The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ข้อเท็จจริงของอาณาจักรเมารยะเป็นมหาอำนาจของโลก

 Facts about the Maurya  Empire

              เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของจักรพรรดิโมริยะ จากบริบททางสังคมยุคแรกสุดจากหลักฐานพระไตรปิฏกมหาจุฬาลงกรณลงกรณราชวิทยาลัย พบว่าพระเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินารา ทรงประกอบพราะราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ของพระพุทธเจ้า  พระองค์จึงทรงรับสั่งให้โทณพราหมณ์ แบ่งพระบรมสาริกธาตุให้กษัตริย์ทั้ง ๘   เมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว      ในเวลานั้น จักรพรรดิโมริยะได้ส่งทูตจากเมืองปิปผลิวัน  มาขอพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานในเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อให้ชาวเมืองบิปผลิวันได้สักการะ     เหตุผลที่กษัตริย์แห่งจักรพรรดิโมริยะทรงขอให้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ  ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าประสูติในวรรณะกษัตริย์      กษัตริย์โมริยะแห่งเมืองปิปผลิวันประสูติในวรรณะกษัตริย์เช่นกัน   ดังนั้น พระองค์จึงทรงสมควรได้รับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับกษัตริย์อีก ๘  พระองค์ อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินาราทรงแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้แก่กษัตริย์ทั้ง ๘ พระองค์ ก็เหลือเพียงพระอังคารของพระพุทธเจ้าเท่านั้น   ทูตแห่งจักรพรรดิโมริยะจึงนำพระอังคาร (เถ้า) ของพระพุทธเจ้าประดิษฐานไว้ในเจดีย์ที่สร้างขึ้นในเมืองปิปผลิวันของจักรพรรดิโมริยะ เพื่อให้ชาวโมริยะได้บูชาพระอังคารของพระพุทธเจ้า  

               หลังจากได้ทราบข้อเท็จจริงเรื่อง "จักรพรรดิโมริยะ"  จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว หากผู้เขียนได้แสดงความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับความจริงของการมีอยู่จริงของอาณาจักรโมริยะตามโดยอาศัยเหตุผล และคาดคะเนความจริงของจักรพรรดิโมริยะแล้ว        โดยผู้เขียนใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริง แต่เมื่อผู้เขียนเป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในที่มีความสามารถในการรับรู้เรื่อง"อาณาจักรโมริยะ"ได้จำกัด และมีความลำเอียงเข้าข้างผู้อื่นโดยเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพราะความไม่รู้     ชีวิตของผู้เขียนจึงเต็มไปด้วยความมืดมนเฉกเช่นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาในสมัยพุทธกาล เมื่อใช้เหตุผลอธิบายความจริงของเรื่องนี้  บางครั้งผู้เขียนอาจให้เหตุผลได้อย่างถูกต้อง  บางครั้งอาจให้เหตุผลไม่ถูกต้องก็ได้เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ  เมื่อคำตอบเกี่ยวกับอาณาจักรโมริยะยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะจึงไม่เชื่อถือความคิดเห็นเช่นนี้

            อย่างไรก็ตาม แม้ข้อเท็จจริงจากหลักฐานเอกสารในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณจะยืนยันว่า อาณาจักรโมริยะนี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว   ปัญหาที่ผู้เขียนสงสัยว่าอาณาจักรโมริยะตั้งอยู่บริเวณใดในอนุทวีปอินเดีย เมื่อผู้เขียนตรวสอบแผนที่โบราณของอินเดียบนอินเตอร์เน็ตแล้ว  ก็ไม่พบหลักฐานการที่กล่าวถึงอาณาจักรโมริยะ  อย่างไรก็ตาม    ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณยืนยันว่า พระเจ้ามัลละแห่งเมืองกุสินาราทรงได้มอบพระอังคาร (เถ้ากระดูก) ของพระพุทธเจ้า ให้คณะราชทูตแห่งราชอาณาจักรโมริยะไป ประดิษฐานในเจดีย์ในอาณาจักรโมริยะ  เป็นบริบททางสังคมที่เกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว  ๘ วัน      เมื่อทราบข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ในลักษณะนี้ ผู้เขียนจึงวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน  โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงว่า เมื่ออาณาจักรโมริยะสร้างเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระอังคารของพระพุทธเจ้าไว้ในเมืองใด   สถานที่ดังกล่าวคือที่ตั้งของอาณาจักรโบราณโมริยะ   

