โดยทั่วไปแล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก ระบบสุริยะจักรวาล และจักรวาลอื่น ๆที่มนุษย์รับรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกายและรวบรวมเรื่องราวเหล่านี้ ล้วนเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจของตนเอง แต่ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์นั้น ไม่เพียงแต่รับรู้ และเก็บเรื่องราวไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจเท่านั้น แต่มนุษย์ยังมีธรรมชาติของการเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อชีวิตมนุษย์รับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง พวกเขาจะคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้นโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักตรรกะหรือนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น ๆ เพื่อเผยแผ่ความรู้เรื่องนั้นไปสู่สังคมตัวอย่างเช่น
เมื่อมนุษย์รับรู้ถึงการมีอยู่ของโลก ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ดวงดาวต่าง ๆ ผ่านอายตนะภายในของตนเองและรวบรวมเรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ แล้ว นักปรัชญาและนักตรรกะก็จะใช้หลักฐานเหล่านี้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของโลก ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ เป็นต้น โดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงเกี่ยวกับโลก จักรวาล ดาวเคราะห์ และดาวฤกษ์ได้อย่างสมเหตุสมผล ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่มีใครสร้างขึ้น เป็นข้อเท็จจริงได้ยินมาที่สืบทอดกันมาในทุกยุคทุกสมัย แต่ในความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นเองตามความเข้าใจของมนุษย์ทุกอย่างมีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น
ในก่อนสมัยพุทธกาล ชาวสักกะและชาวโกลิยะเชื่อตามคำสอนของพราหมณ์อารยันว่า ชีวิตมนุษย์สร้างขึ้นจากร่างกายของพระพรหมเองและพระองค์ทรงได้สร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้น ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา ตามความคิดของพราหมณ์บางกลุ่มในสมัยอินเดียโบราณที่เชื่อตามครูบาอาจารย์ ดังนั้นพระพรหมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์เกิดมา
เมื่อชีวิตมนุษย์ในอนุทวีปอินเดียไม่แน่นอน ทุกคนเกิดมาด้วยความไม่รู้ เมื่อกลัวความตาย ชีวิตก็ทุกข์ระทมเพราะไม่อยากตายและไม่สามารถคิดใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่เกิดขึ้น จึงไม่มีความรู้เป็นที่จะพึ่งตนเองเพื่อใช้ความรู้ไปแก้ไขปัญหาชีวิตได้ เมื่อเกิดความทุกข์ในชีวิตก็ขาดศรัทธาที่จะพึ่งตนเองคิดแต่จะพึ่งผู้อื่นเท่านั้นจึงไม่ศึกษาค้นคว้าแสวงหาความรู้เพื่อพึ่งตนเองอย่างจริงจัง พวกเขาจึงไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะจดจำความรู้ที่สั่งสมไว้ในใจ เพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาชีวิตไม่มีสมาธิและยอมรับความจริงโดยปริยาย เมื่อผู้คนเชื่อว่าพระพรหมมีอยู่จริง พวกเขามักจะทำพิธีบูชายัญเพื่อขอให้พระพรหมช่วยให้พวกเขาบรรลุสิ่งที่พวกเขาต้องการ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของชีวิตมนุษย์ทุกคนเกิดจากปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดา เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ดำรงชีวิตอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็ตายไปเป็นกฎธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนสามารถรับรู้ผ่านอายตนะภายใน และเก็บเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต ดังนั้นความจริงของชีวิตมนุษย์ วิญญาณเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์เกิดมาเป็นมนุษย์คนใหม่
ในเรื่อง "หลุมดำ" นั้น ถูกค้นพบโดยกลุ่มคนที่เรียกว่า "นักตรรกะ,นักปราชญ์" จุดเริ่มต้นก็คือเมื่อพวกเขาสามารถมองเห็น (รับรู้)ขอบฟ้าสีดำผ่านอายตนะภายในร่างกายของตนเองและเก็บเรื่องราวของขอบฟ้าสีดำไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ แต่ธรรมชาติของคนเหล่านั้น ไม่ได้มีแค่การรับรู้และเก็บหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจเท่านั้น พวกเขายังมีธรรมชาติของการเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อชีวิตของพวกเขาได้รับรู้เรื่องราวของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง