11. Summary of reasons for writing of Buddhaphumi philosophy
แต่เมื่อชีวิตมนุษย์มีอายตนะภายใน (sense) ร่างกาย ที่มีข้อจำกัดในการรับรู้ความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ และยังมีอคติต่อผู้อื่น ชีวิตของมนุษย์จึงเต็มไปด้วยมืดมน ดังนั้น จึงขาดปัญญาคิด โดยใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นนักปรัชญา นักตรรกะ แสดงความคิดเห็นเรื่องมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เหตุการณ์ทางสังคมและ ข้อพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงเรื่องเหล่านี้ นักตรรกะ นักปรัชญาบางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างถูกต้อง บางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างไม่ถูกต้อง บางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้ในลักษณะนี้ บางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้ในลักษณะนั้น เป็นต้น เมื่อความจริงเป็นของคำตอบยังคลุมเครือและไม่ชัดเจน ย่อมจะเกิดความสงสัยในความจริงของเรื่องนั้น วิญญูชนย่อมไม่เชื่อความจริงในเรื่องนั้นและไม่ถือว่ามันเป็นความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องนั้น
ดังนั้น เมื่อต้นกำเนิดของความรู้ในปรัชญา พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ คือความรู้จากประสบการณ์ชีวิต ผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์ เมื่อนักปรัชญา เจ้าชายสิทธัตถะและนักวิทยาศาสตร์ ได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใด ? ก็แสดงความคิดเห็นวิเคราะห์หลักฐาน เพื่อพิสูจน์ความจริงแล้ว โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือได้ไม่ชัดเจนว่าที่มาของความรู้มาจากไหน พวกเขาสงสัยเกี่ยวกับความจริงของเรื่องนั้นตั้งประเด็นที่น่าสงสัย เพื่อกำหนดขอบเขตของการศึกษาหลังจากนั้น นักปรัชญา เจ้าชายสิทธัตถะและนักวิทยาศาสตร์ ก็จะสืบเสาะข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเป็นข้อมูล เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หาเหตุผลพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบ แต่ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเรื่องราวปรากฏในจิตใจของพระพุทธเจ้า นักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ชัดเจนว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร นักปรัชญา พระพุทธเจ้า และนักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงและยืนยันความจริงของคำตอบ ซึ่งเป็นความจริงที่สิ้นสุดและไม่มีข้อสงสัยใด ๆที่จะเปลี่ยนแปลงความจริงของคำตอบอีกต่อไป
โดยทั่วไปแล้ว หลักฐานทางปรัชญาส่วนใหญ่มักจะเป็นประจักษ์พยาน อย่างไรก็ตาม ลักษณะของพยานบุคคลมักมีความลำเอียง และขาดความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในของตนและสั่งสมในจิตใจของตนเอง จึงไม่สามารถยืนยันความจริงของคำตอบได้ เมื่อหลักฐานไม่น่าเชื่อถือ แม้ว่าจะได้รับการยืนยันแล้วก็ตาม แต่หลักฐานเหล่านั้น ก็มีน้ำหนักน้อยและไม่สามารถยอมรับเป็นหลักฐานยืนยันความจริงได้ ยกตัวอย่างเช่นในยุคทองของศาสนาพราหมณ์ ผู้คนเชื่อว่าเทพเจ้ามีอยู่จริง พวกเขายินดีที่จะบูชาเทพเจ้าด้วยของมีค่าต่าง ๆ และสร้างความมั่งคั่งให้กับนิกายพราหมณ์ต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดอารยธรรมแห่งการบูชาที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจ
เมื่อนิกายต่าง ๆ อ้างเหตุผลในการรักษาศรัทธาและได้รับประโยชน์จากการบูชาเทพเจ้าของตนว่ามีอำนาจเหนือเทพเจ้าองค์อื่น ๆ และสามารถช่วยให้วรรณะกษัตริย์ทรงประสบความสำเร็จในการปกครองอาณาจักรของพระองค์ได้และแต่งตั้งพราหมณ์เป็นปุโรหิตที่ปรึกษาของมหาราชาแห่งอาณาจักรต่าง ๆ จึงเสนอให้ตรากฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ เพื่อจำกัดสิทธิหน้าที่ในการบูชาเทวดาของพราหมณ์ดราวิเดียน โดยอ้างความมั่นคงแห่งอาณาจักร และความเจริญรุ่งเรืองของชาวอารยันเพียงฝ่ายเดียวโดยเฉพาะพราหมณ์อารยันอ้างว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้น มาจากกายของพระองค์และสร้างวรรณะให้กับมนุษย์ทำงานตามวรรณะที่ตนเกิด
เมื่อกฎหมายจารีตประเพณีเรื่อง"วรรณะ" ประกาศบังคับใช้แล้ว เป็นหน้าที่ของประชาชนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทำให้พราหมณ์อารยันสามารถผูกขาดการบูชาเทพเจ้าได้เพียงฝ่ายเดียว ส่วนพราหมณ์ดราวิเดียนหมดสิทธิ เสรีภาพและหน้าทีในการบูชายัญต่อไป มีหน้าที่เป็นเพียงคนใช้วรรณะสูงเท่านั้น และมีข้อห้ามแต่งงานข้ามวรรณะ แต่ชาวสักกะมีชีวิตที่อ่อนแอจึงไม่สามารถควบคุมราคะของตนเองได้ ทำให้เกิดความสมัครรักใคร่กันฉันท์ชู้สาว ทำให้เกิดปัญหาจัณฑาลที่ถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคมตลอดชีวิต ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนไปตามท้องถนนในวัยชรา เจ็บป่วยเป็นไข้ และนอนตายข้างถนน
เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของจัณฑาล จึงทรงตั้งพระทัยที่จะปฏิรูปสังคม โดยยกเลิกระบบวรรณะในสังคม แต่พระองค์ทรงไม่สามารถทำได้ เพราะขัดต่อหลักอปริหานิยธรรม ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสักกะ มาตรา๓ ซึ่งห้ามยกเลิกกฎหมาย กล่าวคือ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องพระพรหมและอิศวรแล้ว พระองค์ตรัสถามพราหมณ์ปุโรหิตว่าพระพรหมและพระอิศวรมีความเป็นมาอย่างไร ไม่มีพราหมณ์ปุโรหิตคนใดตอบพระองค์ได้ จึงทำให้พระองค์ทรงเกิดความสงสัยในความจริงของพระพรหมและพระอิศวร เป็นต้น
เมื่อพระโพธิสัตว์โคตมะทรงได้พัฒนาศักยภาพชีวิต ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ จนตรัสรู้ (รู้แจ้ง) กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ คือ ความรู้ในระดับอภิญญา๖ และผลแห่งการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงนำไปทดสอบกับนักปรัชญา นักปราชญ์ศาสนา นักบวช นักพรต พราหมณ์ ผู้นำนิกายต่าง ๆ วรรณะกษัตริย์ และองคุลีมาลโจรผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อพวกเขาลงมือปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ก็สามารถบรรลุถึงความจริงในระดับอภิญญา ๖ ได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า เป็นต้น
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น คือความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกาย และสั่งสมเรื่องราวเป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจของตนเอง แต่เมื่อนำหลักฐานมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงเรื่องนั้้น ๆ แต่ผลการวิเคราะห์ข้อมูลยังไม่ชัดเจนเพียงพอ ทำให้เกิดข้อสงสัย เกี่ยวกับความสมเหตุสมผลของคำตอบนั้น เนื่องจากมนุษย์มีอายตนะภายในร่างกาย ที่มีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต และมนุษย์มักจะมีอคติแฝงอยู่ในจิตใจ ชีวิตของมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน จึงไม่มีปัญญาหยั่งรู้หรือไม่สามารถกำหนดรู้จากอำนาจสมาธิ หรือ ไม่มีความสามารถหยั่งรู้เป็นพิเศษ เป็นต้น
มนุษย์จำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพของชีวิต จนมีทักษะในสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตขึ้นมาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาเหตุผลคำตอบที่มีความเที่ยงตรงแม่นยำไม่เบี่ยงเบียนไปทางใดทางหนึ่ง แม้ผลของการวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมือวิทยาศาสตร์จะตรงไปตรงมาก็ตามแต่ผู้อ่านก็คือจิตมนุษย์ว่าความจริงที่ได้นั้น มีเหตุผลเพียงพอสำหรับลงโทษผู้กระทำผิดสำหรับผู้พิพากษาหรือ เมื่อได้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลควรรักษาทางยาต่อไปในปริมาณยาขนาดเท่าไหร่สำหรับหมอหรือผลการอ่านข้อมูลด้วยการสอบอารมณ์ของผู้ปฏิบัติว่าเป็นเพราะอุปทานหรือแกล้งบ้า เป็นต้น
เมื่อความรู้เรื่องกฎธรรมชาติของพระพุทธเจ้านั้น ก็นำประยุกต์ใช้กับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่แยกจากปรัชญา โดยใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์มาตรวจสอบของการพัฒนาศักยภาพชีวิตมนุษย์ด้วยวิธีการปฏิบัติสมาธิมีการตรวจสอบคลื่นสองก่อนฝึกสมาธินั้นว่า สภาพของคลื่นสมองมีลักษณะเป็นอย่างไร หลังจากปฏิบัติสมาธิแล้วคลื่นสมองมีลักษณะเป็นอย่างไร ที่จะแสดงให้เห็นว่าจิตผู้นั้นได้รับการพัฒนาศักยภาพจน มีความมั่นคงและหนักแน่นไม่หวั่นไหวต่อปัญหาของชีวิต ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้มากน้อยเพียงใด กระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ในยุคปัจจุบันนั้นไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาใด มนุษย์ควรถูกพัฒนาศักยภาพของตนให้สอดคล้องกับหลักวิชาการทางพุทธปรัชญา หรือพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น
ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องวางแนวคิดของการเขียนปรัชญาแดนพุทธภูมิมีจุดเริ่มจากความสงสัยของเจ้าชายสิทธัตถะก่อนออกผนวช ขั้นตอนต่อไปก็หาข้อมูลจากพยานเอกสาร พยานวัตถ พยานบุคคลและพยานเอกสารดิจิทัล มาวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผลของคำตอบกันในประเด็นที่สงสัย เมื่อใช้วิธีวิเคราะห์หลายครั้งหาเหตุผลของคำตอบอย่างเดียวกันถือว่า เป็นความรู้ที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินอย่างสมเหตุสมผล ปราศจากข้อพิรุธสงสัยในข้อเท็จจริงอีกต่อไปจึงจะถือว่าเป็นความรู้และความจริงในประเด็นนั้น เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น