ในสมัยรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์นั้นผู้คนได้ยินความจริงเรื่องการดำรงอยู่ของเทพเจ้า ชาวสักกะและชาวโกลิยะ เมื่อได้ฟังความจริงข้อนี้ จากคนในครอบครัวที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประเพณีที่นิยมถือประพฤติปฏิบัติสืบ ๆ กันมาจนแบบแผน ขนบธรรมเนียมหรือจารีตประเพณี จากตำราเรียนหรือคัมภีร์ทางศาสนาหรือจากอาจารย์ของตนเอง เป็นต้น พวกเขายังเชื่อโดยปริยายเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้านั้น แม้พวกเขาจะไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเอง ถึงความมีอยู่ของเทพเจ้าโดยประกอบพิธีบูชายัญเหมือนพวกพราหมณ์อารยัน เพราะคำสอนของศาสนาพราหมณ์เป็นกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ที่กำหนดข้อห้ามคนวรรณะอื่นมิใช่พราหมณ์บูชายัญและสวดพระเวท หากฝ่าฝืนคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีย่อมถูกลงโทษจากคนในสังคมดวยการลงพรหมทัณฑ์ ด้วยเหตุผลนี้พวกเขาจึงไม่มีความรู้ถึงความมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น
ปัญหาของผู้คนทั่วโลกสงสัยว่า พระพุทธศาสนาเกิดก่อนปรัชญาหรือปรัชญาเกิดก่อนพุทธศาสนา ? แต่ทั้งสองวิชานี้เป็นความรู้ของมนุษย์ที่สร้างองค์ประกอบความรู้ขึ้นจากประสบการณ์ชีวิตมนุษย์ ที่ได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของร่างกายและสั่งสมความรู้ไว้ในจิตใจของตนเอง แต่เรื่องราวต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้รับรู้นั้นเกี่ยวกับโลกล้วนเป็นปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของ เช่น การฆ่าคน การสร้างเรื่องโหกเพื่อฉ้อโกงทรัพย์ของคนอื่นทำพิธีกรรมต่าง ๆ การมีเพศสัมพันธ์โดยอาศัยความโง่เขลาของผู้อื่น การดูถูกผู้อื่น การดื่มสุราและติดยา ทำให้อารมณ์เป็นสุขได้นานขึ้น ทำให้เกิดประมาทในการดำเนินชีวิต เป็นต้น ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง แผ่นดินไหว และความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร ซึ่งเป็นพึงเป็นสรณะของชาวอนุทวีป และเมื่อพวกเขาเชื่ออย่างมั่นใจตามคำสอนของพราหมณ์แล้ว พวกเขายินยอมปฏิบัติตามด้วยการบูชายัญของสิ่งของมีค่าต่าง เป็นต้น เมื่อจิตใจมนุษย์รับรู้แล้ว ก็จะเก็บอารมณ์จากประสบการณ์เหล่านั้น มาสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจของตน แต่ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ไม่ใช่แค่การรับรู้และเก็บหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น แต่จิตใจของมนุษย์ยังมีหน้าที่เป็นนักคิด เมื่อมนุษย์รู้สิ่งใดก็คิดจากสิ่งนั้น แต่ชีวิตมนุษย์เกิดมาพร้อมกับความโง่เขลา (ความไม่รู้) พวกเขาจึงไม่รู้จักวิธีแยกแยะเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตว่าเรื่องไหนจริง หรือเรื่องไหนเท็จ ในบางครั้งมนุษย์ได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องอะไร แม้จะไม่มีความรู้จากประสาทสัมผัสของตนเอง แต่เขาก็ยังเชื่อว่าเป็นความจริง ทำให้เกิดเหตุการณ์หลอกลวงผู้อื่น เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินของคนอื่น ที่เกิดขึ้นหลายเรื่องในสังคมมนุษย์ทั่วโลก และมีการแบ่งปันความรู้ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ประชาชนเข้าไปศึกษาและรับรู้ในเรื่องนี้
ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงเป็นวิชาแรกที่สอนมนุษย์ใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องชีวิตมนุษย์ เดิมที่ในสมัยก่อนพุทธกาล ชาวอนุทวีปอินเดียเชื่อคำสอนของพราหมณ์อารยันเกี่ยวกับความมีอยู่ของเทพเจ้า และเรื่องราวเทวดาตามคำสอนของพราหมณ์มิลักขะ นี่คือความรู้ของพราหมณ์ทั้งสองนิกายที่อยู่นอกขอบเขตประสาทสัมผัสที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถรับรู้ได้ เว้นแต่พราหมณ์นิกายต่าง ๆ จะสื่อสารกับเทพเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อพิธีบูชายัญเท่านั้น เมื่อต้องเผชิญกับกรรมของชีวิต เพราะความไม่รู้แจ้งกฎธรรมชาติของชีวิตและความกลัวจนขาดสติและปัญญาของตนเอง จนไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบได้ ชีวิตของผู้คนในอนุทวีปอินเดียตกอยู่ในความมืดมน ดังนั้น พวกเขาจึงต้องพึ่งพาเทพเจ้าเพื่อขอพรให้พ้นทุกข์ และบรรลุผลสำเร็จตามที่ปรารถนา เมื่อผู้คนในสังคมทั่วอนุทวีปอินเดียบูชาเทพเจ้าและเทวดาตามคำสอนของพราหมณ์ก็สร้างรายได้มหาศาลจากการบูชาเทพเจ้าและเทวดา แต่ความโลภของพราหมณ์อารยันต้องการแสวงหารายได้จากการบูชาอันไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อประโยชน์แห่งพวกตนเพียงฝ่ายเดียว พราหมณ์อารยันต้องการจำกัดสิทธิและหน้าที่ในการบูชาของพราหมณ์มิลักขะ ด้วยเหตุนี้ เมื่อมหาราชาแห่งแคว้นต่าง ๆ จึงประกาศใช้หลักคำสอนของพราหมณ์อารยัน เป็นทั้งหลักคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีตามคำแนะนำของปุโรหิตซึ่งเป็นที่ปรึกษาของมหาราชา โดยแบ่งประชาชนในแคว้นสักกะออกเป็น ๔ วรรณะคือวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร และห้ามการแต่งงานระหว่างวรรณะและปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น เป็นต้น
ผลการตรากฎหมายวรรณะจารีตประเพณี มีผลบังคับใช้แล้ว ประชาชนเกิด มาพร้อมกับความไม่รู้และมีตัณหาซ่อนอยู่ในจิตใจ ไม่สามารถควบคุมราคะตัณหาของตนได้ พวกเขาจึงได้กระทำความผิดฐานละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีอย่างร้ายแรง โดยการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างวรรณะและปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น เป็นต้น เมื่อพฤติกรรมน่าสงสัย คนในสังคมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริง ในการฝ่าฝืนหลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี เมื่อได้รับคำตอบที่สมเหตุสมผลก็ถูกสังคมลงโทษด้วยการถูกไล่ออกจากสังคม ต้องอยู่อย่างคนเร่ร่อนตามท้องถนนไปตลอดชีวิต แม้ในวัยชรา นอนป่วยและตายอยู่ข้างถนน เป็นต้น ผู้คนในสังคมเรียกนักโทษเหล่านี้ว่า "จัณฑาล" เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยในความมีอยู่ของเทพเจ้า พระองค์จึงทรงตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานจากปุโรหิตผู้เป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งแคว้นสักกะ แม้พวกเขาจะยืนยันการมีอยู่จริงของเทพเจ้าก็ตาม และสร้างทฤษฏีกำเนิดโลกจากคำสอนของอาจารย์ และยืนยันว่า พระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์จากพระกายของพระองค์เอง และสร้างวรรณะให้ประชาชนที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้นทำงานตามหน้าที่ของวรรณะที่ตนเกิดมา นอกจากนี้ปุโรหิต (priesthood) ยังยืนยันอีกว่า ปุโรหิตรุ่นก่อน ๆ เคยพบเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะมาก่อน แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามว่า พระพรหมและพระอิศร มีความเป็นมาอย่างไร? แต่ไม่มีปุโรหิตคนใดตอบได้ ด้วยเหตุผลที่อธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนี้ เจ้าชายสิทธัตถะทรงพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ทรงเห็นว่า เทพเจ้านั้นไม่มีอยู่จริงตามคำสอนของพราหมณ์ พระองค์ทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมในแคว้นสักกะ โดยเสนอกฎหมายยกเลิกกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี เพื่อให้รัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะเพื่อพิจารณา เป็นต้น
เนื่องจากมนุษย์ขาดการศักยภาพในการปรับปรุงชีวิตของตนเอง ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถควบคุมตนเองได้ และเขาเชื่อว่าความคิดเห็นเป็นการฉ้อโกงบางส่วนนั้นเป็นเรื่องจริง พวกเขาตัดสินใจลงทุนในธุรกิจนั้นและจะได้รับผลตอบแทนมหาศาล ซึ่งเป็นการฉ้อโกงประชาชนทั้งในระดับบุคคล, ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น การชวนคนมาเล่นหุ้นอ้างว่า ลงทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนมหาศาล แต่ในที่สุดก็มีการโกง, หลอกลวงไปฆ่าเพื่อชิงทรัพย์, การฉ้อโกงภาพถ่ายคนอื่นบนอินเตอร์เน็ตเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่น เป็นต้น ทั้งนี้เพราะธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ คือ ความเห็นแก่ตัวที่มักซ่อนอยู่ในใจ พวกเขามักไม่เปิดเผยธาตุแท้ของตนให้ผู้อื่นทราบจนกว่าผลจะเป็นไปตามคาดหรือจำนนต่อหลักฐานนั้น เช่น เมื่อหลอกลวงผู้อื่นจนได้เงิน พวกเขาจะฆ่าเหยื่อเพื่อปิดปาก, ขโมยเงินคนอื่นและข่มขู่ผู้อื่นว่าจะทำอันตราย, ชักจูงให้เหยื่อยินยอมที่จะล่วงละเมิดทางเพศ, ดูหมิ่นผู้อื่น, ใช้แอลกอฮอและยาเสพติดเพื่อบังคับผู้เสียหายให้กระทำการที่ผิดศีลธรรมและกฎหมาย เมื่อปัญหาอาชญากรรมเกิดขึ้นจากจิตใจที่เสื่อมทรามของมนุษย์ที่ถูกกระทำโดยคนใกล้ตัวโดยตรง การกระทำทางอ้อมจากอาชญากรที่ใช้เทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต เมื่อประเด็นความจริงของอาชญากรรมและพระพุุทธศาสนาก็เป็นความรู้ของมนุษย์เช่นกัน
