The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2567

๑. ปัจจัยที่ก่อให้เกิดปรัชญาในแผ่นดินของพระพุทธเจ้า

1. The factors that caused the philosophy in the land of the Lord Buddha 

บทนำ     


       โดยทั่วไป ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก ในระบบสุริยจักรวาล และจักรวาลอื่น ๆ ที่ชีวิตมนุษย์รับรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกายและสั่งสมเป็นอารมณ์ในจิตใจของตนเอง แต่ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์นั้น  ไม่เพียงแต่จะรับรู้และเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นอารมณ์ในจิตใจเท่านั้น  แต่ธรรมชาติของมนุษย์ยังเป็นนักตรระกหรือนักปรัชญาอีกด้วย เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งใดก็จะคิดจากสิ่งนั้นอีกด้วย แล้วใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักตรรกะ หรือ  นักปรัญาในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล  ดังนั้น  ความรู้เป็นสิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษา  การเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถและทักษะเชิงปฏิบัติอยู่ในจิตใจของผู้นั้นด้วย 

      แม้มนุษย์จะเข้าใจว่าโลก ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ดวงดาวต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่ได้ยินกันมาอย่างต่อเนื่องตลอดทุกยุคทุกสมัย  แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้เกิดขึ้นเองตามความเข้าใจของมนุษย์  ในสมัยก่อนพุทธกาล ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น เช่น ชีวิตมนุษย์เกิดมาจากครรภ์มารดาเป็นความจริงตามธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนรับรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกายของตนเอง    เป็นความรู้ที่สั่งสมมาช้านานแล้ว ปัจจัยที่ทำให้มนุษย์ดำรงอยู่ได้  ตามแนวคิดของพราหมณ์บางคนในสมัยอินเดียโบราณนั้น เชื่อตามครูบาอาจารย์ว่า พระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้นจากพระวรกายของพระองค์เอง ดังนั้นพระพรหมจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์เกิดมา 

      เมื่อชีวิตของชาวอนุทวีปอินเดียไม่แน่นอน ทุกคนที่เกิดมาต้องตายแต่พวกเขาไม่อยากตาย  ดังนั้น พวกเขาจึงกลัวความตาย พวกเขาขาดการศึกษาจึงไม่มีความรู้ต่าง ๆ   เพื่อเป็นที่พึ่งพาของตนเองในการแก้ไขปัญหาของชีวิต เมื่อเกิดความทุกข์ในชีวิตพวกเขาขาดศรัทธาในการพึ่งพาตนเองคิดแต่อาศัยคนอื่น จึงไม่ศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้เพื่อพึ่งพาตนเองอย่างขยันขันแข็ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะจดจำความรู้ที่สั่งสมไว้ในจิตใจของตนเอง เพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต พวกเขาไม่มีสมาธิมั่นคงและยอมรับความจริงโดยปริยาย เมื่อผู้คนเชื่อว่าพระพรหมมีอยู่จริง พวกเขามักจะทำพิธีบูชายัญ เพื่อขอให้พระพรหมช่วยให้พวกเขาบรรลุสิ่งที่พวกเขาต้องการ 
  
      ในเรื่อง "หลุมดำ" นั้น ถูกค้นพบโดยกลุ่มคนบางกลุ่มที่เรียกว่า"นักตรรกะ นักปราชญ์" จุดเริ่มต้นก็คือ เมื่อพวกเขาสามารถเห็น(รับรู้)ขอบฟ้าสีดำ ผ่านอายตนะภายในร่างกายของตนเองและเก็บเรื่องราวของขอบฟ้าสีดำไว้เป็นอารมณ์ในจิตใจของตนเอง  แต่ธรรมชาติของคนเหล่านั้น ไม่ได้มีแค่การรับรู้และเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นอารมณ์ในจิตใจเท่านั้น  พวกเขายังมีธรรมชาติของการเป็นนักคิดอีกด้วย  เมื่อชีวิตของพวกเขารับรู้เรื่องราวของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง พวกเขาก็จะคิดจากสิ่งนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น  

     แต่เมื่อมนุษย์มีความสามารถของอาตนะภายในร่างกายในการรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างจำกัด และมีความลำเอียงจากความไม่รู้ของตนเองต่อผู้อื่นทำให้ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน  พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะหยั่งรู้ความจริงของขอบฟ้าสีดำเหล่านั้น  เมื่อนักตรรกะ นักปรัชญา แสดงทัศนะเรื่องหลุมดำนี้ตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริง พวกเขาอาจใช้เหตุผลบางครั้งถูกบ้าง  ผิดบ้าง เป็นอย่างนี้บ้าง เป็นอย่างนั้น  วิญญูชนได้ยินความเห็นของคำตอบที่ไม่แน่นอนว่าความจริงของหลุมดำเป็นอย่างไร  ของนักตรรกะ  นักปรัชญาแล้ว 

       เมื่อข้อเท็จจริงของมนุษย์มีข้อจำกัดในการรับรู้และมีอคติต่อผู้อื่น ทำให้ชีวิตมนุษย์ตกอยู่ในความมืดมน จึงขาดปัญญาหยั่งรู้ความจริงของเรื่องหลุมดำนี้  นักวิทยาศาสตร์จึงได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ และถ่ายภาพหลุมดำไว้นับล้านภาพนั้น เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงของหลุมดำและรวบรวมหลักฐานจากภาพถ่าย  เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว พวกเขาก็ใช้หลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบของหลุมดำ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงของขอบเขตความรู้ของหลุมดำว่า หลุมดำอาจเกิดจากการเผาไหม้ของก๊าซธรรมชาติบนดวงดาวนับล้านดวง ควันจากการเผาไม้ของก๊าซธรรมชาติถูกปล่อยออกมา และลอยอยู่บนขอบฟ้าสีดำหลุมดำเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจักรวาลเท่านั้น  

      ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์จึงรู้ว่าไม่มีสิ่งใดในจักรวาลที่เกิดขึ้นโดยตัวของมันเอง แต่ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการร่วมกัน แม้แต่มนุษย์ก็ไม่สามารถหลีกหนีกฎธรรมชาตินี้ได้  ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับ "หลักปฏิจจสมุปบาท" ที่ว่ามนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกาย และวิญญาณมาอยู่รวมกันในครรภ์มารดาเพื่อสร้างชีวิตมนุษย์ใหม่  ร่างกายของมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตัวของมันเอง แต่เกิดจากการปฏิสนธิของวิญญาณในครรภ์มารดา
 
        ดังนั้นมนุษย์ใหม่จึงถือกำเนิดขึ้นในจักรวาล โลก ดาวเคราะห์  ดวงอาทิตย์และดวงดาวนับล้านดวงลอยอยู่ในหลุมดำนั้น ก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญเช่นกัน    แต่เกิดจากปัจจัยหลายประการ ที่ก่อให้เกิดดาวฤกษ์และดาวเคราะห์เหล่านั้น      เมื่อมนุษยชาติได้ตระหนักถึงดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนมันคือความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส  และสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจแต่ธรรมชาติของจิตใจไม่ได้มีแค่การรับรู้ และเก็บหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจเท่านั้น แต่จิตใจของมนุษย์ก็ยังคงเป็นผู้คิด    เมื่อมนุษย์รู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว    พวกเขาก็จะคิดจากสิ่งนั้นซึ่งเป็นหลักฐานทางอารมณ์ที่มีอยู่ในจิตใจ  เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้  เพื่อหาเหตุผลในการพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องที่น่าสงสัยในมุมมองของผู้เขียนสันนิษฐานว่า สาเหตุของการเกิดดาวฤกษ์และดาวเคราะห์นั้นคือฝุ่น ซึ่งเป็นสารที่มีพลังงานดึงดูดกัน และก่อตัวเป็นโลกดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นต้น 

       แต่โดยธรรมชาติ มนุษย์มีความสามารถในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้จำกัด`และพวกเขามักมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ ความเกลียดชัง ความกลัว และความรักผู้อื่่น เป็นต้น ทำให้ชีวิตมืดมนตลอดเวลาทุกวัน ชีวิตมักติดอยู่กับอารมณ์ของเรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้าในชีวิตและสั่งสมอยู่ในจิตใจ จิตใจจึงมักทบทวนอารมณ์เหล่านั้น จึงยึดติดกับความสุขที่เคยมีร่วมกับผู้อื่น และไม่พอใจกับอารม์ร้ายที่เข้ามาในชีวิตจึงปล่อยชีวิตไปตามที่พอใจ จึงไม่สามารถคิดแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆ ที่เรียกว่า"ปัญญา" ที่เข้ามาในชีวิตเพื่อแก้ปัญหาหรือเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมาจากผู้อื่นมากเกินไป จนไม่สามารถคิดและแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ด้วยเอง 

      อย่างไรก็ตาม ปัญหาของมนุษย์ได้รับการแก้ไข เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของจัณฑาลซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในอนุทวีปอินเดีย แม้ว่านิกายพราหมณ์ต่าง ๆ ได้อธิบายความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าแก่เจ้าชายสิทธัตถะอย่างสมเหตุสมผลแล้ว   แต่ข้อเท็จจริงของคำตอบสำหรับคำถามนี้ยังคงไม่ชัดเจน เพราะเป็นความรู้ที่เกินขอบเขตของอายตนะภายในร่างกายของมนุษย์ทั่วไปจะรับรู้ได้  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีความสามารถในการรับรู้จำกัดและไม่สามารถทำบูชายัญ    เพื่อถวายของมีค่าแก่เทพเจ้าได้ เพราะหากพระองค์ทรงละเมิดการบูชายัญ ก็จะขัดต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ทำให้พระองค์ทรงสงสัยถึงการมีอยู่ของเทพเจ้า 

