The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

วิธีพิจารณาความจริงเกี่ยวกับมหาอำนาจโลกของพระพุทธเจ้า

    Considering The truth about   The Buddha's worldly  power

บทนำ

                    เมื่อเราได้ยินความจริงเกี่ยวกับการผงาดขึ้นของอาณาจักรโมริยะ ในฐานะมหาอำนาจโลก ผ่านการศึกษาประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในโรงเรียน  และมหาวิทยาลัยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน      เราจะเห็นนักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์หลายท่าน แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ โดยการอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงในลักษณะนี้ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้  เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม  การให้เหตุผลของนักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์ในสมัยพุทธกาล บางครั้งก็ใช้เหตุผลได้อย่างถูกต้อง บางครั้งก็ใช้เหตุผลได้ไม่ถูกต้อง   บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้ และบางครั้งก็ใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น เมื่อนักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญาใช้เหตุผลที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงสงสัยว่าเหตุผลของใครถูกต้อง และของใครไม่ถูกต้อง ดังนั้น  เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงคิดค้นวิธีพิจารณาความจริงขึ้น   เพื่อเป็นกระบวนการพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้  

 ๒.ขอบเขตความรู้หรือองค์ประกอบความรู้      

           เมื่อนักตรรกศาสตร์  และนักปรัชญาแสดงความคิดเห็นโดยอาศัยเหตุผลเพื่ออธิบายความจริง และคาดคะเนเกี่ยวกับความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์    เมื่อวิญญูชนได้ยินความคิดเห็นเหล่านี้     พวกเขาสงสัยว่าความคิดเห็นของนักตรรกะหรือนักปรัชญาคนใดถูกต้องและคนใดไม่ถูกต้อง  ทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์ในฐานะนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา มีต้นกำเนิดแห่งความรู้ผ่านอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้ข้อเท็จจริง ที่สืบทอดมาจากครูในโรงเรียนและอาจารย์มหาวิทยาลัย  ตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบันยิ่งไปกว่านั้น จิตใจมนุษย์มักลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเนื่องจากความไม่รู้  ความกลัว ความเกลียดชังและความรัก เป็นต้น  

               เมื่อชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมน  จึงส่งผลให้ขาดปัญญาในการเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์  เมื่อพวกเขาใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้น   บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง บางครั้งใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง   บางครั้งก็ใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือแบบนั้น   เมื่อการใช้เหตุผลคลุมเครือและไม่ชัดเจนย่อมขาดความน่าเชื่อในฐานะเป็นความจริง       วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยถึงขอบเขตความรู้ของตน เกี่ยวกับมหาอำนาจของโลก โดยใช้วิธีพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า เป็นเกณฑ์ในการตัดสินความจริงในเรื่องนี

           เนื่องจากความรู้เกี่ยวกับเรื่องมหาอำนาจโลกยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน และขอบเขตความรู้ที่ใช้ในการตัดสินความจริงก็ยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน  ผู้เขียนยังคงแสวงหาความรู้เกี่ยวกับ "จักรพรรดิโมริยะ"ในฐานะมหาอำนาจโลก  ดังนั้น ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องนิยามขอบเขตความรู้เกี่ยวกับ "พละห้าประการของกษัตริย์" หรือที่รู้จักกันในชื่อเรียกว่า"ขัตติยพล"  ให้ชัดเจน     นิยามนี้อ้างอิงจากหลักฐานที่พบในพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หมายถึงอำนาจของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถปกครองประเทศ หรือผู้นำที่สามารถก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลกได้ โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบการปกครองใด เช่น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ราชอาณาจักรไทย  สาธารณรัฐ หรือ สหรัฐอเมริกา    พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าผู้นำต้องมีคุณสมบัติ หรืออำนาจตามธรรมชาติ ๕ ประการ จึงจะสามารถปกครองผู้อื่นได้ได้แก่    