หลักพระพุทธศาสนาจะแก้ไขปัญหาการหลอกลวงของมนุษย์ได้อย่างไร ? เป็นปัญหาที่ควรศึกษาอย่างมาก เพราะเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดมันไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือไม่มีเหตุ แต่ทุกสิ่งย่อมมีเหตุและผลจากมนุษย์ทั้งสิ้น ตัวอย่างตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน ชีวิตมนุษย์ถูกสร้างขึ้นจากร่างของพระพรหมแสดงว่า มนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นเองแต่เป็นเพราะเกิดจากปัจจัยที่พระพรหมสร้างมนุษย์ แต่พระโพธิสัตว์สิทธัตถะตรัสรู้ว่าชีวิตมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างโดยพระพรหม อย่างไรก็ตาม มีสาเหตุมาจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจในครรภ์มารดารวมกัน คำสอนในพระพุทธศาสนาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงเหตุผล และวิธีการเข้าถึงความจริงว่าชีวิตมนุษย์เกิดขึ้นจากปัจจัยและเงื่อนไขเดียวกัน ตามข้อเท็จจริงที่กล่าวมาข้างต้น แม้ว่าผู้เขียนจะเคยได้ยินความเห็นว่าพระพุทธศาสนา ปรัชญาและวิทยาศาสตร์ก็เป็นความรู้ของมนุษย์ และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่หลายวิชาก็มีเนื้อหาแยกออกจากพระพุทธศาสนา และปรัชญา เมื่อผู้เขียนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่างๆ ไว้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริง แต่คำตอบก็ยังไม่ชัดเจนว่า มนุษย์สร้างองค์ความรู้ของพระพุทธศาสนาและปรัชญาจากปัจจัยใด ? ผู้เขียนจึงมีข้อสงสัยและต้องการแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป โดยตรวจสอบข้อเท็จจริงและแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อให้ข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้
บทความนี้เกี่ยวกับข้อสงสัยว่าเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา จะเป็นประโยชน์แก่นักศึกษาหลักสูตรพระพุทธศาสนาและปรัชญา ทุกท่านที่เรียนรู้และเข้าใจในวิชานี้อย่างถูกต้องและชัดเจน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพของชีวิตตามหลักปรัชญา และพระพุทธศาสนาสามารถใช้ความรู้เหล่านี้ไปแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ถูกต้อง บริสุทธิ์ ยุติธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ปัญหาสังคมทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงคิดหาทางแก้ไข ในสมัยนั้นชาวสักกะดำเนินชีวิตด้วยความศรัทธา ในคำสอนของพราหมณ์อารยันที่สอนว่าพระพรหมสร้างมนุษย์จากร่างของพระพรหม แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักพระพรหมและเทพเจ้าอื่น ๆ จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจ เนื่องจากสภาพถูกบังคับให้ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ส่งผลให้ชาวสักกะขาดการศึกษาในสาขาวิชาศิลปศาสตร์สาขาต่าง ๆ ซึ่งตรงกับความต้องการและขาดโอกาสของชีวิต จึงไม่เกิดแรงบันดาลใจในการดำเนินการเพื่อบรรลุความฝันในชีวิต ในยามทุกข์ ไม่อาจพบที่พึ่งอันสูงส่งได้ จำเป็นต้องเชื่อในการมีอยู่ของพระพรหม เพื่อช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิต ตามคำสอนของพราหมณ์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองของตนเอง จึงตกลงที่จะสักการะพระพรหม โดยประกอบพิธีบูชายัญของพราหมณ์อารยันผู้ทำพิธีแต่ในสมัยนั้นชาวสักกะได้บูชาเทพเจ้าหลายองค์ การบูชาเทพเจ้าด้วยของมีค่าต่าง ๆ ได้สร้างความมั่งคั่งมหาศาลให้แก่พราหมณ์อารยันและพราหมณ์มิลักขะทุกปี เมื่อมหาราชาแห่งแคว้นใดทรงทำพิธีบูชาเทพเจ้าผ่านสำนักพราหมณ์ใด พระองค์ก็ทรงประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศ พระองค์ทรงแต่งตั้งพราหมณ์นั้นเป็นปุโรหิต (priesthood) ที่ปรึกษาของมหาราชาในเรื่องกฎหมาย ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี เป็นต้น เมื่อพราหมณ์อารยันได้รับแต่งตั้งให้เป็นปุโรหิต พวกเขาจะมีอิทธิพลทางการเมือง จึงเสนอให้ตรากฎหมายวรรณะจารีตประเพณีต่อรัฐสภาราชวงศ์ศากยะ เพื่อผูกขาดพิธีบูชายัญแต่เพียงผู้เดียว และลิดรอนสิทธิและหน้าที่ของพราหมณ์มิลักขะในการประกอบพิธีบูชา การศึกษา การประกอบอาชีพ การค้าขายและการเกษตร เป็นต้น โดยอ้างเหตุผลในการตรากฎหมายวรรณะจารีตประเพณีว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ และวรรณะให้มนุษย์ทำงานตามหน้าที่ที่ตนเกิดมา โดยใช้บังคับตามกฎหมายว่า ห้ามมิให้บุคคลทำงานในตำแหน่งวรรณะอื่นและห้ามการสมรสระหว่างวรรณะ เป็นต้น เมื่อประกาศใช้บังคับกฎหมายแล้ว และห้ามมิให้เพิกถอนกฎหมายที่ตราไว้แล้ว เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อชาวสักกะยังมีชีวิตที่อ่อนแอ เพราะยังไม่ได้รับการพัฒนาศักยภาพชีวิตของตนเอง เขาจึงไม่สามารถควบคุมตัณหาของตนเองได้พวกเขาจึงมีเพศสัมพันธ์กับคนต่างวรรณะโดยสมัครใจ แม้ว่าการกระทำจะฝ่าฝืนหลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีก็ตาม เมื่อพวกเขามีพฤติกรรมที่น่าสงสัยจึงถูกคนในสังคมตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานเป็นข้อมูลมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริง ในเรื่องที่พวกเขากระทำความผิดฐานละเมิดคำสอนของพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีอย่างร้ายแรง พวกเขาจึงถูกลงโทษจากคนในสังคมนั้น โดยลงพรหมทัณฑ์ให้ไล่ออกจากคนในสังคมตลอดชีวิต นักโทษเหล่านี้เรียก "จัณฑาล" ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนไปตามถนนในพระนครกบิลพัสดุ์และพระนครเทวทหะ แม้ชีวิตจะอยู่ในวัยชรา เจ็บป่วย และนอนตายข้างถนน เป็นต้น
เจ้าชายสิทธัตถะสร้างองค์ความรู้พระพุทธศาสนาแก้ปัญหาสังคม เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นปราชญ์ พระองค์ทรงมองเห็นปัญหาเรื่องจัณฑาล (outcast) ที่คนในสังคมเนรเทศพวกเขาออกจากที่อยู่อาศัยและต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนท้องถนน ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงรู้สึกเสียพระทัยอย่างยิ่งต่อจัณฑาล ที่ต้องทนทุกข์กับโศกนาฏกรรมเช่นนี้ แต่พระองค์ทรงมีความเมตตากรุณาธิคุณต่อจัณฑาล และทรงต้องการช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากการถูกลงโทษตลอดชีวิต มีสิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกับผู้อื่นและกลับคืนสู่สถานะทางสังคมเหมือนเดิม เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานจากพราหมณ์ในฐานะปุโรหิต (priesthood) และทรงได้ฟังข้อเท็จจริงจากปุโรหิตว่า พระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ทำหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิด พวกเขาก็เคยเห็นพระพรหมและพระอิศวรในอาณาจักรสักกะ มาก่อนแต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสอบข้อเท็จจริงจากปุโรหิตว่าพระพรหมและพระอิศวรมีความเป็นมาอย่างไร? แต่ไม่มีปุโรหิตคนไหนตอบเจ้าชายสิทธัตถะได้ ทำให้พระองค์ทรงสงสัยการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมในอาณาจักรสักกะเพื่อยกเลิกวรรณะ แต่พระองค์ทรงไม่สามารถกระทำได้ เพราะรัฐสภาศากยวงศ์ไม่อนุมัติตามที่เจ้าชายสิทธัตถะเสนอ เป็นการกระทำขัดต่อกฎหมายจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองอาณาจักรสักกะที่เรียกว่า "อปริหานิยธรรม" เป็นต้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า หากพระองค์ทรงดำรงอยู่ในวรรณะกษัตริย์ แม้จะมีสิทธิและหน้าที่ในการปกครองประเทศ แต่ก็ไม่สามารถปฏิรูปสังคมให้ประชาชนเท่าเทียมกัน เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดไม่เปิดโอกาสให้พระองค์ทรงปฏิรูปสังคมได้ เป็นต้น
