โดยทั่วไปแล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก ระบบสุริยะ และจักรวาล ล้วนรับรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกาย และเรื่องราวต่าง ๆ ถูกรวบรวมไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีเพียงการรับรู้และเก็บเรื่องราวไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจเท่านั้น ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ยังเกี่ยวข้องกับการเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งใด พวกเขาจะคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักตรรกศาสตร์หรือนักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงอย่างมีเหตุผล ความรู้นี้สามารถเผยแพร่สู่สังคมมนุษย์เพื่อการศึกษา วิจัย และการสำรวจเพิ่มเติม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมนุษย์รับรู้การมีอยู่ของโลก ดาวเคราะห์และดวงดาวต่าง ๆ ผ่าน อายตนะภายในและรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับดวงดาวเหล่านี้ไว้ เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ นักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์จะใช้หลักฐานเหล่านี้ เป็นข้อมูลสำหรับวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริง ก็เพื่อพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของโลก ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ เป็นต้น โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงเกี่ยวกับโลก จักรวาล ดาวเคราะห์และดวงดาวต่าง ๆ อย่างสมเหตุสมผล สิ่งเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่มีใครสร้างขึ้น มนุษย์เคยได้ยินเรื่องเล่าที่สืบทอดกันตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบันที่ว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ และโลก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเองตามความเข้าใจของมนุษย์หรือเทพเจ้าบันดาลให้เกิดขึ้น ทุกสิ่งล้วนมีปัจจัยที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์นี้
ก่อนสมัยพุทธกาล ชาวสักกะและชาวโกลิยะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและขาดที่พึ่งอันสูงสุด พวกเขาจึงหันไปพึงพราหมณ์นิกายต่าง ๆ โดยเชื่อในคำสอนของพราหมณ์อารยันที่ว่า ชีวิตมนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระพรหมจากพระวรกายของพระองค์เอง และพระองค์ทรงสร้างวรรณะต่าง ๆ ขึ้นเพื่อให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะของตน ทัศนะนี้สอดคล้องกับพราหมณ์บางคนในสมัยอินเดียโบราณซึ่งเชื่อในคำสอนของครูบาอาจารย์ของตนเอง ดังนั้น พระพรหมจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างมนุษยชาติ อย่างไรก็ตาม ชีวิตมนุษย์ทั่วโลกนั้นไม่แน่นอนและทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ เมื่อมนุษย์กลัวความตาย ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานเพราะไม่อยากตาย ชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน ขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องชีวิตอย่างมีเหตุผลได้
ดังนั้น พวกเขาจึงขาดความรู้เพื่อที่พึ่งของตนเองในการแก้ปัญหาชีวิต เมื่อเผชิญกับความทุกข์ทรมานของชีวิต พวกเขาจึงพึ่งพาผู้อาวุโสของประเทศ คือ พราหมณ์นิกายต่าง ๆ ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา แม้ว่าพวกเขาสามารถใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงที่สมมติขึันและความจริงขั้นปรมัตถ์อย่างมีเหตุผลคือการมีอยู่ของเทพเจ้าได้ก็ตาม เมื่อชาวเมืองสักกะเกิดมาในความไม่รู้พวกเขาจึงคิดแต่จะพึ่งพาผู้อื่นเพียงอย่างเดียว โดยอาศัยพราหมณ์ทำพิธีบูชาเทพเจ้า อย่างไรก็ตาม การพึ่งปัจจัยภายนอกในชีวิตไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จเสมอไป เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะได้ยินเรื่องราวเช่นนี้ พระองค์จะทรงไม่เชื่อว่าเทพเจ้ามีอยู่จริง เนื่องจากผู้คนในอนุทวีปอินเดียเชื่อว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ พวกเขาจึงมักประกอบพิธีบูชายัญผ่านพราหมณ์ในนิกายต่าง ๆ เพื่อขอพรจากพระพรหมเพื่อช่วยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายที่ปรารถนา ดังนั้นการบูชาเทพเจ้าจึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การถวายเครื่องบูชาอันทรงคุณค่าทำให้พราหมณ์มีฐานะมั่งคั่ง และผู้ที่ประกอบพิธีบูชาก็มีรายได้มหาศาลทุกปี