          ปัญหาของความเป็นจริงของมนุษย์   พราหมณ์อารยันยืนยันการมีอยู่ของพระพรหม ทรงสร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์เอง แต่ไม่มีหลักฐานใด ที่จะพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้  แม้ว่าจะมีข้ออ้างว่าพราหมณ์ก่อนหน้านี้  เคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงถามถึงประวัติของพระพรหม ไม่มีพราหมณ์คนใดสามารถตอบเจ้าชายสิทธัตถะได้     การให้การของพราหมณ์นั้นน่าสงสัยและไม่น่าเชื่อถือ   เพราะไม่สามารถยืนยันความจริงของการมีอยู่ของเทพได้  ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดความสงสัยในความจริงของการมีอยู่ของพระพรหม และเจ้าชายสิทธัตถะทรงต้องการแสวงหาความรู้เกี่ยวข้องกับพระพรหมเพิ่มเติม เมื่อพระองค์ทรงสืบเสาะข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐาน   เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว พระองค์ก็จะทรงใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบของเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น ดวงดวงที่ล่องลอยอยู่บนฟ้า  และนักปรัชญาจะเรียกดวงดาวเหล่านั้นว่า โลก ดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  เป็นต้น  เมื่อนักปรัชญาเห็นดวงดาวเหล่านั้น และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์เป็นข้อมูลสั่งสมที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของตนเอง แต่เมื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานแล้ว ก็ยังไม่ชัดเจนว่าโลกและดวงดาวมีต้นกำเนิดมาอย่างไร ? นักปรัชญาตั้งคำถามว่าองค์ประกอบความรู้ในยุคแรก  ๆ ของโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นต้น 

     แนวคิดปรัชญาพุทธภูมิคือความรู้ที่ไม่ได้มาจากจินตนาการของผู้เขียน แต่เป็นความรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมไว้ในจิตใจของผู้เขียน ซึ่งได้เดินทางไปแสวงบุญในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เมืองในสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลเป็นเวลานานหลายปี เมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งนี้ยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า เมื่อผู้เขียนเดินทางไปยังสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานที่เหล่านี้และยอมรับโดยปริยายว่าพยานวัตถุเหล่านี้ เป็นสถานที่จริงตามประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าเมื่อได้ยินข้อความเห็นใด ๆ อย่าเชื่อทันทีว่าเป็นความจริง แต่ควรสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ และมีหลักฐานเพียงพอที่จะให้ข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผล  เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบตามคำสอนของพระพุทธเจ้า 

     แต่เมื่อวิเคราะห์หลักฐานแล้ว มีเหตุผลไม่เพียงพอที่จะอธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบ เมื่อเรื่องราวยังไม่ชัดเจนว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อข้อเท็จจริงยังคลุมเครือ ผู้เขียนจึงชอบค้นคว้าเพิ่มเติม โดยสืบเสาะข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากพระไตรปิฎกมหาจุฬา พระไตรปิฎกหลวง บันทึกการเดินทางแสวงบุญของพระภิกษุจีน แผนที่โลกของกูเกิลและแผนที่โบราณของอินเดีย พยานวัตถุได้แก่ พุทธสถานทางโบราณคดีในสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลหลักฐานของนักโบราณคดีชาวอินเดีย บทความบนเว็บไซต์ และความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในใจของผู้เขียนซึ่งทำงานเป็นพระนักเทศน์ ดังนั้น ปัจจัยที่ก่อให้เกิดปรัชญาในดินแดนพุทธภูมิ จึงเกิดจากหลายสาเหตุที่ทำให้ผู้เขียนตัดสินใจเขียนปรัชญาพุทธภูมิในรูปแบบบล็อค(Blog) กล่าวคือ

     ประการแรกเกิดจากความฝันของผู้เขียน เมื่อผู้เขียนยังเป็นเด็กและชอบอ่านหนังสือท่องเที่ยวในห้องสมุดประชาชนประจำอำเภอเมืองสกลนคร หนังสือนวนิยาย ที่พ่อของผู้เขียนซื้อจากร้านหนังสือสกลพิทยา เป็นร้านขายหนังสือแห่งเดียวในย่านนั้น จนกระทั่งผู้เขียนมีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมเป็นความรู้ทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ ความรู้นี้ก่อให้เกิดจินตนาการและความฝันของผู้เขียนที่อยากไปศึกษาต่อต่างประเทศ เพราะผู้เขียนคิดว่าชีวิตในต่างประเทศคงจะมีความสุข ผู้เขียนต้องใช้เวลาหลายปีในการค้นหาเส้นทางสู่ความฝัน และวันที่ผู้เขียนรอคอยก็มาถึงในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ผู้เขียนเริ่มค้นหาความฝัน อาตมาตัดสินใจเรียนปริญญาโทที่คณะศิลปศาสตร์ ภาควิชาปรัชญาและศาสนา ของมหาวิทยาลัยบานารัสฮินดู (Banaras Hindu university) ตั้งอยู่ในเขตพาราณสี รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย 