ในปัญหานั้น พระพุทธศาสนาจะช่วยแก้ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯแล้ว ก็ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าทรงสอนเกี่ยวกับมนุษย์เท่านั้น ซึ่งเรียกว่า"ขันธ์ห้า" ประกอบด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นต้น เมื่อเราย่อองค์ประกอบของขันธ์ห้ามีเพียง ๒ สิ่งเท่านั้น คือกายและจิตใจ จิตจะคงอยู่ในร่างกายชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว เมื่อชีวิตมนุษย์ตายไป จิตใจก็จะออกจากกายไปเกิดในภพอื่นต่อไป ในช่วงชีวิต จิตใจอาศัยอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ประการในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับโลก โดยหูของมนุษย์เชื่อมต่อกับคำพูดของผู้อื่นเกี่ยวกับอาชญากร การฆาตกรรม การโจรกรรมเพื่อลักทรัพย์ หลอกลวผู้อื่น ดูหมิ่นผู้อื่น ดื่มสุราและเสพยา เป็นต้น เมื่อหูมนุษย์ได้ยินข้อเท็จจริงที่ผู้อื่นเล่าให้ฟัง และน้อมรับอารมณ์เหล่านั้นมาสั่งสมอยู่ในจิตใจ หากเชื่อทันทีโดยไม่สงสัยก่อน โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมายืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุผลแล้ว ข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากปากพยานเพียงคนเดียวไม่น่าเชื่อถือเพราะมนุษย์มักจะมีอคติต่อกันและอวัยวะอินทรียฺ์ในร่างกายของตนเองทั้ง ๖ อวัยวะมีความสามารถในการรับรู้อย่างจำกัด อาจทำในสิ่งไม่ควรทำ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา เป็นต้น ส่วนปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเกิดขึ้นเพราะโลก และดวงอาทิตย์มีพลังไฟฟ้าสถิตย์ดึงดูดเข้าหากัน ดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าโลก ดังนั้น การเหวี่ยงโลกให้โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี ทำให้โลกเกิดฤดูกาลต่าง ๆ ตลอดทั้งปีเพราะการอยู่ใกล้ไกลดวงอาทิตย์ เมื่อนักปรัชญาได้ยินข้อเท็จจริงก็สงสัยข้อเท็จจริงและชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป ก็จะสอบสวนและรวบรวมหลักฐาน เป็นข้อมูลวิเคราะห์หาเหตุผลพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นและเป็นความรู้ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น จึงถือว่ามนุษย์เป็นเจ้าของความรู้ในการได้ยินเสียงนั้น
สายตาของมนุษย์ได้รับรู้เหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นผ่านประสาทสัมผัสของตนเอง เช่นเห็นคนตาย, เห็นคนทำร้ายกัน, เห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ฝนตกหนัก เป็นต้น เมื่อมนุษย์รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า เมื่อรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องใด เราไม่ควรเชื่อทันที่ เราควรสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะสืบเสาะข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานได้อย่างเพียงพอ วิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักเพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริง แต่ความเป็นมาของคำตอบก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร นักปรัชญาชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนั้น เขาก็จะสืบสวนและรวบรวมหลักฐานเพิ่มสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นต่อไป ดังนั้นผลการวิเคราะห์ที่เป็นจริงหรือเท็จ ก็จะเป็นความรู้ที่ติดตามชีวิตมนุษย์ไปยังสถานที่ต่างๆ เมื่อมนุษย์มีความรู้เกี่ยวกับภาพเหล่านั้นเป็นประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมในจิตใจถือว่ามนุษย์เป็นเจ้าของความรู้ในภาพปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสังคมนั้น ๆ
จมูกเชื่อมต่อกับกลิ่นต่าง ๆ เมื่อจิตใจของมนุษย์รับรู้กลิ่นต่าง ๆ ก็ไม่ควรเชื่อทันที เราควรสงสัยก่อน จนกว่าจะมีการสอนสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน วิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่างเพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบคือกลิ่นอะไร? เมื่อมนุษย์รู้จักกลิ่นเหล่านั้นแล้ว มันจะเป็นความรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ชีวิตผ่านการดมกลิ่นและสั่งสมอยู่ในจิตใจ ดังนั้นอนุมานได้ว่ามนุษย์เป็นเจ้าของความรู้เกี่ยวกับกลิ่นนั้น
โผฏฐัพพะ คือเมื่อมนุษย์สัมผัสกันด้วยการลูบไล้กัน มันจะสั่งสมแรงเสียดสีไว้ในจิตใจ จนกระทั่งเกิดจิตใจเกิดความรัก ความผูกพันและการยึดมั่นในความเป็นเจ้าของ เมื่อคนอื่นจะมายึดครอง ก็เกิดความโกรธ ความเกลียดชัง ฯลฯ เมื่อรับรู้ความคิดเห็นเช่นนี้ก็ไม่ควรเชื่อทันที เราควรสงสัยไว้ก่อน จนกว่าจะสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน วิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนี้อย่างสมเหตุสมผล ดังนั้นอนุมานได้ว่ามนุษย์เป็นเจ้าของความรู้เกี่ยวกับโผฏฐัพพะนั้น
ลิ้นมนุษย์ การรับรู้ของลิ้นในการกินอาหารที่มีรสเปรี้ยว หวาน มันเค็ม เป็นต้น เมื่อจิตใจมนุษย์รับรู้ถึงการสัมผัสอาหารทางลิ้นนั้น และเก็บหลักฐานเป็นข้อมูลอารมณ์ไว้ในจิตใจของตนเองและติดตามไปยังที่ต่าง ๆ ด้วย ดังนั้นมนุษย์จึงมีความรู้ในการสัมผัสอาหารซึ่งเป็นประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสของตนเองทางลิ้นนั้น ถือว่ามนุษย์เป็นเจ้าของความรู้ผ่านลิ้นนั้น
เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความจริงของชีวิตว่า มนุษย์เป็นเจ้าของความรู้ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ โดยมนุษย์มีต้นกำเนิดความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเอง ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมในเรื่องใด ๆ แล้ว ก็เป็นการตัดสินใจของมนุษย์จะเชื่อหรือไม่เชื่อ เป็นความจริงหรือเท็จของเรื่องที่รับรู้ หากเชื่อโดยไม่มีหลักฐานยืนยันความจริง ก็อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด หรือยั่วยุผู้อื่นในลักษณะกล่าวเกินจริงหรือดูหมิ่นผู้อื่น ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงคิดแก้ปัญหาเหล่านีด้วยตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนจะเชื่อว่าเป็นจริง โดยสืบเสาะข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเป็นข้อมูลทางอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ หลังจากนั้น จิตใจมนุษย์ก็จะวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบว่าจริงหรือเท็จ เมื่อวิเคราะห์หลักฐานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่มาของเรื่องยังคงไม่ชัดเจน เพราะการขาดองค์ประกอบความรู้ที่สมบูรณ์ ทำให้เราสงสัยที่มาของเรื่องนั้น แต่นักปรัชญาสนใจที่จะศึกษาต่อต้องหาหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นตัวอย่าง เช่น เมื่อคำสอนของพวกพราหมณ์อารยันเป็นทั้งคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี โดยสอนคนในอนุทวีปอินเดียว่าพระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างมนุษยชาติ และวรรณะให้มนุษย์ทำงานตามวรรณะที่เกิดเท่านั้น เมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ทำให้เกิดปัญหาการกระทำความผิดฐานฝ่าฝืนคำสอนในศาสนา และกฎหมายวรรณะโดยการแต่งงานต่างวรรณะเพราะมนุษย์บางคนควบคุมกิเลสของตนเองไม่ได้ เมื่อการสมรสข้ามวรรณะเป็นความผิดที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน ต้องถูกลงโทษจากคนในสังคมเป็นจัณฑาล ต้องถูกขับไล่ออกจากสังคม และใช้ชีวิตเร่รอนตามท้องถนนในเมืองใหญ่ของรัฐต่าง ๆ เป็นต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นปัญหาจัณฑาล ที่ใช้ชีวิตเร่รอนในวัยชราต้องป่วยตายข้างถนน เพราะคำสอนของพราหมณ์ถูกกำหนดให้เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ที่แบ่งคนออกเป็น ๔ วรรณะคือ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น ทำให้ผู้คนถูกเลือกปฏิบัติในสังคม จึงมีสิทธิและหน้าที่ไม่เท่าเทียมกันในการประกอบอาชีพ การศึกษา และการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์นิกายของตนเอง เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานจากคำให้การของปุโรหิต ซึ่งเป็นพราหมณ์ ที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะซึ่งเป็นมหาราชาแห่งแคว้นสักกะ พระองค์ทรงได้รับฟังข้อเท็จจริงยืนยันว่า พระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์ และยืนยันความจริงว่าเคยพบเห็นพรหมและอิศวรในแคว้นสักกะมาก่อน แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามความเป็นมาของพระพรหมและพระอิศวรก็ไม่มีปุโรหิตคนใดตอบพระองค์ได้ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดความสงสัยในความจริงของเทพเจ้าที่พระองค์ทรงเคยได้ยินมาสืบทอดกันมา เป็นต้น ในปัจจุบันโลกก้าวหน้าไปมาก นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ ดาวอังคาร และได้สร้างสรรค์เทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์ที่ช่วยให้มนุษย์สามารถทำงานและส่งงานผ่านแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตได้ แต่ทำไมมนุษย์ยังต้องศึกษาพระพุทธศาสนาและปรัชญา ? มีเหตุผลดังนี้
