The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ข้อเท็จจริงของอาณาจักรเมารยะเป็นมหาอำนาจของโลก

 Facts about the Maurya  Empire

              เมื่อผู้เขียนได้สืบหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของอาณาจักรโมริยะจากบริบททางสังคมที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานในพระไตรปิฏกมหาจุฬาลงกรณลงกรณว่า  พระเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินาราทรงประกอบพิธีประชุมพระเพลิงพระบรมศพของพระพุทธเจ้า  พระองค์จึงทรงรับสั่งให้โทณพราหมณ์ แบ่งพระบรมสาริกธาตุให้กษัตริย์ทั้ง ๘ เมือง      ในเวลานั้น อาณาจักรโมริยะได้ส่งทูตแห่งเมืองปิปผลิวันของอาณาจักรโมริยะไปขอพระบรมสาริกธาตุไปเก็บไว้บูชาที่เจดีย์ที่สร้างขึ้น เหตุผลที่ขอส่วนแบ่งพระบรมสาริกธาตุก็เพราะว่า เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติในวรรณะกษัตริย์      กษัตริย์โมริยะแห่งเมืองปิปผลิวันก็ได้ประสูติในวรรณะกษัตริย์ด้วย   พระองค์จึงสมควรได้รับส่วนแบ่งพระบรมสาริกธาตุของพระพุทธเจ้าไปบูชาเช่นเดียวกับกษัตริย์ทั้ง ๘  เมือง       แต่เมื่อพระเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินาราทรงแบ่งพระบรมสาริกธาตุให้กษัตริย์ทั้ง ๘ พระองค์ ก็เหลือเพียงพระอังคารของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ราชทูตแห่งราชอาณาจักรโมริยะจึงรับพระอังคาร (เถ้า) ของพระพุทธเจ้า ไปประดิษฐานในเจดีย์ที่สร้างขึ้นในเมืองปิปผลิวันแห่งอาณาจักรโมริยะ เพื่อให้ชาวโมริยะได้บูชาพระอังคารของพระพุทธเจ้า  

              เมื่อผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ ผู้เขียนจึงใช้หลักฐานดังกล่าวมาเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้จากหลักฐานเอกสาร และคาดคะเนความจริงของเรื่องนี้    โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนี้ว่า ชาวโมริยะได้สถาปนาอาณาจักรโมริยะตั้งแต่สมัยพุทธกาล     จึงไม่ได้สถาปนาขึ้นหลังสมัยพุทธกาล อย่างที่นักประวัติศาสตร์โลกเข้าใจ และเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นไว้ให้พวกเราได้ศึกษาแต่อย่างใด   

            อย่างไรก็ตาม แม้ข้อเท็จจริงจากหลักฐานเอกสารในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณจะยืนยันว่า อาณาจักรโมริยะนี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว   ปัญหาที่ผู้เขียนสงสัยว่า อาณาจักรโมริยะตั้งอยู่บริเวณใดในอนุทวีปอินเดีย เมื่อผู้เขียนตรวสอบแผนที่โบราณของอินเดียบนอินเตอร์เน็ตแล้ว         ก็ไม่พบหลักฐานการที่กล่าวถึงอาณาจักรโมริยะ  อย่างไรก็ตาม    ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณยืนยันว่า พระเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินาราทรงได้มอบพระอังคาร (เถ้ากระดูก) ของพระพุทธเจ้า ให้คณะราชทูตแห่งราชอาณาจักรโมริยะไป ประดิษฐานในเจดีย์ในอาณาจักรโมริยะ  เป็นบริบททางสังคมที่เกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว  ๘ วัน      เมื่อทราบข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ในลักษณะนี้ ผู้เขียนจึงวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน  โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงว่า เมื่ออาณาจักรโมริยะสร้างเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระอังคารของพระพุทธเจ้าไว้ในเมืองใด   สถานที่ดังกล่าวคือที่ตั้งของอาณาจักรโบราณโมริยะ   

