The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2566

นักบวชในพระพุทธศาสนา

นักบวชกลุ่มแรกในพระพุทธศาสนา

The first priest of Buddhism

บทนำ          


             การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ทุกคน      มีความเท่าเทียมกันตามกรรมของตนไม่มีใครหลีกหนีจากกฎธรรมชาติแห่งชีวิตนี้พระพุทธองค์ครัสรู้หลักคำสอนเรื่องอภิญญา ๖  ด้วยพระองค์เอง  หากพระองค์ทรงไม่เผยแผ่หลักคำสอนเกี่ยวกับความจริงของชีวิต ให้ชาวอนุทวีปอินเดีย เพื่อศึกษา และพัฒนาศักยภาพชีวิตของพวกเขาตามหลักปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เพื่อบรรลุความจริงของชีวิตว่า   ชีวิตของพวกเขาเกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจในครรภ์มารดารวมกันเป็นทารกเป็นเวลา ๙ เดือนแล้วเกิดจากครรภ์มารดา แล้วเป็นมนุษย์มีชื่อนามและสกุลใหม่    พระพรหมไม่ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาตามคำสอนของพราหมณ์แต่อย่างใด  ความรู้ที่พระองค์ได้รับจากการตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์ก็จะสูญหายไปจากโลกมนุษย์พร้อมกับการปรินิพพานของพระพุทธองค์ ชีวิตของมนุษย์ก็ตกอยู่ในความมืดมนของความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าต่อไป จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหมเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ต่อไปพระองค์ทรงตัดสินพระทัยเผยแผ่คำสอนในพระพุทธศาสนาให้กับเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายต่อไป  เป็นเวลา ๔๕ ปี เพื่อให้คำสอนของพระองค์สั่งสมไว้ในจิตใจของชาวชมพูทวีปอินเดีย    มีผู้ศึกษาและปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ จนสามารถบรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก และสามารถสอนผู้คนได้รับการศึกษาและปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์เช่นกัน   

     เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ ได้นิยามศัพท์ว่า "ศาสนบุคคลคือนักบวชในศาสนา" เช่น พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา แต่มีอีกคำหนึ่งที่นิยามว่า"ศาสนิกชน" หมายความว่า บุคคลที่นับถือศาสนา ดังนั้น เราจึงเรียกผู้นับถือศาสนาพระพุทธศาสนาเรียกว่า "ชาวพุทธ" เป็นต้น เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้กฎธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษย์ และพระองค์ทรงค้นพบแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ คือจิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์และอยู่ในร่างกายเพียงชั่วคราว เพื่อรับรู้อารมณ์ของโลกเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสังคมและเก็บอารมณ์เหล่านั้นไว้ในจิตใจ มนุษย์ทุกคนดำเนินชีวิตตามกรรมที่ตนทำ อารมณ์แห่งกรรมสั่งสมเป็นสัญญาแห่งกรรมในจิตใจ เมื่อปัญจวัคคีย์ได้ฟังพระธรรมเทศนาจนเกิดความรู้ความเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ปราศจากอคติและไม่มีอารมณ์ขุ่นมัว  มีบุคลิกที่สุภาพอ่อนโยนเหมาะกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม มั่นคงในอุดมคติของชีวิตในการรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และไม่่หวั่นไหวต่อการปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้อื่น จนได้สติสัมปชัญญะจากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเองและสามารถนำความรู้ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจมาแก้ปัญหาด้วยตนเองได้

        เมื่อปัญจวัคคีย์มีศรัทธาและได้บวชในพระพุทธศาสนาเรียกว่า"ศาสนบุคคล" เป็นต้น ส่วนฆราวาสฟังพระธรรมเทศนาแล้วได้ถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาที่พึ่งของตนเอง พระธรรมคือคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งและพระสงฆ์เป็นที่พึงตลอดชีวิตเรียกว่า "พุทธศาสนิกชน"เป็นต้นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ก่อนจะเผยแผ่หลักธรรมแห่งชีวิตมนุษย์และการปฏิบัติให้บรรลุความรู้ถึงสัจธรมแห่งชีวิตนั้น พระองค์ทรงเห็นว่าหลักการตรัสรู้คือความรู้และความจริงเกี่ยวกับมนุษย์นั้น ลึกซึ้งและยากที่ธรรมชาติมนุษย์จะเข้าใจ แต่หลังจากพิจารณาต่อไป พระองค์ทรงเห็นว่า โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ทุกคนมีจิตใจเป็นปัจจัยในการสร้างชีวิตใหม่และมีจิตวิญญาณเป็นที่สั่งสมความรู้เพื่อดำรงชีวิตตามความสนใจของตัวเอง พระองค์ทรงใช้ปัญญาพิจารณาว่าคนมีกิเลสเพียงน้อยพร้อมที่จะรับฟังธรรมจากพระองค์ก็พอมีอยู่ ดังปรากฎหลักฐานในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ วินัยปิฎกเล่มที่ ๔  มหาวรรคภาค ๑ [๑ มหาขันธกะ] ๕. พรหมจนคาถาเรื่องพิจารณาเปรียบเวไนยสัตว์เปรียบเหมือนดอกบัวข้อ๙.ว่า  "ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาค ทรงรับคำทูลอาราธนาของพรหมและเพราะอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ เมื่อทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ได้เห็นสัตว์ทั้งหลาย (มนุษย์) ผู้มีธุลีในตาน้อยก็มีมีธุลีในตามาก มีอินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน ที่มีอาการดี ที่มีอาการทราม สอนให้รู้ได้ง่าย  สอนให้รู้ได้ยาก บางพวกเห็นปรโลกและโทษว่าน่ากลัวก็มี บางพวกไม่เห็นปรโลกและโทษว่าน่ากลัวก็มี มีอุปมาเหมือนในกออุบล ในกอปทุมหรือในกอบุณฑริก ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกที่เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ยังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกที่เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ อยู่เสมอน้ำ ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกที่เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ขึ้นพ้นน้ำ ไม่แตะน้ำฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ได้เห็นสัตว์ทั้งหลาย (มนุษย์) ผู้มีธุลีในตาน้อยก็มี มีธุลีในตามาก มีอินทรีย์แก่กล้ามีอินทรีย์อ่อน ที่มีอาการดี ที่มีอาการทราม สอนให้รู้ได้ง่าย สอนให้รู้ได้ยาก บางพวกเห็นปรโลกและโทษว่าน่ากลัวก็มีบางพวกไม่เห็นปรโลกและโทษว่าน่ากลัวก็มี". 

