5. Building a social identity with Internet platforms
ชีวิตมนุษย์โดยทั่วไปนั้นไม่เที่ยงแท้ เกิดแล้วก็ดับไป นี่คือสัจธรรมแห่งกฎธรรมชาติของชีวิตที่มนุษย์ทุกคน ต่างตระหนักรู้ถึงสิ่งนี้มานานแล้วผ่านประสบการณ์ชีวิตผ่านอาตนะภายในร่างกาย และสั่งสมเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ มนุษย์จะใช้หลักฐานเหล่านี้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้โดยอาศัยเหตุผล หรือคาดคะเนความจริงตามที่ได้ยินมา เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ๆ โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้ เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้นอย่างมีเหตุผล
เมื่อความจริงปรากฏชัดว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาและต้องตาย แม้จะรับประทานอาหารสดที่ปรุงรสอย่างดีและอุดมไปด้วยแร่ธาตุ พวกเขาก็คงตายอยู่ดี เพราะร่างกายไม่สามารถดูดซึ่มแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตได้ แม้ว่าพวกเขาจะได้พักผ่อนอย่างเพียงพอในสถานที่ที่มีออกซิเยนบริสุทธิ พวกเขาก็ยังคงตายอยู่ดี เพราะร่างกายของพวกเขาได้รับสารพิษมากเกินไป หรือได้รับความเสียหายเกินกว่าจะเยียวยาได้ เนื่องจากมนุษย์ทุกคนมีอายตนะภายในที่สามารถรับรู้และเก็บหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งใด พวกเขามักจะคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้น โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของสิ่งนั้นได้อย่างสมเหตุสมผล เมื่อความรู้เป็นสิ่งที่สั่งสมอยู่ในจิตใจและสูญหายไปพร้อมกับความตายของมนุษย์ มนุษย์ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตณ์และนักปรัชญาจึงสร้างนวัตกรรมใหม่ โดยถ่ายทอดเหตุผลของตนลงในตำรา หรือคัมภีร์ทางศาสนาเพื่อรักษาความรู้ไว้ สิ่บสานด้วยการศึกษาและปฏิบัติตามเพื่อบรรลุความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ และสามารถนำไปต่อยอดความรู้หรือประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ เป็นต้น
เมื่อบุคคลหนึ่งตายลง ประวัติศาสตร์ของบุคคลนั้นก็จะเลือนหายไปพร้อมกับความตาย อัตลักษณ์ในฐานะสังคมนั้นจะไม่น่าสนใจอีกต่อไป และในที่สุดเรื่องราวของพวกเขาก็จะเลือนหายไปจากสังคมเช่นกัน ผู้ที่กลับมาเกิดใหม่จะไม่รู้จักพวกเขาอีกต่อไปและเพื่อนมนุษย์ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติแห่งการเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้และความตายเช่นกัน เมื่อคนรุ่นต่อไปถามถึงพวกเขา พวกเขาจะไม่เป็นที่รู้จักในโลกมนุษย์อีกต่อไป เพราะทุกคนต่างสนใจแต่ผลประโยชน์ของตนเองและมองข้ามผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าจะดี หรือร้าย ล้วนเป็นสิ่งที่ควรศึกษาและเรียนรู้ เพราะเป็นบทเรียนโดยตรงจากประสบการณ์ชีวิต ซึ่งเป็นความรู้ที่ดีกว่าการอ่านจากหนังสือ เจตนาของมนุษย์นั้นลึกซึ้งกว่าความรู้ที่ได้จากหนังสือ และชีวิตมนุษย์นั้นยากจะเข้าใจด้วยปัญญาของตนเอง เนื่องจากชีวิตมนุษย์มีขอบเขตการรับรู้ที่จำกัดและมีความคิดที่ลำเอียงต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ ชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดอย่างมีเหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของชีวิต การสร้างอัตลักษณ์ที่สังคมยอมรับนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ความพยายาม ความอดทน และความเข้าใจในตนเองและสังคม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ นี่คือแนวทางที่จะช่วยสร้างอัตลักษณ์ที่โดดเด่นและน่าจดจำ
อันดับแรก คุณต้องค้นหาอัตลักษณ์ที่แท้จริงของคุณ คุณต้องรู้จักตัวเองก่อน ถามตัวเองว่าคุณชอบอะไร คุณถนัดอะไร จุดแข็งและจุดอ่อนของคุณคืออะไร และเป้าหมายชีวิตของคุณคืออะไร การตอบคำถามเหล่านี้ จะช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้น และสร้างอัตลักษณ์ที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของคุณ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเป็นนักคิดในหลาย ๆ ประเด็นเพื่อหาคำตอบให้กับตัวเอง จมอยู่กับความคิดเหล่านี้ คุณอาจสร้างอัตลักษณ์ของคุณในฐานะนักวิชาการ นักปรัชญา อาจารย์มหาวิทยาลัย ผู้พิพากษา อัยการ พนักงานสอบสวน หรือพระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น เมื่อคุณมีความรู้เหล่านี้แล้ว จงเผยแผ่ความรู้นั้นและนำเสนอประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย
