Element 2: ฺBuddhist Principles based on Buddhaphumi Philosophy
คำสำคัญ: หลักธรรม พระพุทธศาสนา

บทนำ
โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ทุกคนมักจะได้ยินข้อเท็จจริง (fact) เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตผ่านอายตนะภายใน และรวบรวมเหตุการณ์เหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ไม่เพียงแต่รับรู้ และรวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น แต่ยังมีลักษณะของการเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อเรียนรู้สิ่งใด จิตใจจะไตร่ตรองโดยการอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงจากหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น ซึ่งทำได้โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบ อย่างไรก็ตาม การใช้เหตุผลของมนุษย์บางคนที่เป็นนักตรรกะและนักปรัชญา บางคนให้เหตุผลได้อย่างถูกต้อง บางคนใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง บางคนก็ให้เหตุผลในลักษณะนี้ หรือบางคนก็ให้เหตุผลในลักษณะนั้น เมื่อเหตุผลอธิบายความจริงของนักตรรกะและนักปรัชญายังคงคลุมเครือ และยังไม่แน่ชัดว่าข้อเท็จจริงของเรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินความคิดของนักตรรกะและนักปรัชญาแล้ว ทรงไม่เชื่อว่าเป็นความจริง เป็นต้น
เมื่อเราศึกษาความเป็นของศาสนาพราหมณ์ จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เราจึงได้ยินข้อเท็จจริงในเบื้องต้นที่ว่า ในช่วงเวลาที่ศาสนาพราหมณ์เจริญรุ่งเรืองที่สุด ผู้คนในภูมิภาคต่าง ๆต้องเผชิญกับภัยอันตราย ๕ ประการได้แก่ อัคคีภัย อุทกภัย ภัยพิบัติจากการบูชายัญสัตว์ การลักขโมย การ ประพฤติผิดในกาม การโกหกและความประมาท เป็นต้น เมื่อชาวเมืองสักกะเผชิญกับความยากลำบากของชีวิต ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน เพราะมีอายตนะภายในของร่างกายมีความสามารถจำกัดในการรับรู้ และมักมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตของชาวสักกะ จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ จึงขาดความสามารถในการใช้เหตุผลอธิบายความจริงของชีวิตได้อย่างมีเหตุผล พวกเขาจำเป็นต้องแสวงหาที่พึ่งอันประเสริฐของตนเอง
เมื่อชาวอนุทวีปอินเดียเคารพนับถือพราหมณ์อารยัน ผู้มีชื่อเสียง พวกเขาจึงเดินทางไปยังวัดต่าง ๆ เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาชีวิต ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าพราหมณ์เหล่านั้น มีความสามารถพิเศษหรือปัญญาที่เรียกว่า "ญาณหยังรู้" (insight) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้า เช่น พระพรหม พระอิศวร เป็นต้น เนื่องจากพราหมณ์เหล่านี้ บางคนเป็นนักปรัชญาและนักตรรกวิทยาพวกเขามักแสดงความคิดเห็นของตนเอง และคาดคะเนความจริงของเรื่องราวเหล่านี้ โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญา ใช้เพื่ออธิบายความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์ พวกเขายังสื่อสารกับเทพเจ้าผ่านการบูชายัญถวายวัตถุล้ำค่าต่าง ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือให้บรรลุความปรารถนาในชีวิต เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การใช้เหตุผลของพราหมณ์ซึ่งเป็นนักตรรกวิทยาและนักปรัชญา ซึ่งเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถในการรับรู้ผ่านอายตนะภายในจำกัดและมีอคติต่อผู้อื่น ได้นำพาชีวิตของนักตรรกวิทยาและนักปรัชญาเหล่านี้ไปสู่ความมืดมน พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ พวกเขาจึงขาดความสามารถในการใช้เหตุผลอย่างมีเหตุผล เมื่อแสดงทัศนะของตนเองในฐานะนักปรัชญาและนักตรรกวิทยาต่อสังคม บางคนอาจใช้เหตุผลได้อย่างถูกต้อง บางคนอาจใช้เหตุผลอย่างไม่ถูกต้อง บางคนอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือลักษณะนั้นก็ได้ เมื่อนักปรัชญาและนักตรรกวิทยาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจนแล้ว วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อได้ฟังความคิดเห็นของนักปรัชญาและนักตรรกวิทยาแล้ว จะไม่เชื่อความคิดเห็นเหล่านั้นเป็นความจริงของเรื่องนั้น ๆ