พวกเขาจะคิดจากสิ่งนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้นแต่เมื่อมนุษย์มีความสามารถในการรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้จำกัดและมีความลำเอียงจากความไม่รู้ของตนเองต่อผู้อื่น ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงของขอบฟ้าสีดำเหล่านั้น เมื่อนักตรรกะ นักปรัชญาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหลุมดำนี้ตามปฏิภาณของตนเอง โดยใช้เหตุผลและคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมา พวกเขาอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้อย่างถูกต้องบ้าง อาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงได้อย่างผิด ๆ บ้าง อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงเป็นอย่างนี้หรือ อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างนั้น เมื่อวิญญูชนได้ยินความคิดเห็นเกี่ยวกับคำตอบของนักตรรกะนักปรัชญา ซึ่งไม่ชัดเจนว่าความจริงของหลุมดำเกิดขึ้นได้อย่างไรแล้ว วิญญูชนจะไม่เชื่อเหตุผลของคำตอบและจะไม่ยอมรับคำตอบของเรื่องนัั้น เป็นความรู้ที่แท้จริงได้
เมื่อนักวิทยาศาสตร์เห็นว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์มีการรับรู้ที่จำกัดและมีอคติเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทำให้ชีวิตมนุษย์ตกอยู่ในความมืดมน จึงขาดปัญญาในการเข้าใจความจริงของหลุมดำนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ และถ่ายภาพหลุมดำไว้นับล้านภาพนั้น เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของหลุมดำและรวบรวมหลักฐานจากภาพถ่าย เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว พวกเขาก็ใช้หลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบของหลุมดำ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงของขอบเขตความรู้ของหลุมดำว่า หลุมดำอาจเกิดจากการเผาไหม้ของก๊าซธรรมชาติบนดวงดาวนับล้านดวง ควันจากการเผาไม้ของก๊าซธรรมชาติถูกปล่อยออกมาและลอยอยู่บนขอบฟ้าสีดำหลุมดำเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจักรวาลเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงรู้ว่าไม่มีสิ่งใดในจักรวาลเกิดขึ้นเองโดยตัวของมันเอง แต่ทุกสิ่งล้วนเกิดจากปัจจัยหลายอย่างรวมกันแม้แต่มนุษย์เองก็ไม่สามารถหลีกหนีกฎธรรมชาตินี้ได้ ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง"หลักปฏิจจสมุปบาท"ที่ว่ามนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและวิญญาณ ที่มารวมกันในครรภ์มารดาเพื่อสร้างชีวิตของมนุษย์ขึ้นมา ร่างกายของมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยตัวของมันเอง แต่เกิดจากการปฏิสนธิของวิญญาณในครรภ์มารดา
ดังนั้น จักรวาล โลก ดาวเคราะห์ ดวงอาทิตย์และดวงดาวนับล้านดวงลอยอยู่ในหลุมดำนั้น จึงไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เช่นกัน แต่เกิดจากปัจจัยหลายประการ ที่ก่อให้เกิดสิ่งเหล่านั้น เมื่อมนุษยชาติได้ตระหนักถึงดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน มันคือความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ แต่ธรรมชาติของจิตใจของมนุษย์ไม่ได้แค่การรับรู้และเก็บหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจเท่านั้น แต่จิตใจของมนุษย์ก็ยังคงเป็นผู้คิด เมื่อมนุษย์รู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วพวกเขาก็จะคิดจากสิ่งนั้น ซึ่งเป็นหลักฐานทางอารมณ์ที่มีอยู่ในจิตใจ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องที่น่าสงสัย โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา นักตรรกะในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น
ในความคิดเห็นของผู้เขียน โดยคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมาในเรื่อง สาเหตุของการเกิดดาวฤกษ์และดาวเคราะห์นั้น มาจากฝุ่นซึ่งเป็นสารที่มีพลังงานดึงดูดซึ่งกันและกัน จนก่อให้เกิดโลกดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ขึ้นมา เป็นต้น แต่โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์มีความสามารถในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตได้จำกัด`และมักมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ ความเกลียดชัง ความกลัว และความรักผู้อื่่น เป็นต้น ทำให้ชีวิตมืดมนอยู่ตลอดเวลา ชีวิตมักติดอยู่กับอารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้าในชีวิตและสั่งสมอยู่ในจิตใจ จิตใจจึงมักทบทวนอารมณ์เหล่านั้น จึงยึดติดกับความสุขที่เคยมีกับผู้อื่น