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ถึงความจริงของชีวิตมนุษย์ทุกชีวิต นั่นคือวิญญาณเกิดในครรภ์มารดา เมื่อเกิดมาแล้ว วิญญาณจะดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็ดับสูญไป นี่คือกฎธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนสามารถรับรู้ผ่านอายตนะภายในและรวบรวมเรื่องราวที่เกิดขึ้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ ดังนั้นในความจริงของชีวิตมนุษย์ วิญญาณจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์เกิดมาเป็นมนุษย์ใหม่
ในเรื่อง "หลุมดำ"(Black Hole) มันถูกค้นพบโดย "นักวิทยาศาสตร์" ต้นกำเนิดของการค้นพบนี้เกิดขึ้น เมื่อพวกเขาสามารถรับรู้ขอบฟ้าสีดำผ่านอายตนะภายในของตนเองและบันทึกเรื่องราวของขอบฟ้าสีดำไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรับรู้ และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจเท่านั้น จิตใจของพวกเขายังมีธรรมชาติของการเป็นนักคิด เมื่อชีวิตรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง พวกเขาจะคิดจากสิ่งนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงของสิ่งนั้น
แต่เมื่อมนุษย์มีความสามารถในการรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้จำกัดและมีความคิดที่ลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นเกี่ยวกับหลุมสีดำนั้น เมื่อนักตรรกะและนักอภิปรัชญาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหลุมดำนี้โดยใช้เหตุผลอธิบายและคาดคะเนความจริงเป็นเช่นนั้น บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้องเพื่ออธฺบายความจริงเกี่ยวกับหลุมดำ หรือบางครั้งอาจใช้เหตุผลไม่ถูกต้องเพื่ออธิบายความจริงเรื่องนี้ บางครั้งพวกอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้นเพื่อธิบายความจริง เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ยินความคิดเห็นที่คลุมเครือและไม่ชัดเจนเกี่ยวกับหลุมดำ วิญญูชนย่อมไม่เชื่อว่าเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบนั้นเป็นความจริง
เมื่อนักวิทยาศาสตร์เป็นมนุษย์คนหนึ่งมีอายตนะภายในที่มีความสามารถในการรับรู้ได้จำกัด และมีความคิดที่ลำเอียงโน้มเอียง ไปด้านใดด้านหนึ่ง ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในความมืดมน พวกเขาจึงขาดปัญญา ที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นเกี่ยวกับหลุมดำ เมื่อพวกเขาใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ เพื่ออธิบายความจริงเกี่ยวกับหลุมดำ บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง ในขณะที่บางคนใช้เหตุผลอย่างไม่ถูกต้อง บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงที่สมมติขึ้นในลักษณะนี้ หรือในลักษณะนั้น ซึ่งเป็นคำอธิบายความจริงที่สมมติขึ้นอย่างคลุมเครือ และไม่ชัดเจน
วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะย่อมไม่เชื่อว่าความคิดเห็นดังกล่าวนั้นเป็นความจริง เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของการรับรู้ของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยการสร้างกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ เพื่อถ่ายภาพหลุมดำหลายล้านภาพ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของหลุมดำและรวบรวมหลักฐานจากภาพเหล่านี้เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ พวกเขาก็ใช้หลักฐานนั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบของหลุมดำ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของขอบเขตความรู้ของหลุมดำที่ว่า หลุมดำอาจเกิดจากการเผาไหม้ของก๊าซธรรมชาติบนดวงดาวนับล้านดวง ควันจากการเผาไม้ของก๊าซธรรมชาติ จะถูกปล่อยออกมาและลอยอยู่บนขอบฟ้าสีดำ หลุมดำจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจักรวาล
ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงรู้ว่าไม่มีสิ่งใดในจักรวาลเกิดขึ้นเองได้ แต่ทุกสิ่งล้วนเกิดจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน แม้แต่มนุษย์ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากกฎธรรมชาตินี้ได้ ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง"ปฏิจจสมุปบาท" ที่กล่าวว่ามนุษย์เกิดมาจากปัจจัยทางกายภาพและทางจิตวิญญาณที่รวมตัวอยู่ในครรภ์มารดา เพื่อสร้างชีวิตมนุษย์ ดังนั้น ร่างกายของมนุษย์จึงไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยลำพังแต่เป็นผลมาจากปัจจัยของวิญญาณปฏิสนธิในครรภ์มารดา
ส่วน โลก จักรวาล ดาวเคราะห์ ดวงอาทิตย์ และดวงดาวนับล้านที่ล่องลอยอยู่ในหลุมดำนั้น จึงไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผล มาเกิดจากปัจจัยหลายอย่างมารวมกันทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ เมื่อมนุษยรับรู้ดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนผ่านอายตนะภายใน และสั่งสมเรื่องราวของดวงดาวเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ไม่ได้มีเพียงการรับรู้และเก็บหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น จิตใจมนุษย์ยังเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อมนุษย์เรียนรู้สิ่งใด พวกเขาจะคิดจากสิ่งนั้น ซึ่งก็คือหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ พวกเขาจะใช้หลักฐานนั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบ โดยพวกเขาใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น
ตามความคิดเห็นของผู้เขียนจาการคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมาเรื่องสาเหตุของการเกิดดาวฤกษ์ (star)และดาวเคราะห์ (Planet)นั้น มาจากฝุ่นซึ่งเป็นสารที่มีพลังงานในตนเองและดึงดูดซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ขึ้นมา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์มีความสามารถในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตได้จำกัด` และมักมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ ความเกลียดชัง ความกลัว และความรักผู้อื่น เป็นต้นทำให้ชีวิตมืดมนอยู่ตลอดเวลา ชีวิตมักติดอยู่กับอารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้าในชีวิต และสั่งสมอยู่ในจิตใจ จิตใจจึงมักทบทวนอารมณ์เหล่านั้น จึงยึดติดกับความสุขที่ได้รับจากผู้อื่นและไม่พอใจกับอารม์ร้ายด้านลบต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต จึงปล่อยชีวิตไปตามที่พอใจ ไม่สามารถแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆ ที่เรียกว่า "ปัญญา" ที่เข้ามาในชีวิตเพื่อแก้ปัญหา หรือเชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากผู้อื่นมากเกินไป จนไม่สามารถคิดและแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาความมืดมนของชีวิตมนุษย์ได้รับการแก้ไข เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของพวกจัณฑาล ซึ่งถูกพระพรหมลงโทษซึ่งเป็นโทษตามกฎหมายวรรณะ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในอนุทวีปอินเดีย แม้ว่านิกายพราหมณ์ต่าง ๆ จะอธิบายความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าให้เจ้าชายสิทธัตถะรับรู้อย่างสมเหตุสมผลแล้ว แต่ข้อเท็จจริงของคำตอบของเรื่องนี้ยังคงไม่ชัดเจน เนื่องจากเป็นความรู้ที่เกินขอบเขตของอายตนะภายในของมนุษย์ทั่วไป เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีความสามารถในการรับรู้จำกัด และไม่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าด้วยการทำบูชายัญ เพื่อถวายของมีค่าแก่เทพเจ้าได้เพราะหากพระองค์ทรงทำการบูชายัญ ก็จะขัดต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะ ทำให้พระองค์ทรงสงสัยถึงการมีอยู่ของเทพเจ้า
