11. Summary of reasons for writing Buddhaphumi philosophy
ยุคพระพุทธเจ้า เมื่อปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์ แต่การใช้เหตุผลของนักตรรกศาสตณ์และนักปรัชญาอธิบายความจริงของชีวิตยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน แม้ว่าจะมีกระบวนพิจารณาความจริงการมีอยู่ของเทพเจ้าผ่านพิธีกรรมการบูชายัญก็ตามการที่พระพรหมลงพรหมทัณฑ์มนุษย์ โดยให้สิทธิและหน้าที่แก่สังคมลงโทษมนุษย์ได้ ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องพระพรหมลงโทษมนุษย์ พระองค์ทรงไม่เชื่อว่าเป็นความจริง พระองค์ทรงสงสัยข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ พระองค์เริ่มสร้างกระบวนพิจารณาความจริง โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน โดยพระองค์ทรงไตร่สวนข้อเท็จจริงจากพราหมณ์สำนักต่าง ๆ แม้ว่าพราหมณ์สำนักต่าง ๆ จะยืนยันข้อเท็จจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้า เนื่องจากพระองค์ทรงมีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถรับรู้ และบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ หลักฐานเหล่านี้จึงใช้เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงเรื่องอย่างสมเหตุสมผล

เมื่อความรู้เรื่องกฎธรรมชาติของพระพุทธเจ้านั้น ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์มาตรวจสอบของการพัฒนาศักยภาพชีวิตมนุษย์ด้วยวิธีการปฏิบัติสมาธิมีการตรวจสอบคลื่นสองก่อนฝึกสมาธินั้นว่า สภาพของคลื่นสมองมีลักษณะเป็นอย่างไร หลังจากปฏิบัติสมาธิแล้วคลื่นสมองมีลักษณะเป็นอย่างไร ที่จะแสดงให้เห็นว่าจิตผู้นั้นได้รับการพัฒนาศักยภาพจน มีความมั่นคงและหนักแน่นไม่หวั่นไหวต่อปัญหาของชีวิต ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้มากน้อยเพียงใด กระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ในยุคปัจจุบันนั้นไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาใด มนุษย์ควรถูกพัฒนาศักยภาพของตนให้สอดคล้องกับหลักวิชาการทางพุทธปรัชญา หรือพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น
แต่เมื่อชีวิตมนุษย์มีอายตนะภายใน (sense) ของร่างกายที่มีข้อจำกัดในการรับรู้ความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์และยังมีอคติต่อผู้อื่น ชีวิตของมนุษย์จึงเต็มไปด้วยมืดมน ส่งผลให้พวกเขา ขาดปัญญา ที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ และขาดความสามารถที่จะ ใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นนักปรัชญาและนักตรรกะแสดงความคิดเห็นเรื่องมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เหตุการณ์ทางสังคมและ ข้อพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงเรื่องเหล่านี้ นักตรรกะและนักปรัชญาบางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างถูกต้อง บางครั้งใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างไม่ถูกต้อง บางครั้งอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้ บางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนั้น เป็นต้น เมื่อเหตุผลของคำตอบยังคลุมเครือและไม่ชัดเจนวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าย่อมตั้งข้อสงสัยว่า นักตรรกศาสตร์หรือนักปรัชญาคนใดแสดงความคิดเห็นได้ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง วิญญูชนย่อมไม่เชื่อความคิดเห็นและไม่ถือว่ามันเป็นความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องนั้น
ดังนั้น เนื่องจากต้นกำเนิดของความรู้ในปรัชญา พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ คือ ความรู้ที่สั่งสมจากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์ เมื่อนักปรัชญาเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ และนักวิทยาศาสตร์ได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พวกเขาจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนั้นโดยการวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์ โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงแล้วโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาในการอธิบายความจริง หลังจากวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์แล้วเหตุผลของคำตอบที่ได้จากการวิเคราะห์ยังคงคลุมเครือ และไม่ชัดเจนว่าเรื่องนั้นเป็นมาอย่างไร ทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์มีข้อจำกัดในการรับรู้และมีอคติต่อผู้อื่น เป็นต้น
