The Metaphysical problems about the ancient state of Bagan
บทนำ
ในการศึกษาปัญหาอภิปรัชญา เกี่ยวกับความเป็นจริงของโลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ มนุษย์ และการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น ตามแนวคิดเชิงอภิปรัชญานั้น ความเป็นจริงแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท กล่าวคือ
๑. ความเป็นจริงที่สมมติ (fictitious reality) โดยทั่วไปแล้ว ชีวิตมนุษย์ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ล้อมรอบตัวมนุษย์ อาจเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วสลายตัวไปในอากาศ แต่ก่อนที่สภาวะเหล่านั้นจะหายไปจากสายตามนุษย์ มนุษย์สามารถรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมเหล่านี้ผ่านอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในร่างกายของเขาได้ ตัวอย่างปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้แก่ แผ่นดินไหว พายุ น่ำท่วม เป็นต้น ตัวอย่างเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นได้แก่ เหตุการณ์ที่นักเรียนยิงปืนใส่กันในโรงเรียน ผู้คนเหยียบย่ำกันตายในสนามฟุตบอล หลอกผู้คนให้เล่นแชร์จนเสียหายมูลค่าหลายสิบล้านบาท เป็นต้น เมื่อจิตใจมนุษย์รับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น จิตใจมนุษย์ก็จะดึงดูดอารมณ์เหล่านั้น ๆ เป็นหลักฐานทางอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ แต่ธรรมชาติของจิตมนุษย์ชอบปรุงแต่ง (คิด) จากหลักฐานต่าง ๆ ทางอารมณ์นั้น มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล เมื่อความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วสลายไปในอากาศ ถือว่าเป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสเท่านั้น ตัวอย่างเช่น อาณาจักรพุกามในสมัยโบราณเป็นชุมชนการเมืองที่ชาวพุกามรวมตัวกัน เพื่อก่อตั้งรัฐเอกราชขึ้นมา มีอำนาจอธิปไตยในการปกครองตนเอง ในระบอบสัมบูรณาญาสิทธิราชย์ ชาวพุกามโบราณเชื่อในคำสอนของพุทธศาสนานิกกายมหายาน มีมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว อาณาจักรพุกามก็ถูกทำลายและเสื่อมสลายไปตามกฎแห่งธรรมชาติ เพราะถูกยึดอำนาจอธิไตยไป ดังนั้นอาณาจักรพุกามโบราณ เป็นชุมชนการเมืองที่ก่อตั้งโดยชาวพุกามที่ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นรัฐเอกราช ดำรงอยู่เป็นรัฐอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเสื่อมสลายไปตามกฎแห่งธรรมชาติ ตามหลักวิชาการทางปรัชญา ถือได้ว่า การดำรงอยู่ของอาณาจักรพุกามโบราณ เป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์ จึงเป็นความจริงสมมติ เป็นต้น
๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์ (ultimate truth) คือ ความจริงอันเป็นที่สุดและลึกซึ้งที่สุดที่ปุถุชนจะหยั่งรู้ได้ยาก เป็นความรู้ที่อยู่นอกขอบจตการรับรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสโดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ไม่สามารถรู้ความจริงอันเป็นที่สุดได้ด้วยตนเอง เพราะอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของมนุษย์มีความสามารถจำกัดในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ยื่งกว่านั้นมนุษย์มีอคติต่อผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้ชีวิตของพวกเขาอยู่ในความมืดมิน