และไม่พอใจกับอารม์ร้ายต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต จึงปล่อยชีวิตไปตามที่พอใจจึงไม่สามารถคิดแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆได้ ที่เรียกว่า"ปัญญา" ที่เข้ามาในชีวิต เพื่อแก้ปัญหา หรือเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมาจากผู้อื่นมากเกินไป จนไม่สามารถคิดและแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ด้วยเอง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาความมืดมนของชีวิตมนุษย์ได้รับการแก้ไข เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของพวกจัณฑาล ซึ่งถูกพระพรหมลงโทษซึ่งเป็นโทษตามกฎหมายวรรณะ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในอนุทวีปอินเดีย แม้ว่านิกายพราหมณ์ต่าง ๆ จะอธิบายความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้า ให้เจ้าชายสิทธัตถะรับรู้อย่างสมเหตุสมผลแล้ว แต่ข้อเท็จจริงของคำตอบของเรื่องนี้ยังคงไม่ชัดเจน เนื่องจากเป็นความรู้ที่เกินขอบเขตของอายตนะภายในของมนุษย์ทั่วไป เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีความสามารถในการรับรู้จำกัด และไม่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าด้วยการทำบูชายัญ เพื่อถวายของมีค่าแก่เทพเจ้าได้ เพราะหากพระองค์ทรงทำการบูชายัญ ก็จะขัดต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ทำให้พระองค์ทรงสงสัยถึงการมีอยู่ของเทพเจ้า
ปัญหาความเป็นจริงของมนุษย์ พราหมณ์อารยันได้ยืนยันการมีอยู่ของพระพรหม โดยสร้างมนุษย์จากพระกายของพระองค์เอง แต่ไม่มีหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ได้ แม้ว่าจะมีข้ออ้างว่าพราหมณ์ก่อนหน้านี้ เคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงถามถึงประวัติของพระพรหม ไม่มีพราหมณ์คนใดสามารถตอบเจ้าชายสิทธัตถะได้ การให้การของพราหมณ์นั้นน่าสงสัยและไม่น่าเชื่อถือ เพราะไม่สามารถยืนยันความจริงของการมีอยู่ของเทพได้ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดความสงสัยในความจริงของการมีอยู่ของพระพรหม และเจ้าชายสิทธัตถะทรงต้องการแสวงหาความรู้เกี่ยวข้องกับพระพรหมเพิ่มเติม เมื่อพระองค์ทรงสืบเสาะข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว พระองค์ก็จะทรงใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบของเรื่องนี้
ตัวอย่างเช่น ดวงดวงที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า และนักปรัชญาจะเรียกดวงดาวเหล่านั้นว่า โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นต้น เมื่อนักปรัชญา นักตรรกะเห็นดวงดาวเหล่านั้น พวกเขาจะสงสัยเกี่ยวกับองค์ประกอบของธาตุที่ก่อให้เกิดดวงดาวเหล่านั้น และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์เป็นข้อมูลที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของตนเอง แต่เมื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานแล้ว ก็ยังไม่ชัดเจนว่าโลกและดวงดาวมีต้นกำเนิดมาได้อย่างไร ? นักปรัชญาหลายคนก็จะตั้งคำถามว่าองค์ประกอบความรู้ในยุคแรก ๆ ของโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นต้น
แนวคิดปรัชญาพุทธภูมิคือความรู้ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน แต่เป็นความรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมไว้ในจิตใจของผู้เขียน ซึ่งได้เดินทางไปแสวงบุญในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เมืองในสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เป็นเวลานานหลายปี เมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งนี้ยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า เมื่อผู้เขียนเดินทางไปยังสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานที่เหล่านี้แล้ว ก็ยอมรับโดยปริยายว่าพยานวัตถุเหล่านี้ เป็นสถานที่จริงตามประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเมื่อได้ยินข้อความเห็นใด ๆ อย่าเชื่อทันทีว่าเป็นความจริง แต่ควรสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ และมีหลักฐานเพียงพอที่จะให้ข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ โดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของคำตอบตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
