแล้ว ร่างกายของมนุษย์ก็เปรียบเสมือนท่อนที่ไม้มีชีวิต แต่แท้จริงแล้ว มนุษย์ยังจิตเป็นปัจจัยในการสร้างชีวิต เมื่อชีวิตมนุษย์ตายไป จิตวิญญาณที่อยู่ในร่างกายนี้ จะออกจากร่่างกายไปเกิดในภพอื่น หนทางที่จะค้นพบกฎธรรมชาติได้ ก็คือ การปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ของพระองค์ทรงเคยปฏิบัติเท่านั้น นอกจากนี้ กระบวนการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ นั้น ยังช่วยให้มนุษย์ค้นพบจิตวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์แต่ละคนที่ได้ไปเกิดในภูมิอื่น ดังนั้น การค้นพบความเป็นจริงในกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ โดยพระโพธิสัตว์ (สิทธัตถะภิกษุ) ทรงเรียกพระองค์เองว่า "ตถาคต" ส่วนพวกเราเรียกพระนามของพระองค์ง่าย ๆ ว่า พระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรกที่เมืองพาราณสี ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นกาสีทำให้ความรู้ที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเคยศึกษาในปรัชญาศาสนาพราหมณ์นั้น ทรงเกิดความสงสัยในชีวิตมนุษย์ โดยอาศัยเหตุปัจจัยเรื่องพระพรหมในปรัชญาศาสนาพราหมณ์ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทดสอบความรู้และความเป็นจริงของชีวิตเป็นเวลา ๗ สัปดาห์หรือ ๔๙ วันแล้ว เราพบว่าความรู้ทุกวิชาไม่ว่า พระพุทธศาสนา ปรัชญา วิทยาศาสตร์ สังคมและศาสนาที่เราศึกษากันในสถาบันการศึกษา โรงเรียน มหาวิทยาลัย เป็นต้น เป็นความรู้ที่มีต้นกำเนิดจากมนุษย์กันทั้งสิ้น
วิชาปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์ กล่าวคือ เมื่อชีวิตมนุษย์ได้สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ เรื่องราวที่ไม่ชัดเจน ก็จะปรากฏขึ้นในจิตใจ มนุษย์จะสงสัยเรื่องราวนั้นคืออะไร เช่นเห็นคนตายแต่ไม่ใช่คนท้องถิ่นของตัวเอง ก็จะสงสัยว่าคนตายเป็นใคร มาจากไหน ชื่อเดิมของเขาคืออะไร และอะไรคือสาเหตุการตายของเขา ความรู้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในใจที่ไม่ชัดเจน เพราะมนุษย์มีอายตนะภายในของร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของทุกคนหรือพราหมณ์อารยันสอนว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ และวรรณะให้มนุษย์พระพรหมสร้างขึ้นมานั้น ให้ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่พวกเขาเกิดมาเท่านั้น เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เจ้าชายสิทธัตถะทรงมิได้เชื่อข้อเท็จจริงทันที พระองค์ทรงสงสัยข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ เพราะองค์ทรงมีข้อจำกัดในการรับรู้การมีอยู่ของเทพเจ้า แต่พระองค์ทรงชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป ทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้และรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นพยนบุคคล ได้แก่ พราหมณ์ปุโรหิตซึ่งเป็นผู้อาวุโสในบ้านเมือง ความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาประสบพบ มนุษย์มีธรรมชาติของการคิดจากสิ่งที่พวกเขาประสบพบ การคิด สร้างเหตุผล พวกเขาใช้เหตุผลเป็นเครื่องมืออนุมานความรู้ไปสู่ความจริงเหตุผลนั้นเกิดจากการคิดของมนุษย์ พอมีความรู้ด้วยเหตุผลเพียงพอแล้วปราศจากข้อสงสัยในความเป็นจริงอีกต่อไปก็นำความรู้นั้น ไปพัฒนาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้เกิดประโยชน์แก่มนุษย์อีกต่อไป โลกเปลี่ยนไปแนวคิดของผู้คนในโลกได้เปลี่ยนแปลงไปความเจริญรุ่งเรือง และประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น เครื่องมือชี้วัดความสำเร็จในชีวิตของมนุษย์นั้น คนภายนอกเขาวัดจากปริมาณของมูลค่าทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ที่มนุษย์ครอบครองในขณะนั้นจากสื่อสารมวลชนนำเสนอไว้เป็นความคิด ที่มีความเป็นสากลเป็นเครื่องมือวัดความสำเร็จในการใช้ชีวิตของมนุษย์แต่ละคนมนุษย์ จึงให้ความสำคัญกับธุรกิจซื้อมาขายไปอย่างรวดเร็วทำให้ได้เงินง่าย ขายคล่องกว่าอาชีพอื่น ๆ ทำให้ร่ำรวยเร็วกว่าการทำอาชีพอย่างอื่น ดังนั้นวิชาปรัชญาจึงไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด
ในสมัยที่เป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยในอินเดียสาขาวิชาปรัชญาศาสนาไม่ค่อยมีคนอินเดียเรียนเท่าไหร่ นักเพราะจบมาแล้วไม่รู้จะทำงานอะไร ซึ่งแนวคิดของคนเป็นลูกจ้าง ทำงานตามคำสั่งของนายจ้างเท่านั้นอาจไม่ต้องใช้ความรู้อะไรมากมายแต่อย่างใด ดังนั้น มนุษย์ทุกคนจึงสนใจความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจเป็นสาขาที่ทุกคนให้ความสนใจศึกษามากกว่าความรู้ในสาขาอื่น ๆ ทำไมคนไม่สนใจศึกษาปรัชญา ส่วนใหญ่มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความยากจนขาดแคลนรายได้ ในการดำรงชีวิตอาชีพดั่งเดิมที่บรรพบุรุษทำไว้ไม่ตอบโจทก์ความร่ำรวยเพราะขายไม่ได้ราคา มนุษย์จึงแสวงหาวิธีการร่ำรวยในชีวิตมากกว่าเป็นนักคิดทางปรัชญาเมื่อมนุษย์สนใจความร่ำรวยมากกว่าจะมาเรียนทฤษฎีความรู้ทางญาณวิทยา.
นอกจากนี้ในยุคปัจจุบันมนุษย์พัฒนาศักยภาพตัวเอง ผ่านระบบการศึกษาในสถาบันการศึกษาที่รัฐสร้างขึ้นมา เมื่อจบการศึกษาก็หางานทำ และหารายได้ตอบสนองความต้องการของตัวเอง ชีวิตน่าจะเป็นสุขแล้ว นี่คือความคิดของคนที่เกิดมาเพื่อลูกจ้างคนอื่นตลอดชีวิต ไม่เคยคิดจะเป็นเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของกิจการแต่อย่างใด แต่การเป็นลูกจ้างก็มีข้อจำกัดของการทำงานไม่เกิน ๖๐ ปี ก็ต้องเกษียณอายุการทำงานลงหรือตกงานเพราะถูกเลิกจ้าง หากมีหนี้สินและไม่มีรายได้เข้ามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลที่เพิ่มเติมเข้ามา หากมีปัญหาเกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองคิดว่า จะทำอย่างไรให้ชีวิตตนสมบูรณ์แบบเช่นเดิม การไม่มีรายได้มาหล่อเลี้ยงชีวิตนั้น ย่อมนำซึ่งการคิดฟุ้งซ่านตลอดทั้งวันคิดซ้ำ ๆ จิตย่อมเกิดความเครียดทั้งจิตวิญญาณ และร่างกายทำให้ร่างกายไม่ทำงานตามปกติ ทำให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนย่อมนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เป็นต้น.
