The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2568

ข้อเท็จจริงของอาณาจักรเมารยะเป็นมหาอำนาจของโลก

 Facts about the Maurya  Empire

              เมื่อผู้เขียนได้สืบหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของอาณาจักรโมริยะจากบริบททางสังคมที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานในพระไตรปิฏกมหาจุฬาลงกรณลงกรณว่า  พระเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินาราทรงประกอบพิธีประชุมพระเพลิงพระบรมศพของพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงรับสั่งให้โทณพราหมณ์แบ่งพระบรมสาริกธาตุให้กษัตริย์ทั้ง ๘ เมือง      ในเวลานั้น อาณาจักรโมริยะ ได้ส่งทูตแห่งเมืองปิปผลิวันของอาณาจักรโมริยะ ไปขอพระบรมสาริกธาตุไปเก็บไว้บูชาที่เจดีย์ที่สร้างขึ้น เหตุผลที่ขอส่วนแบ่งพระบรมสาริกธาตุก็เพราะว่า เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติในวรรณะกษัตริย์ กษัตริย์โมริยะแห่งเมืองปิปผลิวันก็ได้ประสูติในวรรณะกษัตริย์ด้วย พระองค์จึงทรงควรได้รับส่วนแบ่งพระบรมสาริกธาตุไปบูชาเช่นเดียวกับกษัตริย์ทั้ง ๘  เมือง แต่เมื่อพระเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินาราทรงแบ่งพระบรมสาริกธาตุให้กษัตริย์ทั้ง ๘ พระองค์   ก็เหลือเพียงพระอังคารของพระพุทธเจ้าเท่านั้น คณะราชทูตแห่งราชอาณาจักรโมริยะจึงรับพระอังคาร(เถ้า)ของพระพุทธเจ้า ไปประดิษฐานไว้ในเจดีย์ที่สร้างขึ้นในเมืองปิปผลิวันแห่งอาณาจักรโมริยะ เพื่อให้ชาวโมริยะได้บูชาพระอังคารของพระพุทธเจ้า  

              เมื่อผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ ผู้เขียนได้นำหลักฐานดังกล่าวมาเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้จากหลักฐานเอกสาร และคาดคะเนความจริงของเรื่องนี้     โดยใช้เหตุผล  ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา  ในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนี้ว่า ชาวโมริยะได้สถาปนาอาณาจักรโมริยะขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล จึงไม่ได้สถาปนาขึ้นหลังสมัยพุทธกาล ตามที่นักประวัติศาสตร์โลกเข้าใจและเขียนขึ้นไว้ให้พวกเราได้ศึกษาแต่อย่างใด   

            แต่ข้อเท็จจริงว่าในสมัยพุทธกาลนั้น  อาณาจักรโมริยะนี้ตั้งอยู่บริเวณใดในอนุทวีปอินเดีย  เมื่อผู้เขียนตรวสอบแผนที่โบราณของอินเดียบนอินเตอร์เน็ตแล้ว   ก็ไม่พบหลักฐานการที่กล่าวถึงอาณาจักรโมริยะ   อย่างไรก็ตาม    ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณยืนยันว่าพระเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินาราทรงได้มอบพระอังคาร (เถ้ากระดูก) ของพระพุทธเจ้าให้คณะราชทูตแห่งราชอาณาจักรโมริยะไป ประดิษฐานในเจดีย์ในอาณาจักรโมริยะ  เป็นบริบททางสังคมที่เกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว  ๘ วัน  เมื่อทราบข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ในลักษณะนี้ ผู้เขียนจึงวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน  โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงว่า เมื่ออาณาจักรโมริยะสร้างเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระอังคารของพระพุทธเจ้าไว้ในเมืองใด   สถานที่ดังกล่าวคือที่ตั้งของอาณาจักรโบราณโมริยะ   

               ในยุคหลัง  เมื่ออังกฤษปกครองอินเดีย   นักโบราณคดีชาวอังกฤษได้ขุดค้นโบราณสถานหลายแห่งที่สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิโมริยะ   เมือง Lauria Nandangarh เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีในเขตWest Champaran ของ Bihar  เมือง Lauria Nandangarh  มีซากเจดีย์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Nandangarh เจดีย์นี้สูง 26 เมตร และนักโบราณคดีชาวอังกฤษเชื่อว่าเป็นเจดีย์ Ashes Stupa ซึ่งบรรจุพระอังคาร (เถ้า) ของพระพุทธเจ้าไว้ นอกจากนี้ยังมีเสาอโศก (Ashoka Pillar) สูง 32 ฟุต ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง  

            จากข้อเท็จจริงฟังของเรื่องนี้    ผู้เขียนคาดคะเนความจริงจากหลักฐานว่า สถูปโบราณแห่งนี้เป็นสถานที่บรรจุพระอังคาร (เถ้า)ของพระพุทธเจ้าตามที่นักโบราณคดีชาวอินเดียพบเห็น  จากข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ ผู้เขียนคาดคะเนความจริงจากหลักฐานได้ว่าเมือง Lauria Nandangarh ในเขต West Champaran ของ Bihar คือสถานที่ตั้งของจักรวรรดิโมริยะโบราณในสมัยพุทธกาล  เป็นต้น  เมื่อดูระยะทางของสถานที่แห่งนี้จากเมืองปัฏตาลีบุตรแล้วบนแผนที่โลกกูเกิล เป็นระยะทาง ๒๒๑  กิโลเมตร  ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่า อาณาจักรแห่งนี้ก่อตั้งชุมชนการเมืองขึ้นจริง   อาณาจักรโมริยะโบราณในยุคเริ่มแรกน่าจะมีฐานที่มั่นในเมือง Lauria Nandangarh   ในเขต West Champaran ของ Bihar 

            ส่วนสาเหตุหรือเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดอาณาจักรโมริยะที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมีเมืองหลวงชื่อปัฎตาลีบุตร     เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนียประสูติ เมื่อพ.ศ. ๑๘๗ (ตรงกับ ๓๕๖ก่อนคริสต์ศักราช)    อีก ๒๐ ปีต่อมา รุกรานแคว้นต่าง ๆ  ในอนุทวีปอินเดีย  เพื่อแสดงให้ถึงอำนาจทางด้านการเมืองและการทหารของอาณาจักรมาซิโดเนีย   เมื่อกองทัพของพระองค์เข้าโจมตีแคว้นตักศิลา  มหาราชาผู้ปกครองก็ยอมแพ้โดยง่ายดาย  และยอมเป็นประเทศราชเมืองขึ้นของอาณาจักรมาซิโดเนีย


  

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