แต่เมื่อพิจารณาพยานวัตถุ โดยวิเคราะห์พยานวัตถุแล้วและอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงแล้ว เพื่อพิสูจน์ความจริงของการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาอธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบ เมื่อเรื่องราวยังไม่ชัดเจนว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อข้อเท็จจริงยังคลุมเครือ ผู้เขียนจึงชอบค้นคว้าเพิ่มเติม โดยสืบเสาะข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากพระไตรปิฎกมหาจุฬา พระไตรปิฎกหลวง บันทึกการเดินทางแสวงบุญของพระภิกษุจีน แผนที่โลกของกูเกิล และแผนที่โบราณของอินเดีย พยานวัตถุได้แก่ พุทธสถานทางโบราณคดีในสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล หลักฐานของนักโบราณคดีชาวอินเดีย บทความบนเว็บไซต์ และความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในใจของผู้เขียนซึ่งทำงานเป็นพระนักเทศน์
ดังนั้น ปัจจัยที่ก่อให้เกิดปรัชญาในดินแดนพุทธภูมิ จึงเกิดจากหลายสาเหตุที่ทำให้ผู้เขียนตัดสินใจเขียนปรัชญาพุทธภูมิในรูปแบบบล็อค(Blog) กล่าวคือ
หลังจากที่ผู้เขียนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาปรัชญา มีทุนการศึกษาเพียงพอ และตัวแทนของผู้เขียนได้ติดต่อกับมหาวิทยาลัยที่สาธารณรัฐอินเดียแล้ว ผู้เขียนได้ขึ้นเครื่องบินของการบินไทยจากสนามบินนานาชาติดอนเมืองไปยังสนามบินนานาชาติโกลกาตา เวลาเช็คอิน คือ ๑๐.๐๐ น. และบินขึ้นจากสนามบินดอนเมืองในเวลา ๑๓.๐๐ น. เครื่องบินของการบินไทยไปถึงท่าอากาศยานนานาชาติโกลกาตาเวลา ๑๖.๐๐ น. นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผู้เขียนได้เดินทางไปต่างประเทศ ความฝันที่ผู้เขียนจินตนาการไว้ชัดเจนขึ้น ไม่มีอะไรต้องกังวล แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะยาวไกล และไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่
ในปี ๒๐๐๒ สนามบินนานาชาติโกลกาตา ยังเป็นเพียงสนามบินเล็กๆ อย่างไรก็ตาม พระภิกษุชาวไทยมักจะเดินทางไปสาธารณรัฐอินเดีย เพื่อแสวงบุญที่สังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง พวกเขาใช้สนามบินแห่งนี้เป็นประจำ และขึ้นรถไฟจากสถานีเฮาลารา ในเมืองกัลกาต้าไปถึงเมืองคยา เมื่อผู้เขียนเดินทางมาถึงอินเดียเป็นครั้งแรก ผู้เขียนตื่นเต้นมากที่จะได้พบกับผู้คนหลายชาติและศาสนาต่าง ๆ มารวมตัวท่องเที่ยวกันในอินเดีย หลังจากเช็คเอ้าท์จากสนามบินแล้ว ผู้เขียนก็คิดไปเองว่ามาถึงเมืองพาราณสีซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาลัยที่เราจะมาเรียนหนังสือแล้ว แต่ปรากฏว่าคณะนั่งแท็กซี่ไปวัดพุทธมหายานเพื่อรอเวลาขึ้นรถไฟประมาณ ๑๙.๐๐ น. ที่สถานีรถไฟเฮาลารา ตั้งอยู่ในเมืองกัลกัตตาซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดีย
ในระหว่างการเดินทางโดยรถไฟจากเมืองโกลกาตาไปยังเมืองพาราณสี ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเมืองพาราณสีจากนักศึกษามหาวิทยาลัยรุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า เมืองพาราณสีเป็นสถานที่เกิดของพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรก พระรัตนตรัยครบสามประการในเมืองพาณาณสีนี้และพระองค์ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ให้การอุปสมบทพระภิกษุ เป็นครั้งแรก การบวชจึงเป็นพิธีกรรมแรกในพระพุทธศาสา และพุทธสถานแห่งแรกในพระพุทธศาสนา คือ มูลกุฎีของพระพุทธเจ้าในวัดพระพุทธเจ้า เมื่อผู้เขียนและคณะมาถึงสถานีรถไฟเฮาลาราผู้เขียนเห็นว่าชาวอินเดียนิยมเดินทางโดยรถไฟโดยสารไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วอินเดีย ส่วนใหญ่เดินทางกับครอบครัว อาคารสถานีรถไฟเฮาลารามีขนาดใหญ่เป็นจุดเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟต่าง ๆ ป้ายบอกทางที่สถานีรถไฟส่วนใหญ่เป็นภาษาฮินดีและใช้ภาษาอังกฤษเพียงเล็กน้อยในการสื่อสารกับชาวต่างชาติ ผู้เขียนรู้สึกคุ้นเคยกับชาวกัลกัตตาเป็นอย่างดีและไม่รู้สึกว่าตนเป็นคนแปลกหน้าสำหรับชาวอินเดีย
ผู้เขียนและคณะเดินทางมาถึงเมืองพาราณสีเกือบ ๘ โมงเช้า นักศึกษาชั้นปีที่ ๔ จากมหาวิทยาลัยหลายคน มาต้อนรับคณะของเราที่สถานีรถไฟมงคลสาหร่าย ชีวิตของผู้เขียนเริ่มต้นการเดินทางอีกครั้งหนึ่งที่ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ และผู้เขียนไม่รู้จะเจออะไรอีกในอนาคต แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีของชีวิต ที่เราจะใช้เป็นปัจจัยในการปรัชญาในแผ่นดินของพระพุทธเจ้า ดังนั้นปัจจัยที่ก่อให้เกิดปรัชญาในแผ่นดินของพระพุทธเจ้า มีดังต่อไปนี้
(อ่านเพิ่มเติมได้ใน ๒.พยานวัตถุยืนยันการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น