The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2568

วิธีพิจารณาความจริงเรื่องจักรพรรดิโมริยะเป็นมหาอำนาจของโลกของพระพุทธเจ้า

    Considering The truth about  Maurya Emperor as  The Buddha's worldly  power

            เมื่อเราได้ยินความจริงเกี่ยวกับการผงาดขึ้นของอาณาจักรโมริยะในฐานะมหาอำนาจของโลก ผ่านการศึกษาประวัติศาสตร์พุทธศาสนาของผู้เขียน หากเราแสดงทัศนะหรือความคิดเห็นในฐานะนักวิชาการ   นักตรรกศาสตร์ หรือนักปรัชญา ตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนั้นจากสิ่งที่ได้ยินมานั้น   การใช้เหตุผลของเรา คงเหมือนพราหมณ์ในสมัยพุทธกาลซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์หรือนักปรัชญา ที่แสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยอาศัยเหตุผล และการคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนั้น  ดังนั้นพราหมณ์เหล่านั้นย่อมใช้เหตุผลอธิบายความจริงถูกต้องบางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงอย่างผิด  ๆบางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้บ้างบางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้นบ้าง เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้า ทรงได้ฟังความเห็นของนักตรรกะศาสตร์และนักปรัชญา ใช้เหตุผลอธิบายอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน  พระองค์ทรงไม่ยอมรับความคิดเห็นดังกล่าวเป็นความจริง  และไม่ถือว่าความรู้นั้นเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น เป็นต้น

         ต้นกำเนิดแห่งความรู้ของมนุษย์  เมื่อเราศึกษาต้นกำเนิดแห่งความรู้เกี่ยวกับ"จักรพรรดิโมริยะ" ในฐานะมหาอำนาจของโลก ความรู้นี้มาจากสิ่งที่เราได้ยินผ่านอายตนะภายในของเราเอง จากพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย       อรรถกถา  ตำราประวัติศาสตร์   เมื่อเราได้รับความรู้แล้ว       จิตใจของเราก็จะบันทึกความรู้เหล่านี้ไว้เป็นข้อมูลทางอารมณ์ในจิตใจ   อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เป็นนักคิด   นักจินตนาการ หรือผู้สร้างภาพในจิตใจของตนเอง เมื่อเรารับรู้สิ่งใด   เราจะคิดจากสิ่งนั้น  โดยวิเคราะห์ข้อมูลทางอารมณ์โดยการอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของสิ่งนั้น  

          เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้ และอคติต่อผู้อื่น โดยเลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง      เพราะความไม่รู้ของตนเอง      ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน ทำให้พวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์  เมื่อพวกเขาใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจิตใจของพวกเขาจะเก็บเรื่องราวของคำตอบนั้นไว้ เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม การใช้เหตุผล  โดยมนุษย์เช่นผู้เขียน นักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญา  บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้น  หรือบางครั้งใช้เหตุผลอย่างผิด ๆ    บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนี้ หรือลักษณะนั้น  

           เมื่อผู้เขียนได้ยินว่าอาณาจักรโมริยะ   ในฐานะเป็นมหาอำนาจโลกที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยหลักพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน  หากผู้เขียนแสดงความคิดเห็นของตนเองตามหลักเหตุผล และคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้   โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงเรื่องนั้น  ความคิดเห็นของผู้เขียนคงเหมือนคำตอบของนักตรรกะและนักปรัชญาในสมัยพุทธกาล บางครั้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้องหรืออย่างผิด ๆ  ก็ได้ เมื่อเหตุผลของผู้เขียนยังคงคลุมเครือและ ความรู้ในเรื่องนี้ยังไม่กระจ่างชัด 

              อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องจักรพรรดิโมริยะเป็นมหาอำนาจของโลกต่อไป จึงจำเป็นต้องนิยามขอบเขตความรู้ให้ชัดเจนเกี่ยวกับ"พละห้าประการ  หรืออำนาจห้าประการของพระมหากษัตริย์" เรียกว่า ขัตติยพลโดยนิยามจากหลักฐานที่พบในพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยไว้  ตามคำนิยามนี้หมายถึงอำนาจของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ ที่สามารถปกครองประเทศได้ หรือผู้นำที่สามารถเป็นมหาอำนาจของโลกได้ โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบการปกครองได้แก่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ราชอาณาจักรไทย  สาธารณรัฐ หรืสหรัฐ  อเมริกา  พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ผู้นำต้องเป็นคนมีบุคคลิกภาพอันยิ่งใหญ่หรือมีอำนาจโดยธรรมชาติ ๕ ประการ จึงจะสามารถปกครองผู้อื่นได้ กล่าวคือ    

            ๑. พาหาพละ    กำลังกาย      

            ๒. โภคพละ      กำลังโภคทรัพย์   

            ๓. อม้จพละ       กำลังอำมาตย์  

            ๔. อภิฉัจจพละ  กำลังชาติสูง   

           ๕. ปัญญาพละ    กำลังสติปัญญา เป็นต้น    

 กล่าวคือ    

              ๑.  พาหาพละหรือกำลังแขน   โดยทั่วไปแล้ว ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ คำว่า "พาหา" หมายถึง"แขน"  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์  กล่าวคือคำว่า "พาหาพละ" แปลว่าโดยพยัญชนะแล้ว  คือพลังแขนที่มาจากทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มพลังแขนในการการเคลื่อนไหว เพื่อใช้อาวุธต่อสู้ศัตรูตามที่จิตใจปรารถนาจะใช้พลังแขนนี้     ในสมัยพุทธกาล พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขของประเทศ ทรงต้องนำทัพไปปราบข้าศึกด้วยพระองค์เอง  ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงมีพระกรและพระวรกายที่แข็งแรง  พระองค์ทรงมีสุขภาพดี  สามารถใช้พระหัตถ์จับอาวุธและต่อสู้กับศัตรูได้อย่างคล่องแคล้วว่องไว    พระวรกายของพระองค์ทรงแข็งแกร่งมาก   จึงทรงสามารถใช้อาวุธต่อสู้กับศัตรูได้อย่างต่อเนื่องนานหลายชั่วโมง

            ยกตัวอย่างเช่น เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีคุณลักษณะ ๓๒ ประการที่เรียกว่า"มหาปุริสลักษณะ"  หรือ มหาบุรุษลักษณะ กล่าวคือ ดวงชะตาของพระองค์นั้นถูกทำนายว่า หากพระองค์ทรงดำรงชีวิตในฐานะฆราวาส พระองค์จะทรงกลายเป็นมหาอำนาจของโลก หากพระองค์ทรงผนวชเป็นโพธิสัตว์ พระองค์จะทรงเป็นศาสดาเอกของโลก เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระวรกายที่สูงใหญ่ พระบาททรงราบ,  ลายพื้นพระบาททรงคล้ายล้อรถหรือจักร  ฯลฯ  เป็นต้น    เนื่องจากพระวรกายของพระองค์เป็นเสมือนที่สถิตย์ของดวงวิญญาณ  พระองค์จึงทรงเปี่ยมด้วยศรัทธาในการศึกษา ค้นคว้า และแสวงหาความรู้  พระองค์จึงทรงฝึกฝนการใช้อาวุธ เพื่อต่อสู้กับศัตรูอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพื่อปกป้องชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์ศากยะ  เป็นต้น  

              พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก พระองค์ทรงมีพระวรกายสูงใหญ่และแข็งแรง    พระองค์ทรงมีทักษะในทำสงครามเป็นเวลาหลายปี  เพื่อขยายอาณาเขตของอาณาจักรโมริยะเมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีวิตของพระเจ้าอโศกมหาราช จากหลักฐานดังกล่าว เราก็จะสามารถวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้ว่า พระวรกายของพระเจ้าอโศกสูงใหญ่และน่าเกรงขามต่อศัตรู  จนพระองค์ทรงสามารถต่อสู้กับศัตรูได้ต่อเนื่องกันหลายวันโดยไม่หยุดพ้กเลย     