๑.พระพุทธศาสนาคือความรู้ของมนุษย์ ที่เรียกว่า "พระพุทธเจ้า" กล่าวคือ มนุษย์เกิดขึ้นจากปัจจัยทางกายและจิตใจรวมกัน วิญญาณจะกำเนิดในครรภ์มารดาและมารดาเลี้ยงทารกด้วยเลือดของตนเองจนได้อายุ ๙ เดือนแล้วจึงคลอดบุตร ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ วิญญาณอาศัยอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในการรับรู้อารมณ์ของสิ่งต่าง ๆ และเก็บหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ แล้วใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นและสั่งสมเป็นความรู้ไว้ในจิตใจ เมื่อเนื้อหาของความรู้ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจมนุษย์เพิ่มขึ้น และสูญหายไปพร้อมกับความตายของมนุษย์ มนุษยก็จะถ่ายทอดความรู้จากจิตใจไปลงในตำราเรียนหรือเอกสารอื่น ๆ เพื่อให้ผู้คนที่สนใจได้ศึกษาหาความรู้ต่อไป เช่น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินข้อเท็จจริงจากคำสอนของพราหมณ์อารยันว่า พระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะเพื่อให้ทำหน้าที่ของตน เมื่อทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานจากคำให้การของปุโรหิตแล้ว แม้พวกเขาจะยืนข้อเท็จจริงว่าพระพรหมสร้างมนุษย์จริงและเคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะมาก่อน เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงถามปุโรหิตว่าพระพรหมมีความเป็นมาอย่างไร? แต่ไม่มีใครสามารถตอบคำถามของพระองค์ได้ เป็นต้น ทำให้คำให้การของปุโรหิตน่าสงสัยและขาดความเชื่อน่าเชื่อ ไม่สามารถรับฟังเพื่่อยืนยันความจริงได้ ดังนั้นพระพุทธศาสนาและปรัชญาจึงเป็นความรู้ของมนุษย์เพราะสั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์นั้นเอง เป็นต้น
๒.พระพุทธศาสนาเกิดจากความสงสัยของมนุษย์ เป็นความรู้ที่มาจากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมความรู้ไว้เป็นอารมณ์ในจิตใจ ทั้งนี้เป็นเพราะจิตวิญญาณอยู่ในร่างกายและอาศัยอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ เป็นผู้รับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวของมนุษย์และเก็บหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ จากนั้นก็วิเคราะห์หลักฐานต่าง ๆ เหล่านั้นโดยอนุมานความรู้ จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ๆ หากปรากฏข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจนว่ามีความเป็นมาอย่างไร ? ถือว่าข้อเท็จจริงของเรื่องนั้น ยังน่าสงสัยและมนุษย์ก็จะแสวงหาความจริงในเรื่องนั้นต่อไป ก็จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมในเรื่องนั้นต่อไป
โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความโง่เขลา พวกเขาเชื่อคำพูดของผู้อื่นได้อย่างง่ายดายด้วยเจตนาที่ไม่สุจริต ตัวอย่าง เช่น มีคนหลอกให้พวกเขาลงทุนและแบ่งปันผลกำไร เพื่อรับเงินจำนวนมาก หลังจากได้ยินข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขาก็ไม่คิดสงสัยในเรื่องนั้น เพราะความโลภและถูกคนใกล้ชักชวนจิตของพวกเขามืดมิด แต่ตามหลักพุทธศาสนาสอนให้เราสงสัยก่อนที่จะเชื่อ โดยแสวงหาความคิดเห็นจากหลาย ๆ คนก่อนตัดสินใจเชื่อ หรือไม่เชื่อคำพูดของบุคคลใดนั้น เพื่อใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ หาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบ แต่คนที่ขาดความอดทนในการหาข้อมูล เพราะไม่เชื่อในศักยภาพของตนเองจึงเชื่อได้ง่ายและยอมจำนนต่อความคิดของคนอื่น ชีวิตหาทางออกไม่ได้เพราะเขาคิดไม่ได้ แต่มนุษยชาติยังไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาจึงปรึกษาคนอื่นที่สามารถคิดแทนตนได้ เช่น หมอดู โค้ช พราหมณ์ทำพิธีบูชายัญ และที่ปรึกษาปัญหาของชีวิตที่เป็นเช่นนี้ เพราะมนุษย์ขาดการพัฒนาศักยภาพของชีวิต จึงมีสมาธิสั้น ไม่บริสุทธิ์เพราะมีอคติและมีตัณหามากจึงเศร้าหมอง คำพูดหยาบคายเพราะจิตไม่อ่อนโยน จึงไม่มั่นคง และหวั่นไหวกับปัญหาหนักของชีวิตที่ผ่านเข้ามา แต่มนุษย์ไม่ใช่ทุกคนเป็นคนโง่ บางคนฉลาดในคนเรียนเก่งและมีหน้าที่การงานดี แต่เขาตัดสินยิงตัวเองตายเพราะโดนหักอก ดังนั้นเขาจึงเป็นคนโง่ในความรักแต่ฉลาดในการเรียน บางคนอยากปฏิรูปสังคมด้วยคำพูดของตัวเอง ชอบทำให้คนอื่นเชื่อว่าคำพูดที่มีเหตุผลของพวกเขาเป็นความจริง โดยไม่ดูบริบทของคนในสังคมว่ากาลเวลาเปลี่ยนไป มนุษย์พัฒนาศักยภาพของชีวิตจนเกิดทักษะในการสร้างเครื่องมือเทคโนโลยี่และอินเตอร์เน็ตได้ บันทึกตัวตนของมนุษย์ที่เจตนาของการกระทำทั้งทางกาย ทางวาจา และมโนกรรมตลอดเวลา หากมีการแบ่งปันความคิดและการกระทำของตนเอง พฤติกรรมของคุณก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ โดยชุมชนออนไลน์จำนวนมากทั้งที่มีผู้เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของคุณ หากจิตฟุ้งซ่านเป็นคนไม่มีสมาธิ อ่อนแอ ไม่มั่นคง และหวั่นไหวกับปัญหาก็จะเก็บสิ่งเหล่านั้น มาคิดจนนอนไม่หลับจนกลายเป็นความทุกข์ทางร่างกายและมีภาวะซึ่มเศร้าได้
๓.พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราแสวงหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริง เมื่อเราศึกษาพระพุทธศาสนาแล้ว แม้พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์เป็นหลักก็ตาม แต่ก็เกี่ยวเนื่องกับโลก จักรวาล และพระเป็นเจ้า ฯลฯ จุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนานั้น ก็เกิดจากความสงสัยของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อพระองค์ทรงได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องพระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างโลก มนุษย์ แล้ว พระองค์ทรงไม่เชื่อทันที แต่พระองค์ทรงสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมก็จะแสวงหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น พยานบุคคล พยานเอกสารและพยานวัตถุเพื่อนำข้อมูลนำมาวิเคราะห์ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของตอบในเรื่องนั้น และนำคำตอบในเรื่องนี้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นความรู้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อยอดกันต่อไป เมื่อมนุษย์ไขปริศนาข้อสงสัยมากขึ้นและมีเนื้อหาสาระมากยิ่งขึ้น พวกเขาก็แยกตัวเองออกไปตั้งสาขาวิชาการใหม่ โดยเฉพาะเพื่อศึกษาเรื่องนั้นโดยเฉพาะเช่น วิทยาศาสตร์ เมื่อเวลาผ่านไปมนุษย์ได้พัฒนาศักยภาพมาขึ้นเรื่อย ๆ จนมีทักษะในการสร้างเครื่องมือด้านเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลได้รับผลลัพธ์ที่ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น และนำความรู้นั้นไปพัฒนาต่อยอดให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจมากยิ่งขึ้น เช่นมนุษย์สร้างเทคโนโลยี่และอินเตอร์เน็ตจนถึงการสร้างนวัตกรรมที่ทันสมัยจนสามารถทำงานที่บ้านและทำธุรกิจผ่านอินเตอร์เน็ตได้
๔.ความรู้คือสิ่งที่สั่งสมในจิตใจ โดยทั่วไป จิตใจของมนุษย์เป็นนักคิดโดยธรรมชาติ เมื่อเรารับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้าในชีวิต ย่อมคิดจากสิ่งนั้นทั้งสิ่งที่มีรูปร่างและสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง เป็นต้น และมนุษย์เก็บเรื่องราวของสิ่งนั้นในรูปแบบนามธรรมไว้ในใจ สิ่งที่มนุษย์สัมผัสนั้น ทำให้คนสงสัยว่ามันคืออะไร มนุษย์ก็จะแสวงหาคำตอบเพื่ออธิบายถึงสิ่งนั้นมีลักษณะอย่างไร โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีรูปร่างทั้ง ภูตผี วิญญาณ และเทพเจ้า ซึ่งเป็นความรู้ที่มนุษย์สมัยโบราณสนใจที่จะศึกษา และแสวงหาคำตอบโดยใช้เหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น การวิเคราะห์ข้อมูลค้นหาสาเหตุผลของคำตอบสำหรับปัญหาที่น่าสงสัย เพื่ออธิบายถึงความมีอยู่ของสิ่งที่มีตัวตนและสิ่งไม่มีตัวตนนั้นว่ามีลักษณะอย่างไร เมื่อมนุษย์รู้ว่าสิ่งใดคืออะไร พวกเขาก็ไม่สนใจที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานอย่างเพียงพอ มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบนั้นอีกต่อไป แต่ถ้ามีบางสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันเป็นสิ่งที่เขาสงสัยและยังคงแสวงหาคำตอบจากผู้อื่นต่อไป แต่หลังจากฟังคำตอบจากคนอื่นแล้ว แต่ก็ยังไม่ชัดเจน เขาจะค้นหาคำตอบต่อไป โดยเฉพาะความรู้ที่อยู่เนอกขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์เช่น ผี เปรต วิญญาณของคนตาย ผีปอบ ฯลฯ แม้ว่าบางคนจะเชื่อการมีอยู่ของอมนุษย์ โดยอ้างเหตุผลคำตอบจากคนเคยเจอผีมาก่อน แต่บางคนก็เชื่อโดยไม่มีเหตุผลในการตอบ และบางคนก็บูชายัญ เพื่อขอให้เทพเจ้ามาช่วยให้บรรลุความปรารถอันเนื่องมาจากแรงจูงใจจากคำพูดของมนุษย์ด้วยกัน แต่ทำแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรจากการบูชายัญ เหมือนการทำพิธีบูชายัญด้วยของมีค่าต่อเทพเจ้าเพื่อให้บรรลุสิ่งที่ปรารถนา แต่เมื่อทำการบูชายัญแล้ว ไม่พึงพอใจ ก็เกิดความทุกข์ที่จะดำเนินต่อไป
การพัฒนาศักยภาพชีวิตตามคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยการปฏิบัติธรรมตาม "มรรคมีองค์ ๘ ผลของการปฏิบัตินี้ ทำให้มนุษย์รู้ความจริงของชีวิตว่า มนุษย์มีวิญญาณอาศัยอยู่ในร่างกายชั่วคราวบั้นปลายชีวิต มนุษย์ทุกคนต้องตาย มันเป็นกฎธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความตายไม่ใช่สาเหตุของการยุติชีวิตมนุษย์ เมื่อวิญญาณออกจากร่างไปสู่โลกอื่น ๆ เช่น โลกของมนุษย์ เทวดา นรก เป็นต้น เมื่อมีโลกมากมายที่อยู่นอกขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ ส่วนดวงวิญญาณจะไปเกิดในโลกไหน ก็ขึ้นกับกรรมที่สั่งสมไว้ในใจ การศึกษาปรัชญาสร้างความคิดสร้างสรรค์ เมื่อจิตรับรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายในชีวิตและสนใจในเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่างๆให้เพียงพอ เพื่อเป็นข้อมูลมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อเหตุผลมาอธิบายความจริงในเรื่องนั้น ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจที่จะเลือกสิ่งนั้น เป็นประโยชน์ในการทำงาน และการดำรงชีวิตเพื่อการพักผ่อนให้หลุดพ้นจากความเครียด แต่ถ้าความรู้นั้นสัมผัสแล้วขาดความสนใจแล้ว การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาเหตุผลของคำตอบไม่ได้เกิดขึ้น การรับรู้สิ่งที่ผ่านเข้ามานั้น ยังไม่ถือว่าเป็นความรู้ แม้จะเป็นการรับรู้ แต่ไม่มีเหตุผลของคำตอบว่าคืออะไร มีลักษณะอย่างไร รู้ได้อย่างไรว่าเป็นความจริงและวิธีการปฏิบัติให้ถึงความจริงได้อย่างไร มาวิเคราะห์ พิจารณา ไตรตร่ตรองใคร่ครวญ หาเหตุผลด้วยวิธีการต่าง ๆ จนเกิดความมั่นใจแล้วความจริงคืออะไรแล้ว ก็ตัดสินใจว่าความจริงเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างไร และกลายเป็นความรู้ที่ถือว่าเป็นความจริงเรื่องนั้น ในความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของตนเองว่า มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรด้วยตนแต่อย่างใด แต่เพราะมนุษย์รู้จักคิดหาเหตุผลจนสร้างกระจกเงาขึ้นมาและสะท้อนภาพของตัวเอง ถึงจะบอกตัวเองด้วยเหตุผลได้ว่าตนเองสวยหรือตนเองขึ้เหล่ได้ แต่การเห็นตนผ่านกระจกเงาสะท้อง ให้เห็นแค่สิ่งภายนอกห่อหุ้มสังขารเท่านั้นแต่ก็ยังมิใช่ตัวตนที่แท้จริง อาจจะมีสภาพเหมือนหุ่นยนต์ก็ได้เพราะไม่มีจิตวิญญาณภายในสังขารนั้น แต่ไม่รู้จักรู้โลกภายนอกเท่านั้นไม่รู้จักคิดและไม่รู้จักข้อมูลสัญญาไว้ใช้เอาตัวรอดในยามเผชิญหน้ากับภัยต่าง ๆ ในบาง ครั้งมนุษย์ไม่ชอบพฤติกรรมของมนุษย์คนหนึ่งคนใดมักจะไม่แสดงตัวตนของความไม่พอใจที่แท้จริงออกมา และมักซ่อนความรู้สึกที่โกรธ เกลียด ริษยา แท้จริง มีอยู่ภายในจิตวิญญาณออกมาให้ผู้อื่นรับรู้ว่าตนรู้สึกอย่างไร พอใจหรือไม่พอใจอะไรในยามผัสสะพฤติกรรมของมนุษย์คนหนึ่งคนใดที่จรเข้ามาสู่ชีวิตของตัวเอง ในชีวิตมนุษย์มีกายและจิตวิญญาณ เป็นปัจจัยซึ่งกันและกันก่อให้เกิดชีวิตใหม่ขึ้นมาแล้วเราก็สมมติชื่อบุคคลนั้น เพื่อแยกแยะความแตกต่างระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และง่ายต่อการจดจำ ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์อาศัยอินทรีย์ ๖ เป็นรับรู้ทุกสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่จรเข้ามาสู่ชีวิตตนตลอดเวลา เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดย่อมเกิดความสงสัย คิดหาเหตุผลจากสิ่งนั้นและพยานหลักฐานข้อมูลที่แวดล้อมสิ่งนั้น จนเกิดองค์ความรู้ที่ผ่านวิเคราะห์พยานหลักฐานอย่างสมเหตุสมผล และตัดสินว่าเป็นความจริงว่าสิ่งนั้นคืออะไรเป็นความจริงหรือความเท็จ ความดีหรือความชั่ว ความผิดหรือความถูกความงามหรือความน่าเกลียด เป็นต้น เมื่อความรู้ของต่างๆ ที่มนุษย์ศึกษาและนำไปใช้บรรยายในสถาบันการศึกษานั้น เป็นของครูอาจารย์ ผู้บรรยายและวิทยากร เป็นต้น เพราะเป็นความรู้สั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของผู้นั้น และมีบ่อเกิดความรู้จากการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียวของมนุษย์เท่านั้น แต่เมื่อจิตวิญญาณมนุษย์มีมีอคติ ความอ่อนแอและไม่มีเข้มแข็ง จิตวิญญาณสั่งสมความรู้ไม่บริสุทธิ์ อันเกิดจากตัณหาในความทะเยอทะยานอยากมี อยากเป็น หยาบกระด้างไม่อ่อนน้อมถ่อมตน จิตไม่มั่นคงและอารมณ์หวั่นไหว การคิดหาเหตุผลในความรู้ของมนุษย์ขาดมาตรฐานของความเป็นสากล เพราะมีอคติความลำเอียงตลอดเวลาที่ตัดสินอะไรลงไป ทำให้เกิดความสงสัยในเหตุผลของการตัดสินใจในแต่ละครั้ง ดังนั้นเหตุผลของอคติของมนุษย์เอง ทำให้มนุษย์เกิดความไม่วางใจซึ่งกันและกัน จำเป็นต้องสร้างเครื่องมือขึ้นมาคอยตรวจสอบ หรือวิเคราะห์ความถูกผิดของพฤติกรรมของมนุษย์ นอกจากนี้มนุษย์ยังรู้จักวิธีแสวงหาความรู้ และความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ กล่าวคือในแต่ละวันมนุษย์มีหลายสิ่งเข้ามาสู่ชีวิต เมื่อจิตวิญญาณมนุษย์ผัสสะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมเกิดความสงสัยในสิ่งนั้น เมื่อจิตวิญญาณสงสัยย่อมคิดหาเหตุผลจากสิ่งนั้นว่าสิ่งนั้นคือความจริงในเรื่องใดโดยจิตวิญญาณมนุษย์ เป็นผู้คิดหาวิธีการต่างๆให้ได้มาซึ่งความรู้ และความเป็นจริงในสิ่งที่สงสัยการคิดหาเหตุผลของความรู้และความเป็นจริงในสิ่งที่มาผัสสะ ต้องสามารถอธิบายเกณฑ์ตัดสินที่มีความสมเหตุสมผล ได้ปราศจากความสงสัยในความรู้และความเป็นจริงอีกต่อไป
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนจึงสนใจที่จะศึกษาประเด็น-ข้อสงสัยอันเป็นที่มาของพระพุทธศาสนาโดยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานอย่างเพียงพอ เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ ทั้งพระไตรปิฎก อรรถกถา เอกสารวิชาการต่าง ๆ และการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของผู้เขียนเอง เป็นต้น เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล ข้อมูลที่ได้จากวิเคราะห์ จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาระดับปริญญาเอกในการแสวงหาความรู้ เป็นระบบแนวคิดทางพระพุทธศาสนา และปรัชญาที่สร้างองค์ประกอบความรู้ที่แท้จริง ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการศึกษาพุทธศาสนา และปรัชญาอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังสามารถบูรณาการกระบวนการวิเคราะห์ได้อีกด้วย เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ในด้านวิชาการอื่น ๆ อีกด้วย
เมื่อมนุษย์มีความสงสัยเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ขณะเดียวกันสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวมนุษย์ ก็สามารถทำให้เกิดความทุกข์ได้เช่นกัน โดยเข้ามาในชีวิตผ่านอวัยวะอินทรีย์ทั้ง๖ เข้ามาในจิตใจตลอดเวลา เมื่อมนุษย์สัมผัสสิ่งนั้นย่อมมีกระบวนการคิดค้นหาเหตุผลของคำตอบจากสัมผัสนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหตุผลจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้มนุษย์ได้รับคำตอบสำหรับคำถามของตน คำตอบจะต้องผ่านเกณฑ์การวิเคราะห์จากหลักฐานจากแหล่งต่างๆ แก่นสารแห่งความรู้หรือลักษณะของความรู้ และความเป็นจริงของมนุษย์เกิดขึ้น ความรู้ที่เกิดจากการคิดเชิงวิเคราะห์นั้น มิใช่แค่การวิเคราะห์จากสภาวะภายนอกเท่านั้น ถึงกระนั้น เราก็ต้องวิเคราะห์คุณสมบัติหรือคุณลักษณะของสิ่งต่าง ๆ ที่เราสัมผัสได้ เพื่อให้ได้ความรู้ และความจริงอย่างไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป เมื่อไม่มีข้อพิสูจน์อื่นที่มีเหตุผลในการหักล้างอธิบายความรู้ที่เป็นความจริงของคำตอบที่มีอยู่แล้ว สามารถเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ พิจารณาคำตอบนั้นเป็นความรู้และความจริง เป็นต้น