ชีวิตของผู้คนทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเข้าถึงความรู้จากเนื้อหาบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งก่อให้เกิดเครือข่ายทั่วโลก เมื่อผู้คนได้ยินความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่นความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ศาสนาและวัฒนธรรมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ พวกเขาสามารถแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ ความเห็นของสาธารณะเปรียบเสมือนเสียงสวรรค์ยกย่องรัฐบาลในความสามารถในการบริหารประเทศ และพัฒนาชาติอย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลบริหารประเทศไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย ตามนโยบายที่พรรครัฐบาลใช้ในการหาเสียง และประชาชนคาดหวังว่านโยบายที่ใช้ในการหาเสียงจะบรรลุผลสำเร็จ ก็อาจเป็นเสียงนรกได้เช่นกัน เป็นต้น สรุปแล้ว การค้นหาอัตลักษณ์ที่แท้จริงของคุณเป็นเรื่องยาก เพราะทุกคนมีมีอายตนะภายในมีความสามารถในการรับรู้ได้จำกัด และมีแนวโน้มที่จะอคติต่อผู้อื่นชีวิตเนื่องจากความไม่รู้ ชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ของชีวิต หากเราฝึกฝนการค้นหาตนเองด้วยการลงมือปฏิบัติ เพื่อถ่ายทอดจินตนาการ ทุกประโยคที่เราแสดงออก จะกลายเป็นอัตลักษณ์ที่เราสามารถภาคภูมิใจได้
ประการที่ ๒ เลือกแฟลตฟอร์ที่เหมาะสม เมื่อคุณรู้จักตัวเองแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมเพื่อสร้างตัวตนของคุณ ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มมากมายให้เลือกใช้ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ส่วนตัว บล็อคและอื่น ๆ คุณควรสร้างแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและรูปแบบการสื่อสารของคุณ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นศิลปิน Instagram อาจเป็นแพลตฟอร์มที่ใช่สำหรับคุณ เพราะช่วยให้คุณโพสต์ผลงานและเชื่อมต่อกับผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย หากคุณเป็นนักวิชาการในหลากหลายสาขา คุณสามารถเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานของคุณได้ การสร้างบล็อคอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะช่วยให้คุณเขียนบทความยาว ๆ และแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระดังนั้น เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่เหมาะกับคุณนั้น คุณควรลองใช้แพลตฟอร์มต่าง ๆ ก่อน เพื่อดูว่าแพลตฟอร์มไหนเหมาะกับคุณที่สุด
อันดับที่สามสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ไม่ว่าคุณจะเลือกแพลตฟอร์มใด การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เนื้อหาของคุณควรน่าสนใจ มีประโยชน์และเกี่ยวข้องกับสอดคล้องกับตัวตนของคุณ อย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจทั้งรูปภาพและข้อความของคุณถูกนำเสนออย่างมืออาชีพและน่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณอยากเป็นนักเขียน คุณควรเขียนบทความที่มีคุณภาพสูง มีการเรียบเรียงเนื้อหาที่ดีและน่าสนใจ หากคุณเป็นศิลปิน คุณควรสร้างผลงานที่สร้างสรรค์และมีคุณภาพสูง ดังนั้น เรียนรู้เทคนิคการเขียน การถ่ายภาพ หรือการถ่ายวิดีโอ เพื่อช่วยคุณสร้างสรรค์เนื้อหาที่มีคุณภาพได้