          ๒. โภคพละ   อำนาจแห่งความมั่งคั่ง  พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเชื่อมั่นในการใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศ  พระองค์ทรงเห็นแสนยานุภาพของกองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ซึ่งทรงนำกองทัพมาโจมตีอนุทวีปอินเดีย และยึดครองแคว้นปัญจาบใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองด้วยพระองค์เอง   หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้น อาณาจักรต่าง ๆในอนุทวีปอินเดีย  ประกาศเอกราชและทำสงครามแย่งชิงอำนาจอธิปไตย  พระเจ้าอโศกมหาราชทรงตั้งปณิธานไว้  พระองค์ทรงนำทัพบุกโจมตีดินแดนต่าง ๆ  ทั่วอนุทวีปอินเดียอย่างขยันขันแข็ง เพื่อสถาปนาจักรพรรดิโมริยะและยึดอำนาจอธิไตยเหนือดินแดนต่าง ๆ ทั่วอนุทวีปอินเดีย    เพื่อป้องกันมิให้อาณาจักรมาซิโดเนียมารุกรานอนุทวีปอินเดีย  ดังที่เคยเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้อเล็กซานเดอร์มหาราช    ส่งผลให้พระองค์ทรงสามารถจัดเก็บภาษี  บริหารจัดการการเงินของประเทศอย่างมั่งคั่ง    และธำรงรักษาอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนเหล่านั้นได้    

         พระเจ้าอโศกมหาราชทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อพัฒนาพระภิกษุและสามเณรตามมรรคมีองค์ ๘  โดยมุ่งหมายให้พระภิกษูสามเณรบรรลุสัจธรรมสูงซึ่งทำให้ศาสนบุคคลเหล่านี้สามารถช่วยเหลือพระองค์ในการพัฒนาประชาชนในอาณาจักรโมริยะให้มีศรัทธาในประเทศของตน  ช่วยสั่งสอนประชาชนตั้งใจศึกษาและพัฒนาตนเองอย่างขยันขันแข็งเพือช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของรัฐบาลของพระองค์  ด้วยการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของชาติด้วยการพัฒนาคนในประเทศ   ทั้งนี้เพื่อให้พระภิกษุเหล่านี้ มีสติและตระหนักถึงบทบาทและความรับผิดชอบของตนเอง และนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหาของชาติ   ด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ในปฏิบัติภาระกิจให้สำเร็จและใช้ปัญญาเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์เพื่อพัฒนาคน  เป็นต้น 

              ๓. อม้จพละ หมายถึง อำนาจของอำมาตย์      ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ คำว่า "อำมาตย์" คือ ข้าราชการ  พนักงานของรัฐ   ที่มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากลำบากของประชาชนชาวไทย   อำมาตย์ที่ดีต้องมีศรัทธาในงานที่ทำเพื่อรับใช้ชาติ   ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์  เพื่อความมั่นคงของชาติมิใช่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน  อำมาตย์จึงเป็นกำลังสำคัญของชาติ โดยนำปัญหาทุกข์ยากของประชาชน กำหนดไว้ในนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน ข้าราชการเหล่านี้ต้องพัฒนาตนเองตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า "อำนาจ ๕ ประการ"  อำมาตย์ต้องมีศรัทธาอันแรงกล้าในการทำงานรับใช้ประชาชน และความมั่นคงของชาติ  ต้องขยันหมั่นเพียรในการทำงานเพื่อบรรลุนโยบายของประเทศที่กำหนดไว้ในแต่ละปี   ข้าราชการต้องตระหนักถึงความรู้ที่สั่งสมจากมหาวิทยาลัยและประสบการณ์ชีวิตไว้ในจิตใจ รู้จักนำความรู้เหล่านี้มาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาของประเทศชาติได้อย่างทันทวงที  ข้าราชการต้องมีสมาธิแน่วแน่ในการทำงานจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย หรือนโยบายที่กำหนดไว้โดยไม่ท้อถอย และไม่ล้มเลิกกลางคันซึ่งก่อให้ความเสียหายต่อชีวิตของประชาชนและความมั่นคงของชาติ    ยิ่งไปกว่านั้น ข้าราชการต้องมีปัญญาที่จะเข้าใจความจริงทั้งความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัติ   ความจริงของชีวิตพวกเขาเป็นเพียงความจริงที่สมมติขึ้น  ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนของตนเองนั้น ดำรงอยู่ไม่นานก็ต้องเกษียณอายุราชการ   การใช้ความรู้ความสามารถของตน  เพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน  และธำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของชาติ   ศาสนาและพระมหากษัตริย์ จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลก อันควรค่าแก่การศึกษาและวิจัยอย่างไม่สิ้นสุด         

