The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

๑๓.บทสรุปเหตุผลในการเขียนปรัชญาพุทธภูมิ

 11. Summary of reasons for writing Buddhaphumi philosophy

               โดยทั่วไป     เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์ความรู้ของมนุษย์           ปรัชญาคือความรู้ที่มาก่อนศาสตร์อื่น ๆ    ในโลก     เริ่มต้นในยุคอินเดียโบราณซึ่งเป็นยุคแห่งความเชื่อของมนุษย์       พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าพราหมณ์ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์       และนักปรัชญาแสดงความคิดเห็นของตนเอง      โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของเรื่องราวที่เล่าสืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน     หรือความคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้ เช่น  มนุษย์ โลก  ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  และการพิสูจน์ความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้า  เป็นต้น  การใช้เหตุผลของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาบางครั้งบางคนก็ใช้เหตุผลได้อย่างถูกต้อง  บางครั้งบางคนก็ใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง        บางครั้งบางคนก็ใช้เหตุผลเป็นอย่างนี้หรือเป็นอย่างนั้นบ้าง    เมื่อเหตุผลของคำตอบยังคลุมเครือและไม่ชัดเจน  วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะได้ยินความคิดเห็นที่คลุมเครือ       และไม่ชัดเจนของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาย่อมไม่เชื่อว่าความคิดเห็นเป็นความจริง 

            ยุคพระพุทธเจ้า         เมื่อปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์     แต่การใช้เหตุผลของนักตรรกศาสตณ์และนักปรัชญาอธิบายความจริงของชีวิตยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน      แม้ว่าจะมีกระบวนพิจารณาความจริงการมีอยู่ของเทพเจ้าผ่านพิธีกรรมการบูชายัญก็ตามการที่พระพรหมลงพรหมทัณฑ์มนุษย์     โดยให้สิทธิและหน้าที่แก่สังคมลงโทษมนุษย์ได้   ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง         เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องพระพรหมลงโทษมนุษย์ พระองค์ทรงไม่เชื่อว่าเป็นความจริง       พระองค์ทรงสงสัยข้อเท็จจริงในเรื่องนี้  พระองค์เริ่มสร้างกระบวนพิจารณาความจริง  โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน     โดยพระองค์ทรงไตร่สวนข้อเท็จจริงจากพราหมณ์สำนักต่าง ๆ      แม้ว่าพราหมณ์สำนักต่าง ๆ  จะยืนยันข้อเท็จจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้า        เนื่องจากพระองค์ทรงมีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถรับรู้  และบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต  เป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ    หลักฐานเหล่านี้จึงใช้เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์    โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น     โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงเรื่องอย่างสมเหตุสมผล 

              แต่เมื่อชีวิตมนุษย์มีอายตนะภายใน (sense) ของร่างกายที่มีข้อจำกัดในการรับรู้ความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์และยังมีอคติต่อผู้อื่น     ชีวิตของมนุษย์จึงเต็มไปด้วยมืดมน ส่งผลให้พวกเขา ขาดปัญญา     ที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์  และขาดความสามารถที่จะ    ใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล      เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นนักปรัชญาและนักตรรกะแสดงความคิดเห็นเรื่องมนุษย์ โลก  ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ    เหตุการณ์ทางสังคมและ ข้อพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น   โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงเรื่องเหล่านี้    นักตรรกะและนักปรัชญาบางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างถูกต้อง      บางครั้งใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างไม่ถูกต้อง    บางครั้งอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้       บางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนั้น เป็นต้น  เมื่อเหตุผลของคำตอบยังคลุมเครือและไม่ชัดเจนวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าย่อมตั้งข้อสงสัยว่า    นักตรรกศาสตร์หรือนักปรัชญาคนใดแสดงความคิดเห็นได้ถูกต้อง         หรือไม่ถูกต้อง วิญญูชนย่อมไม่เชื่อความคิดเห็นและไม่ถือว่ามันเป็นความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องนั้น     

              ดังนั้น เนื่องจากต้นกำเนิดของความรู้ในปรัชญา      พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์  คือ  ความรู้ที่สั่งสมจากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์       เมื่อนักปรัชญา เจ้าชายสิทธัตถะ        และนักวิทยาศาสตร์ได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนั้น         โดยวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์ โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงแล้ว  โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาในการอธิบายความจริง     หลังจากวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์แล้ว  เหตุผลของคำตอบที่ได้จากการวิเคราะห์ยังคลุมเครือและไม่ชัดเจนว่าเรื่องนั้นมีความเป็นอย่างไร ทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์มีข้อจำกัดในการรับรู้และมีอคต่อผู้อื่น เป็นต้น 