หากชีวิตของเราร่ำรวยด้วยอสังหาริมทรัพย์สินและมีเงินเหลือไปใช้ตลอดทั้งชีวิต แต่ก็ยังไม่เข้าใจความสุขที่แท้จริงของชีวิตที่พอเพียงทำงานให้มีอาชีพไม่ใช่ชีวิตที่โดดเดียวการได้สนทนากับผู้อื่นเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันย่อมทำให้ชีวิตไม่ไร้ค่าแต่อย่างใด การได้แบ่งปันประสบการณ์ชีวิตทั้งความล้มเหลวในการทำงาน การแต่งงานมีคู่ครองการเลี้ยงดูลูกหลานให้ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิต ย่อมใช้ชีวิต หากไม่มีประสบการณ์การใช้ชีวิตตนย่อมใช้ชีวิตตามอารมณ์ของจิตวิญญาณ ท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ ไร้จุดหมายตลอดทั้งคืนและเข้าไปยุ่งกับสิ่งเสพติด เพื่อปรุงแต่งชีวิตให้สนุกสนานตลอดทั้งคืนมีหลายตัวอย่างในสังคมปัจจุบัน เพราะชีวิตยังติดอยู่ในอารมณ์ความเสื่อมชีวิตจึงยังไม่มีความอิสระอย่างแท้จริง หรือหลายคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและการใช้ชีวิต แต่ชีวิตยังขาดอะไรสักอย่างที่หายไปไม่ได้สมบูรณ์อย่างที่ตนต้องการ ปัญหาสุดท้ายคือปัญหาสุขภาพร่างกายที่เป็นภาระคนอื่น ๆ ด้วย และใช้ทรัพย์มาดูแลสุขภาพที่เสื่อมโทรมอีก เมื่อวิเคราะห์แล้วเห็นว่ามนุษย์ก็ไม่อิสระจากความทุกข์ทรมานของชีวิตเพราะการเสพสุขในฉบับที่ตัวเองการไม่หลับนอนติดต่อกันหลายวันใช่จะพ้นทุกข์ เพราะร่างกายต้องการพักผ่อนเช่นเดียวกัน หากยังมัวเมาในสุขภาพที่คิดว่าตนเองไม่เป็นโรคภัยสุดท้ายก็เสียชีวิตลงไป เพราะขาดการพักผ่อนเช่นเดิม ดังนั้น การศึกษาปรัชญาจะช่วยให้เราใช้ชีวิตด้วยการคิดมีเหตุผลของตรรกะทางปรัชญาช่วยให้พวกเรามีสติ รู้จักนึกคิด (จินตนาการ) และมีวิธีคิดเป็นระบบทำให้เข้าใจความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้นไป
๓. ทำไมจึงต้องเป็นเรียนพุทธปรัชญา
คำว่า"ปรัชญา" ตามพจนานุกรมราช บัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายไว้ว่า วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง จากความหมายดังกล่าว จึงอาจวิเคราะห์ได้ว่าปรัชญาคือความรู้และความจริง เพื่อนำหลักความรู้นั้น เป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ โดยการอนุมานความรู้และคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงของปรากฎการณ์ของสิ่งต่าง ๆ โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม เมื่อธรรมชาติของมนุษย์มีอาตนะภายในร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ และมีความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเรื่องจากความไม่รู้ ความกลัว ความเกลียดชัง และความรักเป็นต้น ทำให้ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมน
เมื่อมนุษย์บางคนเป็นนักตรรกะและนักปรัชญามักจะแสดงทัศนะในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามปฏิภาณของตนเอง และการคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล แต่การให้เหตุผลนั้น บางครั้งก็อาจให้เหตุผลผิดบ้าง บางครั้งอาจให้เหตุผลถูกบ้าง บางครั้งอาจให้เหตุผลเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้บ้าง เป็นต้น ดังนั้น ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงสอนวิธีแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ฟังตามๆ กันมา เราไม่ควรเชื่อข้อเท็จจริงทันที่เราควรสงสัยเสียก่อน เพื่อให้ได้ความจริงปรากฏการณ์ที่จิตใจมนุษย์รับรู้ผ่านประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสแล้ว จิตใจมนุษย์ต้องสงสัยในปรากฏการณ์เหล่านั้นว่า สิ่งนั้นคืออะไร ? และปรากฎการณ์นั้นมีลักษณะเช่นไร ด้วยความคิดของมนุษย์ที่หาเหตุผลของตรรกะ อธิบายปรากฎการณ์เหล่านั้น มีประสบการณ์ก่อนย่อมคิด (ความสงสัย)มนุษย์มีจิตอาศัยร่างกายตัวเอง เป็นทวารรับรู้เกี่ยวกับโลกมนุษย์และปรากฎการณ์ตามธรรมชาติเมื่อรับรู้แล้วย่อมสงสัยเกี่ยวกับประสบการณ์เหล่านั้น จึงต้องแสวงหาเหตุผลทางตรรกะเพื่อให้เกิดความรู้ขึ้น
ดังนั้นถึงแม้มนุษย์จะไม่เรียนรู้หาหลักความรู้ และความจริงของปรัชญาในสถาบันการศึกษาที่สอนปรัชญา แต่มนุษย์ย่อมรู้จักคิดจากประสบการณ์ที่ผ่านประสาทสัมผัสของตนเข้ามาตลอดเวลา แต่ประสบการณ์เหล่านั้น ได้แค่รู้ยังไม่เป็นความรู้ที่สมบูรณ์แบบเพราะยังไม่การนึกคิดหา เหตุผลทางตรรกะ ซึ่งเป็นเครื่องมือให้สิ่งรู้กลายเป็นความรู้ที่สมบูรณ์แบบปราศจากข้อสงสัยทางปรัชญานั้นเอง
๓.๑ จุดมุ่งหมายของการเรียนพระพุทธศาสนาคือเพื่อสอนให้มนุษย์คิดหาเหตุผลก่อนเชื่อโดยเรียนรู้จากสิ่งต่าง ๆ ที่มาสัมผัสด้วยความสงสัยจากนั้นมนุษย์ ก็เริ่มคิดและหาเหตุผล จนกระทั่งความรู้ผ่านเกณฑ์ในการตัดสินอย่างสมเหตุสมผลอย่างไร อย่างไม่ต้องสงสัยแม้ว่าจะมีข้อโต้แย้งก็ตาม การศึกษาพระพุทธศาสนาจึงเป็นวิธีการคิดให้เป็นระบบ ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงเป็นการสอนมนุษย์ใช้สติปัญญา (สติแปลว่า ความระลึกถึงข้อมูลที่ผ่านมาหรือระลึกถึงประสบการณ์ของความรู้ที่ผ่านมา ส่วนตัวปัญญา คือการใช้จิตพิจารณาข้อมูลความรู้เคยศึกษามา ทดลอง ปฏิบัติมา ฯลฯ เป็นต้น เมื่อพระพุทธศาสนาเป็นวิชาที่สอนให้ผู้เรียนคิดแตกต่างจากคนอื่น และหาเหตุผลที่จะยืนยันความคิดเห็นของเขาเอง นั่นคือหลักความรู้และเป็นความจริงที่ถูกต้อง การศึกษาพระพุทธศาสนา นำไปสู่การค้นพบแนวคิดที่มีเหตุผลมากมาย การได้รับหลายแนวคิดมากมาย ทำให้เกิดการพัฒนาความคิดในทางสังคมและนำไปสู่การใช้แนวคิด ดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมได้