เมื่อชีวิตของนักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญาเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้ถูกต้องและสอดคล้องกัน แม้ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่เป็นพราหมณ์ นักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญา ช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากความทุกข์ทรมานผ่านพิธีกรรมบูชายัญ เหตุผลของพวกเขาในการตอบคำถามเกี่ยวกับความจริง ซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์นั้น บางครั้งก็ใช้เหตุผลถูกต้อง บางครั้งก็ใช้เหตุผลผิด ๆบางครั้งก็ใช้เหตุผลในลักษณะเช่นนี้ บางครั้งก็ใช้เหตุผลเป็นในลักษณะเช่นนั้น เมื่อเหตุผลของพวกเขานั้นยังคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่น เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยในความคิดเห็นของเรื่องนั้น แต่พระองค์ได้ทรงหยิบยกประเด็นที่น่าสงสัยนี้ขึ้นมา เพื่อกำหนดขอบเขตของการศึกษา หลังจากนั้น นักปรัชญา เจ้าชายสิทธัตถะและนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ พวกเขาก็ใช้หลักฐานเป็นข้อมูล เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริง โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริง
อย่างไรก็ตาม หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้แล้วเรื่องราวที่ปรากฏขึ้นในจิตใจของพระพุทธเจ้า นักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์แล้ว พวกเขาก็ยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร นักปรัชญา พระพุทธเจ้าและนักวิทยาศาสตร์ต่างต้องการหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้และพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงและยืนยันความจริงของคำตอบ ซึ่งเป็นความจริงที่เด็ดขาดและไม่มีข้อข้อเท็จจริงใดที่ยกขึ้นมาหักล้าง เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงของคำตอบอีกต่อไป
โดยทั่วไปแล้ว หลักฐานทางปรัชญาส่วนใหญ่มักจะเป็นประจักษ์พยาน อย่างไรก็ตาม ลักษณะของพยานบุคคลมักมีความลำเอียง และขาดความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในของตนและสั่งสมในจิตใจของตนเอง จึงไม่สามารถยืนยันความจริงของคำตอบได้ เมื่อหลักฐานไม่น่าเชื่อถือแม้ว่าจะได้รับการยืนยันแล้วก็ตาม แต่หลักฐานเหล่านั้น ก็มีน้ำหนักน้อยและไม่สามารถยอมรับเป็นหลักฐานยืนยันความจริงได้ ยกตัวอย่างเช่นในยุคทองของศาสนาพราหมณ์ ผู้คนเชื่อว่าเทพเจ้ามีอยู่จริง พวกเขายินดีที่จะบูชาเทพเจ้าด้วยของมีค่าต่าง ๆ และสร้างความมั่งคั่งให้กับนิกายพราหมณ์ต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดอารยธรรมแห่งการบูชาที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจ
เมื่อนิกายต่าง ๆ อ้างเหตุผลในการรักษาศรัทธาและได้รับประโยชน์จากการบูชาเทพเจ้าของตนว่ามีอำนาจเหนือเทพเจ้าองค์อื่น ๆ และสามารถช่วยให้วรรณะกษัตริย์ทรงประสบความสำเร็จในการปกครองอาณาจักรของพระองค์ได้และแต่งตั้งพราหมณ์เป็นปุโรหิตที่ปรึกษาของมหาราชาแห่งอาณาจักรต่าง ๆ จึงเสนอให้ตรากฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ เพื่อจำกัดสิทธิหน้าที่ในการบูชาเทวดาของพราหมณ์ดราวิเดียน โดยอ้างความมั่นคงแห่งอาณาจักร และความเจริญรุ่งเรืองของชาวอารยันเพียงฝ่ายเดียวโดยเฉพาะพราหมณ์อารยันอ้างว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้น มาจากกายของพระองค์และสร้างวรรณะให้กับมนุษย์ทำงานตามวรรณะที่ตนเกิด
เมื่อกฎหมายจารีตประเพณีเรื่อง"วรรณะ" ประกาศบังคับใช้แล้ว เป็นหน้าที่ของประชาชนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทำให้พราหมณ์อารยันสามารถผูกขาดการบูชาเทพเจ้าได้เพียงฝ่ายเดียว ส่วนพราหมณ์ดราวิเดียนหมดสิทธิ เสรีภาพและหน้าทีในการบูชายัญต่อไป มีหน้าที่เป็นเพียงคนใช้วรรณะสูงเท่านั้น และมีข้อห้ามแต่งงานข้ามวรรณะ แต่ชาวสักกะมีชีวิตที่อ่อนแอจึงไม่สามารถควบคุมราคะของตนเองได้ ทำให้เกิดความสมัครรักใคร่กันฉันท์ชู้สาว ทำให้เกิดปัญหาจัณฑาลที่ถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคมตลอดชีวิต ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนไปตามท้องถนนในวัยชรา เจ็บป่วยเป็นไข้ และนอนตายข้างถนน
เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของจัณฑาล จึงทรงตั้งพระทัยที่จะปฏิรูปสังคม โดยยกเลิกระบบวรรณะในสังคม แต่พระองค์ทรงไม่สามารถทำได้ เพราะขัดต่อหลักอปริหานิยธรรม ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสักกะ มาตรา๓ ซึ่งห้ามยกเลิกกฎหมาย กล่าวคือ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องพระพรหมและอิศวรแล้ว พระองค์ตรัสถามพราหมณ์ปุโรหิตว่าพระพรหมและพระอิศวรมีความเป็นมาอย่างไร ไม่มีพราหมณ์ปุโรหิตคนใดตอบพระองค์ได้ จึงทำให้พระองค์ทรงเกิดความสงสัยในความจริงของพระพรหมและพระอิศวร เป็นต้น
เมื่อพระโพธิสัตว์โคตมะทรงได้พัฒนาศักยภาพชีวิต ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ จนตรัสรู้ (รู้แจ้ง) กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ คือ ความรู้ในระดับอภิญญา๖ และผลแห่งการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงนำไปทดสอบกับนักปรัชญา นักปราชญ์ศาสนา นักบวช นักพรต พราหมณ์ ผู้นำนิกายต่าง ๆ วรรณะกษัตริย์ และองคุลีมาลโจรผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อพวกเขาลงมือปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ก็สามารถบรรลุถึงความจริงในระดับอภิญญา ๖ ได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า เป็นต้น
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น คือความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกาย และสั่งสมเรื่องราวเป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจของตนเอง แต่เมื่อนำหลักฐานมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงเรื่องนั้้น ๆ แต่ผลการวิเคราะห์ข้อมูลยังไม่ชัดเจนเพียงพอ ทำให้เกิดข้อสงสัย เกี่ยวกับความสมเหตุสมผลของคำตอบนั้น เนื่องจากมนุษย์มีอายตนะภายในร่างกาย ที่มีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต และมนุษย์มักจะมีอคติแฝงอยู่ในจิตใจ ชีวิตของมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน จึงไม่มีปัญญาหยั่งรู้หรือไม่สามารถกำหนดรู้จากอำนาจสมาธิ หรือ ไม่มีความสามารถหยั่งรู้เป็นพิเศษ เป็นต้น
มนุษย์จำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพของชีวิต จนมีทักษะในสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตขึ้นมาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาเหตุผลคำตอบที่มีความเที่ยงตรงแม่นยำไม่เบี่ยงเบียนไปทางใดทางหนึ่ง แม้ผลของการวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมือวิทยาศาสตร์จะตรงไปตรงมาก็ตามแต่ผู้อ่านก็คือจิตมนุษย์ว่าความจริงที่ได้นั้น มีเหตุผลเพียงพอสำหรับลงโทษผู้กระทำผิดสำหรับผู้พิพากษาหรือ เมื่อได้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลควรรักษาทางยาต่อไปในปริมาณยาขนาดเท่าไหร่สำหรับหมอหรือผลการอ่านข้อมูลด้วยการสอบอารมณ์ของผู้ปฏิบัติว่าเป็นเพราะอุปทานหรือแกล้งบ้า เป็นต้น
เมื่อความรู้เรื่องกฎธรรมชาติของพระพุทธเจ้านั้น ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์มาตรวจสอบของการพัฒนาศักยภาพชีวิตมนุษย์ด้วยวิธีการปฏิบัติสมาธิมีการตรวจสอบคลื่นสองก่อนฝึกสมาธินั้นว่า สภาพของคลื่นสมองมีลักษณะเป็นอย่างไร หลังจากปฏิบัติสมาธิแล้วคลื่นสมองมีลักษณะเป็นอย่างไร ที่จะแสดงให้เห็นว่าจิตผู้นั้นได้รับการพัฒนาศักยภาพจน มีความมั่นคงและหนักแน่นไม่หวั่นไหวต่อปัญหาของชีวิต ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้มากน้อยเพียงใด กระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ในยุคปัจจุบันนั้นไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาใด มนุษย์ควรถูกพัฒนาศักยภาพของตนให้สอดคล้องกับหลักวิชาการทางพุทธปรัชญา หรือพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น
ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องวางแนวคิดของการเขียนปรัชญาแดนพุทธภูมิมีจุดเริ่มจากความสงสัยของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนออกผนวช ขั้นตอนต่อไปก็หาข้อมูลจากพยานเอกสาร พยานวัตถ พยานบุคคลและพยานเอกสารดิจิทัล มาวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผลของคำตอบกันในประเด็นที่สงสัย เมื่อใช้วิธีวิเคราะห์หลายครั้งหาเหตุผลของคำตอบอย่างเดียวกันถือว่า เป็นความรู้ที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินอย่างสมเหตุสมผล ปราศจากข้อพิรุธสงสัยในข้อเท็จจริงอีกต่อไปจึงจะถือว่าเป็นความรู้และความจริงในประเด็นนั้น เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น