แม้นักวิทยาศาสตร์จะสามารถสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อค้นหาความรู้เกี่ยวกับความจริงขั้นปรมัตถ์ได้ แต่ไม่มีหลักฐานว่านักวิทยาศาสตร์ค้นพบความรู้แท้จริงขั้นปรมัติ ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ แต่ผู้เขียนพบหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ ว่า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะได้ทรงพัฒนาศักยภาพชีวิตของพระองค์เองตามมรรคมีองค์ ๘ จนบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณที่ระดับอภิญญา ๖ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ ก็ถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ เช่น ภาวะนิพพานของมนุษย์ ผู้หยั่งรู้ความจริงขั้นปรมัตถ์ได้ ต้องเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์เท่านั้น โดยทั่วไปแล้วการพัฒนาศักยภาพชีวิตมนุษย์ตามอริมรรคมีองค์ ๘ ต้องใช้เวลาหลายปี กว่าจะบรรลุความรู้ในระดับอภิญญาทั้ง ๖ ในปัจจุบันแม้ว่า นักวิทยาศาสตร์จะสามารถสร้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์ได้ก็ตาม เพื่อช่วยให้มนุษย์ค้นพบความจริงเกี่ยวกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรียกว่า "เชื้อโรค" โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ อย่างเพียงพอ พวกเขาจึงวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ นั้น แต่สุดท้ายแล้ว จิตใจของมนุษย์ จะเป็นผู้คิดหาเหตุผลมาอธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบอย่างสมเหตุสมผล ตามหลักฐานความคิดของมนุษย์ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และใช้ผลการวิเคราะห์ เพื่อวินิจฉัยและพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับการรักษาโรคต่าง ๆ เป็นต้น
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาณาจักรพุกามโบราณ เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในเว็บไซต์ต่าง ๆและที่โลกกูเกิล ได้ยินข้อเท็จจริงว่า อาณาจักรพุกามโบราณ (Bagan kingdom) เป็นสังคมการเมืองที่ถือกำเนิดเกิดขึ้น และชาวพุกามโบราณได้สถาปนารัฐของตนเองขึ้นในปี พ.ศ.๑๓๙๒ โดยดำรงความเป็นเอกราชเป็นเวลา ๕๘๘ปี และอาณาจักรพุกามโบราณเสื่อมสลายไปตามกฎแห่งธรรมชาติ เพราะอธิปไตยของอาณาจักรพุกามถูกยึดครองโดยกองทัพมองโกลเลียในปี พ.ศ.๑๘๔๐ เป็นต้น เมื่ออาณาจักรพุกามโบราณ มีสถานะของความเป็นที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและเสื่อมสลายไป ตามหลักอภิปรัชญาแล้วถือเป็นความจริงที่สมมติขึ้น เราจึงสามารถศึกษาความจริงในเรื่องรัฐพุกามโบราณได้ ตามแนวคิดเชิงปรัชญาได้ เพราะเป็นเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคสมัยหนึ่ง และเสื่อมสลายไปตามกฎแห่งธรรมชาติ ตามหลักปรัชญาแล้ว มันจึงเป็นความจริงที่สมมติขึ้นมา ในการศึกษาปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับอาณาจักรพุกามโบราณ ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า อาณาจักรพุกามโบราณเป็นรัฐเอกราช ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศ มีอาณาเขตของอาณาจักรพุกามโบราณที่ชัดเจน เป็นชุมชนการเมืองที่มีประชากรหนาแน่น มีระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างชัดเจนในการปกครองประเทศ และศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ชาวพุกามได้นำความรู้ทางพุทธศาสนามาสร้างอารยธรรมของตนเอง เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต แม้ว่าอาณาจักรพุกามจะสูญเสียอธิปไตยมาเป็นเวลากว่า ๑,๕๐๐ ปีแล้ว แต่อาณาจักรพุกามโบราณก็ได้ทิ้งหลักฐานเจดีย์โบราณหลายพันองค์ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลก และได้รับการรับรองจากองค์การสหประชาชาติ หรือยูเนสโก(Unesco) ว่าเป็นความจริงอันเป็นที่สุด เพื่อแสดงหลักฐานความเจริญรุ่งเรืองของการดำรงอยู่ของอาณาจักรพุกามโบราณแห่งนี้และเป็นอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธองค์ทรงสอนชาวพุกามถึงวิธีพัฒนาศักยภาพชีวิตให้เข็มแข็งด้วยการทำสมาธิ จนจิตใจผ่องใส ปราศจากอคติ จิตใจไม่ขุ่นมัว มีบุคคลิกอ่อนโยนเหมาะแก่การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม มั่นคงในอุดมคติของชีวิตและไม่หวั่นไหวในการปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้อื่น เพื่อความมั่นคงของอาณาจักรพุกามและประชาชนมีความสงบสุขบนพื้นฐานของศีลธรรมและกฎหมาย จนกลายเป็นวัฒนธรรมแห่งชีวิตที่งดงามเมื่อชาวพุกามมีความทุกข์ใจก็จะไปที่เจดีย์ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอพรจากพระพุทธเจ้า เพื่อช่วยให้บรรลุความหวังในชีวิตจนกลายเป็นวัฒนธรรมแห่งความทรงจำที่ดีมาจนถึงทุกวันนี้
โลกปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาศักยภาพชีวิตและทักษะการทำงานที่ช่วยให้พวกเขาสามารถสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้ ที่สนองความต้องการของมนุษย์มากกว่าศาสตร์สมัยในด้านอื่น ๆ ช่วยให้ชีวิตมนุุษย์สะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิม จนสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า "แพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต" เพื่อมอบพื้นที่ให้กับผู้คนทั่วทุกมุมโลก ได้ศึกษาหาความรู้ของอาณาจักรพุกามโบราณ เมื่อนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาท่องเที่ยวในอาณาจักรพุกามโบราณ และก็จะเผยแพร่ความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านเพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต เพื่อกระตุ้นให้ชาวพุทธและนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเยือนอาณาจักรแห่งนี้ นี่คือความจริงที่สมมติขึ้นที่เจริญรุ่งเรืองจากจิตใจของชาวพุกามเอง แม้อาณาจักรพุกามจะเป็นความจริงที่สมมติขึ้น และอยู่ภายใต้อำนาจของกฎแห่งธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเสื่อมสลายตามกฎไตรลักษณ์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ภูมิปัญญาของชาวพุกามโบราณ ไม่ได้เสื่อมลงจากกฎของธรรมชาติ แม้ว่าดวงวิญญาณของชาวพุกาม จะกลับชาติมาเกิดในโลกมนุษย์หลายร้อยครั้ง แต่จิตวิญญาณของชาวพุกาม ยังคงสั่งสมภูมิปัญญาเป็นสัญญาอยู่ในใจตลอดไป ทะเลแห่งพุทธสถูปเหล่านี้ จึงเป็นภูมิปัญญาที่สามารถสร้างรายได้มหาศาลให้กับชาวพุกาม ในฐานะเจ้าของมรดกทางวัฒนธรรมโลกแห่งนี้ เมื่อผู้คนนับล้านทั่วโลกมาสักการะเจดีย์นับหมื่นแห่ง เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงตัดสินพระทัยสละวรรณะของกษัตริย์ เพื่อเสด็จออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ แม้พระองค์จะทรงเสียสิทธิและหน้าที่ในการปกครองประเทศไปตลอดชีวิต เพื่อใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้าความจริงของชีวิตมนุษย์ ว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ทำงานตามหน้าที่ของตน ตามคำสอนของพราหมณ์อารยันและกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ ซึ่งห้ามการแต่งงานระหว่างวรรณะ เมื่อได้ตรากฎหมายแล้ว ห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายนั้น ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เมื่อมนุษย์มีตัณหาราคะและมีชีวิตอ่อนแอ จึงไม่มีสติปัญญาที่จะยับยั้งจิตใจของตนเอง ดังนั้น การมีเพศสัมพันธ์กับคนต่างวรรณะจึงเกิดขึ้น คนในสังคมจึงตรวจสอบข้อเท็จจริงและลงโทษด้วยการถูกไล่ออกจากถิ่นที่เคยอยู่มาตลอดชีวิต ต้องอยู่อย่างคนเร่ร่อนตามท้องถนนในเมืองใหญ่ เช่น พระนครกบิลพัสดุ์ และพระนครเทวทหะ เป็นต้น
เมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแผ่ในอาณาจักรพุกามโบราณ ทำให้ชาวพุกามได้เรียนรู้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อดำเนินชีวิตอย่างเข้มแข็งด้วยการทำสมาธิ จขัดเกลากิเลสในจิตใจให้บริสุทธิ์ปราศจากอคติและอารมณ์ขุ่นมัว สามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ด้วยสติและปัญญาของตนเองและรักษาเอกชราของอาณาจักรพุกาม มาเป็นเวลาหลายร้อยปี ก่อนที่อาณาจักรพุกามโบราณ ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกฎไตรลักษณ์ (trinity rule) ซึ่งมีคุณลักษณะร่วมกัน ๓ ประการคือ ความไม่เที่ยง ความทุกข์และความไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะความประมาทเลินเล่อในชีวิตของชาวพุกามที่ไม่มั่นคงในอุดมการณ์รักษาชาติ พระพุทธศาสนา และมหากษัตริย์ เป็นต้น แม้คำสอนทางพระพุทธศาสนาจะสอนให้เราไม่ยึดติดเหตุการณ์ในอดีต เพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรในอดีตได้อีก ต่อไป แต่มันเป็นบทเรียนที่มนุษย์ควรเรียนรู้และเข้าใจว่าเมื่ออาณาจักรพุกามเป็นสิ่งไม่เที่ยง ส่วนตัวเราเองก็ไม่เที่ยงเช่นกัน
เมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปยังอาณาจักรพุกามโบราณ (Ancient Bagan) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองมัณฑเลย์ เหตุผลที่ผู้เขียนตัดสินใจไป ก็เพราะเป็นการแสวงบุญครั้งแรกที่เมืองโบราณแห่งนี้ ผู้แสวงบุญส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์กลุ่มใหญ่ จึงไม่รู้สึกเก้อเขินแต่อย่างใด ผู้เขียนเป็น Blogger ที่ต้องการเขียนเรื่องราวใหม่ ๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในพม่าบนอินเตอร์เน็ตไว้ เพื่อให้ผู้เขียนได้อ่านเอง การเขียนฺบทความเกี่ยวกับปรัชญาและศาสนา ทำให้เราตระหนักถึงจุดอ่อนของเรา ไม่ว่าจะมีความรู้น้อยหรือมากในเรื่องนั้น ที่เราสามารถถ่ายทอดเป็นตัวอักษรลงบนกระดาษดิจิทัล หากเรามีความรู้มากก็ถ่ายทอดข้อความที่ไหลออกมาจากจิตใจของเรา เหมือนแม่น้ำคงคาที่ไหลมาจากเทือกเขาหิมาลัยที่ไม่เคยเหือดแห้ง ผู้เขียนแทบจะไม่ละสายตาจากข้อความนั้น ถ้าเรามีความรู้น้อย ก็ไม่รู้จะเริ่มเขียนอย่างไร? เพราะเรายังไม่รู้วิธีสร้างประเด็น (คอนเท็น) ของหัวข้อ โดยเฉพาะการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบหลายครั้ง จนกว่าจะมั่นใจว่าเป็นความรู้แท้จริงและมีความสมเหตุผลที่ถูกต้อง