The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2568

๙. การใช้เหตุผลในการอธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้า

 ๙. Using reason to explain the teachings of the Buddha

                โดยทั่วไป     ชีวิตมนุษย์เกิดขึ้นจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจที่รวมกันอยู่ในครรภ์มารดา  เป็นเวลา ๙  เดือนก่อนคลอด        เมื่อรอดชีวิตจิตใจมนุษย์จะใช้อายตนะภายในรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ    ในชีวิตและเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้     เป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม   ชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีธรรมชาติของการรับรู้และเก็บเหตุการณ์เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ  ยิ่งไปกว่านั้น  มนุษย์เป็นนักคิดโดยธรรมชาติ     เมื่อรับรู้สิ่งใด  พวกเขาจะพิจารณาจากสิ่งนั้น โดยการวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ     โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริง โดยพวกเขาใช้เหตุผล     ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น  
               
                อย่างไรก็ตาม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น  ชีวิตมนุษย์มีอายตนะภายในร่างกาย    มีความสามารถในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้จำกัด และมีความคิดที่ลำเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด     เนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง  ดังนั้นชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน จึงไม่สามารถใช้เหตุผล   ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องใดๆได้มีเหตุผล   เมื่อนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาแสดงความเห็นความเห็นของตนเอง       โดยใช้เหตุผลอธิบายหรือคาดคะเนความจริงของเรื่องหนึ่งเรื่องใด    การใช้เหตุผลของพวกเขาเพื่ออธิบายความจริง  บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลได้อย่างถูกต้อง   บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง       บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น                                               

              แต่มันเป็นหลักธรรมะ(ความจริง)      ที่สามารถพิสูจน์ได้โดยการใช้เหตุผลอธิบายความจริง     เป็นความรู้จากประสบการณ์ของชีวิตผ่านอายตนะภายในของตนเอง        และเป็นความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าและการปฏิบัติ        ดังนั้น การจะเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้ง  จึงจำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล  ไม่ใช่การยอมรับโดยปราศจากการไตร่ตรอง    หลักการสำคัญของการใช้เหตุผลอธิบายคำสอนมีดังนี้ 

            ๑. การวิเคราะห์ข้อความ           เริ่มต้นด้วยการศึกษาต้นฉบับของพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  อรรถกถา    ฏีกา   อนุฎีกา หรือคัมภีร์พระพุทธศาสนาอย่างละเอียดถี่ถ้วน      ทำความเข้าใจบริบทและความหมายที่แท้จริงของคำสอน  หลีกเลี่ยงการตีความแบบผิวเผินหรือตามความเข้าใจของตนเอง     

             ๒. การเปรียบเทียบและสังเคราะห์ เปรียบเทียบคำสอนในส่วนต่าง ๆ  สังเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างหลักธรรมต่าง ๆ       เพื่อให้ได้ภาพรวมที่สมบูรณ์และเข้าใจความสอดคล้องกันของคำสอน    

              ๓. การใช้ตรรกะและเหตุผล   ใช้หลักตรรกะในการวิเคราะห์  ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของข้อความ  และหาข้อสรุปที่สอดคล้องกับหลักฐานและเหตุผล หลีกเลี่ยงการใช้ความเชื่อหรืออคติส่วนตัวเป็นพื้นฐาน

            ๔.การอ้างอิงหลักฐาน :   เมื่ออธิบายคำสอน  ควรอ้างอิงหลักฐานจากพระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา  เพื่อให้มั่นใจถึงความน่าเชื่อถือและความถูกต้อง และแสดงให้เห็นว่าคำอธิบายนั้นสอดคล้องกับคำสอนดั้งเดิม

                 ๕. การพิจารณาประสบการณ์ : คำสอนของพระพุทธเจ้าเน้นการปฏิบัติ   เพื่อเข้าถึงความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์     การใช้เหตุผลในการอธิบายควรพิจารณาถึงประสบการณ์ส่วนตัวและผู้อื่น  เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงและประโยชน์ของคำสอน  ตัวอย่างการใช้เหตุผลในการอธิบายคำสอน

               สมมติว่าเราต้องการอธิบายคำสอนเรื่อง "ชีวิต"   เราอาจเริ่มต้นด้วย    การวิเคราะห์ข้อความในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณที่กล่าวถึง "ชีวิตของมนุษย์"  ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณได้บันทึกแนวคิดของพราหมณ์บางคนเป็นนักตรรกะ เป็นนักปรัชญาพราหมณ์ได้ทัศนะว่า พระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากพระวรกายของพระองค์  พวกพราหมณ์ยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ว่าพวกเขา        สามารถสื่อสารกับพระพรหมและพระอิศวรผ่านการทำพิธีบูชายัญของพราหมณ์เท่านั้น         ส่วนในวรรณะอื่นไม่สามารถทำพิธีบูชายัญได้    เพราะต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ       ที่ห้ามมิให้คนต่างวรรณะปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น    

               เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนาแล้ว ได้ฟังข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่าต้นกำเนิดของความรู้ของพระพุทธเจ้า  มาจากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกายและสั่งสมเป็นอารมณ์อยู่ในจิตใจของตนเองพระพุทธเจ้า โดยธรรมชาติแล้วจิตของพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้คิด, เมื่อพระองค์ทรงรู้สิ่งใด    พระองค์ก็จะทรงคิดจากสิ่งนั้นแล้ว   โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทางอารมณ์อยู่ในจิตใจโดยอนุมานความรู้      เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผล  ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา  อธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น   

                 กระบวนการคิดของพระพุทธเจ้าทรงวิเคราะห์จากหลักฐาน  พิจารณาจากหลักฐานหรือพิจารณาไตร่ตรอง     สิ่งที่เรียกว่า "สังขาร"  หรือ "จิตปรุงแต่ง (มโนกรรม)           "ซึ่งเป็น  ๑  ในขันธ์ห้า ที่เป็นส่วนประกอบของชีวิตมนุษย์     แต่มโนกรรมที่เกิดขึ้นภายในจิตนั้น  เราไม่รู้ว่าจิตของมนุษย์แต่ละคนคิดอะไร ?       เว้นเสียแต่บุคคลนั้นจะอธิบายข้อเท็จจริงให้ผู้อื่นทราบว่าตนคิดอย่างไร ?     หรือมีหลักฐานมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น         โดยแสดงออกมาในรูปแบบของการอธิบายข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น         กรรมที่จะแสดงให้ผู้อื่นเห็นอาการเหล่านั้น       

             ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งต้องหาเหตุผลเพื่ออธิบายหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อประยุกต์ใช้การวิเคราะห์ว่าการกระทำของมนุษย์ว่าถูกหรือผิดตามหลักจริยศาสตร์ในพระพุทธศาสนา และผลของการกระทำของมนุษย์        เป็นผลร้ายต่อชีวิตหรือจิตวิญญาณของพวกเขาอย่างไร        เมื่อพระพุทธศาสนาสอนความจริงของชีวิตมนุษย์ทุกคนสามารถบรรลุถึงความรู้อันแท้จริงเกี่ยวกับชีวิตของตนได้      โดยการพัฒนาศักยภาพชีวิตผ่านการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ได้ และบรรลุความรู้ในระดับ "อภิญญา๖"ได้ 

                 เห็นหลักฐานชัดเจนในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ หลายฉบับ  จากการศึกษาหลักฐานต่างๆพบว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้ผ่านการสังคายนาพระไตรปิฎก (Buddhist councils) หลายครั้ง           ก่อนจะถ่ายทอดเป็นตัวอักษรลงบนใบลาน  หรือพิมพ์เป็นหนังสือพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ          และแต่งเป็นหนังสืออธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้า  โดยพิมพ์ตำราพุทธศาสนาจำหน่ายให้กับผู้สนใจค้นคว้า     ทำให้หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาทนทานต่อการพิสูจน์ ด้วยความคิดหาเหตุผลของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย     

              เมื่อคำสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นความรู้ระดับบัณฑิต  ชาวพุทธส่วนใหญ่จักจะไม่ศึกษาโครงสร้างของพระพุทธศาสนา  เพราะทุกคนต่างสนใจพิธีกรรมมากกว่าตัวปัญญา     เพื่อแสวงหาในสิ่งที่ตนขาดด้วยความโลภความพึ่งพอใจ        และไม่รู้จักใช้ความเพียรของตนเอง  จึงเป็นเรื่องยากที่จะเขียนปรัชญาแดนพุทธภูมิให้ผู้คนทั่วโลกอ่าน และติดตามตลอดเวลาเพราะมนุษย์ทั่วโลกผ่านการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่เน้นการวิเคราะห์ข้อมูล      เพื่อหาเหตุผลยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องต่างๆ 

        การเขียนบทวิเคราะห์พระไตรปิฎกจำเป็นต้องอธิบายคำสอนทางพระพุทธศาสนาในเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ผู้อ่านสนใจอ่านแล้วสามารถเข้าใจได้ง่าย เริ่มต้นด้วยการกำหนดหัวข้อเรื่องต่าง ๆ ที่เรารับรู้ผ่านประสาทสัมผัสในเรื่องนั้นแต่เรื่องนั้น ปรากฏขึ้นในจิตใจของเราอยางไม่ชัดเจนในประวัติความเป็นมา ทำให้สงสัยในเรื่องนั้น และปรัชญาสอนมนุษย์ไม่ควรเชื่อว่าเป็นความจริงจนกว่าจะพิสูจน์ด้วยหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น 