อันดับสี่ การมีส่วนร่วมกับผู้อื่น การสร้างตัวตนบนโซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่การสร้างคอนเทนต์เท่านั้น แต่คุณต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย ตอบคำถาม แสดงความคิดเห็น และเข้าร่วมกลุ่มต่าง ๆ การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจะช่วยให้คุณสร้างเครือข่าย และรู้จักตัวเองมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ตอบคำถามในช่องแสดงความคิดเห็น เข้าร่วมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของคุณ หรือแชร์โพสต์ของผู้อื่น ดังนั้น อย่ากลัวที่จะแสดงความคิดเห็นของคุณ แต่ควรแสดงออกอย่างสุภาพและให้เกียรติผู้อื่น
อันดับที่ห้า ความสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญ การสร้างตัวตนบนโซเชียลมีเดีย ต้องใช้เวลาและความอดทน คุณต้องสม่ำเสมอในการสร้างคอนเทนต์และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น อย่าท้อแท้หากไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่ถ้าคุณสม่ำเสมอ ในที่สุดคุณก็จะประสบความสำเร็จ ตัวอย่างเช่น ตั้งเป้าหมายที่จะโพสต์คอนเทนต์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง หรือตอบคำถามในคอมเมนต์ทุกวัน เป็นต้น วางแผนการสร้างคอนเทนต์ล่วงหน้าเพื่อรักษาความส่ำเสมอได้
ดังนั้น การสร้างอัตลักษณ์ทางสังคม จึงเป็นกระบวนที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม หากเราทำอย่างถูกต้อง เราจะสามารถสร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและน่าจดจำได้ พวกเขาจะตั้งคำถามว่า "เรารู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง ? พวกเขาจะตรวจสอบความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจเพราะจิตใจมนุษย์ นอกจากจะสามารถรับรู้และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์ได้แล้ว ยังทำหน้าที่เป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อจิตใจรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันจะคิดจากสิ่งนั้นโดยวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบ พวกเขาจะใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น หากการวิเคราะห์ถูกต้องแต่ไม่พบเหตุผลใด ที่จะอธิบายความจริงของคำตอบได้แสดงว่า สิ่งนั้นยังไม่ชัดเจน ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น หากบุคคลนั้นต้องการศึกษาและค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมในเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมเป็นข้อมูล เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้นโดยใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือใช้เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้น
การได้ยินข้อเท็จจริงเหล่านี้ ทำให้เราตระหนักว่ามนุษย์มักให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองชอบมากกว่าสิ่งอื่นใด ส่งผลให้มีความเป็นส่วนตัวสูง ขาดทักษะทางสังคม ขาดการสนทนา และขาดอัตลักษณ์ทางสังคมในการแลกเปลี่ยนความรู้ หรือทำธุรกิจร่วมกัน แม้ว่าเราจะมีทักษะและความรู้มากมาย แต่เราก็ยังขาดการเรียนรู้ที่จะสร้างความไว้วางใจ เมื่อนักวิทยาศาสตร์พัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เพื่อสร้างฐานความรู้ขนาดใหญ่และแบ่งปันความรู้นี้ กับผู้คนทั่วโลกที่ขาดโอกาสเข้าถึงสถาบันการศึกษาทั่วโลก เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าถึงการศึกษาผ่านแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต พวกเขาสามารถนำความรู้นี้ไปพัฒนาศักยภาพชีวิตและทักษะในสาขาต่าง ๆ และสร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่น พวกเขาสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความซื่อสัตย์ ยุติธรรมและเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้ตรวจสอบผลงาน มีความรู้และทักษะที่เหมาะสมกับองค์กรใด ๆ เพื่อพัฒนาประเทศชาติให้เหนือกว่าประเทศอื่น ๆ