ในการศึกษายุคใหม่นักศึกษา จะอ่านหนังสือเรียนเพียงเล่มเดียวไม่เพียงพอเพราะทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทุก ๆ วัน มีคนนับล้านแบ่งปันความรู้ ผ่านเวปไซด์ ให้เราอ่านและศึกษาด้วยตนเอง ในเวลากลางคืน ผู้คนในประเทศของเรากำลังหลับใหล ท้องฟ้าในซีกโลกตะวันตกสว่างไสว ผู้คนกำลังทำงาน วิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องที่น่าสนใจ และแบ่งปันความรู้นั้นทางออนไลน์ ความคิดของเราอาจเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปแล้วก็ได้
การเขียนบทความเชิงปรัชญาเป็นการเสนอประเด็นทางสังคมที่น่าศึกษาในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในประเทศของเราและเพื่อพัฒนาศักยภาพของประชาชนให้มีส่วนในการสร้างอารยธรรมของประเทศ ให้เจริญรุ่งเรือง และก้าวหน้าเป็นยอมรับของคนทั่วโลกในการศึกษาปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับอาณาจักรพุกามโบราณที่ตั้งอยู่ในสหภาพเมียนมาร์มีลักษณะของความเป็นรัฐหรือไม่ ? ในการวิจัยลักษณะของรัฐ จะต้องมีองค์ประกอบของประชาชนที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตของรัฐนั้น ดินแดนของรัฐนั้นต้องมีอาณาเขตที่แน่นอน มีรัฐบาลของตนเองในการบริหารงานของรัฐ และมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองในการปกครองรัฐ เป็นต้นดังนั้นความเป็นรัฐพุกามโบราณจะต้องมีองค์ประกอบด้วย
๑.ประชาชนชาวพุกาม เมื่อผู้เขียนศึกษาเกี่ยวกับอาณาจักรพุกามโบราณจากหลักฐานในเว็บไซต์ต่างๆ และเอกสารทางวิชาการต่าง ๆ ได้ยินข้อเท็จจริงว่าชาวพุกามมิใช่คนมอญ พวกเขามีเชื้อสายของเผ่า"มรัมมะ (Mramma)" ที่สืบเชื้อสายจากชาวธิเบตและดราวิเดียนซึ่งพากันอพยพมาจากประเทศจีนและทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียโดยเฉพาะรัฐพิหารมาตั้งถิ่นฐานในดินแดนพุกามโบราณ สาเหตุของการอพยพของชาวมรัมมะ น่าจะเกิดจากความเชื่อในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทในชมพูทวีปได้เสื่อมศรัทธาลงและแนวคิดทางศาสนาฮินดูเริ่มครอบงำจิตใจของผู้คน มหาราชาผู้ปกครองแคว้นต่าง ๆนับถือศาสนาฮินดูและมีการตั้งค่าหัวในการฆ่าพระภิกษุในพระพุทธศาสนาไว้หลายรูป ทำให้ชาวพุทธเกรงกลัวภัยที่จะมาถึงตน จึงพากันอพยพมาไปอยู่ดินแดนตอนกลางที่แห้งแล้ง และล่องเรือติดตามมาจนถึงลุ่มน้ำอิรวดีพวกมธัมมมะก่อตั้งอาณาจักรพุกามในดินแดนประเทศพม่า
๒.อาณาเขตของอาณาจักรพุกามโบราณ (ancient Bagan) เป็นเมืองโบราณที่เจริญรุ่งเรืองในประวัติศาสตร์พม่า เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในแผนที่โลกกูเกิล (google world map) ในสหภาพเมียนมาร์ ผู้เขียนพบคำว่า"พุกาม"(หรือBagan)อยู่ในเขตมัณฑเลย์ ตอนกลางของสหภาพเมียนมาร์ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี (Irrawaddy River)ผู้คนจำนวนมากเข้ามาตั้งถิ่นฐานและกลายเป็นชุมชนทางการเมืองของอาณาจักรพุกามโบราณมากว่าสองร้อยปี แต่เป็นดินแดนที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากที่สุดของสหภาพเมียนมาร์ เมืองพุกามเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรพุกามมาประมาณ ๓๐๐ ปี เมื่อเวลาหลายร้อยปีก่อน ที่ชนเผ่ามรัมมะได้อพยพจากเหนือของจีนและธิเบต เข้ามาตั้งรกรากในที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดีและก่อตั้งอาณาจักรพุกามโบราณภายใต้กษัตริย์ปกครองตนเอง