              มนุษย์ซึ่งเป็นนักปรัชญา   และนักตรรกศาสตร์นั้นมีอายตนะภายในที่มีความสามารถจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ   และมักมีความคิดที่อคติต่อผู้อื่น     ชีวิตของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเต็มไปด้วยความมืดมน  จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์  รู้มาจากไหนพวกเขาสงสัยเกี่ยวกับความจริงของเรื่องนั้น  ตั้งประเด็นที่น่าสงสัย       เพื่อกำหนดขอบเขตของการศึกษาหลังจากนั้น  นักปรัชญา    เจ้าชายสิทธัตถะและนักวิทยาศาสตร์ ก็จะสืบเสาะข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเป็นข้อมูล  เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หาเหตุผลพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบ   แต่จากการวิเคราะห์เรื่องราวปรากฏอยู่ในจิตใจของพระพุทธเจ้า นักปรัชญา  และนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถระบุชัดเจนว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร      นักปรัชญา พระพุทธเจ้าและนักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องหลักฐานเพิ่มเติม    เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้          เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น  โดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงและยืนยันความจริงของคำตอบ      ซึ่งเป็นความจริงที่สิ้นสุดและไม่มีข้อสงสัยใด ๆที่จะเปลี่ยนแปลงความจริงของคำตอบอีกต่อไป    

                โดยทั่วไปแล้ว      หลักฐานทางปรัชญาส่วนใหญ่มักจะเป็นประจักษ์พยาน       อย่างไรก็ตาม   ลักษณะของพยานบุคคลมักมีความลำเอียง  และขาดความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในของตนและสั่งสมในจิตใจของตนเอง       จึงไม่สามารถยืนยันความจริงของคำตอบได้          เมื่อหลักฐานไม่น่าเชื่อถือแม้ว่าจะได้รับการยืนยันแล้วก็ตาม แต่หลักฐานเหล่านั้น   ก็มีน้ำหนักน้อยและไม่สามารถยอมรับเป็นหลักฐานยืนยันความจริงได้         ยกตัวอย่างเช่นในยุคทองของศาสนาพราหมณ์ ผู้คนเชื่อว่าเทพเจ้ามีอยู่จริง     พวกเขายินดีที่จะบูชาเทพเจ้าด้วยของมีค่าต่าง  ๆ  และสร้างความมั่งคั่งให้กับนิกายพราหมณ์ต่าง   ๆ ส่งผลให้เกิดอารยธรรมแห่งการบูชาที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจ      

                   เมื่อนิกายต่าง ๆ   อ้างเหตุผลในการรักษาศรัทธาและได้รับประโยชน์จากการบูชาเทพเจ้าของตนว่ามีอำนาจเหนือเทพเจ้าองค์อื่น ๆ  และสามารถช่วยให้วรรณะกษัตริย์ทรงประสบความสำเร็จในการปกครองอาณาจักรของพระองค์ได้และแต่งตั้งพราหมณ์เป็นปุโรหิตที่ปรึกษาของมหาราชาแห่งอาณาจักรต่าง ๆ    จึงเสนอให้ตรากฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ เพื่อจำกัดสิทธิหน้าที่ในการบูชาเทวดาของพราหมณ์ดราวิเดียน    โดยอ้างความมั่นคงแห่งอาณาจักร    และความเจริญรุ่งเรืองของชาวอารยันเพียงฝ่ายเดียวโดยเฉพาะพราหมณ์อารยันอ้างว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้น     มาจากกายของพระองค์และสร้างวรรณะให้กับมนุษย์ทำงานตามวรรณะที่ตนเกิด  

                 เมื่อกฎหมายจารีตประเพณีเรื่อง"วรรณะ"  ประกาศบังคับใช้แล้ว        เป็นหน้าที่ของประชาชนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทำให้พราหมณ์อารยันสามารถผูกขาดการบูชาเทพเจ้าได้เพียงฝ่ายเดียว  ส่วนพราหมณ์ดราวิเดียนหมดสิทธิ เสรีภาพและหน้าทีในการบูชายัญต่อไป    มีหน้าที่เป็นเพียงคนใช้วรรณะสูงเท่านั้น     และมีข้อห้ามแต่งงานข้ามวรรณะ แต่ชาวสักกะมีชีวิตที่อ่อนแอจึงไม่สามารถควบคุมราคะของตนเองได้  ทำให้เกิดความสมัครรักใคร่กันฉันท์ชู้สาว   ทำให้เกิดปัญหาจัณฑาลที่ถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคมตลอดชีวิต    ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนไปตามท้องถนนในวัยชรา เจ็บป่วยเป็นไข้ และนอนตายข้างถนน


      เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของจัณฑาล จึงทรงตั้งพระทัยที่จะปฏิรูปสังคม โดยยกเลิกระบบวรรณะในสังคม แต่พระองค์ทรงไม่สามารถทำได้ เพราะขัดต่อหลักอปริหานิยธรรม ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสักกะ มาตรา๓  ซึ่งห้ามยกเลิกกฎหมาย  กล่าวคือ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องพระพรหมและอิศวรแล้ว พระองค์ตรัสถามพราหมณ์ปุโรหิตว่าพระพรหมและพระอิศวรมีความเป็นมาอย่างไร ไม่มีพราหมณ์ปุโรหิตคนใดตอบพระองค์ได้ จึงทำให้พระองค์ทรงเกิดความสงสัยในความจริงของพระพรหมและพระอิศวร เป็นต้น 

            เมื่อพระโพธิสัตว์โคตมะทรงได้พัฒนาศักยภาพชีวิต ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ จนตรัสรู้ (รู้แจ้ง) กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ คือ ความรู้ในระดับอภิญญา๖ และผลแห่งการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงนำไปทดสอบกับนักปรัชญา นักปราชญ์ศาสนา นักบวช  นักพรต   พราหมณ์   ผู้นำนิกายต่าง   ๆ    วรรณะกษัตริย์ และองคุลีมาลโจรผู้ยิ่งใหญ่     เมื่อพวกเขาลงมือปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ แล้ว  ก็สามารถบรรลุถึงความจริงในระดับอภิญญา ๖ ได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า เป็นต้น 

         ความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น คือความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกาย และสั่งสมเรื่องราวเป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจของตนเอง    แต่เมื่อนำหลักฐานมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงเรื่องนั้้น ๆ   แต่ผลการวิเคราะห์ข้อมูลยังไม่ชัดเจนเพียงพอ  ทำให้เกิดข้อสงสัย เกี่ยวกับความสมเหตุสมผลของคำตอบนั้น เนื่องจากมนุษย์มีอายตนะภายในร่างกาย  ที่มีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต และมนุษย์มักจะมีอคติแฝงอยู่ในจิตใจ ชีวิตของมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน  จึงไม่มีปัญญาหยั่งรู้หรือไม่สามารถกำหนดรู้จากอำนาจสมาธิ   หรือ   ไม่มีความสามารถหยั่งรู้เป็นพิเศษ  เป็นต้น   

    มนุษย์จำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพของชีวิต จนมีทักษะในสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตขึ้นมาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาเหตุผลคำตอบที่มีความเที่ยงตรงแม่นยำไม่เบี่ยงเบียนไปทางใดทางหนึ่ง แม้ผลของการวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมือวิทยาศาสตร์จะตรงไปตรงมาก็ตามแต่ผู้อ่านก็คือจิตมนุษย์ว่าความจริงที่ได้นั้น มีเหตุผลเพียงพอสำหรับลงโทษผู้กระทำผิดสำหรับผู้พิพากษาหรือ เมื่อได้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลควรรักษาทางยาต่อไปในปริมาณยาขนาดเท่าไหร่สำหรับหมอหรือผลการอ่านข้อมูลด้วยการสอบอารมณ์ของผู้ปฏิบัติว่าเป็นเพราะอุปทานหรือแกล้งบ้า เป็นต้น  

         เมื่อความรู้เรื่องกฎธรรมชาติของพระพุทธเจ้านั้น ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่  โดยใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์มาตรวจสอบของการพัฒนาศักยภาพชีวิตมนุษย์ด้วยวิธีการปฏิบัติสมาธิมีการตรวจสอบคลื่นสองก่อนฝึกสมาธินั้นว่า สภาพของคลื่นสมองมีลักษณะเป็นอย่างไร หลังจากปฏิบัติสมาธิแล้วคลื่นสมองมีลักษณะเป็นอย่างไร ที่จะแสดงให้เห็นว่าจิตผู้นั้นได้รับการพัฒนาศักยภาพจน มีความมั่นคงและหนักแน่นไม่หวั่นไหวต่อปัญหาของชีวิต ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้มากน้อยเพียงใด กระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ในยุคปัจจุบันนั้นไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาใด มนุษย์ควรถูกพัฒนาศักยภาพของตนให้สอดคล้องกับหลักวิชาการทางพุทธปรัชญา หรือพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น 

            ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องวางแนวคิดของการเขียนปรัชญาแดนพุทธภูมิมีจุดเริ่มจากความสงสัยของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนออกผนวช ขั้นตอนต่อไปก็หาข้อมูลจากพยานเอกสาร พยานวัตถ     พยานบุคคลและพยานเอกสารดิจิทัล มาวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผลของคำตอบกันในประเด็นที่สงสัย    เมื่อใช้วิธีวิเคราะห์หลายครั้งหาเหตุผลของคำตอบอย่างเดียวกันถือว่า เป็นความรู้ที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินอย่างสมเหตุสมผล ปราศจากข้อพิรุธสงสัยในข้อเท็จจริงอีกต่อไปจึงจะถือว่าเป็นความรู้และความจริงในประเด็นนั้น เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