ดังนั้นในสมัยพุทธกาล ผู้คนจึงแสวงหาที่พึ่งทางจิตวิญญาณ เช่น พราหมณ์อารยันและพราหมณ์มิลักขะ เพื่อคำแนะนำในการแก้ปัญหาชีวิต โดยการบูชาพระพรหมและพระอิศวร เพื่อช่วยให้พวกเขาบรรลุความปรารถนา อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์ของการบูชาเทพเจ้ากลับกลายเป็นประเด็นทางการเมือง เมื่อการบูชาเทพเจ้าของพราหมณ์อารยันและเทวดาของพราหมณ์มิลักขะสร้างรายได้มหาศาล เพือความปลอดภัยของประเทศ และเพื่อรักษาผลประโยชน์ของการบูชาสำหรับพราหมณ์อารยัน มหาราชาแห่งรัฐต่าง ๆ ประกาศคำสอนของศาสนาพราหมณ์เป็นกฎหมายวรรณะ ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี โดยอ้างว่าเมื่อพระพรหมสร้างมนุษย์จากร่างกายของพระองค์ พระพรหมจึงสร้างวรรณะสำหรับมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่พวกเขาเกิดมา เมื่อประกาศคำสอนเหล่านี้เป็นกฎหมายวรรณะแล้ว ย่อมมีสภาพบังคับที่ประชาชนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กล่าวคือ ห้ามมิให้บุคคลเพศสัมพันธ์กับบุคคลในวรรณะอื่น หรือปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะอื่น หากผู้ใดกระทำการดังกล่าว ถือว่าเป็นผู้ละเมิดคำสอนของศาสนาและกฎหมายวรรณะอย่างร้ายแรง และพระพรหมจะลงโทษ โดยสังคมจะขับไล่ออกจากบ้านเรือนตลอดชีวิต พวกเขาจะสูญเสียสิทธิและหน้าที่ตามวรรณะเดิมไปตลอดชีวิต ไม่สามารถกลับคืนสู่สังคมเดิมเพื่อรับสิทธิและหน้าที่ตามวรรณะเดิมได้
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงที่ชาวสักกะเผชิญอยู่ พวกเขาไม่มีทางเลือกในเส้นทางของชีวิตตนเอง ชีวิตของพวกเขาถูกกำหนดให้มืดมนชั่วนิรันดร์ อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงเมตตากรุณาต่อชาวสักกะและทรงช่วยให้พวกเขาพ้นจากความมืดมนนี้ แม้ว่าพระองค์จะทรงสำเร็จการศึกษาด้านศิลปศาสตร์ แต่พระองค์ก็ทรงไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าได้โดยตรงผ่านพิธีกรรมบูชาด้วยพระองค์เอง เพราะหากพระองค์ทรงทำพิธีกรรมบูชาเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น ถือเป็นความผิดร้ายแรงต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้ายังไม่ชัดเจน พระองค์จึงทรงสืบเสาะหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน เช่น คำให้การของปุโรหิตที่ปรึกษาของมหาราชาแห่งแคว้นสักกะ เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริง โดยการใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา มาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนี้
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงทราบปัญหาจัณฑาลในแคว้นสักกะนั้น เกิดจากการที่ผู้คนทุกวรรณะในแคว้นสักกะกระทำผิดอย่างร้ายแรงต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ ด้วยการมีเพศสัมพันธ์์กับผู้คนต่างวรรณะ พวกเขาจึงถูกสังคมลงโทษด้วยการขับไล่ออกจากบ้านเรือนไปตลอดชีวิต พวกเขาต้องหลบหนีไปอยู่ตามท้องถนนในเมืองใหญ่ ๆ เช่นพระนครกบิลพัสดุ์ พระนครเทวทหะ เป็นต้นเมื่อพระองค์ทรงถามพราหมณ์ว่า พวกเขาสร้างทฤษฎีกำเนิดของโลกขึ้นโดยอาศัยคำสอนของครูบาอาจารย์ของตน โดยพวกเขาเชื่อว่ามีพระพรหมและพระอิศวรเนื่องจากพราหมณ์ในรุ่นก่อนเคยเห็นพระพรหมและพระอิศวรในแคว้นสักกะมาก่อน พระพรหมเป็นผู้ที่สร้างมนุษย์ และวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา แต่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามว่า พระพรหมมีประวัติความเป็นมาอย่างไร ? แต่ไม่มีใครตอบได้
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงพิจารณาข้อเท็จจริงจากคำให้การของปุโรหิตแล้ว พระองค์ก็ทรงตระหนักว่าแม้ปุโรหิต จะอ้างว่าสื่อสารกับเทพเจ้าเป็นประจำผ่านการบูชายัญแต่เนื่องจากไม่มีพราหมณ์คนใดสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพระพรหมได้ คำให้การของปุโรหิตเหล่านั้น จึงไม่น่าเชื่อถือว่าพวกเขาสามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้อย่างแท้จริง เจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่เชื่อการมีอยู่ของเทพเจ้า หากพระองค์จะทรงบูชายัญเทพเจ้าด้วยพระองค์เอง เพื่อขอให้พระพรหมยกเลิกกฎหมายวรรณะ แต่พระองค์ก็ทรงไม่สามารถทำได้ จะเป็นการละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะอย่างร้ายแรง เพราะกฎหมายห้ามมิให้ผู้ใดปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น