               ในยุคหลัง เมื่ออังกฤษปกครองอินเดีย   นักโบราณคดีชาวอังกฤษขุดค้นโบราณสถานหลายแห่งที่สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิโมริยะ เมือง Lauria Nandangarh เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีในเขตWest Champaran ของ Bihar  เมือง Lauria Nandangarh  มีซากเจดีย์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Nandangarh เจดีย์นี้สูง 26 เมตร และนักโบราณคดีชาวอังกฤษเชื่อว่าเป็นเจดีย์ Ashes Stupa ซึ่งบรรจุพระอังคาร (เถ้า) ของพระพุทธเจ้าไว้ นอกจากนี้ยังมีเสาอโศก (Ashoka Pillar) สูง 32 ฟุต ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง  

            จากข้อเท็จจริงฟังของเรื่องนี้    ผู้เขียนคาดคะเนความจริงจากหลักฐานว่าสถูปโบราณแห่งนี้เป็นสถานที่บรรจุพระอังคารของพระพุทธเจ้า (เถ้าถ่านของศพที่เผาแล้ว) ตามที่นักโบราณคดีชาวอินเดียพบเห็นจากข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ ผู้เขียนคาดคะเนความจริงจากหลักฐานได้ว่าเมือง Lauria Nandangarh ในเขต West Champaran ของ Bihar คือสถานที่ตั้งชุมชนการเมืองของจักรวรรดิโมริยะโบราณในสมัยพุทธกาล  เป็นต้น  เมื่อดูระยะทางของสถานที่แห่งนี้จากเมืองปัฏตาลีบุตรแล้วบนแผนที่โลกกูเกิล เป็นระยะทาง ๒๒๑  กิโลเมตร  ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าอาณาจักรแห่งนี้ก่อตั้งชุมชนการเมืองขึ้นจริง        อาณาจักรโมริยะโบราณในยุคเริ่มแรกน่าจะมีฐานที่มั่นในเมือง Lauria Nandangarh   ในเขต West Champaran ของ Bihar 

            ส่วนสาเหตุหรือเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดจักรพรรดิโมริยะอันยิ่งใหญ่ ที่มีเมืองหลวงชื่อปัฎตาลีบุตร     เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนียประสูติ เมื่อพ.ศ. ๑๘๗ (ตรงกับ ๓๕๖ก่อนคริสต์ศักราช)    อีก ๒๐ ปีต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๗  พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ทรงได้นำทัพมารุกรานรัฐต่าง ๆ  ในอนุทวีปอินเดีย  เพื่อแสดงให้เห็นถึงอำนาจทางด้านการเมือง  และแสนยานุภาพทางทหารของอาณาจักรมาซิโดเนีย   เมื่อกองทัพของพระองค์เข้าโจมตีเมืองตักศิลา       มหาราชาผู้ปกครองก็ยอมจำนนอย่างง่ายดาย  และตกลงที่จะเป็นประเทศราชหรือรัฐบริวารของจักรพรรดิมาซิโดเนีย   และพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ยังทรงทำสงครามกับพระเจ้าปอโรสแห่งอาณาจักรเปารวะ.     ซึ่งเราเรียกกันว่า "แคว้นปัญจาบ"  เมื่อพระองค์ทรงได้รับชัยชนะเหนืออาณาจักรเปารวะแล้ว  ก็ทรงแต่งตั้งให้อาณาจักรเปารวะเป็นประเทศราชขึ้นตรงต่ออาณาจักรมาซิโดเนีย      เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ประเทศราชต่าง      ๆ  ประกาศตนเป็นเอกราชและไม่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิมาซิโดเนียโดยตรงอีกต่อไป   ทำให้ประเทศต่าง ๆ  ต่างทำสงครามกันทั่วอนุทวีปเพื่อแย่งชิงอำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศอื่น     พระเจ้าจันทรคุปต์เมารยะ เป็นกษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักรโมริยะ  พระองค์ทรงทำสงครามเพื่อโจมตีอาณาจักรมคธ ในสมัยราชวงศ์นันทะและพิชิดอาณาจักรมคธได้สำเร็จ จากนั้นพระองค์จึงสามารถพิชิดอาณาจักรสักกะและอาณาจักรโมริยะได้สำเร็จ  เป็นต้น  


  

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