            ๑. พาหาพละ   อำนาจทางกาย      

            ๒. โภคพละ      อำนาจทางโภคทรัพย์   

            ๓. อม้จพละ       อำนาจทางอำมาตย์  

            ๔. อภิฉัจจพละ  อำนาจทางชาติสูง   

            ๕. ปัญญาพละ   อำนาจทางสติปัญญา เป็นต้น    

 กล่าวคือ    

              ๑.  พาหาพละหรืออำนาจทางกาย   โดยทั่วไปแล้วคำว่า "พาหา"   ได้รับนิยามไว้ในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ว่า "แขน" เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ กล่าวคือ คำว่า "พาหาพละ" ซึ่งมาจากทุกส่วนของร่างกาย เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มกำลังแขน ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว และสามารถใช้อาวุธต่อสู้กับศัตรูได้ตามต้องการ     ในสมัยพุทธกาล พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขได้ทรงนำทัพไปปราบศัตรูด้วยพระองค์เอง ดังนั้น พระองค์จึงทรงมีพระกรและพระวรกายที่แข็งแรง ทำให้พระองค์ทรงสามารถใช้อาวุธได้อย่างคล่องแคล้วว่องไว       พระวรกายของพระองค์ทรงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทำให้พระองค์ทรงสามารถใช้อาวุธได้อย่างต่อเนื่องนานหลายชั่วโมง

             ยกตัวอย่างเช่น เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีคุณลักษณะ ๓๒ ประการที่เรียกว่า"มหาปุริสลักษณะ"  หรือ มหาบุรุษลักษณะ นักบวชทำนายดวงชะตาของพระองค์ว่า          หากทรงดำรงชีวิตแบบฆราวาส  พระองค์จะทรงกลายเป็นผู้นำมหาอำนาจของโลก หากพระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์  พระองค์จะทรงกลายเป็นศาสดาเอกของโลก พระทรงมีพระวรกายใหญ่โต  พระบาททรงแบนราบและลวดลายคล้ายล้อรถหรือจักร  เนื่องจากพระวรกายของพระองค์เปรียบเสมือนที่ประทับของดวงวิญญาณ  พระองค์จึงทรงเปี่ยมด้วยศรัทธาในการเรียนรู้ ค้นคว้าและแสวงหาความรู้  ดังนั้น พระองค์จึงทรงฝึกฝนการใช้อาวุธ เพื่อต่อสู้กับศัตรูอย่างรวดเร็วและแม่นยำ      เพื่อปกป้องชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ในสมัยราชวงศ์ศากยะ  เป็นต้น  

              พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก พระองค์ทรงมีพระวรกายแข็งแรงและสูงใหญ่    พระองค์ทรงเชี่ยวชาญในการรบมาเป็นเวลานานหลายปี      เพื่อขยายอาณาเขตของจักรพรรดิโมริยะ เมื่อเราได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระชนม์ชีพของพระเจ้าอโศกมหาราชจากหลักฐานเหล่านี้    เราสามารถวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงได้อย่างนี้ว่า พระวรกายของพระเจ้าอโศกนั้นมีขนาดสูงใหญ่และน่าเกรงขามต่อศัตรูมาก  จนพระองค์ทรงสามารถต่อสู้กับศัตรูได้ต่อเนื่องยาวนานหลายวันโดยไม่หยุดหย่อน     

          ๒. โภคพละ   อำนาจแห่งความมั่งคั่ง  พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเชื่อมั่นในการใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศ  พระองค์ทรงเห็นแสนยานุภาพของกองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ซึ่งทรงนำกองทัพมาโจมตีอนุทวีปอินเดีย และยึดครองแคว้นปัญจาบใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองด้วยพระองค์เอง หลังจากการสิ้น พระชนม์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช  อาณาจักรต่าง ๆในอนุทวีปอินเดียประกาศตนเป็นเอกราช และทำสงครามแย่งชิงอำนาจอธิปไตย  พระเจ้าอโศกมหาราชทรงตั้งปณิธานไว้  พระองค์ทรงนำทัพบุกโจมตีดินแดนต่าง ๆ ทั่วอนุทวีปอินเดียอย่างขยันขันแข็ง เพื่อสถาปนาจักรพรรดิโมริยะ และยึดอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนต่าง ๆ ทั่วอนุทวีปอินเดียเพื่อป้องกันมิให้อาณาจักรมาซิโดเนีย มารุกรานอนุทวีปอินเดีย         ดังที่เคยเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้อเล็กซานเดอร์มหาราช  ส่งผลให้พระองค์ทรงสามารถจัดเก็บภาษี  บริหารจัดการการเงินของประเทศอย่างมั่งคั่ง     และธำรงรักษาอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนเหล่านั้นได้    