             จากข้อความของพระไตรปิฎกดังกล่าวข้างต้นนั้น เราวิเคราะห์ว่า พระพุทธเจ้าทรงตัดสินพระทัยแสดงธรรมที่ทรงตรัสรู้ เพราะทรงพิจารณาเห็นว่า มนุษย์ทุกคนมีบุคคลิกแตกต่างกันออกไปตามความเข้มแข็งมีสมาธิของจิตวิญญาณ (อินทรีย์แก่กล้า) แตกต่างกันออกไปตามความสนใจในกิเลสของจิตวิญญาณของมนุษย์แต่ละคนจึงปริมาณของกิเลสในจิตไม่เท่ากัน บางคนมีกิเลสน้อย บางคนมีกิเลสมาก บางคนมีอินทรีย์แก่กล้า   มีความกล้าหาญอดทน พร้อมที่เผชิญกับความทุกข์ที่มากระทบกับชีวิตของเองได้  แต่บุคคลผู้มีอินทรีย์อ่อน มีความกลัวไม่แข็งแกร่งทางด้านจิตใจไม่กล้าเผชิญกับความทุกข์ในชีวิตของตนเองได้ จึงเปรียบมนุษย์เหล่านั้น เหมือนดอกบัวสามเหล่าและยังมีบุคคลมีความพร้อม มีกิเลส ที่จะฟังธรรมะและปฏิบัติคำสั่งสอนของพระองค์ยังมีอยู่เพราะทุกคนมีจริต แนวโน้มของความชอบ ความสนใจ ความใฝ่รู้ในสิ่ง ๆ ไม่เหมือนกัน กล่าวคือ  บัวที่เกิดในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วน้ำเลี้ยง  บัวจมในน้ำอันหล่อเลี้ยงไว้บัวเสมอน้ำมนุษย์บางคนมีอาการดีก็มีอาการทรามก็มีบัวพ้นน้ำ พระพุทธเจ้าทรงดำริแสดงธรรมกับใครถึงใครก่อน กล่าวคือเมื่อสิทธัตถะพระโพธิสัตว์ทรงตรัสรู้ในกฎธรรมชาติเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์เป็นพระพุทธเจ้าแล้วเมื่อทรงตัดสินใจ แสดงหลักธรรมที่ทรงค้นพบแก่บุคคลหลายคนที่มีบทบาทช่วยเหลือพระองค์ในการแสวงหาวิธีการหลุดพ้นจากความทุกข์ของภัย ที่พบเห็นในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏของมนุษย์ เมื่อค้นพบสัจธรรมของชีวิตแล้ว พระพุทธองค์ทรงมีเมตตา คิดถึงบุคคลที่มีศรัทธาต่อกันไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น เช่นเดียวกับ มนุษย์ผู้ประสบความสำเร็จการศึกษาแล้ว มีหน้าที่การงานที่ดีทำแล้ว ย่อมมีทรัพย์ ควรจะระลึกถึงบุคคลที่มีศรัทธาต่อกันในยามตกทุกข์ได้.  