               ในยุคหลัง เมื่ออังกฤษปกครองอินเดีย   นักโบราณคดีชาวอังกฤษขุดค้นโบราณสถานหลายแห่งที่สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิโมริยะ เมือง Lauria Nandangarh เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีในเขตWest Champaran ของ Bihar  เมือง Lauria Nandangarh  มีซากเจดีย์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Nandangarh เจดีย์นี้สูง 26 เมตร และนักโบราณคดีชาวอังกฤษเชื่อว่าเป็นเจดีย์ Ashes Stupa ซึ่งบรรจุพระอังคาร (เถ้า) ของพระพุทธเจ้าไว้ นอกจากนี้ยังมีเสาอโศก (Ashoka Pillar) สูง 32 ฟุต ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง  

            จากข้อเท็จจริงฟังของเรื่องนี้    ผู้เขียนคาดคะเนความจริงจากหลักฐานว่าสถูปโบราณแห่งนี้ เป็นสถานที่บรรจุพระอังคารของพระพุทธเจ้า (เถ้าถ่านของศพที่เผาแล้ว) ตามที่นักโบราณคดีชาวอินเดียพบเห็นจากข้อเท็จจริงของเรื่องนี้  ผู้เขียนคาดคะเนความจริงจากหลักฐานได้ว่าเมือง Lauria Nandangarh ในเขต West Champaran ของ Bihar คือสถานที่ตั้งชุมชนการเมืองของจักรวรรดิโมริยะโบราณในสมัยพุทธกาล  เป็นต้น    เมื่อดูระยะทางของสถานที่แห่งนี้จากเมืองปาฏลีบุตรหรือปัฏนาแล้วบนแผนที่โลกกูเกิล เป็นระยะทาง ๒๒๑  กิโลเมตร  ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าอาณาจักรแห่งนี้ก่อตั้งชุมชนการเมืองขึ้นจริง อาณาจักรโมริยะโบราณในยุคเริ่มแรกน่าจะมีฐานที่มั่นในเมือง Lauria Nandangarh   ในเขต West Champaran ของ Bihar 

            ส่วนสาเหตุหรือเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดจักรพรรดิโมริยะอันยิ่งใหญ่ ที่มีเมืองหลวงชื่อปัฎตาลีบุตร     เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนียประสูติ เมื่อพ.ศ. ๑๘๗ (ตรงกับ ๓๕๖ก่อนคริสต์ศักราช)    อีก ๒๐ ปีต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๗  พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ทรงได้นำทัพมารุกรานรัฐต่าง ๆ  ในอนุทวีปอินเดีย  เพื่อแสดงให้เห็นถึงอำนาจทางด้านการเมือง  และแสนยานุภาพทางทหารของอาณาจักรมาซิโดเนีย   เมื่อกองทัพของพระองค์เข้าโจมตีเมืองตักศิลา  มหาราชาผู้ปกครองก็ยอมจำนนอย่างง่ายดาย  และตกลงที่จะเป็นประเทศราชหรือรัฐบริวารของจักรพรรดิมาซิโดเนีย   และพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ยังทรงทำสงครามกับพระเจ้าปอโรสแห่งอาณาจักรเปารวะ.     ซึ่งเราเรียกกันว่า "แคว้นปัญจาบ"  เมื่อพระองค์ทรงได้รับชัยชนะเหนืออาณาจักรเปารวะแล้ว  ก็ทรงแต่งตั้งให้อาณาจักรเปารวะเป็นประเทศราชขึ้นตรงต่ออาณาจักรมาซิโดเนีย ในยุคต่อมา พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์    ประเทศราชต่าง      ๆ เช่น    แคว้นปัญจาปประกาศตนเป็นเอกราชและไม่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิมาซิโดเนียโดยตรงอีกต่อไป   ทำให้ประเทศต่าง ๆ  ต่างทำสงครามกันทั่วอนุทวีปเพื่อแย่งชิงอำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศอื่น     พระเจ้าจันทรคุปต์เมารยะ เป็นกษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักรโมริยะ  พระองค์ทรงทำสงครามเพื่อโจมตีอาณาจักรมคธ ในสมัยราชวงศ์นันทะและพิชิดอาณาจักรมคธได้สำเร็จ จากนั้นพระองค์จึงสามารถพิชิดอาณาจักรสักกะ และอาณาจักรโกลิยะได้สำเร็จ  แม้เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของอินเดีย   แต่เมื่อเห็นเสาอโศกปักไว้ที่สวนลุมพินีและเมืองเทวทหะโบราณแล้ว   ผู้เขียนอนุมานความรู้ได้ว่าอาณาจักรสักกะโบราณและอาณาจักรโกลิยะเคยเป็นเมืองขึ้นของจักรรดิโมริยะหรือเมาริยะมาก่อน  เป็นต้น  


  

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