         พระเจ้าอโศกมหาราชทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อพัฒนาพระภิกษุและสามเณรตามมรรคมีองค์ ๘  โดยมุ่งหมายให้พระภิกษูสามเณรบรรลุสัจธรรมสูงซึ่งทำให้ศาสนบุคคลเหล่านี้สามารถช่วยเหลือพระองค์ในการพัฒนาประชาชนในอาณาจักรโมริยะให้มีศรัทธาในประเทศของตน  ช่วยสั่งสอนประชาชนตั้งใจศึกษาและพัฒนาตนเองอย่างขยันขันแข็ง    เพือช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของรัฐบาลของพระองค์  ด้วยการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของชาติ ด้วยการพัฒนาคนในประเทศทั้งนี้เพื่อให้พระภิกษุเหล่านี้  มีสติและตระหนักถึงบทบาทและความรับผิดชอบของตนเอง และนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหาของชาติ ด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ในปฏิบัติภาระกิจให้สำเร็จและใช้ปัญญาเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์เพื่อพัฒนาคน  เป็นต้น 

              ๓. อม้จพละ หมายถึง อำนาจของอำมาตย์      ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ คำว่า "อำมาตย์" คือ ข้าราชการ  พนักงานของรัฐ   ที่มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากลำบากของประชาชนชาวไทย   อำมาตย์ที่ดีต้องมีศรัทธาในงานที่ทำเพื่อรับใช้ชาติ   ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์  เพื่อความมั่นคงของชาติมิใช่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน  อำมาตย์จึงเป็นกำลังสำคัญของชาติโดยนำปัญหาทุกข์ยากของประชาชน กำหนดไว้ในนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน ข้าราชการเหล่านี้ต้องพัฒนาตนเองตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า "อำนาจ ๕ ประการ"  อำมาตย์ต้องมีศรัทธาอันแรงกล้าในการทำงานรับใช้ประชาชน และความมั่นคงของชาติ  ต้องขยันหมั่นเพียรในการทำงานเพื่อบรรลุนโยบายของประเทศที่กำหนดไว้ในแต่ละปี   ข้าราชการต้องตระหนักถึงความรู้ที่สั่งสมจากมหาวิทยาลัย และประสบการณ์ชีวิตไว้ในจิตใจ รู้จักนำความรู้เหล่านี้ มาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาของประเทศชาติได้อย่างทันทวงที  ข้าราชการต้องมีสมาธิแน่วแน่ในการทำงาน จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย หรือนโยบายที่กำหนดไว้โดยไม่ท้อถอย    และไม่ล้มเลิกกลางคันซึ่งก่อให้ความเสียหายต่อชีวิตของประชาชนและความมั่นคงของชาติ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าราชการต้องมีปัญญาที่จะเข้าใจความจริงทั้งความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัติ   ความจริงของชีวิตพวกเขาเป็นเพียงความจริงที่สมมติขึ้น  ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนของตนเองนั้น ดำรงอยู่ไม่นานก็ต้องเกษียณอายุราชการ   การใช้ความรู้ความสามารถของตนเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน  และธำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของชาติ  ศาสนาและพระมหากษัตริย์ จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลก อันควรค่าแก่การศึกษาและวิจัยอย่างไม่สิ้นสุด         

                       ๔.อภิฉัจจพละ    แปลว่าอำนาจแห่งชาติอันสูงส่ง  คำว่า"ชาติ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๖๔ หมายถึงกษัตริย์ผู้มีชาติกำเนิดสูงส่งหรือผู้เป็นเผ่าพันธ์ุนักรบ  หรือกลุ่มชนทีมีความรู้สึกเดียวกัน ในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ประวัติศาสตร์  ความเป็นมาหรือถิ่นกำเนิด     ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม หรืออยู่ในปกครองรัฐบาลเดียวกัน  กล่าวคือ พระเจ้าอโศกมหาราชประสูติในวรรณะกษัตริย์แห่งราชวงศ์โมริยะ   พระองค์ทรงได้รับการศึกษาอย่างดีในหลักสูตรศิลปศาสตร์ด้านวิชาการและการทหาร  เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าอาณาจักรต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดีย ถูกนักรบชาวตะวันตกรุกราน ทำให้ทรงมีความมั่นใจในพระองค์เองที่จะทำสงคราม เพื่อขยายอำนาจอำนาจอธิปไตยและรวมอาณาจักรต่างๆ ในอนุทวีปอินเดียเป็นอันเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในด้านการศึกษาและพัฒนาตนเองให้เป็นแบบอย่างแก่ประชาชนของพระองค์  พระองค์ทรงเป็นมกุฏราชกุมารผู้ยิ่งใหญ่     บุรุษผู้ทรงมีวิสัยทัศน์กว้างไกลและมีญาณทัศนะอันลึกซึ้ง ดังนั้น เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นกองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชโจมตีประเทศต่าง ๆ   ในอนุทวีปอินเดีย  หากพระองค์ทรงปล่อยให้ชาติมหาอำนาจเข้ารุกรานอาณาจักรต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดียและใช้อำนาจอธิปไตยปกครองโดยละเมิดสิทธิมนุษยชน      ชีวิตของประชาชนในอาณาจักรโมริยะจะมืดมนตลอดไป  เพราะขาดปัญญาที่จะเข้าใจความเป็นเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ประวัติศาสตร์ ถิ่นกำเนิด ขนบธรรม ประเพณีและวัฒนธรรมเดียวกัน ดังนั้นพระองค์ทรงมีปณิธานที่จะรวมชาติเป็นหนึ่ง  

