ปัญหาความจริงเกี่ยวกับวรรณะในพระไตรปิฎก ( The problem of the truth about the caste in Tripitaka)
บทนำ โดยทั่วไปแล้ว ชาวพุทธทั่วโลกจะได้ยินความคิดเห็นเกี่ยวกับวรรณะ จากตำราปรัชญาอินเดียในมหาวิทยาลัย และการแสดงพระธรรมเทศนาของพระภิกษุทั้งนิกายเถรวาทและนิกายมหายานตามวัดต่าง ๆทั่วโลก เป็นเวลาอย่างน้อยกว่า ๒๕๐๐ ปี หลังจากฟังคำเทศนาในหัวข้อนี้แล้ว ชาวพุทธส่วนใหญ่เชื่อความจริงเรื่องวรรณะโดยปริยายว่าเป็นจริง ไม่มีเหตุผลที่จะต้องสงสัยข้อเท็จจริงอีกต่อไป และมีหลักฐานในพระไตรปิฎกหลายฉบับได้ยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไว้แล้ว อันเป็นเพราะชาวไทยพุทธส่วนใหญ่ชอบปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของตนเอง เพื่อบรรลุพระอรหันต์หรือพุทธภาวะอยู่แล้วด้วยการฝึกสมาธิ ให้จิตใจบริสุทธิ์ปราศจากอคติ จึงไม่มีความเศร้าหมองเกิดขึ้นในใจ มีจิตใจอ่อนโยนเหมาะสมกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสงบ ตามหลักศีลธรรมและกฎหมาย มั่นคงในอุดมการณ์ที่จะรักษาชาติ ศาสนา และพระกษัตริย์ไว้ด้วยชีวิตของตนเอง และไม่หวั่นไหวต่อการปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้อื่นอย่าง บริสุทธิและยุติธรรม มีสติในการนึกถึงความรู้จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา พวกเขาสามารถใช้ความรู้นั้นเป็นหลักในการแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้าในชีวิตของตนว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จได้ พฤติกรรมใดเป็นบุญหรือเป็นมงคลในชีวิต เป็นต้น
การศึกษาความจริงเรื่องวรรณะในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ นั้น ตามหลักอภิปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับมนุษย์โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและการมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้นปัญหาว่าทำไมนักปรัชญาสนใจปัญหาเหล่านี้ เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ทั้งหกอย่างในร่างกายของตนเองมีความสามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้าในชีวิตอย่างจำกัดและมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นอยู่เสมอ มักทำในสิ่งไม่ควรทำ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนเอง ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมนอยู่เสมอ ดังนั้น เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
เมื่อเราต้องศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ความรู้ของชาวสักกะในยุครุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์นั้นพวกพราหมณ์อารยันสอนเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้า ส่วนพราหมณ์มิลักขะสอนเรื่องการมีอยู่ของเทวดา แม้ว่าผู้คนในอนุทวีปจะไม่มีความรู้โดยตรง เกินขอบเขตประสาทสัมผัสของตนเองเกี่ยวกับเทพเจ้าและเทวดา แต่พวกเขาก็ยังเชื่อการมีอยู่ของเทพเจ้าและเทวดาสามารถให้คุณและลงโทษพวกเขาได้ ตามคำสอนของพราหมณ์ปุโรหิต(priesthood) ซึ่งถิอว่าเป็นที่ปรึกษาของมหาราชาและเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ชาวสักกะไม่ควรหาเหตุผลมาโต้แย้งหรือหักล้างคำสอนของพราหมณ์ปุโรหิตเหล่านั้น เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงเช่นนี้แล้วว่า ความรู้ของมนุษย์ ย่อมมีทั้งความรู้ในระดับประสาทสัมผัสและความรู้ที่อยู่นอกเหนือเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ ดังนั้น ตามหลักอภิปรัชญา เราจึงสามารถแบ่งความจริงเชิงอภิปรัชญาได้เป็น ๒ ประเภท กล่าวคือ