เมื่อความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าตามที่ปุโรหิตกล่าวอ้าง กลายเป็นสงสัยและพระองค์ไม่ทรงเชื่อว่าเป็นความจริง พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมในแคว้นสักกะ โดยเสนอร่างกฎหมายยกเลิกวรรณะในแคว้นสักกะ อย่างไรก็ตาม เมื่อสมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว ที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสนอนั้น เป็นการยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้วและเป็นร่างกฎหมายที่ขัดแย้ง หรือขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีของราชอาณาจักรสักกะ พวกเขาจึงลงมติเป็นเอกฉันท์ ปฏิเสขร่างกฎหมายยกเลิกวรรณะในแคว้นสักกะตามที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสนอ เป็นต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกจากพระราชวังกบิลพัสดุ์เพื่อผนวชเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อแสวงหาสัจธรรมของชีวิตว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ และวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมาตามคำสอนของพราหมณ์หรือไม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อพระองค์ทรงศึกษาในอาฬารดาบส กาลามโคตร ใช้เวลาหลายปีในการค้นพบหลักมรรคมีองค์ ๘ พระองค์ทรงปฏิบัติธรรมจนบรรลุความจริงของชีวิตมนุษย์ ซึ่งก็คือความรู้ในระดับอภิญญา ๖ ประการ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
ผู้เขียนตีความคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นศาสดาในพระพุทธศาสนานั้น มีทั้งหลักคำสอนและวิธีปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงความจริงของชีวิตเป็นหลักสากลที่มนุษย์ทุกคนสามารถนำปฏิบัติให้เข้าถึงความจริงของชีวิตได้โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติตามกฎหมายชนชั้นวรรณะ ส่วนคำสอนในศาสนาพราหมณ์ แม้ว่าคำสอนของศาสนาพราหมณ์จะมีหลักการ และแนวปฏิบัติที่ช่วยให้บรรลุสัจธรรมแห่งการมีอยู่ของเทพเจ้าผ่านการบูชายัญเช่นเดียวกับพุทธศาสนา แต่สิทธิและหน้าที่ของศึกษาคำสอนของศาสนา และการบูชายัญเป็นของวรรณะพราหมณ์เท่านั้นการบูชายัญ เพื่อเข้าถึงความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้า จึงไม่เป็นหลักสากลที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ หากผู้ใดฝ่าฝืนคำสอนทางศาสนาและกฎหมายวรรณะด้วยการปฏิบัติจะถูกพระพรหมลงโทษ จะต้องสูญเสียสิทธิ และหน้าที่ตามกฎหมายไปตลอดชีวิตและไม่มีวันกลบคืนสู่สถานะเดิมทางสังคมได้ เป็นต้น

เราสามารถอธิบายได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องลงรายละเอียด" ตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้าทรงนำหลักปฏิจสมุปบาทมาอธิบายในรูปแบบคำสอนต่าง ๆ เพื่อให้สาวกเข้าใจคำสอนของพระองค์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งรวมถึงวัฏจักรแห่งความตายและการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร, วิชชา ๓, และหลักแห่ง "กรรม" เป็นต้น เมื่อพระปัญจวัคคีย์ได้ฟังพระธรรมเทศนา พวกเขาเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ จนกระทั่งบรรลุความรู้ในระดับอภิญญา ๖ เช่นเดียวกับการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ปัญหาที่ควรวิเคราะห์ต่อไป พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง๕ ด้วยคำสอนอะไร
เมื่อผู้เขียนศึกษาการแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก หลักฐานในไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ มหาวรรคภาค ๑ ธัมมจักปปวัตตนสูตร ปฐมเทศนา ข้อ ๑๓.ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกับพระภิกษุปัญจวัคคีย์ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายที่สุดสองอย่างนี้บรรพชิตไม่พึ่งเสพคือ (๑) กามสุขัลลิกานุโยคในกามทั้งหลาย (การหมกมุ่นกับกามตัณหา) เป็นธรรมอันทรามเป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยไม่ประกอบด้วยประโยชน์ (๒) อัตตกิลมถานุโยค (การประกอบความลำบากเดือดร้อนแก่ตน) เป็นทุกข์ไม่ใช่ของพระอริย ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าใกล้ที่สุดทั้งสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิดย่อมเป็นไปเพื่อสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้เพื่อนิพพาน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลาง ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั่น เป็นไฉน ? ปฏิปทาสายกลาง ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละคือปัญญาอันเห็นชอบ๑ ความดำริชอบ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ พยายามชอบ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลคือ ปฏิปทาสายกลางนั้นที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิดย่อมเป็นไปเพื่อสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน".