                     ๕. ปัญญาพละหรือพลังแห่งปัญญา    แม้ว่ากษัตริย์ในสมัยอินเดียโบราณ จะทรงมีสุขภาพพระวรกายแข็งแรงโดยเฉพาะพระพาหา(แขน) ที่แข็งแรง  พระองค์ทรงสามารถถืออาวุธและต่อสู้กับศัตรูได้เป็นเวลาหลายวัน   แต่พละกำลังทางพระวรกายของพระองค์ก็ทรงอาจเสื่อมถอยลงได้ง่าย  ดังนั้น พระองค์ถูกมองว่าเป็นด้อยกว่าอำนาจของข้าราชการ อำนาจของความมั่งคั่ง  และอำนาจของชาตินิยม    แม้ว่าอำนาจของข้าราชการจะเป็นอำนาจรอง แต่ก็เป็นเพียงความจริงที่สมมติขึ้น ก็มีลักษณะเป็นอำนาจชั่วคราว เมื่อรับใช้ชาติไปสักระยะหนึ่ง   อำนาจก็สิ้นสุดลงหรือเกษียณอายุราชการไป  หรือหากปราศจากค่าตอบแทนในการทำงาน ย่อมยากที่จะมีความเชื่อมั่นในการทำงานด้วยศรัทธาต่อชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์  

          ดังนั้นอำนาจแห่งความมั่งคั่งจึงเป็นอำนาจลำดับที่สามและสำคัญยิ่ง ส่วนอำนาจลำดับที่ ๔ คือชาตินิยมอันสูงส่ง  ชาตินิยมต้องมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตลักษณ์ของตนทั้งในด้านเชื้อชาติ  ศาสนา  ภาษา ประวัติศาสตร์ ประเพณีและขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี  แม้ว่าชาตินิยมจะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่  แต่มนุษย์ก็เป็นสัตว์สังคม อาศัยอยู่ในท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง พวกเขาก็จะปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของชุมชนนั้นได้  สติปัญญาคือพลังที่สำคัญที่สุด แม้ว่าผู้นำจะมีร่างกายแข็งแรงก็ตาม   แต่ผู้นำต้องมีคุณสมบัติอื่น  ๆ  ที่ส่งเสริมคุณค่าของชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น ความรู้จากประสบการณ์ตรงในการเสด็จเยี่ยมราษฎรทั้งทางตรงและทางอ้อม และความรู้ที่ได้จากการศึกษาและยกตัวอย่างการทำสงครามในอดีตได้  มีการตัดสินใจที่ดีจากการวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้  เพื่อพิสูจน์ความจริง  โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริง  มีสติปัญญาและความเชี่ยวชาญในการต่อสู้  แต่ขาดกำลังสติ  สมาธิและปัญญา จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบศัตรูในสงครามที่ต้องเผชิญหน้าโดยสันติ  

๓.วิธีพิจารณาความจริง      

           เมื่อมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้จักใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงของกระทำของตนเอง     เนื่องจากมนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้และมักมีความคิดเห็นที่ลำเอียง  ส่งผลให้ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมน       จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์  อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาใช้เหตุผล  เพื่ออธิบายความจริงเหล่านี้ต่อสังคมเข้าใจ เพื่อปกป้องสังคมจากการตระหนกจากข่าวลือ   บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลที่ถูกต้องหรือบางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง  เป็นต้น  วิญญูชนได้ยินความคิดเห็นเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ    พระองค์ก็จะสงสัยว่าใครมีความคิดเห็นที่ถูกต้องหรือใครมีความคิดเห็นที่ไม่ถูกต้อง    เจ้าชายสิทธัตถะสร้างกระบวนการพิจารณาความจริงขึ้น เป็นเกณฑ์ตัดสินความจริงของสิ่งต่าง ๆ   ที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษยชาติ   เป็นต้น  

   


ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