Facts about the Maurya Empire
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ของอาณาจักรโมริยะจากบริบททางสังคมที่เก่าแก่ที่สุด ที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฏกมหาจุฬาลงกรณลงกรณราชวิทยาลัยได้กล่าวไว้ว่า พระเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินาราทรงประกอบพราะราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงรับสั่งให้โฑณพราหมณ์ แบ่งพระบรมสาริกธาตุให้กษัตริย์ทั้ง ๘ พระองค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในเวลานั้นอาณาจักรโมริยะได้ส่งราชทูตจากเมืองปิปผลิวัน ไปขอพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานในเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่ เพื่อให้ชาวเมืองบิปผลิวันได้สักการะบูชา เหตุผลที่กษัตริย์โมรินะทรงขอให้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าประสูติในวรรณะกษัตริย์ กษัตริย์โมริยะแห่งเมืองปิปผลิวันประสูติในวรรณะกษัตริย์เช่นกัน ดังนั้นพระองค์จึงสมควรได้รับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไปบูชาเช่นเดียวกับกษัตริย์อีก๘ พระองค์ อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินาราทรงแบ่งพระบรมสาริกธาตุให้กษัตริย์ทั้ง ๘ พระองค์ ก็เหลือเพียงพระอังคารของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ราชทูตแห่งราชอาณาจักรโมริยะจึงนำพระอังคาร (เถ้า) ของพระพุทธเจ้า ไปประดิษฐานในเจดีย์ ที่สร้างขึ้นในเมืองปิปผลิวันแห่งอาณาจักรโมริยะ เพื่อให้ชาวโมริยะได้บูชาพระอังคารของพระพุทธเจ้า
เมื่อผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงเรื่อง "อาณาจักรโมริยะ" จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้เขียนจึงแสดงความคิดเห็นความจริงเรื่อง การมีอยู่จริงของอาณาจักรโมริยะตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้แล้ว โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริง แต่เมื่อผู้เขียนมีอายตนะภายในที่มีข้อจำกัดความสามารถในการรับรู้เรื่อง"อาณาจักรโมริยะ" และมีความลำเอียงต่อผู้อื่นด้วยการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอันนเนื่องมาจากความไม่รู้ ชีวิตของผู้เขียนจึงเต็มไปด้วยความมืดมนเหมือนนักตรรกะและนักปรัชญาในสมัยพุทธกาล เมื่อใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนี้ บางครั้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง บางครั้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลอย่างผิด ๆ ก็ได้ เมื่อคำตอบของเรื่องอาณาจักรโมริยะยังคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะย่อมไม่เชื่อถือความคิดเห็นในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ข้อเท็จจริงจากหลักฐานเอกสารในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณจะยืนยันว่า อาณาจักรโมริยะนี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว ปัญหาที่ผู้เขียนสงสัยว่าอาณาจักรโมริยะตั้งอยู่บริเวณใดในอนุทวีปอินเดีย เมื่อผู้เขียนตรวสอบแผนที่โบราณของอินเดียบนอินเตอร์เน็ตแล้ว ก็ไม่พบหลักฐานการที่กล่าวถึงอาณาจักรโมริยะ อย่างไรก็ตาม ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณยืนยันว่า พระเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินาราทรงได้มอบพระอังคาร (เถ้ากระดูก) ของพระพุทธเจ้า ให้คณะราชทูตแห่งราชอาณาจักรโมริยะไป ประดิษฐานในเจดีย์ในอาณาจักรโมริยะ เป็นบริบททางสังคมที่เกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๘ วัน เมื่อทราบข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ในลักษณะนี้ ผู้เขียนจึงวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงว่า เมื่ออาณาจักรโมริยะสร้างเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระอังคารของพระพุทธเจ้าไว้ในเมืองใด สถานที่ดังกล่าวคือที่ตั้งของอาณาจักรโบราณโมริยะ