        ดังนั้นกระบวนการคิดเชิงปรัชญา จึงสามารถนำใช้เพื่ออธิบายหลักธรรมของพระพุทธศาสนาได้  ในยุคปัจจุบัน โลกพัฒนาไปพร้อมกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์  เพราะมนุษย์ได้สร้างมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เพื่อช่วยรวบรวมข้อมูลได้แม่นยำยิ่งขึ้น  เทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตถูกสร้างขึ้นมา เพื่อช่วยแบ่งปันข้อมูลและจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญมากขึ้น     มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นเพื่อช่วยให้มนุษย์วิเคราะห์ข้อมูลได้แม่นยำยิ่งขึ้น  และตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น  อย่างไรก็ตาม ความสะดวกสบายของชีวิตไม่ได้มีเพียงความสุขของมนุษย์เพียงเท่านั้น  ความทุกข์ยังคงมีอยู่เพราะตราบใดที่มนุษย์ยังมัวเมาในสิ่งที่ชอบและขาดการพักผ่อน  มนุษย์ก็จะมีความสุขเพื่อแลกกับสุขภาพ     

           วิธีการทางศาสนา ยังคงมีความจำเป็นในการแก้ปัญหาความทุกข์ของมนุษย์ แม้ว่าจะมีคำสอนของพุทธศาสนาเผยแพร่บนเว็บไซต์ต่าง ๆ บนอินเตอร์เน็ตมากมาย แต่ก็เป็นเพียงมุมมองทางวิชาการของพุทธศาสนาเท่านั้น ส่วนในแง่มุมคิดเชิงปรัชญาที่ใช้อธิบายศาสนามีการถ่ายทอดน้อยมาและนักวิชาการส่วนใหญ่ไม่คิดว่า แนวคิดทางปรัชญาจะใช้อธิบายคำสอนของพระพุทธศาสนาได้ เมื่อผู้เขียนเห็นช่องทางที่จะอธิบายคำสอนพระพุทธเจ้าในแง่ปรัชญาได้ ผู้เขียนตัดสินใจเขียนปรัชญาแดนพุทธภูมิและไม่รู้สึกกลัวว่าจะไม่มีคนอ่านปรัชญาพุทธภูมิ เพราะเนื้อหาของการเขียนนั้น คนละแนวคิดทางกับวิชาการทางพระพุทธศาสนา 

        แม้ยุคปัจจุบันผู้อ่านส่วนใหญ่คิดว่าเนื้อหาสาระอันเป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนานั้น มีแต่การทำบุญด้วยการบริจาคทานสร้างวัดเท่านี้เอง  แต่ความจริงสาระของแก่นแท้จริงในพระพุทธศาสนานั้น มีความรู้ที่ลึกซึ้งและเป็นมากกว่าที่เราคิดกันอย่างผิวเผินเสียอีก การเขียนปรัชญาพุทธศาสนาที่เรียกว่า "ปรัชญาแดนพุทธภูมิ" นั้น ผู้เขียนจะวิเคราะห์มีข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสาร พยานบุคคล พยานวัตถุ และหลักฐานดิจิทัล เพื่อหาเหตุผล มาอธิบายความจริงของคำตอบนั้น โดยจะไม่มีเนื้อหาซ้ำซ้อนกับนักวิชาการพระพุทธศาสนาที่เขียนและเผยแพร่ไว้ เพราะหากเราเขียนเชิงวิชาการเกินไป ผู้สนใจอ่านแล้ว จะเข้าใจยากและเนื้อหาไม่ตรงกับความฝันของผู้อ่าน

           ดังนั้น       เราจะไม่ได้รับการตอบรับจากผู้อ่านมากนัก เพราะจิตใต้สำนึกของผู้อ่านส่วนใหญ่   มักมีตัณหาในความอยากมี อยากเป็น อยากได้ที่ซ่อนอยู่ในจิตใจด้วยกันทั้งนั้น ตามความฝันที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิต  เมื่อผู้เขียนนึกขึ้นได้อย่างมีสติถึงเหตุผลที่มีคำตอบเช่นนี้ว่า ทำไมเราจึงคิดเช่นนี้ ผู้เขียนจึงตัดสินใจเขียนบทความปรัชญาแดนพุทธภูมิ โดยยึดหลักสาระสำคัญของงานเผยแผ่ของพระพุทธเจ้าใน ๔  สังเวชนียสถาน ในรูปแบบการวิเคราะห์ข้อมูลจากพยานเอกสาร พยานวัตถุ พยานเอกสารดิจิทัล      เพื่อหาเหตุผลของคำตอบที่เริ่มต้นจากความสงสัยในประเด็นหนึ่งประเด็นใดก่อน จากนั้น ผู้เขียนจะวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้จากพยานเอกสาร  พยานวัตถุ พยานบุคคล คำตอบที่ได้จากการวิเคราะห์นั้น  จะเป็นความรู้ที่สมเหตุสมผลและปราศจากความสงสัยในเหตุผลของความจริง  เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