๑.ความจริงที่สมมติขึ้น (fictitious reality) โดยทั่วไปแล้ว สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ล้อมรอบตัวมนุษย์ อาจเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วหายไปในอากาศ แต่ก่อนสภาพเหล่านั้นก่อนจะสูญหายไปจากสายตามนุษย์นั้น มนุษย์สามารถใช้อวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของร่างกาย เพื่อรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น และเก็บอารมณ์เหล่านั้นเป็นหลักฐานไว้ในจิตใจ แต่ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์คือการคิดจากหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจนั้น วิเคราะห์หลักฐานโดยการอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น เมื่อความจริงของคำตอบมีความสมเหตุสมผล โดยไม่มีข้อสงสัยในข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น ตัวอย่างเช่นมีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของการปะทุของภูเขาไฟ น้ำท่วมภาคใต้ของประเทศไทย ฟ้าผ่าในต่างประเทศแล้วตั้งชื่อปรากฏการณ์เหล่านั้นและบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ เป็นต้น "มนุษย์"ทุกคนเกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจในครรภ์มารดารวมตัวกัน เป็นทารกแล้วก็เกิดจากครรภ์มารดาแล้ว ตั้งชื่อนามสกุลเป็นมนุษย์คนใหม่ มันมีชีวิตอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วก็ตายไป ความเป็นมนุษย์สามารถรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมเป็นอารมณ์อยู่ในจิตใจมนุษย์ด้วยกัน มนุษย์จึงเป็นความจริงที่สมมติขึ้น เป็นต้น
๒.สัจธรรม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ความจริงขั้นปรมันถ์" มันคือความจริงอันถึงที่สุด ซึ่งอยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของมนุษย์ โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ความจริงขั้นสูงสุดได้ เพราะมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ในร่างกายถึง ๖ อวัยวะ ซึ่งมีข้อจำกัดในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่อยู่ห่างไกล เช่น ดวงอาทิตย์ ดาวอังคาร ดาวพุธ เป็นต้น หรือเหตุการณ์ทางสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้นในระยะไกลเกินขอบเขตการรับรู้ขอมนุษย์ นอกจากนี้ โดยธรรมชาติ มนุษย์มักมีอคติต่อกันในชึวิต ดังนั้น พวกเขาจึงมีอารมณ์ตกอยู่ในความมืดมิดตลอดเวลา ในยุคปัจจุบันแม้นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้ จนกระทั่งมนุษย์ทั่วโลกสามารถส่งข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตได้ และสร้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์ช่วยเหลือมนุษย์ค้นพบความจริงของสิ่งที่มนุษย์มีข้อสงสัย เขาจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเพียงพอ เพื่อเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ นั้นเพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น เมื่อได้รับผลการวิเคราะห์แล้ว จิตใจของนักวิทยาศาสตร์หรือผู้เกี่ยวข้อง ก็จะประเมินคุณค่าของผลวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นและใช้ประโยชน์จากข้อมูลนั้น เพื่อการแก้ไขปัญหาที่น่าสงสัยนั้น เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ เท่านั้น และได้ยินข้อเท็จจริงที่ว่า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงพัฒนาศักยภาพชีวิตของพระองค์ตามหลักปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ ย่อมบรรลุญาณในระดับอภิญญา ๖ เป็นพระพุทธเจ้า ความจริงในเรื่องนี้ถือว่าเป็นความรู้ที่เกินขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ ผู้ที่จะบรรลุได้นั้นต้องเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์เท่านั้นที่จะต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาศักยภาพชีวิตของบรรลุ ก่อนที่จะบรรลุสัจธรรมแห่งชีวิตได้ ตามหลักพระพุทธศาสนาเรียกว่า"อสังขตธรรม" ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งอื่นใดได้ มนุษย์สามารถบรรลุความจริงนี้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น โดยการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น จึงจะบรรลุถึงความรู้ในระดับอภิญญา ๖ ได้ เช่น สภาวะนิพพาน เป็นต้น
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวรรณะในชมพูทวีปนั้น
เมื่อผู้เขียนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ เอกสารทางวิชาการ และบทความในเว็บไซต์ต่าง ๆแล้ว เราได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่แล้ว ระบบวรรณะเกิดจากความเชื่อทางศาสนาว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้น ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่เกิดมา โดยตราคำสอนของพราหมณ์ในเรื่องนี้เป็นกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี มีหลักฐานที่ปรากฏอย่างชัดเจนในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ ว่า ในรัชสมัยพระเจ้าโอกากราชทรงเป็นมหาราชาแห่งแคว้นโกลิยะ ในสมัยนั้นว่ากันว่าแคว้นโกลิยะ เป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของผู้คนจากหลายเชื้อชาติ เช่น ชาวอารยันและชาวมิลักขะ เป็นต้น แคว้นโกลิยะเป็นดินแดนที่อุดมไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด มีปลาในน้ำให้คนได้กินตลอดทั้งปี ชาวเมืองโกลิยะมีความขยันปลูกข้าวตลอดทั้งปี และสามารถส่งออกข้าวไปขายต่างประเทศได้ ประชาชนเชื่อในคำสอนของพราหมณ์อารยันที่ว่ามีเทพเจ้ามากมาย ที่สามารถช่วยให้ผู้คนบรรลุความฝันในชีวิตได้ ในส่วนพวกมิลักขะนั้น พวกเขาเชื่อในคำสอนของพราหมณ์มิลักขะที่ว่า เทวดาสามารถช่วยให้ผู้คนบรรลุความปรารถนาในชีวิตได้ โดยการสังเวยของสิ่งของมีค่าที่พราหมณ์ต้องใช้ในพิธีกรรมเหล่านี้ เมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว จะมีการถวายเครื่องบูชาแก่พราหมณ์ ทำให้พราหมณ์ในนิกายต่าง ๆ มีรายได้มหาศาลจากการประกอบพิธีบวงสรวงนั้น มีทรัพย์สมบัติ และเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม เป็นต้น เมื่อเหตุการณ์ทางสังคมในประเทศเกิดขึ้นเช่นนี้ พราหมณ์อารยันมีความโลภและมีอคติต่อพวกพราหมณ์ดราวิเดียน ดังนั้น พวกเขาจึงต้องการผูกขาดการบูชาและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพราหมณ์อารยันเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องการให้พราหมณ์มิลักขะมีหน้าที่บูชาเทวดาอีกต่อไป และกลายเป็นปัญหาทางการเมือง เมื่อพราหมณ์อารยันทำพิธีบูชายัญถวายเครื่องบูชาแด่พระพรหม และพระอิศวรแล้ว มหาราชาเป็นผู้ปกครองแคว้นสักกะและแคว้นโกฬิยะ พระองค์ทรงประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศ และทรงมีศรัทธาต่อพราหมณ์อารยันผู้นั้น และทรงแต่งตั้งพราหมณ์อารยันเป็นปุโรหิต (priesthood) ที่ปรึกษาของมหาราชแห่งแคว้นสักะในด้านกฎหมาย ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี เป็นต้น
เมื่อพราหมณ์ปุโรหิต (priesthood) ตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางสังคมแห่งแคว้นสักกะ เมื่อวิเคราะห์หลักฐานโดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนี้ แม้ว่าพราหมณ์มิลักขะจะไม่มีอำนาจทางการเมืองแห่งแคว้นสักกะ แต่ก็ยังมีอิทธิพลต่อชาวสักกะอยู่ เพราะยังสามารถประกอบพิธีบรวงสรวงเทพเจ้าให้ชาวสักกะแล้ว พวกเขาสมหวังในชีวิตจึงมีชาวสักกะศรัทธาพราหมณ์มิลักขะอยู่เป็นอันมากถ้าในอนาคตพราหมณ์อารยันทำประกอบพิธีบูชาพระพรหมและพระอิศวรถวายมหาราชาแล้ว พระองค์ทรงไม่ประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศ มหาราชาอาจทรงแต่งตั้งพราหมณ์ดราวิเดียนเป็นปุโรหิตก็ได้ เพื่อความมั่นคงและป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในบ้านเมือง พราหมณ์อารยันในฐานะที่ปรึกษาของมหาราชาแห่งแคว้นสักกะ จึงได้เสนอให้นำหลักคำสอนของพราหมณ์อารยันที่ว่า พระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ทำงานตามหน้าที่ของวรรณะตน และห้ามมิให้แต่งงานข้ามวรรณะ มาบัญญัติเป็นกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีแห่งอาณาจักรสักกะ โดยแบ่งประชาชนในแคว้นสักกะออกเป็น ๔ วรรณะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จเยี่ยมราษฏรในพระนครกบิลพัสดุ์ พระองค์ทรงเห็นปัญหาความจริงของจัณฑาล ซึ่งถูกสังคมลงโทษฐานละเมิดกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ด้วยการขับไล่ออกจากบ้านตลอดชีวิตไม่สามารถกลับคืนสู่สังคมเดิมได้ ต้องอาศัยอยู่ข้างถนนในพระนครกบิลพัสดุ์ แม้จะอยู่ในวัยชรา เจ็บป่วย และนอนตายอยู่ข้างถนน เป็นต้น
.