๓.๒ แม้ปรัชญาจะเป็นมารดาแห่งศาสตร์ทั้งปวงตามความเห็นของนักปรัชญาตะวันตกก็ตาม แต่พระพุทธศาสนาก็เกิดก่อนปรัชญาตะวันตกและวิชาการต่าง ๆ เปิดสอนในสถาบันการศึกษาทั่วโลกนั้น แม้นักวิชาการต่าง ๆจะอ้างว่าต่างแยกตัวออกจากวิชาปรัชญา เมื่อวิชาใดแม้แยกตัวจากวิชาปรัชญาสาขาวิชานั้น ยังนำแนวคิดจากปรัชญาไปใช้ด้วยทุกวิชา เช่นวิชานิติศาสตร์ แยกตัวออกจากปรัชญาแต่นำทฤษฎีความรู้ทางปรัชญาไปใช้โดยเฉพาะการรับฟังพยานหลักฐาน (ที่มาของความรู้) ในลงโทษจำเลย หรือยกฟ้องจำเลย แต่ละวิชาจึงมีหลักความรู้หรือแนวคิดของปรัชญาเป็นของตัวเอง กล่าวคือทุกวิชาต้องใช้ตรรกะ (ลักษณะพื้นฐานของขอบเขตแนวคิดของปรัชญาอย่างหนึ่ง) หรือวิธีการคิดทางปรัชญาอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อเรามีวิธีคิดทางปรัชญาติดตัวไป เราก็สามารถนำไปบูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ของมนุษย์ได้ทุกสาขาวิชา
๓.๓ เรียนพระพุทธศาสนาช่วยให้เราเข้าใจตนเองและผู้อื่น
โดยธรรมชาติของมนุษย์มักสนใจเรื่องภายนอกมากกว่าภายในของตนเอง โดยเฉพาะเรื่องราวของผู้อื่นมากกว่าความรู้เกี่ยวกับตนเอง เมื่อมนุษย์เรียนรู้เรื่องราวของผู้อื่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแล้ว มนุษย์จะได้รับแรงบันดาลใจในการแสวงหาความฝันเพื่อให้มีความรู้ และความก้าวหน้าในชีวิตมากกว่าเพื่อนมนุษย์ การศึกษาในปัจจุบันเน้นการแข่งขัน เพื่อนำความรู้มาสู่ธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ความมั่นคง ความมั่งคั่งทรัพย์สิน และความสะดวกสบายในชีวิตปัจจุบันมากกว่าการดำรงชีวิต เพื่อหลีกหนีจากความทุกข์ทรมานของภยันตรายในชีวิตบนโลกมนุษย์ ดังนั้น การศึกษาวิชาปรัชญาเพื่อให้มีความรู้ และความเข้าในหลักความรู้และความจริงของปรัชญานั้น วิธีการเรียนจึงมีความสำคัญ เนื่องจากแนวคิดของปรัชญามีอยู่ในสำนักต่าง ๆ มีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ละสำนักเสนอแนวคิดทางปรัชญาเป็นตำราและเอกสารบันทึกกันไว้เป็นจำนวนมาก วิธีการศึกษาของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ จะเน้นให้นิสิตเรียนรู้จากตำราที่ผู้แต่งตำราได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรทั้งสิ้น การศึกษาของนิสิตนอกจากการฟังคำบรรยายจากอาจารย์ผู้รับผิดชอบรายวิชา และผู้สอนช่วยให้นิสิตมีความรู้เพิ่มเติมจากตำรามีผู้แต่งไว้หลายคน แต่การศึกษาปรัชญาจากเอกสารวิชาการต่าง ๆ แต่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ศึกษาได้ ผู้เรียนต้องรู้ ต้องสามารถใช้แนวคิดของปรัชญาต่าง ๆ มาวิเคราะห์เพื่อให้ได้หลักความรู้ และความจริงและนำไปสร้างนวัตกรรมใหม่เกิดองค์ความรู้ใหม่ สามารถนำไปใช้เกิดประโยชน์แก่ผู้ศึกษาในเชิงธุรกิจได้อย่างแท้จริงการศึกษาวิชาปรัชญาในสมัยใหม่ ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องศึกษาในห้องเรียน เพื่อฟังอาจารย์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว เพราะทุกหนทุกแห่งที่ตั้งอยู่ในโลกนี้ ได้มีการแชร์ความรู้ออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ตให้ศึกษาได้แล้ว