                       ๔.อภิฉัจจพละ    แปลว่าอำนาจแห่งชาติอันสูงส่ง  คำว่า"ชาติ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๖๔ หมายถึงกษัตริย์ผู้มีชาติกำเนิดสูงส่ง หรือผู้เป็นเผ่าพันธ์ุนักรบ  หรือกลุ่มชนทีมีความรู้สึกเดียวกัน ในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ประวัติศาสตร์  ความเป็นมาหรือถิ่นกำเนิด  ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม หรืออยู่ในปกครองรัฐบาลเดียวกัน กล่าวคือ พระเจ้าอโศกมหาราชประสูติในวรรณะกษัตริย์แห่งราชวงศ์โมริยะ พระองค์ทรงได้รับการศึกษาอย่างดีในหลักสูตรศิลปศาสตร์ด้านวิชาการและการทหาร  เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าอาณาจักรต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดีย ถูกนักรบชาวตะวันตกรุกราน ทำให้ทรงมีความมั่นใจในพระองค์เองที่จะทำสงคราม เพื่อขยายอำนาจอำนาจอธิปไตยและรวมอาณาจักรต่างๆ ในอนุทวีปอินเดียเป็นอันเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในด้านการศึกษาและพัฒนาตนเองให้เป็นแบบอย่างแก่ประชาชนของพระองค์  พระองค์ทรงเป็นมกุฏราชกุมารผู้ยิ่งใหญ่ บุรุษผู้ทรงมีวิสัยทัศน์กว้างไกลและมีญาณทัศนะอันลึกซึ้ง    ดังนั้น เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นกองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชโจมตีประเทศต่าง ๆ   ในอนุทวีปอินเดีย หากพระองค์ทรงปล่อยให้ชาติมหาอำนาจเข้ารุกรานอาณาจักรต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดีย และใช้อำนาจอธิปไตยปกครอง โดยละเมิดสิทธิมนุษยชน  ชีวิตของประชาชนในอาณาจักรโมริยะจะมืดมนตลอดไป     เพราะขาดปัญญาที่จะเข้าใจความเป็นเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ประวัติศาสตร์ ถิ่นกำเนิด ขนบธรรม ประเพณี และวัฒนธรรมเดียวกัน   ดังนั้นพระองค์ทรงมีปณิธานที่จะรวมชาติเป็นหนึ่ง  

                     ๕. ปัญญาพละ    สติปัญญาถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญที่สุด แม้ว่าผู้นำประเทศจะมีร่างกายแข็งแรงก็ตาม แต่ผู้นำต้องมีปัจจัยอื่น  ๆ  ที่เป็นคุณสมบัติในการส่งเสริมความเป็นชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์  เช่นมีคุณสมบัติของความรู้จากประสบการณ์ตรง และความรู้จากการศึกษาโดยยกตัวอย่างของการทำสงครามในอดีตได้  มีการตัดสินใจที่ดี มีสติปัญญาและความเชี่ยวชาญในการต่อสู้  แต่ขาดกำลังสติ  สมาธิและปัญญา ย่อมเสียเปรียบศัตรูในสงครามที่ต้องเผชิญหน้าอย่างสันติ  


ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