เนื่องจากพฤติกรรมของมนุษย์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี่ด้านคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ไปจนถึงการนำความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด โดยไม่คิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต เช่น การแชร์รูปภาพ เสียง วีดีโอ และข้อความที่ไม่เหมาะสมในเอกสารดิจิทัล การเอาเปรียบผู้ด้อยโอกาส จนจิตใจจึงมักจะยึดติดกับอารมณ์นั้น ทำให้เสี่ยงต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต การขาดความมั่นใจในกิจวัตรประจำวันเหล่านี้ นำไปสู่การขาดปัญญาในการแก้ปัญหา ดังนั้น การศึกษาจึงไม่ได้มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพชีวิตและการสั่งสมความรู้ภายในจิตใจอีกต่อไป แต่จำเป็นต้องนำมาประยุกต์ใช้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่หลากหลาย และเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าทางอาชีพและการเงิน ปัจจุบัน ผู้คนแสดงความสามารถผ่านการทำงานและทักษะในหลากหลายสาขาผ่านแอพพลิเคชั่นที่หลากหลาย สำหรับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ต้องการทำงานบนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต พวกเขาอัพโหลดไฟล์หลายล้านไฟล์ เพื่อนำเสนอประเด็นหรือเนื้อหาให้สาธารณชนได้เรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน การมีวุฒิปริญญาตรี ปริญญาโท หรือปริญญาเอก ไม่ได้รับประกันความสำเร็จทั้งในด้านการทำงานและการใช้ชีวิต
ดังนั้น คอนเทนต์แพลตฟอร์มจึงได้สร้างนักคิดเชิงปรัชญา ที่สามารถอธิบายและนำเสนอผลงานของตนต่อโลก ในรูปแบบที่เหมาะสม สร้างความเพลิดเพลินและความเข้าใจผ่านบทความนับล้าน ในอนาคต สถาบันการศึกษา อาจไม่ใช่ศูนย์กลางการเรียนรู้อีกต่อไป เพราะแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้แทนที่สถาบันการศึกษา และจะทำหน้าที่เป็นเวทีแสดงผลงานออนไลน์ของผู้คน เปิดโอกาสให้ผู้คนทั่วโลก ได้เรียนรู้ตามความต้องการและความสนใจของตนเอง นักเรียนสามารถส่งการบ้านให้ครูได้จากที่บ้าน ผ่านห้องเรียนออนไลน์ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ทุกวันผู้คนทั่วโลก สามารถเรียนรู้จากเนื้อหาบนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตและนำความรู้นี้ ไปประยุกต์ใช้กับงานของตนได้ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ ยกตัวอย่างเช่น ในยุคทองของศาสนาพราหมณ์ ชนชั้นกษัตริย์ได้บัญญัติกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ เพื่อจำกัดสิทธิและหน้าที่ของมนุษย์ที่พระพรหมสร้างขึ้นให้ทำงานตามวรรณะที่ตนเกิดมา การศึกษาผ่านโซเซียลมีเดีย ช่วยขจัดอุปสรรคทางการศึกษาที่บังคับให้นักศึกษาลงทะเบียน ชำระค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยและได้รับคำแนะนำตลอดเวลา การศึกษาผ่านโซเชียลมีเดีย ช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้เรื่องราวหลากหลาย ที่ผู้คนแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทรัพยากรอันทรงคุณค่าที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาชีวิตได้
หากเรายึดติดกับความสำเร็จในอดีต และเหตุผลเดิม ๆ ความรู้เหล่านั้นและความคิดเห็นทางวิชาการก็จะล้าสมัย เมื่อความคิดเห็นของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปตามความรู้ที่เรียนรู้ทางออนไลน์ เราจึงต้องก้าวให้ทันโลก ด้วยความสามารถในการเรียนรู้จากผู้อื่นบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ตลอดเวลา และมี Wi-Fi สาธารณะให้บริการจึงไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยอีกต่อไป ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ผู้เขียนจึงได้ตัดสินใจเขียนบล็อคเกี่ยวกับปรัชญาพุทธภูมิ เพื่อสร้างพื้นที่สาธารณะให้ผู้อ่านได้ศึกษาตลอด ๒๔ ชั่วโมงทุกวัน ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านได้ศึกษาเนื้อหาพระพุทธศาสนา กระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธศาสนาและปรัชญา เพื่อนำไปปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ อันจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาศักยภาพที่อ่อนแอให้แข็งแกร่ง มีความมั่นคงในเป้าหมายชีวิต และไม่กลัวต่อความท้าทายในชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น