Facts about Buddhism 's patronage of King Bim bisara
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา
เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อเท็จจริงเรื่อง "การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา" จากหลักฐานเอกสารในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ อรรถกถา และเอกสารวิชาการอื่น ๆ เราจึงได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในยุคก่อนพุทธกาล พระเจ้าสุทโธทนะ เจ้าชายสิทธัตถะราชวงศ์ศากยะ และประชาชนในแคว้นสักกะและแคว้นโกลิยะ ต่างเชื่อในคำสอนของพราหมณ์อารยัน และเชื่อเทพเจ้ามีอยู่จริง ในยามทุกข์ยากลำบาก พวกเขาไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ต้องพึ่งเทพเจ้าเพื่อบรรลุความสำเร็จในชีวิตผ่านพิธีกรรมบูชายัญของพราหมณ์อารยัน
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเรื่องราวว่า พระพรหมทรงลงโทษประชาชนในแคว้นสักกะและทั่วอนุทวีปในข้อหาสมสู่กับคนต่างวรรณะอันเป็นกระทำความผิดต่อกฎหมายวรรณะ และคำสอนในศาสนาพราหมณ์พราหมณ์ นักโทษเหล่านั้นถูกคนในสังคมเรียกว่า "เป็นคนจัณฑาล แต่พระองค์ทรงไม่เชื่อว่าการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์ แต่พระองค์ทรงไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการบูชายัญ หากพระองค์ทรงฝ่าฝืนด้วยการบูชายัญเทพเจ้าด้วยพระองค์เอง จะเป็นความผิดอย่างร้ายแรงต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินใจที่จะปฏิรูปสังคมในอาณาจักรสักกะผ่านระบบรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ โดยเสนอกฎหมายยกเลิกวรรณะ เมื่อสมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ พิจารณาร่างกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับการยกเลิกวรรณะตามที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสนอให้พิจารณา เมื่อสมาชิกรัฐสภาพิจารณาแล้ว ก็ไม่เห็นชอบด้วยกับร่างกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับการยกเลิกวรรณะ เพราะขัดต่อมาตรา ๓ ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายจารีตประเพรีสูงสุดในการปกครองอาณาจักรสักกะ เป็นต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเรื่องราวของพระพรหมลงพรหมทัณฑ์ชาวแคว้นสักกะ พวกเขาก็สูญเสียสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา ถูกขับไล่ออกจากบ้านเกิดเมืองนอนไปตลอดชีวิต ต้องทนทุกข์ทรมาน แม้ในยามชรา เจ็บป่วยและตายอยู่บนถนน เป็นต้น เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และศาสนาพราหมณ์ในอาณาจักรสักกะ พระองค์ทรงเห็นว่าเมื่อชาวสักกะเชื่อมั่นในคำสอนของพราหมณ์อารยันเกี่ยวกับเทพเจ้าหลายองค์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่มีสิทธิที่จะถวายเครื่องบูชาต่อเทพเจ้าโดยตรง แม้แต่เจ้าชายสิทธัตถะพระราชโอรสองค์โตของพระเจ้าสุทโธทนะ ซึ่งต่อมาได้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอาณาจักรสักกะต่อจากพระราชบิดา ก็ไม่สามารถถวายเครื่องบูชาโดยตรงได้เนื่องจากกฎหมายวรรณะห้ามไว้ หากเจ้าชายสิทธัตถะทรงทำพิธีกรรมบูชายัญด้วยพระองค์เองโดยไม่ผ่านการทำพิธีกรรมของพราหมณ์อารยันแล้ว ถือว่า พระองค์ทรงกระทำผิดฐานฝ่าฝืนคำสอนศาสนาและกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีอย่างร้ายแรงแล้ว ถูกลงพรหมทัณฑ์จากคนในสังคม เมื่อถูกพิพากษาว่ากระทำความผิดจริง พระองค์ต้องสูญเสียสิทธิ หน้าที่ตามกฎหมายวรรณะที่พระองค์ทรงเกิดมา เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อคนส่วนใหญ่ในอนุทวีปอินเดียขาดการศึกษา พวกเขาจึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับเทพเจ้า ผ่านอายตนะภายในร่างกายของตนเองและสั่งสมไว้ในจิตใจ ยกเว้นวรรณะพราหมณ์เท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นข้ออ้างว่ามีอยู่ แต่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ ดังนั้น เมื่อคำสอนเรื่องวรรณะเป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะ ชาวอาณาจักรสักกะจึงถูกลิดรอนสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเพราะถูกเลือกปฏิบัติในสังคมของอาณาจักรสักกะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่สามารถปฏิรูปสังคมได้ เพื่อให้ชาวสักกะทุกคนมีสิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกันตามกฎหมาย ชีวิตของชาวอาณาจักรสักกะจึงอยู่ในความมืดมนตลอดไป มีเพียงวิธีเดียวที่จะพิสูจน์ความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้าได้ นั่นก็คือ พระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะทิ้งวรรณะกษัตริย์เพื่อผนวชเป็นพระโพธฺสัตว์ พระองค์จึงทรงสามารถทำพิธีบูชายัญและสาธยายพระเวทได้โดยไม่ผิดกฎหมายวรรณะ เพื่อขอพรพระพรหมให้ช่วยเหลือชาวสักกะโดยการยกเลิกวรรณะ
เมื่อพระองค์ทรงผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ละทิ้งบ้านเรือนและไม่เกี่ยวกับบ้านเรือนอีกต่อไป พระองค์ทรงสามารถทำพิธีบูชาได้ โดยไม่ละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะอีกต่อไป พระองค์ทรงใช้เวลาหลายปี จึงจะค้นพบการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เมื่อพระองค์ทรงได้ลงมือภาวนาตามมรรคมีองค์๘ จนตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์เป็นความรู้ที่เรียกว่า"อภิญญา๖" เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์จึงได้ทรงทดสอบความรู้ในระดับอภิญญา ๖ ด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เป็นเวลา ๗ สัปดาห์ ๔๙ วันได้ผลลัพธ์เหมือนกันคือ "อภิญญา ๖"
เมื่อพระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาและพระองค์ทรงนำหลักปฏิจจสมุปบาท มาอธิบายในรูปของคำสอนเรื่องอริยสัจ ๔ วิชชา ๓ กรรม, ธัมมจักรกัปวัตนสูตร เป็นต้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรกแก่ปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ต่อมาเรียกว่าตำบลสารนารถ อำเภอพาราณสี รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย คำสอนเรื่อง อริยสัจ ๔ เป็นความรู้ที่แท้จริงของมนุษย์ทุกชีวิตและผ่านเกณฑ์การตัดสินที่สมเหตุสมผล โดยปราศจากความสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ และหลักอริยสัจ ๔ จึงเป็นเครื่องยืนยันข้อพิสูจน์ความจริงของมนุษย์มานานกว่า ๒,๕๐๐ ปีแม้ว่าจะมีนักปรัชญาในยุคหลังพุทธกาล ที่จะนำข้อเท็จจริงอื่น ๆ มาโต้แย้งและหักล้างข้อพิสูจน์ความจริงตามอริยสัจ๔ ก็ตาม เพราะข้อพิสูจน์เหล่านั้นเป็นการคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผลเท่านั้น มิใช่หลักฐานจากการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ที่จะเข้าถึงความจริงของชีวิตมนุษย์ในระดับอภิญญา ๖ ได้
ติดตามปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาในพระไตรปิฎก(ตอน๗) การตรวจสอบหลักฐานเกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น