ดังนั้น เมื่อได้ก่อตั้งอาณาจักร"พุกามโบราณ" เป็นชุมชนทางการเมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิรวดีมีเมืองหลวงชื่อพุกาม และมีพระมหากษัตริย์ ๕๕ พระองค์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยปกครองอาณาจักรพุกามโบราณ ตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราษฎร์มีภาษาเป็นของตนเองประชาชนนับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายาน โดยใช้คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นแนวคิดในการดำเนินชีวิตประจำวันของตน หลังจากที่พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเสื่อมลง เมื่อแนวคิดของผู้คนในอาณาจักรพุกามโบราณได้เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลก เพราะความคิดมนุษย์นั้นไม่เที่ยงเพราะทุกคนปรารถนาชีวิตที่ดีกว่าเดิมแต่ยังยึดติดในโลกธรรม ๘จึงมีการสร้างพระเจดีย์ขึ้นในวัดหลายพันแห่ง เพื่ออามิสบูชาแก่โคตมะพระพุทธเจ้า เพื่อให้ชีวิตตนสมมหวังในสิ่งที่ปรารถนาอาณาจักรพุกามโบราณนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งสหภาพเมียนมาร์ในยุคปัจจุบัน และดำรงเอกราชของตนอยู่ระหว่างปีพ.ศ.๑๕๘๗ จนกระทั่ง พ.ศ.๑๗๓๐ เป็นต้น
๓.อำนาจอธิปไตย อาณาจักรพุกามถูกปกครองโดยพระมหากษัตริย์ซึ่งใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรงในการปกครองประเทศ เนื่องจากมีประชากรน้อยมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน มีประชากรนับแสนคน พระเจ้าอนุรุทธหรือพระเจ้าอโนรธามังช่อทรงเป็นกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งอาณาจักรพุกามโบราณ ทรงศรัทธาในพระพุทธศาสนานิกายมหายาน และส่งเสริมการอุปถัมถ์พระพุทธศาสนานิกายมหายานให้ประดิษฐานอย่างมั่งคงในอาณาจักรพุกาม ส่งผลให้มีเจดีย์นับพันองค์ถือกำเนิดในอาณาจักรพุกามจวบจนทุกวันนี้
๔.การปกครองในอาณาจักรพุกามโบราณ สถานบันพระมหากษัตริย์ มีทำหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารอาณาจักรพุกามโบราณ ปัจจุบัน พระราชวังโบราณได้รับการอนุรักษ์ไว้ในเมืองพุกามโบราณ เป็นอนุสรณ์สถานที่รำลึกถึงเหตุการณ์การปกครองในยุคนั้นเป็นอย่างดี สะท้อน ถึงความไม่ประมาทในชีวิตตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ในการปกครองบ้านเมือง ความเชื่อของชาวมรัมมะที่ศรัทธาพระพุทธศาสนานิกายตันตระ และศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทไปพร้อม ๆ กัน โดยอาศัยความเชื่อจากคำสอนของอาจารย์ที่ว่าชีวิตมนุษย์สามารถบรรลุความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ โดยอาศัยฤทธิ์อำนาจของพระอริยเจ้าเท่านั้น มาช่วยดลบันดาลให้ตนเอง ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ แต่สิ่งเหล่านั้นคือ ความคิดเท่านั้น แต่ความจริงของชีวิตก็คือ มนุษย์ทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยตนเองด้วยการลงมือกระทำทุกอย่างด้วยตนเองทั้งสิ้น ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือใครได้