       หลังจากที่ผู้เขียนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาปรัชญา มีทุนการศึกษาเพียงพอ และตัวแทนของผู้เขียนได้ติดต่อกับมหาวิทยาลัยที่สาธารณรัฐอินเดียแล้ว ผู้เขียนได้ขึ้นเครื่องบินของการบินไทยจากสนามบินนานาชาติดอนเมืองไปยังสนามบินนานาชาติโกลกาตา เวลาเช็คอิน คือ ๑๐.๐๐ น. และบินขึ้นจากสนามบินดอนเมืองในเวลา ๑๓.๐๐ น. เครื่องบินของการบินไทยไปถึงท่าอากาศยานนานาชาติโกลกาตาเวลา ๑๖.๐๐ น. นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผู้เขียนได้เดินทางไปต่างประเทศ ความฝันที่ผู้เขียนจินตนาการไว้ชัดเจนขึ้น ไม่มีอะไรต้องกังวล แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะยาวไกล และไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่ 

     ในปี ๒๐๐๒ ท่าอากาศนานาชาติโกลกาตาเป็นเพียงสนามบินขนาดเล็ก   ๆ   อย่างไรก็ตาม พระภิกษุชาวไทยก็นิยมใช้เดินทางนี้ไปยังสาธารณรัฐอินเดีย เพื่อไปแสวงบุญยังสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เมือง ก็ใช้บริการสนามบินแห่งนี้เป็นประจำ และนั่งรถไฟจากสถานีเฮาลารา เมืองกัลกาต้าไปถึงเมืองคยา เมื่อเท้าของผู้เขียนสัมผัสแแรกในสาธารณรัฐอินเดีย ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ที่ได้พบปะผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและศาสนามารวมกันอยู่ที่นี้  หลังจากเช็คเอ้าท์จากสนามบินแล้ว  ผู้เขียนก็นึกได้ว่ามาถึงเมืองพาราณสี เป็นที่ตั้งของมหาลัยที่เราจะมาเรียนหนังสือแล้ว แต่ปรากฏว่านั่งแท็กซี่ไปวัดพุทธมหายานเพื่อรอรถไฟประมาณ ๑๙.๐๐ น. ที่สถานีรถไฟเฮาลารา ตั้งอยู่ในเมืองกัลกัตตา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดีย

     ในระหว่างการเดินทางโดยรถไฟจากเมืองกัลกัตตาไปเมืองพาราณสีนั้นผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเมืองพาราณสี จากนักศึกษารุ่นพี่คนหนึ่งว่า เมืองพาราณสีเป็นสถานที่เกิดของพระพุทธศาสนาเพราะพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรก พระรัตนตรัยครบประการในเมืองนี้  ทรงให้การบวชพระภิกษุเป็นครั้งแรก การบวชเป็นพิธีกรรมแรกในพระพุทธศาสา และศาสนาสถานแห่งแรกในพระพุทธศาสนา คือ มูลกุฎีของพระพุทธเจ้า เมื่อผู้เขียนและคณะมาถึงสถานีรถไฟเฮาลารา ผู้เขียนเห็นว่าชาวอินเดียโดยสารรถไฟโดยสารไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วอินเดีย ซึ่งคนส่วนใหญ่เดินทางกับครอบครัว  อาคารสถานีรถไฟขนาดใหญ่เป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟสายต่าง ๆ ป้ายประกาศที่สถานีรถไฟส่วนใหญ่เป็นภาษาฮินดีโดยใช้ภาษาอังกฤษน้อยมากในการสื่อสารกับชาวต่างชาติ ผู้เขียนรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับอินเดีย  ผู้เขียนและคณะมาถึงเมืองพาราณสีตอนเกือบแปดโมงเช้า  และมีนักศึกษารุ่นพี่มารับคณะของเราที่สถานีรถไฟ  ชีวิตเริ่มเดินทางอีกครั้งหนึ่งที่จะต้องเผชิญกับการท้าทายสิ่งใหม่ ๆ และผู้เขียนไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตข้างหน้าเราต้องจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ ดังนั้นความฝันของผู้เขียนจึงจุดเริ่มของงานเขียนปรัชญาในแผ่นดินของพระพุทธเจ้า เป็นต้น(อ่านเพิ่มเติมได้ใน ๒.พยานวัตถุยืนยันการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า)
   

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