ปัญหาความเป็นจริงของมนุษย์ พราหมณ์อารยันได้ยืนยันการมีอยู่ของพระพรหม โดยสร้างมนุษย์จากพระกายของพระองค์เอง แต่ไม่มีหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ได้ แม้ว่าจะมีข้ออ้างว่าพราหมณ์ก่อนหน้านี้ เคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงถามถึงประวัติของพระพรหม ไม่มีพราหมณ์คนใดสามารถตอบเจ้าชายสิทธัตถะได้ การให้การของพราหมณ์นั้นน่าสงสัยและไม่น่าเชื่อถือ เพราะไม่สามารถยืนยันความจริงของการมีอยู่ของเทพได้ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดความสงสัยในความจริงของการมีอยู่ของพระพรหม เจ้าชายสิทธัตถะทรงต้องการแสวงหาความรู้เกี่ยวข้องกับพระพรหมเพิ่มเติม เมื่อพระองค์ทรงสืบเสาะข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว พระองค์ก็จะทรงใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบของเรื่องนี้
ตัวอย่างเช่น ดวงดวงที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า และนักปรัชญาจะเรียกดวงดาวเหล่านั้นว่า โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นต้น เมื่อนักปรัชญา นักตรรกะเห็นดวงดาวเหล่านั้น พวกเขาจะสงสัยเกี่ยวกับองค์ประกอบของธาตุที่ก่อให้เกิดดวงดาวเหล่านั้น และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์เป็นข้อมูลที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของตนเอง แต่เมื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานแล้ว ก็ยังไม่ชัดเจนว่าโลกและดวงดาวมีต้นกำเนิดมาได้อย่างไร ? นักปรัชญาหลายคนก็จะตั้งคำถามว่าองค์ประกอบความรู้ในยุคแรกๆ ของโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นต้น
แนวคิดปรัชญาพุทธภูมิคือความรู้ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน แต่เป็นความรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมไว้ในจิตใจของผู้เขียน ซึ่งได้เดินทางไปแสวงบุญในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เมืองในสาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เป็นเวลานานหลายปี เมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งนี้ ยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า เมื่อผู้เขียนเดินทางไปยังสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนาและปรินิพพาน เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานที่เหล่านี้แล้วก็ยอมรับโดยปริยายว่าพยานวัตถุเหล่านี้ เป็นสถานที่จริงตามประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา
อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเมื่อได้ยินข้อความเห็นใด ๆ อย่าเชื่อทันทีว่าเป็นความจริง แต่ควรสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้และมีหลักฐานเพียงพอ ที่จะให้ข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ โดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของคำตอบตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เมื่อพิจารณาพยานวัตถุ โดยวิเคราะห์พยานวัตถุแล้วและอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงแล้ว เพื่อพิสูจน์ความจริงของการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาอธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบ เมื่อเรื่องราวยังไม่ชัดเจนว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ? เมื่อข้อเท็จจริงยังคลุมเครือ ผู้เขียนจึงชอบค้นคว้าเพิ่มเติม โดยสืบเสาะข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานจากพระไตรปิฎกมหาจุฬา พระไตรปิฎกหลวง บันทึกการเดินทางแสวงบุญของพระภิกษุจีน แผนที่โลกของกูเกิลและแผนที่โบราณของอินเดีย พยานวัตถุได้แก่ พุทธสถานทางโบราณคดีในสาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล หลักฐานของนักโบราณคดีชาวอินเดีย บทความบนเว็บไซต์ และความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในใจของผู้เขียนซึ่งทำงานเป็นพระนักเทศน์