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่กล่าวถึงข้างต้นและได้ฟังข้อเท็จจริงว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์คือ "ธัมมจักรกัปวัตนสูตร" มีสาระสำคัญว่าชีวิตของภิกษุไม่ควรดำเนินวิถีชีวิตแบบฆราวาส กล่าวคือ
๑. การหมกมุ่นในกามทั้งหลาย หรือความมัวเมาในกามราคะ กล่าวคือ การใช้ชีวิตเกี่ยวพันกับสิ่งที่ปรารถนา เช่น ผัสสะในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นต้น
- คำว่า เกี่ยวพันกับรูปเกินความจำเป็นของชีวิต เช่น มีรถยนต์เกินความจำเป็นมากกว่า ๑ คันในการใช้ในชีวิตประจำวัน ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาตลอดเวลาหรือเครื่องประดับมีราคาแพงเกินความจำเป็น เป็นต้น
- คำว่า"เสียง" ต้องใช้ชีวิตจมปลักกับการเที่ยวกลางคืนในสถานเริงรมย์ทุกค่ำคืน ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากในแต่ละวัน
- กลิ่น น้ำหอมต้นไม้ต่าง ๆ มีหลายชนิด ผู้คนมักแสวงหามาชื่นชมและดมกลิ่นตลอดเวลา เป็นต้น.
- รสชาติของอาหารที่มีราคาแพง และเขาก็แสวงหาอาหารนั้นมารับประทาน
- กามราคะ การพัวพันผัสสะกับร่างกายของมนุษย์ ราคะคือความลุ่มหลงกับสิ่งตต่าง ๆ ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้นแล้วก็สลายหายไป ไม่เหลือรูปให้เห็นอีกต่อไป เป็นต้น
๒. การปฏิบัติธรรมแบบเคร่งครัดจนเกินควร ทรมานร่างกาย จนผอมแห้งและทุกข์ทรมาณ จนแทบจะอดทนข์ไม่ได้ เป็นการแรงกระทำในชีวิตที่สูญเปล่า ในบางกรณีอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เช่น พ่อแม่ของพระมหาวีระ ผู็ก่อตั้งศาสนาเชน มีความศรัทธาในการปฏิบัติธรรมแบบเคร่งครัดจนเสียชีวิต โดยจิตไม่สามารถสำรอกกิเลสออกจากจิตของตนได้ ดังนั้น การปฏิบัติแบบเคร่งครัดจึงเป็นการลงแรงกระทำที่สูญเปล่าและไม่นำไปสู่หนทางที่จะเกิดมรรคและเกิดผลใด ๆได้.
จากพยานหลักฐานในพระไตรปิฎกนั้นผู้เขียนวิเคราะห์ได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงนำความรู้จากการประพฤติวัตรและปฏิบัติธรรมของพระองค์ ที่เป็นประสบการณ์ของชีวิตของพระองค์ทรงเคยปฏิบัติมานั้นมาสอนแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ว่าเป็นวิธีการที่ไม่ควรปฏิบัติเพราะว่านำวิธีการไปใช้ปฏิบัติแล้วไม่เกิดมรรคผลบรรลุถึงความรู้ในระดับอภิญญาได้

3 ความคิดเห็น:
อ่านแล้วทำให้รู้ถึงประวัติพระพุทธศาสนามากขึ้น
สาธุๆๆๆ🥰😇
สาธุๆๆๆๆๆ🥰😇
แสดงความคิดเห็น