ในยุคแรก ๆ คนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากในดินแดนพม่าคือชาวมอญ ซึ่งมาถึงก่อนการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เมื่อประมาณ๒๔๐๐ ปีที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ชาวมอญได้รับอิทธิพลจากแนวคิดการดำรงชีวิตด้วยความหวังที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น ตามอิทธิพลของคำสอนทางพระพุทธศาสนาเถรวาท ที่พระธรรมทูตสายต่างประเทศโมริยะในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทรงตัดสินใจส่งพระธรรมทูต ๙ สาย ไปเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้าไปยัง ทิศต่าง ๆ ส่วนสายที่ ๘ คือพระโสนะและพระอุตตรถูกส่งมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิหมายถึงดินแดนมอญ ไทย พม่า ส่วนตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ คำว่า"สัวรรณภูมิ" หมายถึง ดินแดนแหลมทองซึ่งเชื่อกันว่ามีอาณาบริเวณครอบคลุม พม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม มาเลยเซียและสิงคโปร์ เป็นต้น การเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในรัฐสุวรรณภูมิโดยพระธรรมทูตสายต่างประเทศของอาณาจักรโมริยะในสายที่ ๘ เริ่มต้นด้วยการเดินทางจากเมืองหลวงปัฏตาลีบุตรออกสู่ทะเลที่เมืองท่าของแคว้นกลิงค (galingga country) เพื่อขึ้นเรือสินค้าขนาดใหญ่ไปตามเส้นทางการค้าโบราณโดยเรือ เดินทางข้ามทะเลอันดามันไปตามเส้นทางการค้าโบราณไปสู่ริมฝั่งตะวันตกของเมืองมะริดซึ่งเป็นรัฐมอญปัจจุบัน ส่วนการเดินทางโดยทางบกจากอินเดียไปทางตอนใต้ของประเทศพม่าในขณะนั้นยากเพราะเส้นทางสายไหมไปจีน ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดิเปอร์เชียจึงไม่ปลอดภัยที่จะเดินทางไปเผยแผ่พุทธศาสนาตามเส้นทางสายไหมชาวมอญส่วนใหญ่ตั้งรกรากอยู่ที่เมืองท่าทางใต้ของพม่า
เมื่อผู้เขียนพิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานแล้วเห็นว่าอาณาจักรพุกามเป็นรัฐที่อำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง มิได้เป็นประเทศราชหรืือเมืองขึ้นของประเทศใด เป็นชุมชนทางการเมืองที่จัดตั้งขึ้นโดยชาวมรัมมะมีอาณาเขตแน่นอนตั้งอยู่ตอนกลางของสหภาพเมียนมาร์ในปัจจุบัน มีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครอง โดยใช้อำนาจนิติบัญญัติในการออกฎหมาย, อำนาจบริหารในการปกครองประเทศเช่นการประกาศสงคราม เป็นต้น และอำนาจตุลาการในการพิจารณาและตัดสินอรรถคดีทั้งปวงในอาณาจักรพุกาม เป็นต้น เมื่อศึกษาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของพม่าแล้ว รัฐสุวรรณภูมินั้น คงได้รับอิทธิพลของพระพุทธศาสนาเถรวาทผ่านมอญเข้ามาเผยแผ่ในดินแดนสุวรรณภูมิที่เป็นที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบัน ส่วนอิทธิพลของพระพุทธศาสนาเถรวาทจากศรีลังกา น่าจะมีขึ้นหลังจากพม่ากับไทยประกาศสงครามเป็นศัตรูกันบ่อยครั้งในสมัยอยุธยาจึงไม่่มีอิทธิพลทางความเชื่อในพระพุทธศาสนาที่มีต่อกัน เนื่องจากการตรวจสอบข้อเท็จและรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับเจดีย์โบราณนั้น จะค้นพบในประเทศพม่ามากกว่าในประเทศไทย เพราะ ชาวพม่เชื่อว่าสร้างพระเจดีย์ขึ้นเพื่อให้คนกราบไหว้บูชาแล้วชีวิตจะจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งอย่างเดียว และไม่เสื่อมคลาย นอกจากนี้เมื่อพม่าทำสงครามกับราชอาณาจักรอยุธยาบ่อยครั้ง จึงนิยมสร้างพระเจดีย์เพื่อความเจริญรุ่งเรืองเป็นนิจ ส่วนคนไทยนิยมสร้างพระพุทธรูปไว้ในวัด โดยเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตมีชัยเหนือมารและอุปสรรคทั้งปวง