          ๑) อาฬารดาบส    เมื่อทรงตรัสรู้แจ้งไป ๔๙ วัน ทรงระลึกถึงบุคคลที่จะทรงแสดงธรรมให้ฟังคืออาฬารดาบส แต่อาฬาร ดาบสนั้น   เสียชีวิตไปก่อนพระองค์ตรัสรู้ได้ ๗ วันแล้ว ดังปรากฎหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่ม ๔ ฉบับมหาจุฬา ฯ      พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ มหาสวรรคภาค ๑. ว่าด้วยพระภิกษุปัญจวัคคีย์ว่าด้วยอาฬารดาบส กาลามโคตร  ข้อ.๑๐   ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคได้ทรงดำริว่า เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจะรู้จักธรรมได้ฉับพลัน แล้วทรงดำริต่อไปอีกว่า  อาฬารดาบส  กาลามโคตรนี้เป็นบัณฑิต ฉลาดเฉียบแหลม มีปัญญา มีธุลีในตาน้อยมานาน ถ้ากระไร เราจะแสดงธรรมแก่อาฬารดาบส    กาลามโคตรก่อน เธอจักรู้ธรรมนี้ได้ฉับพลัน. ลำดับนั้นเทวดาผู้ไม่ปรากฎกาย มาทูลพระผู้มีพระภาคว่า "พระองค์ผู้เจริญ อาฬารดาบส กาลามโคตรทำกาละได้ ๗ วันแล้ว     แม้แต่พระผู้มีพระภาคก็ได้เกิดญาณขึ้นว่าอาฬารดาบส กาลามโคตรทำกาละได้ ๗ วันแล้ว จึงทรงดำริว่า อาฬารดาบส กาลามโคตรเป็นผู้เสื่อมนานหนอเพราะถ้าเธอได้ฟังธรรมนี้ ก็จะพึงรู้ได้ฉับพลัน. 

          ๒) อุททกดาบส รามบุตร   เมื่อทรงตรัสรู้แจ้งไป ๔๙ วัน ทรงระลึกถึงบุคคลที่จะทรงแสดงธรรมให้ฟังคืออุททกดาบส  เสียชีวิตไปก่อนพระองค์ตรัสรู้ได้ ๑ วันแล้ว  ดังปรากฎหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่ม ๔ ฉบับมหาจุฬา ฯ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔  มหาสวรรคภาค ๑. ว่าด้วยพระภิกษุปัญจวัคคีย์เรื่องว่าด้วยอุททกดาบส รามบุตรข้อ.๑๐ ..... ต่อมาพระผู้มีพระภาคได้ทรงดำริว่า เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ใครจะรู้จักธรรมได้ฉับพลัน แล้วทรงดำริต่อไปอีกว่า  อุททกดาบส รามบุตร เป็นบัณฑิต ฉลาดเฉียบแหลม มีปัญญา มีธุลีในตาน้อยมานาน ถ้ากระไร เราจะแสดงธรรมแก่อุททกดาบส  รามบุตรก่อน เธอจักรู้ธรรมนี้ได้ฉับพลัน 
         ลำดับนั้นเทวดาผู้ไม่ปรากฎกาย มาทูลพระผู้มีพระภาคว่า "พระองค์ผู้เจริญอุททกดาบส  รามบุตร ทำกาละได้เมื่อวานนี้แล้ว.
         แม้แต่พระผู้มีพระภาค ก็ได้เกิดญาณขึ้นว่าอุททกดาบส  รามบุตรทำกาละได้เมื่อวานนี้แล้ว จึงทรงดำริว่า อุททกดาบส รามบุตร เป็นผู้เสื่อมนานหนอเพราะถ้าเธ๓) 

          ๓.ปัญจวัคคีย์ เมื่อทรงตรัสรู้แจ้งไป ๔๙ วันเมื่อทรงรู้ว่าอาจารย์ทั้งสองท่านเสียชีวิตไปทั้งหมดแล้วทรงระลึกถึงบุคคลที่จะทรงแสดงธรรมให้ฟังคือ อาฬารดาบส   ในพระไตรปิฎกเล่ม ๔ ฉบับมหาจุฬา ฯ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔  มหาสวรรคภาค ๑.     ว่าด้วยพระภิกษุปัญจวัคคีย์เรื่องว่าด้วยอุททกดาบส รามบุตรข้อ.๑๐..... ต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงดำริดังนี้ว่า  เราจะแสดงธรรมแก่ผู้ใดก่อนหนอ ใครจักได้รับรู้ธรรมได้ฉับพลัน        จึงทรงดำริว่าภิกษุปัญจวัคคีย์มีอุปการะแก่เรามากที่ได้ปรนนิบัติเราผู้มุ่งหน้าบำเพียรมา  ถ้ากระไร เราจะพึงแสดงธรรมแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ก่อน แล้วทรงดำริต่อไปอีกว่า       บัดนี้ภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ที่ไหนหนอ ....ก็เห็นภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน      เขตกรุงพาราณสี ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์." 

           จากข้อความในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ นั้น เราวิเคราะห์ได้ว่าพระพุทธองค์จึงตัดสินใจเดินทางจากตำบลอุรุเวลาเสนานิคมปัจจุบันเรียกว่า  "พุทธคยา"      ห่างจากป่าอิปตนมฤคทายวัน ๒๕๕ กิโลเมตร  เพื่อแสดงธรรมให้แก่ภิกษุปัญจวัคคีย์เพราะพวกเขาเป็นผู้มีอุปการะคุณแก่พระพุทธองค์ขณะทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาที่ภูเขาดงคสิรินั้น    ได้ช่วยเหลือปรนนิบัติรับใช้พระองค์        เชื่อว่าพระองค์จะบรรลุธรรมด้วยการบำเพ็ญทุกรกิริยาให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้. 


Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