สาเหตุที่วรรณะในอาณาจักรสักกะไม่อาจยกเลิกได้ ตามหลักญาณวิทยาว่าด้วยการกำเนิดความรู้ของมนุษย์ เมื่อใดที่นักปรัชญาจะอ้างข้อเท็จจริงในเรื่องใด? จะต้องมีหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น แต่พยานหลักฐานทางปรัชญาส่วนใหญ่จะเป็นคำให้การของผู้เห็นเหตุการณ์ ตามหลักญาณวิทยานั้นสนใจศึกษาปัญหาต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ บุคคลนั้นจะต้องมีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจของตนเองเท่านั้น จึงจะถือเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือและยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นได้ เมื่อผู้เขียนค้นคว้าหลักฐานบนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตใน https://84000.org / tipitaka /attha/attha.php?b=32&i=1 โดยป้อนคำว่า"กฎหมายหรือรัฐธรรมนูญ" ลงในแอพพริเคชั่นเพื่อค้นหาข้อความในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ แล้ว แต่ผู้เขียนตรวจไม่พบคำว่า "กฎหมาย" หรือ "รัฐธรรมนูญ" แต่อย่างใดแสดงให้เห็นว่า ในสมัยพุทธกาล อาณาจักรต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดียยังไม่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรที่ประกาศใช้เป็นบรรทัดฐานในการปกครองประเทศ เมื่อผู้เขียนป้อนคำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกันเช่นคำว่า "นิติศาสตร์" เพื่อค้นหาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯทั้ง ๔๕ เล่ม พบว่า"ธรรมของกษัตริย์" หมายถึงนิติศาสตร์ซึ่งเป็นหลักการปกครองประเทศ เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อเท็จจริงหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ ก็ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในยุครุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ อาณาจักรต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดีย ได้ประกาศใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองประเทศแต่ว่าเรียกกฎหมายฉบับนี้ว่า ธรรมกษัตริย์และนักปราชญ์ชาวพุทธทั่วโลกชอบเรียกกันว่า "หลักอปริหานิยธรรม" เป็นหลักธรรมสำหรับผู้บริหารในสมัยพุทธกาลและ"นักบริหาร" คือผู้มีหน้าที่ปกครองประเทศตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ก็หมายถึงวรรณะกษัติย์เท่านั้น ดังนั้นคำว่า "ธรรมกษัตริย์ จึงหมายถึง"หลักอปริหานิยธรรม" ถือได้ว่าเป็นหลักปฏิบัติในการปกครองประเทศ ซึ่งเทียบเท่ากับกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับลายลักษณ์อักษรในปัจจุบันและเป็นกฎหมายที่ตราขึ้น เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของพราหมณ์อารยัน มีปัญหาที่ผู้เขียนสงสัยว่าทำไมเจ้าชายสิทธัตถะจึงไม่สามารถปฏิรูปสังคมได้ ด้วยการล้มล้างระบบวรรณะในรัชสมัยของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นกษัตริย์แห่งรัฐสักกะแม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นรัชทายาทในอนาคตของอาณาจักรสักกะก็ตาม
เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อกฎหมายของกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองประเทศที่เรียกว่า "หลักอปริหานิยธรรม" ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตเล่มที่ ๒ (ฉบับมหาจุฬา ฯ) ฑีฆนิกาย มหาวรรค ๓. มหาปรินิพพานสูตร. ข้อ ๑๓๔. กล่าวว่า......