แต่ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์นั้นมีอคติ อคติหมายถึงความลำเอียงเพราะชอบพอ ลำเอียงเพราะรักใครสักคน ลำเอียงเพราะเกลียดชัง และลำเอียงเพราะกลัว เป็นต้น การคิดและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาเหตุผลในการตอบในปัญหาที่สงสัยให้ถูกต้อง บริสุทธิ์และเที่ยงธรรม ปราศจากข้อสงสัยในเหตุผลนั้นจึงเป็นเรื่องยาก เพราะธรรมชาติของจิตมนุษย์นั้น อ่อนแอไม่เข้มแข็ง ไม่บริสุทธิ์ใจ มีกิเลสมาก ไม่อ่อนน้อมถ่อมตน จิตหยาบแข็งกระด้างไม่มั่นคงอ่อนแอ เพราะหวั่นไหวในผัสสะทั้งหลายที่จรเข้าสู่ชีวิต กล่าวคือ สิ่งที่มาผัสสะจิตวิญญาณมนุษย์นั้น ทำให้เกิดอาการของจิตที่เป็นความชอบ หรือไม่ชอบในสิ่งใดที่ตนผัสสะนั้นเอง โดยธรรมชาติของจิตวิญญาณมนุษย์นั้น เมื่อตนชื่นชอบแล้วและมักจะลืมข้อบกพร่องของสิ่งนั้นที่เป็นนี้เพราะมนุษย์มีอคติ ลำเอียงเพราะชอบพอนั้นเอง อคติเป็นนามธรรมที่ผัสสะได้เฉพาะผู้มีปัญญาญาณเท่านั้น แต่ผู้มีสติปัญญาระดับปุถุชนก็ศึกษาเข้าใจได้จากคัมภีร์หลักคำสอนทางพุทธศาสนาก็สามารถเกิดความรู้และความจริงของชีวิตได้ เมื่อความรู้ของมนุษย์กล่าวถึงความผิดหรือความถูก ความจริงหรือความเท็จ เป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมแล้วเพื่อป้องกันอคติให้เกิดความสงสัย มนุษย์ถึงใช้กระบวนการวิเคราะห์โดยนักปรัชญาหลายคน ให้เหตุผลในความรู้และความจริงของสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้จะได้คำตอบถูกต้องหลักคิดของหาเหตุผลก็ตาม แต่มนุษย์ก็ไม่เคยไว้วางใจในความรู้ และการตัดสินความจริงของคณะบุคคลหนึ่งบุคคลกลุ่มใด เพราะอาจเป็นเผด็จการทางความคิดก็ได้ มนุษย์จึงจำเป็นต้องสร้างเครื่องมือคอมพิวเตอร์ไฟฟ้าขึ้น เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลให้ความเที่ยงตรง แน่นอน ลึกซึ้งกว่าการคิดวิเคราะห์ของจิตมนุษย์ด้วยกันเอง เป็นหลักความรู้ต้นแบบนำมาสู่การพัฒนาของวิชาวิทยาศาสตร์ ให้เป็นประจักษ์อย่างทุกวันนี้ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น โดยธรรมชาติของมนุษย์ต้องตายปัญหาว่ามนุษย์ตายแล้วไปสิ้นสูญหรือไม่ เพียงใด เมื่อวิเคราะห์จากทฤษฎีบ่อเกิดความรู้ของมนุษย์ เรียกว่า ทฤษฎีประจักษ์นิยมนั้น มีแนวคิดว่าสิ่งใดรับรู้ทางประสาทของมนุษย์ได้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ตามแนวคิดของทฤษฎีประจักษ์นิยมนั้นเราวิเคราะห์ได้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีอยู่จริงนั้นต้องรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์เอง เมื่อตายไปแล้วก็มีการประชุมเพลิงศพนั้น จนเหลือแค่เถ้ากระดูกเท่านั้น ซึ่งไม่ชีวิตอีกต่อไปดูจากสภาวะของร่างกายแล้วเหมือนตายแล้วสูญเพราะเราไม่อาจผัสสะสภาพของชีวิตมีการเคลื่อไหวทางร่างกาย การพูด การนึกคิดของมโนกรรมอีกต่อไป ดังนั้นแนวคิดของทฤษฎีบ่อเกิดความรู้ "ประจักษ์นิยม" จึงถือว่าชีวิตมนุษย์ตายสูญ ถูกต้องตามแนวคิดบ่อเกิดความรู้ ดังกล่าว เป็นต้น
(๑) คำนาม สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ เช่น ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์, สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิด หรือการปฏิบัติ เช่น ความรู้เรื่องสุขภาพ ความรู้เรื่องนิทานพื้นบ้าน
(๒) คำนามความเข้าใจหรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์เช่น ผู้ชายคนนี้เก่งแต่ไม่มีความรู้เรื่องชีวิตจากคำนิยามดังกล่าวเราวิเคราะห์ได้ดังนี้
๑) สิ่งที่สั่งสมจากการเล่าเรียน กล่าวคือ จากการตรัสรู้แจ้งของพระพุทธเจ้า ผู้เขียนค้นพบว่าชีวิตมนุษย์มีจิตวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริง จิตวิญญาณอาศัยอินทรีย์ ๖ รับรู้เรื่องราวสิ่งใดสิ่งหนึ่งและน้อมรับเรื่องราวเหล่านั้นสั่งสมมาไว้ในจิต เมื่อมนุษย์ไปศึกษาเล่าเรียนในสถาบันการศึกษาใดแล้ว ย่อมสั่งสมเนื้อหาของวิชาการต่าง ๆ ตามหลักสูตรที่ได้ศึกษาในห้องเรียนนั้นไว้ในกระแสของจิตวิญญาณของตัวเอง แต่ถ้าหาผู้เรียนมัวแต่เล่นเฟส เล่นไลน์ส่งข้อความไปหาซึ่งกันกระแสจิตวิญญาณย่อมสั่งสมแต่เรื่องราวที่ตนสนใจเท่านั้น ส่วนเนื้อหาวิชาการที่อาจารย์สอนในห้องเรียน จึงไม่ถูกสั่งสมไว้ในจิตผู้เรียนแต่อย่างใด เพราะจิตของผู้เรียนจดจ่อแต่สิ่งที่ตนสนใจเท่านั้น เป็นต้น
๒) สิ่งที่สั่งสมจากค้นคว้า กล่าวคือความรู้ของมนุษย์นั้นมิได้เฉพาะจากการนั่งฟังคำบรรยาย ดูวีดีโอ เท่านั้น ต้องมีการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ด้วย เมื่อได้ข้อมูลแล้วต้องนำมาวิเคราะห์คิดหาเหตุผลจนเกิดความรู้ที่ผ่านการตัดสินที่สมเหตุสมผลด้วยตัวตนของผู้ค้นคว้าเองปราศจากข้อสงสัยในความจริงของความรู้เรื่องนั้นอีกต่อไป เป็นต้น
๓) สิ่งสั่งสมจากประสบการณ์ กล่าวคือ มนุษย์ได้ผัสสะสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จรเข้ามาสู่ชีวิต สิ่งนั้นล้วนแต่เป็นความรู้จากประสบการณ์ของตนเองเช่น ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นย่อมเกิดความทุกข์ ความอกหักเพราะคนรักไปมีคนใหม่ เป็นต้น ฯลฯ ทำไมจำเป็นต้องเรียนวิชาปรัชญานี้เพราะเมื่อศึกษาอย่างจริงจังเราพบว่า วิชาการต่าง ๆ ของมนุษย์ เองก็มีหลายวิชาที่แยกตัวออกมาจากวิชาปรัชญาให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้า และสามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพให้ตนเองมีชีวิตที่มั่งคั่ง ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ เพียงพอที่จะหาความอุดมสมบูรณ์ในการดื่ม กิน และแสวงหาสิ่งต่าง ๆ มาสนองอารมณ์ของความอยากของตนได้ วิชาปรัชญาเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นมาจากความสงสัยของมนุษย์ ที่มีธรรมชาติเกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะชีวิตมนุษย์ผัสสะวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งตลอดเวลา แม้กระทั่งกระแสจิตวิญญาณที่ส่งออกมาจากร่างกายซึ่งเป็นวิชาการแรกนั้นเรียกว่าวิชาปรัชญา แต่ธรรมชาติของจิตวิญญาณมนุษย์มิได้คิดหาเหตุผลของคำตอบในความรู้และความเป็นจริงจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เพราะสิ่งที่มาผัสสะอินทรีย์ ๖ นั้นมีมากมายหลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน บางครั้งมิได้จำกัดเฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ผัสสะเฉพาะ แต่มียังมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากมายหลายร้อยเรื่องที่ห่างไกลออกไปเกินประสาทสัมผัสจะรับรู้ก็มี ยิ่งมนุษย์สงสัยมากขึ้นเท่าใด ย่อมคิดหาเหตุผลจากสิ่งที่ตนเกิดความสงสัยมากยิ่งขึ้น เมื่อวิเคราะห์หาเหตุผลได้ข้อมูลของเนื้อหาวิชาการได้มากยิ่งขึ้นเท่าใด ย่อมมีการบันทึกด้วยตัวอักษรมากยิ่งขึ้น ทำให้ความรู้ที่มนุษย์คิดหาคำตอบในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นนั้นมากมายหลายต่อหลายเรื่องยิ่งในยุคต่อมาก็มีการสร้างเครื่องมือต่าง ๆ มาช่วยจิตวิญญาณของมนุษย์ให้วิเคราะห์ข้อมูลได้แม่นยำยิ่งขึ้นอย่างสมเหตุสมผลปราศจากข้อสงสัยในคำตอบของความรู้และความเป็นจริงอีกต่อไป ทำให้มีการแยกเนื้อหาวิชาการต่าง ๆ ออกเป็นสาขาใหม่อีกหลายวิชาตัวอย่างเช่น วิชาสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ นิติศาสตร์ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น เจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดสงสัยในชีวิตมนุษย์ว่า พระพรหมทรงลิขิตโชคชะตาของชีวิตมนุษย์เป็นไปตามที่พระพรหมต้องการหรือไม่ เพียงใด เพราะเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตั้งสติพิจารณาด้วยการคิดหาเหตุผลและทรงมีความเห็นว่า หากพระพรหมลิขิตชีวิตมนุษย์ได้จริง ทำไมพระองค์ทรงปล่อยให้ทุกชีวิตมนุษย์ในทุกชนชั้นวรรณะเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นเดียวกับพวกจัณฑาล หรือว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้าไม่มีอยู่จริง เมื่อพระพรหมเป็นความรู้ด้วยเหตุผลแต่ไม่มีอยู่จริงจึงไม่ได้ลิขิตชีวิตมนุษย์ให้เป็นไปอย่างเดียวกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าว พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยออกศึกษาค้นคว้าหาคำตอบของความรู้และความเป็นจริงเกี่ยวกับชีวิต