ในยุคหลัง เมื่ออังกฤษปกครองอินเดีย นักโบราณคดีชาวอังกฤษขุดค้นโบราณสถานหลายแห่งที่สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิโมริยะ เมือง Lauria Nandangarh เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีในเขตWest Champaran ของ Bihar เมือง Lauria Nandangarh มีซากเจดีย์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Nandangarh เจดีย์นี้สูง 26 เมตร และนักโบราณคดีชาวอังกฤษเชื่อว่าเป็นเจดีย์ Ashes Stupa ซึ่งบรรจุพระอังคาร (เถ้า) ของพระพุทธเจ้าไว้ นอกจากนี้ยังมีเสาอโศก (Ashoka Pillar) สูง 32 ฟุต ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง
จากข้อเท็จจริงฟังของเรื่องนี้ ผู้เขียนคาดคะเนความจริงจากหลักฐานว่าสถูปโบราณแห่งนี้ เป็นสถานที่บรรจุพระอังคารของพระพุทธเจ้า(เถ้าถ่านของศพที่เผาแล้ว) ตามที่นักโบราณคดีชาวอินเดียพบเห็นจากข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ ผู้เขียนคาดคะเนความจริงจากหลักฐานได้ว่าเมือง Lauria Nandangarh ในเขต West Champaran ของ Bihar คือสถานที่ตั้งชุมชนการเมืองของจักรวรรดิโมริยะโบราณในสมัยพุทธกาล เป็นต้น เมื่อดูระยะทางของสถานที่แห่งนี้จากเมืองปัฏตาลีบุตรแล้วบนแผนที่โลกกูเกิล เป็นระยะทาง ๒๒๑ กิโลเมตร ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าอาณาจักรแห่งนี้ก่อตั้งชุมชนการเมืองขึ้นจริง อาณาจักรโมริยะโบราณในยุคเริ่มแรกน่าจะมีฐานที่มั่นในเมือง Lauria Nandangarh ในเขต West Champaran ของ Bihar
ส่วนสาเหตุหรือเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดจักรพรรดิโมริยะอันยิ่งใหญ่ ที่มีเมืองหลวงชื่อปัฎตาลีบุตร เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนียประสูติ เมื่อพ.ศ. ๑๘๗ (ตรงกับ ๓๕๖ก่อนคริสต์ศักราช) อีก ๒๐ ปีต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๗ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ทรงได้นำทัพมารุกรานรัฐต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดีย เพื่อแสดงให้เห็นถึงอำนาจทางด้านการเมือง และแสนยานุภาพทางทหารของอาณาจักรมาซิโดเนีย เมื่อกองทัพของพระองค์เข้าโจมตีเมืองตักศิลา มหาราชาผู้ปกครองก็ยอมจำนนอย่างง่ายดาย และตกลงที่จะเป็นประเทศราชหรือรัฐบริวารของจักรพรรดิมาซิโดเนีย และพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ยังทรงทำสงครามกับพระเจ้าปอโรสแห่งอาณาจักรเปารวะ. ซึ่งเราเรียกกันว่า "แคว้นปัญจาบ" เมื่อพระองค์ทรงได้รับชัยชนะเหนืออาณาจักรเปารวะแล้ว ก็ทรงแต่งตั้งให้อาณาจักรเปารวะเป็นประเทศราชขึ้นตรงต่ออาณาจักรมาซิโดเนีย เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ประเทศราชต่าง ๆ แคว้นปัญจาปประกาศตนเป็นเอกราชและไม่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิมาซิโดเนียโดยตรงอีกต่อไป ทำให้ประเทศต่าง ๆ ต่างทำสงครามกันทั่วอนุทวีปเพื่อแย่งชิงอำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศอื่น พระเจ้าจันทรคุปต์เมารยะ เป็นกษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักรโมริยะ พระองค์ทรงทำสงครามเพื่อโจมตีอาณาจักรมคธ ในสมัยราชวงศ์นันทะและพิชิดอาณาจักรมคธได้สำเร็จ จากนั้นพระองค์จึงสามารถพิชิดอาณาจักรสักกะ และอาณาจักรโกลิยะได้สำเร็จ แม้เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของอินเดีย แต่เมื่อเห็นเสาอโศกปักไว้ที่สวนลุมพินีและเมืองเทวทหะโบราณแล้ว ผู้เขียนวิเคราะห์เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น