เมื่อสิ้นชีวิตไปก็ไม่สูญเปล่าเพราะจิตวิญญาณยังต้องไปจุติในสุคติโลกสวรรค์ ส่วนการสร้างวัดเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา โดยเชื่อว่าเมื่อตนตายไปแล้วจิตก็จะไปจุติจิตในโลกสวรรค์เช่นกัน จึงมีการสร้างวัดมากมายตามเอกสารเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พม่าที่กล่าวไว้ เมื่อพระพุทธศาสนามหายานเผยแผ่มาสู่อาณาจักรพุกาม จึงมีการสร้างเจดีย์หลายพันองค์ขึ้นทุกแห่งในตัวเมืองพุกามโบราณ อาณาจักรพุกามโบราณที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองโบราณมัณฑะเลย์ ซึ่งอยู่ตรงกลางของประเทศพม่าในปัจจุบัน พื้นที่อาณาจักรพุกามเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญของประเทศพม่า เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานของแผนที่โลก พบว่าอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นเมืองที่พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเจริญรุ่งเรืองมากทั้งทางวัตถุและจิตใจของชาวพุกาม มีการสร้างเจดีย์ไม่น้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ แห่งเพื่อใช้บรรจุสิ่งที่ควรเคารพบูชาส่วนใหญ่คือพระพุทธรูปปางชนะมารหรือปางตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ กล่าวคือชีวิตของมนุษย์จะต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับสิ้น ไปจุติจิตในภพต่างๆ มีภพภูมิถึง ๓๑ ภพตามเชื่อทางพระพุทธศาสนานิกายเถรวาททั่วอาณาจักรพุกาม มีสร้างปรักหักของโบราณวัตถุที่ได้รับการบูรณะไม่ต่ำกว่า ๒๐๐๐ วัดด้วยกัน
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ในปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับอาณาจักรพุกามโบราณนั้นเมื่อวิเคราะห์จากเอกสารหลักฐานและแหล่งโบราณคดีผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงว่า อาณาจักรพุกามโบราณเป็นชุมชนทางการเมืองที่ชาวพุกามสร้างขึ้น อาศัยอยู่ในดินแดนที่มีอาณาเขตแน่นอนตั้งอยู่ตอนกลางของพม่ามีอำนาจอธิปไตยของตนเอง พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ทำหน้าที่เป็นรัฐบาลทำหน้าที่ปกครองอาณาจักร เป็นเวลาหลายร้อยปีก่อนการล่มสลายลง เมื่ออาณาจักรพุกามโบราณเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่เป็นระยะเวลาหลายปีและเสื่อมสลายไปตามกฎธรรมชาติเฉกเช่นชีวิตมนุษย์ เมื่อความคิดของมนุษย์ไม่เที่ยงเพราะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นความประมาทเล่นเล่อของชาวพุกามเองที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ที่จะรักษาชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ดังนั้นความรู้เกี่ยวกับอาณาจักรพุกามโบราณเป็นความรู้ในระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์ จึงถือว่าเป็นความจริงที่สมมติขึ้น
1 ความคิดเห็น:
ท่านพระอาจารย์ ผศ. ดร. เขียนบล็อกได้ดีมากๆ ครับ อ่านแล้วได้ความรู้ดีมากเลยครับ เช่น เมืองพุกาม เป็นเมืองที่มีเจดีย์มาก ตั้งอยู่ในประเทศพม่า หรือเมียนม่าร์ นับได้ว่าเป็นเมืองมรดกโลกที่ ยูเนสโก ประกาศ พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้ามาในสมัยการทำสังคายนาตรั้งที่ ๓ ที่ประเทศอินเดีย โดยมีพระอุตฺตรและพนะโสณะเป็นพระภิษุที่ได้เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ นะครับ
แสดงความคิดเห็น