โลกออนไลน์ถือเป็นสถาบันการศึกษายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากมนุษย์สามารถสร้างเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสื่อสารได้ให้มนุษย์สามารถแบ่งปันความรู้ในด้านต่าง ๆ ให้เราศึกษาได้ตลอดเวลา ทำให้เราจัดการเรียนการสอนในรูปแบบการสัมมนาวิชาการในหัวข้อต่าง ๆ และเรายังศึกษาจากเว็ปไซด์ต่าง ๆ ที่เขียนแนวคิดทางปรัชญาทำให้นิสิตผู้สนใจศึกษา มีแนวคิดของการใช้ความรู้ได้หลากหลายมากขึ้นการสอบวัดผลแนวคิดทางปรัชญาควรจัดขึ้นในรูปแบบการสอบเชิงวิเคราะห์ ช่วยให้การศึกษาหลักสูตรปรัชญาน่าสนใจศึกษาหาความรู้ได้มากยิ่งขึ้นสิ่งที่เรียกว่า"ปรัชญาประยุกต์"ช่วยให้ผู้เรียนได้เห็นประโยชน์ของแนวคิดทางวิชาปรัชญาชัดเจนยิ่ง ๆ ขึ้นเนื่องจากแนวความคิดที่แท้จริงของศาสตร์ต่างๆ ที่เกิดในโลก วิชาเหล่านี้แยกออกจากวิชาปรัชญาทั้งสิ้นโดยนำแนวคิดของหลักความรู้ และความจริงของปรัชญาที่เสนอประเด็นไว้ให้แก่สังคมนั้น ให้ผู้ที่สนใจนำหลักความรู้และความจริงนั้น มาสู่วิธีการพัฒนามนุษย์ให้มีศักยภาพมากของชีวิต มีความรู้ขยายออกไปมากยิ่งขึ้นส่วนเครื่องมือคอมพิวเตอร์สร้างขึ้นมาสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้อย่างถูกต้องและมากยิ่งขึ้นเท่านั้น.
เนื่องจากมนุษย์เรียนรู้ความเป็นมนุษย์ของตน พวกเขาก็รู้วิถีแห่งชีวิต แม้จะยากที่มนุษย์จะเข้าถึงความรู้และชีวิตจริง แต่ถ้ามนุษย์ปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยการพึ่งตนเองและความอดทนก็ ก็จะใช้เวลาไม่ก็จะได้รับความรู้และความจริงของพระพุทธศาสนา เมื่อมนุษย์มีความรู้และความเข้าใจในชีวิตของตนเองแล้ว ย่อมไม่ใช้ชีวิตอย่างคนโง่เขลาเหมือนหุ่นยนต์ไร้ความคิด อัตตาหรือความโง่เขลา และยากที่จะเข้าถึงอารมณ์ที่แท้จริงได้ วิธีการดำรงชีวิตอย่างโดยไม่ทำร้ายกัน เริ่มต้นด้วยการไม่ทำสงคราม เพื่อแผ่ขยายอำนาจเพื่อยึดครองดินแดนเพื่ออยู่อาศัย น้ำ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค สิ่งเหล่านี้เป็นสัญชาตญาณของสัตว์โลกในการดำรงชีวิต ทั่วไป การเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์จึงมีความสำคัญ ดังนั้นการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของชีวิตมนุษย์ จะแสดงให้เห็นว่าทุกคนมีลักษณะคล้ายคลึงกันมากจากสภาพทั่วไป เมื่อเราพิจารณาอย่างท่องแท้แล้ว คำถามที่เกิดขึ้นคือ ทำไมมนุษย์จึงดำเนินชีวิตแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้าน การอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันขนาดของบ้าน สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย ความสมบรูณ์ของอาหารสำหรับแต่ละครอบครัว มีฐานะทางสังคมที่แตกต่างกัน มีจำนวนของคนรับใช้ที่แตกต่างกัน มีกฎเกณฑ์ทางสังคมมากมายที่ทำให้มนุษย์ทุกคนดำเนินชีวิตแตกต่างกัน จนไม่สมารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคมปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น