๒) สิ่งที่สั่งสมจากค้นคว้า กล่าวคือความรู้ของมนุษย์นั้นมิได้เฉพาะจากการนั่งฟังคำบรรยาย ดูวีดีโอ เท่านั้น ต้องมีการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ด้วย เมื่อได้ข้อมูลแล้วต้องนำมาวิเคราะห์คิดหาเหตุผลจนเกิดความรู้ที่ผ่านการตัดสินที่สมเหตุสมผลด้วยตัวตนของผู้ค้นคว้าเองปราศจากข้อสงสัยในความจริงของความรู้เรื่องนั้นอีกต่อไป เป็นต้น
๓) สิ่งสั่งสมจากประสบการณ์ กล่าวคือ มนุษย์ได้ผัสสะสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จรเข้ามาสู่ชีวิต สิ่งนั้นล้วนแต่เป็นความรู้จากประสบการณ์ของตนเองเช่น ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นย่อมเกิดความทุกข์ ความอกหักเพราะคนรักไปมีคนใหม่ เป็นต้น ฯลฯ ทำไมจำเป็นต้องเรียนวิชาปรัชญานี้เพราะเมื่อศึกษาอย่างจริงจังเราพบว่า วิชาการต่าง ๆ ของมนุษย์ เองก็มีหลายวิชาที่แยกตัวออกมาจากวิชาปรัชญาให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้า และสามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพให้ตนเองมีชีวิตที่มั่งคั่ง ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ เพียงพอที่จะหาความอุดมสมบูรณ์ในการดื่ม กิน และแสวงหาสิ่งต่าง ๆ มาสนองอารมณ์ของความอยากของตนได้ วิชาปรัชญาเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นมาจากความสงสัยของมนุษย์ ที่มีธรรมชาติเกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะชีวิตมนุษย์ผัสสะวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งตลอดเวลา แม้กระทั่งกระแสจิตวิญญาณที่ส่งออกมาจากร่างกายซึ่งเป็นวิชาการแรกนั้นเรียกว่าวิชาปรัชญา แต่ธรรมชาติของจิตวิญญาณมนุษย์มิได้คิดหาเหตุผลของคำตอบในความรู้และความเป็นจริงจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เพราะสิ่งที่มาผัสสะอินทรีย์ ๖ นั้นมีมากมายหลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน บางครั้งมิได้จำกัดเฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ผัสสะเฉพาะ แต่มียังมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากมายหลายร้อยเรื่องที่ห่างไกลออกไปเกินประสาทสัมผัสจะรับรู้ก็มี ยิ่งมนุษย์สงสัยมากขึ้นเท่าใด ย่อมคิดหาเหตุผลจากสิ่งที่ตนเกิดความสงสัยมากยิ่งขึ้น เมื่อวิเคราะห์หาเหตุผลได้ข้อมูลของเนื้อหาวิชาการได้มากยิ่งขึ้นเท่าใด ย่อมมีการบันทึกด้วยตัวอักษรมากยิ่งขึ้น ทำให้ความรู้ที่มนุษย์คิดหาคำตอบในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นนั้นมากมายหลายต่อหลายเรื่องยิ่งในยุคต่อมาก็มีการสร้างเครื่องมือต่าง ๆ มาช่วยจิตวิญญาณของมนุษย์ให้วิเคราะห์ข้อมูลได้แม่นยำยิ่งขึ้นอย่างสมเหตุสมผลปราศจากข้อสงสัยในคำตอบของความรู้และความเป็นจริงอีกต่อไป ทำให้มีการแยกเนื้อหาวิชาการต่าง ๆ ออกเป็นสาขาใหม่อีกหลายวิชาตัวอย่างเช่น วิชาสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ นิติศาสตร์ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น เจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดสงสัยในชีวิตมนุษย์ว่า พระพรหมทรงลิขิตโชคชะตาของชีวิตมนุษย์เป็นไปตามที่พระพรหมต้องการหรือไม่ เพียงใด เพราะเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตั้งสติพิจารณาด้วยการคิดหาเหตุผลและทรงมีความเห็นว่า หากพระพรหมลิขิตชีวิตมนุษย์ได้จริง ทำไมพระองค์ทรงปล่อยให้ทุกชีวิตมนุษย์ในทุกชนชั้นวรรณะเกิด แก่ เจ็บ ตายเช่นเดียวกับพวกจัณฑาล หรือว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้าไม่มีอยู่จริง เมื่อพระพรหมเป็นความรู้ด้วยเหตุผลแต่ไม่มีอยู่จริงจึงไม่ได้ลิขิตชีวิตมนุษย์ให้เป็นไปอย่างเดียวกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าว พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยออกศึกษาค้นคว้าหาคำตอบของความรู้และความเป็นจริงเกี่ยวกับชีวิต
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แจ้งในที่สุดพระองค์ได้คำตอบของความรู้และความเป็นจริง จากการตรัสรู้แจ้งว่า มนุษย์ทุกชนชั้นวรรณะตกอยู่ภายใต้อำนาจของกฎธรรมชาติในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ไม่มีมนุษย์วรรณะใดหลุดพ้นจากกฎธรรมชาตินี้ได้ กล่าวคือ เมื่อมนุษย์สิ้นชีวิตลงไปแล้วร่างกายของมนุษย์เหมือนท่อนไม้ไร้ชีวิต แต่ในความจริงมนุษย์ยังจิตเป็นปัจจัยให้เกิดชีวิตขึ้นมา เมื่อชีวิตสิ้นลงไปจิตวิญญาณที่อาศัยร่างนี้นั้น จะออกจากร่่างกายไปจุติจิตไปสู่ภพภูมิอื่นต่อไป วิธีการการค้นพบกฎธรรมชาตินั้น ต้องลงมือปฏิบัติตามวิธีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ของพระองค์ทรงปฏิบัติเท่านั้น นอกจากกระบวนปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ นั้น ช่วยให้มนุษย์ค้นพบจิตวิญญาณของมนุษย์ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์แต่ละคน ที่จุติจิตออกจากร่างกายนั้นไปเกิดในภพภูมิอื่น ๆ ได้
วิชาปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์ กล่าวคือ เมื่อชีวิตมนุษย์ได้สัมผัสในสิ่งทั้งหลายแล้วปรากฏเรื่องราวขึ้นในจิตไม่ชัดเจน มนุษย์ต้องสงสัยว่า เรื่องเกี่ยวกับสิ่งนั้นเป็นอย่างไร เช่นเห็นคนตายแต่ไม่ใช่คนในท้องถิ่นตัวเอง ย่อมเกิดสงสัยว่าคนตายเป็นใคร มาจากไหน ชื่อนามสกุลว่าอะไร ถูกฆ่าตายด้วยสาเหตุอะไร เป็นความรู้ที่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในใจที่ไม่ชัดเจน พราหมณ์อารยันสอนว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และความเป็นจริงในสิ่งที่ผัสสะนั้น มนุษย์มีธรรมชาติเป็นผู้คิดจากสิ่งที่มาผัสสะนั้นการคิด ทำให้เกิดเหตุผล ได้อาศัยเหตุผลเป็นเครื่องมืออนุมานความรู้ไปสู่ความจริงเหตุผลนั้นเกิดจากการคิดของมนุษย์ พอมีความรู้ด้วยเหตุผลเพียงพอแล้วปราศจากข้อสงสัยในความเป็นจริงอีกต่อไปก็นำความรู้นั้น ไปพัฒนาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้เกิดประโยชน์แก่มนุษย์อีกต่อไป โลกเปลี่ยนไปแนวคิดของผู้คนในโลกได้เปลี่ยนแปลงไปความเจริญรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น เครื่องมือชี้วัดความสำเร็จในชีวิตของมนุษย์นั้นคนภายนอกเขาวัดจากปริมาณของมูลค่าทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ที่มนุษย์ครอบครองในขณะนั้นจากสื่อสารมวลชนนำเสนอไว้เป็นความคิดที่มีความเป็นสากลเป็นเครื่องมือวัดความสำเร็จในการใช้ชีวิตของมนุษย์แต่ละคนมนุษย์ จึงให้ความสำคัญกับธุรกิจซื้อมาขายไปอย่างรวดเร็วทำให้ได้เงินง่าย ขายคล่องกว่าอาชีพอื่น ๆ ทำให้ร่ำรวยเร็วกว่าการทำอาชีพอย่างอื่น ดังนั้นวิชาปรัชญาจึงไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด ในสมัยที่เป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยในอินเดียสาขาวิชาปรัชญาศาสนาไม่ค่อยมีคนอินเดียเรียนเท่าไหร่ นักเพราะจบมาแล้วไม่รู้จะทำงานอะไร ซึ่งแนวคิดของคนเป็นลูกจ้าง ทำงานตามคำสั่งของนายจ้างเท่านั้นอาจไม่ต้องใช้ความรู้อะไรมากมายแต่อย่างใด ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงสนใจความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจเป็นสาขาที่ทุกคนให้ความสนใจศึกษามากกว่าความรู้ในสาขาอื่น ๆ ทำไมคนไม่สนใจศึกษาปรัชญาส่วนใหญ่มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความยากจนขาดแคลนรายได้ ในการดำรงชีวิตอาชีพดั่งเดิมที่บรรพบุรุษทำไว้ไม่ตอบโจทก์ความร่ำรวยเพราะขายไม่ได้ราคา มนุษย์จึงแสวงหาวิธีการร่ำรวยในชีวิตมากกว่าเป็นนักคิดทางปรัชญาเมื่อมนุษย์สนใจความร่ำรวยมากกว่าจะมาเรียนทฤษฎีความรู้ทางญาณวิทยา.
นอกจากนี้ในยุคปัจจุบันมนุษย์พัฒนาศักยภาพตัวเอง ผ่านระบบการศึกษาในสถาบันการศึกษาที่รัฐสร้างขึ้นมา เมื่อจบการศึกษาก็หางานทำ และหารายได้ตอบสนองความต้องการของตัวเอง ชีวิตน่าจะเป็นสุขแล้ว นี่คือความคิดของคนที่เกิดมาเพื่อลูกจ้างคนอื่นตลอดชีวิต ไม่เคยคิดจะเป็นเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของกิจการแต่อย่างใด แต่การเป็นลูกจ้างก็มีข้อจำกัดของการทำงานไม่เกิน ๖๐ ปี ก็ต้องเกษียณอายุการทำงานลงหรือตกงานเพราะถูกเลิกจ้าง หากมีหนี้สินและไม่มีรายได้เข้ามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลที่เพิ่มเติมเข้ามา หากมีปัญหาเกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองคิดว่า จะทำอย่างไรให้ชีวิตตนสมบูรณ์แบบเช่นเดิม การไม่มีรายได้มาหล่อเลี้ยงชีวิตนั้น ย่อมนำซึ่งการคิดฟุ้งซ่านตลอดทั้งวันคิดซ้ำ ๆ จิตย่อมเกิดความเครียดทั้งจิตวิญญาณ และร่างกายทำให้ร่างกายไม่ทำงานตามปกติ ทำให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนย่อมนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เป็นต้น.