ดังนั้น ปัจจัยที่ก่อให้เกิดปรัชญาในดินแดนพุทธภูมิ จึงเกิดจากหลายสาเหตุที่ทำให้ผู้เขียนตัดสินใจเขียนปรัชญาพุทธภูมิในรูปแบบบล็อค(Blog) กล่าวคือ
หลังจากที่ผู้เขียนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาปรัชญา มีทุนการศึกษาเพียงพอและตัวแทนของผู้เขียนได้ติดต่อกับมหาวิทยาลัยที่สาธารณรัฐอินเดียแล้ว ผู้เขียนได้ขึ้นเครื่องบินของการบินไทยจากสนามบินนานาชาติดอนเมือง ไปยังสนามบินนานาชาติโกลกาตาเวลาเช็คอินคือ๑๐.๐๐ น. และบินขึ้นจากสนามบินดอนเมืองในเวลา๑๓.๐๐น. เครื่องบินของการบินไทยไปถึงท่าอากาศยานนานาชาติโกลกาตาเวลา ๑๖.๐๐ น. นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผู้เขียนได้เดินทางไปต่างประเทศ ความฝันที่ผู้เขียนจินตนาการไว้ชัดเจนขึ้น ไม่มีอะไรต้องกังวล แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะยาวไกลและไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่
ในปี ๒๐๐๒ สนามบินนานาชาติโกลกาตายังเป็นเพียงสนามบินเล็กๆ อย่างไรก็ตาม พระภิกษุชาวไทยมักจะเดินทางไปสาธารณรัฐอินเดียเพื่อแสวงบุญที่สังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง พวกเขาใช้สนามบินแห่งนี้เป็นประจำและขึ้นรถไฟจากสถานีเฮาลารา ในเมืองกัลกาต้าไปถึงเมืองคยา เมื่อผู้เขียนเดินทางมาถึงอินเดียเป็นครั้งแรก ผู้เขียนตื่นเต้นมากที่จะได้พบกับผู้คนหลายชาติและศาสนาต่าง ๆ มารวมตัวท่องเที่ยวกันในอินเดีย หลังจากเช็คเอ้าท์จากสนามบินแล้ว ผู้เขียนก็คิดไปเองว่ามาถึงเมืองพาราณสี ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาลัยที่เราจะมาเรียนหนังสือแล้ว แต่ปรากฏว่าคณะนั่งแท็กซี่ไปวัดพุทธมหายานเพื่อรอเวลาขึ้นรถไฟประมาณ ๑๙.๐๐ น. ที่สถานีรถไฟเฮาลาราตั้งอยู่ในเมืองกัลกัตตา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดีย
ในระหว่างการเดินทางโดยรถไฟจากเมืองโกลกาตาไปยังเมืองพาราณสี ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเมืองพาราณสีจากนักศึกษามหาวิทยาลัยรุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า เมืองพาราณสีเป็นสถานที่เกิดของพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรก พระรัตนตรัยครบสามประการในเมืองพาณาณสีนี้และพระองค์ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ให้การอุปสมบทพระภิกษุเป็นครั้งแรก การบวชจึงเป็นพิธีกรรมแรกในพระพุทธศาสา และพุทธสถานแห่งแรกในพระพุทธศาสนา คือมูลกุฎีของพระพุทธเจ้าในวัดพระพุทธเจ้า เมื่อผู้เขียนและคณะมาถึงสถานีรถไฟเฮาลาราผู้เขียนเห็นว่า ชาวอินเดียนิยมเดินทางโดยรถไฟโดยสารไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วอินเดีย ส่วนใหญ่เดินทางกับครอบครัว อาคารสถานีรถไฟเฮาลารามีขนาดใหญ่เป็นจุดเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟต่างๆ ป้ายบอกทางที่สถานีรถไฟส่วนใหญ่เป็นภาษาฮินดี และใช้ภาษาอังกฤษเพียงเล็กน้อยในการสื่อสารกับชาวต่างชาติ ผู้เขียนรู้สึกคุ้นเคยกับชาวกัลกัตตาเป็นอย่างดี และไม่รู้สึกว่าตนเป็นคนแปลกหน้าสำหรับชาวอินเดีย
ผู้เขียนและคณะเดินทางมาถึงเมืองพาราณสีเกือบ ๘ โมงเช้า นักศึกษาชั้นปีที่ ๔ จากมหาวิทยาลัยหลายคน มาต้อนรับคณะของเราที่สถานีรถไฟมงคลสาหร่าย ชีวิตของผู้เขียนเริ่มต้นการเดินทางอีกครั้งหนึ่งที่ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ และผู้เขียนไม่รู้จะเจออะไรอีกในอนาคต แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีของชีวิต ที่เราจะใช้เป็นปัจจัยในการปรัชญาในแผ่นดินของพระพุทธเจ้า ดังนั้น ปัจจัยที่ก่อให้เกิดปรัชญาในแผ่นดินของพระพุทธเจ้า มีดังต่อไปนี้
(อ่านเพิ่มเติมได้ใน ๒.พยานวัตถุยืนยันการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า)


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น