๓. อานนท์เธอได้ยินไหมว่า "พวกวัชชีไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว ถือปฏิบัติมั่นตามวัชชีธรรมที่วางไว้เดิม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์ได้ยินว่า "พวกวัชชีไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว ถือปฏิบัติมั่นตามวัชชีธรรมที่วางไว้เดิม "อานนท์ พวกวัชชีพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสื่อมเลยตราบเท่าที่พวกวัชชีไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว ถือปฏิบัติมั่นตามวัชชีธรรมที่วางไว้เดิม
๔. อานนท์เธอได้ยินไหมว่า"พวกเจ้าวัชชีสักการะ เคารพ นับถือบูชาเจ้าวัชชี ผู้มีพระชนม์มายุมากของชาววัชชีและสำคัญถ้อย คำเหล่านั้นว่าเป็นสิ่งควรรับฟัง" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ยินว่า พวกเจ้าวัชชีสักการะ เคารพ นับถือ บูชาเจ้าวัชชีผู้มีพระชนม์มายุมากของชาววัชชีและสำคัญถ้อยคำเหล่านั้นว่าเป็นสิ่งควรรับฟัง"อานนท์พวกวัชชีพึงหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีความเสื่อมเลยตราบเท่าที่พวกวัชชีสักการะ เคารพ นับถือบูชาเจ้าวัชชีผู้มีพระชนม์มายุมากของชาววัชชีและสำคัญถ้อยคำเหล่านั้นว่าเป็นสิ่งควรรับฟัง"
การตีความเมื่อผู้เขียนศึกษา"หลักอปริหานิยธรรม"ซึ่งเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองอาณาจักรสักกะ ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ผู้เขียนตีความข้อกฎหมายในหลักอปริหานิยธรรมในข้อที่๓.ที่กล่าวว่า.....จะไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ และไม่ลบล้างสิ่งที่บัญญัติไว้....ได้ว่า เมื่อรัฐสภาแห่งศากยวงศ์ได้ตรากฎหมายใดออกมาประกาศบังคับใช้ในแคว้นสักกะแล้ว ภายหลังจะยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้วไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามกฎหมายจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองแคว้นสักกะ ตัวอย่างเช่น เมื่อรัฐสภาศากยวงศ์ได้ ใช้อำนาจนิติบัญญัติในการตรากฎหมายวรรณะจารีตประเพณีประกาศบังคับใช้แล้วต่อมาภายหลังจะลบล้างกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีของรัฐสักกะไม่ได้ เพราะขัดแย้งกับหลักอปริหานิยธรรมในข้อที่๓. บัญญัติไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า"จะไม่ลบล้างสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว"เป็นต้น กฎหมายอื่นที่บัญญัติไว้ในภายหลังที่กฎหมายรัฐประกาศใช้บังคับไว้จะมาโต้แย้งมิได้
การวิเคราะห์ความจริงเรื่องวรรณะในพระไตรปิฎก เมื่อผู้เขียนได้วิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากพยานหลักฐานต่าง ๆ แล้วได้ความจริงในเรื่องนี้ว่า แคว้นสักกะเป็นรัฐเอกราช มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง มีหลักราชอปริหานิยธรรมเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดในการบริหารประเทศ แคว้นสักกะมีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม โดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะะคือวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เป็นต้น เป็นรัฐศาสนาของพราหมณ์ เพราะคำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี มีการบังคับใช้ตามกฎหมายที่ห้ามบุคคลใดปฏิบัติหน้าที่ในวรรณะอื่น และห้ามประชาชนแต่งงานระหว่างวรรณะ แต่ชาวสักกะและแคว้นอื่น ๆ กลับเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ไม่ได้รับการศึกษาผ่านระบบการศึกษาของประเทศและมีชีวิตที่อ่อนแอเพราะขาดการพัฒนาศักยภาพของชีวิต จึงไม่มีจิตสำนึกและสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง เมื่อคนเราจึงมีชีวิตมืดมนและพวกเขามีราคะมาก จึงขาดสติปัญญาที่จะจดจำผลแห่งการกระทำของตนเอง พวกเขาจึงกระทำผิดฐานละเมิดคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีอย่างร้ายแรง จึงถูกลงโทษโดยการลงพรหมทัณฑ์จากคนในสังคมไปตลอดชีวิต ด้วยการขับไล่ออกสังคมไปตลอดชีวิต และเรียกคนเหล่านี้ว่า "จัณฑาล" เป็นต้น
เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จเยี่ยมชาวกรุงกบิลพัสดุ์ และทอดพระเนตรเห็นจัณฑาลที่ใช้ชีวิตเร่ร่อนไปตามถนน ทั้ง ๆ ที่อายุมากแล้ว บ้างก็ป่วย และบ้างก็นอนตายอยู่ข้างถนน นี่เป็นเพราะพวกเขาละเมิดคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีโดยกระทำความผิดฐานแต่งงานข้ามวรรณะ กฎหมายให้อำนาจประชาชนในสังคมตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน ให้เพียงพอเพื่อเป็นข้อมูลมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายหรือพิสูจน์ความจริงของการฝ่าฝืนกฎหมาย และถูกตัดสินให้ออกจากสังคมตลอดชีวิต หากดื้อดึงจะอยู่กับครอบครัวก็จะถูกคนในสังคมประทุษร้ายจนถึงแก่เสียชีวิต จะต้องสูญเสียสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ไปตลอดชีวิตและไม่สามารถกลับคืนสู่สังคมเดิมได้ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาคนจัณฑาล พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดช่วยให้พวกจัณฑาลมีสิทธิ และหน้าที่ในการประกอบอาชีพ การศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองในการปกครองประเทศและประกอบพิธีทางศาสนาของตน เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยที่จะข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน ซึ่งเป็นคำให้การของพราหมณ์ปุโรหิตที่เป็นประจักษ์พยานที่น่าเชื่อถือ และเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ประชาชนเคารพนับถือ เป็นต้น เมื่อพระองค์ทรงได้ตรวจสอบข้อเท็จจากพยานหลักฐานได้ยินข้อเท็จจริงว่า พวกพราหมณ์ปุโรหิตให้การยืนยันว่า พระพรหมและพระอิศวร เป็นผู้สร้างมนุษย์และวรรณะให้กับมนุษย์ทำงานตามหน้าที่ของตนเอง และในอดีตพวกเขาเคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะมาก่อน แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตรัสถามเพิ่มเติมว่าพระพรหมและพระอิศวรมีความเป็นมาอย่างไร ไม่มีพราหมณ์คนใดตอบได้ เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัย และไม่เชื่อการมีอยู่จริงของพระพรหมและพระอิศวร พระองค์ทรงตัดสินพระทัยเสนอกฎหมายยกเลิกกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการแบ่งวรรณะ แต่สมาชิกรัฐสภาแห่งแคว้นสักกะไม่สามารถยกเลิกได้ เพราะขัดต่อหลักอปริหานิยธรรมซึ่งเป็นกฎหมายจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครอง ที่บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้ว พระองค์ชอบที่จะหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป
ด้วยเหตุผลของข้อเท็จจริงที่กล่าวข้างต้น ผู้เขียนเห็นว่า สาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะไม่สามารถปฏิรูปสังคมได้เนื่องจากการตรากฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการยกเลิกวรรณะนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมายจารีตประเพณีสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดินแห่งอาณาจักรสักกะที่เรียกว่า"หลักอปรินิยธรรม"ในมาตรา ๓ เป็นต้น
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓ [ฉบับมหาจุฬา ฯ] ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๑.พรหมชาตสูตร] ว่าด้วยทิฏฐิ๖๒ ข้อ ๔๒
1 ความคิดเห็น:
ได้ความรู้ดีมากครับ พระไตรปิฎก.
แสดงความคิดเห็น