หากชีวิตของเราร่ำรวยด้วยอสังหาริมทรัพย์สินและมีเงินเหลือไปใช้ตลอดทั้งชีวิต แต่ก็ยังไม่เข้าใจความสุขที่แท้จริงของชีวิตที่พอเพียงทำงานให้มีอาชีพไม่ใช่ชีวิตที่โดดเดียวการได้สนทนากับผู้อื่นเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันย่อมทำให้ชีวิตไม่ไร้ค่าแต่อย่างใด การได้แบ่งปันประสบการณ์ชีวิตทั้งความล้มเหลวในการทำงาน การแต่งงานมีคู่ครองการเลี้ยงดูลูกหลานให้ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิต ย่อมใช้ชีวิต หากไม่มีประสบการณ์การใช้ชีวิตตนย่อมใช้ชีวิตตามอารมณ์ของจิตวิญญาณ ท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ ไร้จุดหมายตลอดทั้งคืนและเข้าไปยุ่งกับสิ่งเสพติด เพื่อปรุงแต่งชีวิตให้สนุกสนานตลอดทั้งคืนมีหลายตัวอย่างในสังคมปัจจุบัน เพราะชีวิตยังติดอยู่ในอารมณ์ความเสื่อมชีวิตจึงยังไม่มีความอิสระอย่างแท้จริง หรือหลายคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและการใช้ชีวิต แต่ชีวิตยังขาดอะไรสักอย่างที่หายไปไม่ได้สมบูรณ์อย่างที่ตนต้องการ ปัญหาสุดท้ายคือปัญหาสุขภาพร่างกายที่เป็นภาระคนอื่น ๆ ด้วย และใช้ทรัพย์มาดูแลสุขภาพที่เสื่อมโทรมอีก เมื่อวิเคราะห์แล้วเห็นว่ามนุษย์ก็ไม่อิสระจากความทุกข์ทรมานของชีวิตเพราะการเสพสุขในฉบับที่ตัวเองการไม่หลับนอนติดต่อกันหลายวันใช่จะพ้นทุกข์ เพราะร่างกายต้องการพักผ่อนเช่นเดียวกัน หากยังมัวเมาในสุขภาพที่คิดว่าตนเองไม่เป็นโรคภัยสุดท้ายก็เสียชีวิตลงไปเพราะขาดการพักผ่อนเช่นเดิมดังนั้น การศึกษาปรัชญาจะช่วยให้เราใช้ชีวิตด้วยการคิดมีเหตุผลของตรรกะทางปรัชญาช่วยให้พวกเรามีสติ รู้จักนึกคิด (จินตนาการ) และมีวิธีคิดเป็นระบบทำให้เข้าใจความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้นไป
๓. ทำไมจึงต้องเป็นวิชาปรัชญา
๓.๑ จุดมุ่งหมายของการเรียนพระพุทธศาสนา คือเพื่อสอนให้มนุษย์คิดหาเหตุผลก่อนเชื่อโดยเรียนรู้จากสิ่งต่าง ๆ ที่มาสัมผัสด้วยความสงสัย จากนั้นมนุษย์ก็เริ่มคิดและหาเหตุผล จนกระทั่งความรู้ผ่านเกณฑ์ในการตัดสินอย่างสมเหตุสมผลอย่างไร อย่างไม่ต้องสงสัยแม้ว่าจะมีข้อโต้แย้งก็ตาม การศึกษาพระพุทธศาสนาจึงเป็นวิธีการคิดให้เป็นระบบ ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงเป็นการสอนมนุษย์ใช้สติปัญญา (สติแปลว่าความระลึกถึงข้อมูลที่ผ่านมาหรือระลึกถึงประสบการณ์ของความรู้ที่ผ่านมา ส่วนตัวปัญญา คือการใช้จิตพิจารณาข้อมูลความรู้เคยศึกษามา ทดลอง ปฏิบัติมา ฯลฯ เป็นต้น) เมื่อพระพุทธศาสนาเป็นวิชาที่สอนให้ผู้เรียนคิดแตกต่างจากคนอื่น และหาเหตุผลที่จะยืนยันความคิดเห็นของเขาเอง นั่นคือหลักความรู้และเป็นความจริงที่ถูกต้อง การศึกษาพระพุทธศาสนา นำไปสู่การค้นพบแนวคิดที่มีเหตุผลมากมาย การได้รับหลายแนวคิดมากมาย ทำให้เกิดการพัฒนาความคิดในทางสังคมและนำไปสู่การใช้แนวคิด ดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมได้
๓.๒ แม้ปรัชญาจะเป็นมารดาแห่งศาสตร์ทั้งปวงตามความเห็นของนักปรัชญาตะวันตกก็ตาม แต่พระพุทธศาสนาก็เกิดก่อนปรัชญาตะวันตกและวิชาการต่าง ๆ เปิดสอนในสถาบันการศึกษาทั่วโลกนั้น แม้นักวิชาการต่าง ๆจะอ้างว่าต่างแยกตัวออกจากวิชาปรัชญา เมื่อวิชาใดแม้แยกตัวจากวิชาปรัชญาสาขาวิชานั้น ยังนำแนวคิดจากปรัชญาไปใช้ด้วยทุกวิชา เช่นวิชานิติศาสตร์ แยกตัวออกจากปรัชญาแต่นำทฤษฎีความรู้ทางปรัชญาไปใช้โดยเฉพาะการรับฟังพยานหลักฐาน (ที่มาของความรู้) ในลงโทษจำเลย หรือยกฟ้องจำเลย แต่ละวิชาจึงมีหลักความรู้หรือแนวคิดของปรัชญาเป็นของตัวเอง กล่าวคือทุกวิชาต้องใช้ตรรกะ (ลักษณะพื้นฐานของขอบเขตแนวคิดของปรัชญาอย่างหนึ่ง) หรือวิธีการคิดทางปรัชญาอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อเรามีวิธีคิดทางปรัชญาติดตัวไป เราก็สามารถนำไปบูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ของมนุษย์ได้ทุกสาขาวิชา
๓.๓ เรียนปรัชญาทำให้เราเข้าใจตัวเองได้ย่อมเข้าใจคนอื่น
ธรรมดาของมนุษย์ชอบที่จะรู้จักเรื่องของคนอื่นมากกว่าความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง ในโลกปัจจุบันมนุษย์กำลังแสวงหาความฝันของตัวเองเพื่อให้ตัวเองมีความรู้ดี มีความก้าวหน้าในชีวิตมากกว่าคนรุ่นเดียวกัน การศึกษาในวันนี้เน้นการแข่งขันเพื่อนำความรู้สู่การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จมีความมั่นคง มั่งคั่งด้วย เงิน ทอง ทรัพย์สิน และมีความสะดวกสบายมากขึ้นในชีวิตปัจจุบันมากกว่าใช้ชีวิต เพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์ของภัยในชีวิตบนโลกมนุษย์นี้ ดังนั้นการศึกษาวิชาปรัชญาเพื่อให้มีความรู้และความเข้าในหลักความรู้และความจริงของปรัชญานั้น วิธีการเรียนจึงมีความสำคัญ เนื่องจากแนวคิดของปรัชญามีอยู่ในสำนักต่าง ๆ มีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ละสำนักเสนอแนวคิดทางปรัชญาเป็นตำราและเอกสารบันทึกกันไว้เป็นจำนวนมาก วิธีการศึกษาของสถาบันการศึกษาต่างๆ จะเน้นให้นิสิตเรียนรู้จากตำราที่ผู้แต่งตำราได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรทั้งสิ้น การศึกษาของนิสิตนอกจากการฟังคำบรรยายจากอาจารย์ผู้รับผิดชอบรายวิชาและผู้สอนช่วยให้นิสิตมีความรู้เพิ่มเติมจากตำรามีผู้แต่งไว้หลายคน แต่การศึกษาปรัชญาจากเอกสารวิชาการต่างๆแต่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ศึกษาได้ ผู้เรียนต้องรู้ต้องสามารถใช้แนวคิดของปรัชญาต่าง ๆ มาวิเคราะห์เพื่อให้ได้หลักความรู้และความจริง และนำไปสร้างนวัตกรรมใหม่เกิดองค์ความรู้ใหม่ สามารถนำไปใช้เกิดประโยชน์แก่ผู้ศึกษาในเชิงธุรกิจได้อย่างแท้จริงการศึกษาวิชาปรัชญาในสมัยใหม่ ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องศึกษาในห้องเรียนเพื่อฟังอาจารย์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว เพราะทุกหนทุกแห่งที่ตั้งอยู่ในโลกนี้ ได้มีการแชร์ความรู้ออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ตให้ศึกษาได้แล้ว
โลกออนไลน์คือสถาบันการศึกษายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากมนุษย์สามารถทำให้อินเตอร์เน็ตเป็นอุปกรณ์สื่อสารได้ มนุษย์จึงสามารถแบ่งปันความรู้ในด้านต่าง ๆ ให้เราศึกษาได้ตลอดเวลา ทำให้เราจัดการเรียนการสอนในรูปแบบการสัมมนาวิชาการในหัวข้อต่างๆ และเรายังศึกษาจากเว็ปไซด์ต่าง ๆ ที่เขียนแนวคิดทางปรัชญาทำให้นิสิตผู้สนใจศึกษา มีแนวคิดของการใช้ความรู้ได้หลากหลายมากขึ้นการสอบวัดผลแนวคิดทางปรัชญาควรจัดขึ้นในรูปแบบการสอบเชิงวิเคราะห์ ช่วยให้การศึกษาหลักสูตรปรัชญาน่าสนใจศึกษาหาความรู้ได้มากยิ่งขึ้นสิ่งที่เรียกว่า"ปรัชญาประยุกต์"ช่วยให้ผู้เรียนได้เห็นประโยชน์ของแนวคิดทางวิชาปรัชญาชัดเจนยิ่ง ๆ ขึ้นเนื่องจากแนวความคิดที่แท้จริงของศาสตร์ต่างๆ ที่เกิดในโลก วิชาเหล่านี้แยกออกจากวิชาปรัชญาทั้งสิ้นโดยนำแนวคิดของหลักความรู้ และความจริงของปรัชญาที่เสนอประเด็นไว้ให้แก่สังคมนั้น ให้ผู้ที่สนใจนำหลักความรู้และความจริงนั้น มาสู่วิธีการพัฒนามนุษย์ให้มีศักยภาพมากของชีวิต มีความรู้ขยายออกไปมากยิ่งขึ้นส่วนเครื่องมือคอมพิวเตอร์สร้างขึ้นมาสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้อย่างถูกต้องและมากยิ่งขึ้นเท่านั้น.
เนื่องจากมนุษย์เรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของตน ทำให้มนุษย์มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นไปแห่งวิถีชีวิตของตนเองแม้มนุษย์จะเข้าถึงความรู้และชีวิตที่เป็นจริงยากก็ตาม แต่ถ้ามนุษย์ปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยพึ่งพาตนเอง ด้วยความอดทนของตนเอง ใช้เวลาไม่นานนักก็จะบรรลุหลักความรู้และความจริงในพระพุทธศาสนาได้ เมื่อมนุษย์มีความรู้ และเข้าใจในชีวิตของตนเองย่อมไม่ใช้ชีวิตอย่างคนไร้ศักดิ์ศรีเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีความคิดใด ๆไม่มีอัตตาความโง่เขลาและยากที่จะเข้าถึงอารมณ์ที่แท้จริงได้ วิธีการใช้ชีวิตอย่าง ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เริ่มตั้งแต่เข้าทำสงครามแผ่ขยายอำนาจด้วยเข้าแย่งดินแดนใช้เป็นที่อยู่อาศัย แย่งน้ำ และอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคสิ่งเหล่านี้เป็นการใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณของสัตว์โลกทั่วไป การเรียนรู้เรื่องราวของตัวมนุษย์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นการศึกษาความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของชีวิตมนุษย์จะเห็นได้ว่าทุกคนมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมากจากสภาพทั่วไป เมื่อเราพิจารณาใคร่ครวญอย่างท่องแท้แล้วเกิดคำถามขึ้นมาว่าทำไมมนุษย์จึงมีความแตกต่างกันในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการปลูกสร้างบ้านที่อยู่อาศัยมีสภาพที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นขนาดของบ้านที่อยู่อาศัยเครื่องอำนวยความสะดวกสบาย ความสมบรูณ์ของอาหารการกินของแต่ละครอบครัวมีฐานะในตำแหน่งทางสังคมที่แตกต่างกันมีจำนวนของบริวารคอยรับใช้ช่างแตกต่างกัน มีกฎข้อบังคับทางสังคมมากมายที่ทำให้มนุษย์ทุกคนดำรงชีวิตแตกต่างกันจนกระทั่งไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ในสังปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น