Problems with the truth about untouchables in the Tripitaka
๑.บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของจัณฑาล
แม้เรื่อง "จัณฑาล"จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนสมัยก่อนพุทธกาล และได้รับการบอกเล่าเป็นเรื่องราวที่สืบทอดกันมาช้านาน แต่ เรื่องของ "จัณฑาล" ก็เป็นบุคคลที่สมมติขึ้นตามกฎหมายจารีตประเพณีเรื่อง"วรรณะ" เขาเป็นบุุคคลที่ถูกลงโทษโดยประชาชนในสังคมอนุทวีป ตามกฎหมายจารีตประเพณีเรื่อง "วรรณะ" และละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง จึงเป็นสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะ มกุฏราชกุมารแห่งราชอาณาจักรสักกะ ทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมในแคว้นสักกะหรือประเทศสักกะ (Sakka country) เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่เท่าเที่ยมกัน อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาสังคม ที่ติดอยู่กับกฎหมายจารีตประเพณีเรื่องวรรณะและรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีที่ใช้ในการปกครองประเทศ ที่ห้ามยกเลิกกฎหมายจารีตประเพณีที่ประกาศใช้และบังคับใช้อยู่แล้ว เป็นต้น
แม้ว่า ระบบวรรณะจะไม่มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐอินเดียหรือประเทศใดอีกต่อไปแล้ว แต่ระบบวรรณะก็ยังคงเป็นสัญญาในใจของมนุษย์ และยังแบ่งคนออกเป็น ๒ กลุ่มตามฐานะทางเศรษฐกิจ คือคนจนและคนรวย ในปัจจุบันแม้ว่ามนุษย์บางคนจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ที่พัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์จากปรัชญาตะวันตก จนวิศวกรคอมพิวเตอร์สามารถสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้ สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยเฉพาะแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต ให้เป็นพื้นที่แบ่งปันความรู้ในสาขาต่าง ๆ และคนทั่วโลกสามารถศึกษาค้นคว้า และแสวงหาหาความรู้บนอินเตอร์เน็ตได้ เมื่อผู้คนทั่วโลกรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านอินเตอร์เน็ตพวกเขาจะเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้ เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจและใช้หลักฐานทางอารมณ์นั้น เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้และคาดคะเนความจริง โดยการใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องเหล่านั้น
มนุษย์และสัตว์ชนิดอื่น ๆ จะเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันแต่ก็มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีพละในตัวเอง จึงมีศรัทธาในตัวเอง โดยมีความเชื่อว่าสามารถพัฒนาตนเองให้ชีวิตดีขึ้นได้ มีความขยันมั่นเพียรในการศึกษา ค้นคว้า ความรู้ในระบบการศึกษาของประเทศและประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต มีสติสัมปชัญญะระะลึกความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกาย และสั่งสมอยู่ในจิตใจ แล้วนำความรู้เหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำงาน รู้จักฝึกสมาธิให้จิตใจแน่วแน่ในการทำงาน เพื่อให้ได้ปัญญาเข้าใจความจริงในเรื่องนั้น ๆ ด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่่อมีหลักฐานเพียงพอก็จะใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ๆ โดยการใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต
ส่วนสัตว์อื่น ๆ ดำรงชีวิตโดยสัญชาตญาณเพื่อความอยู่รอดเพราะมันไม่มีศรัทธาในตนเอง ไม่ขยันหมั่นเพียรในการศึกษา ขาดสติสัมปชัญญะ สมาธิ และปัญญาในการเข้าใจความจริง ดังนั้น พวกมันจึงมีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกายเพียงเล็กน้อยในการเก็บรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ พวกมันจึงขาดปัญญาในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกมัน จึงไม่สามารถคิด โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกมันได้
ปัญหาเรื่อง "จัณฑาล" ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ควรศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม เพื่อนำเสนอปัญหานี้ต่อสังคมมนุษย์ ให้พวกเขามีความรู้ความเข้าใจความจริงของชีวิตมนุษย์ ตามกฎธรรมชาติของชีวิต เพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลทุกระดับในสังคม โดยเฉพาะคนทั่วโลก ที่ชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นในด้านสีผิว รูปร่าง หน้าตา ฐานะทางสังคม และความสามารถต่าง ๆ เป็นต้น
เมื่อปรัชญา พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ของมนุษย์ บ่อเกิดความรู้ของมนุษย์นั้น เกิดจากจิตใจของมนุษย์ใช้อายตนะภายในร่างกาย ในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่่เกิดขึ้นในชีวิตและเก็บเรื่องราวเหล่านั้นเป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ แล้วใช้หลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงในนเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น ตัวอย่างเช่น ข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณได้กล่าวว่า พราหมณ์อารยันสอนว่าพระพรหมสร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์ และสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระพรหมสร้างขึ้นมานั้น ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมานั้น แต่ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ถูกกำหนดโดยปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ รวมตัวกันในครรภ์มารดาเป็นเวลา ๙ เดือน เมื่อทารเกิดมาจะอยู่ในโลกชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้น ชีวิตมนุษย์จะเสื่อมสลายและสูญสลายไป ดังนั้น เมื่อชีวิตมนุษย์ไม่ได้เกิดจากร่างของพระพรหม เมื่อมนุษย์ตายไป ก็ไม่สูญสลายไปตามคำสอนของพราหมณ์ เพราะวิญญาณออกจากร่างไปเกิดในภพชาติอื่นอย่างไม่สิ้นสุด
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ จิตของมนุษย์จะใช้อายตนะภายในร่างกายรับรู้เหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น และสั่งสมเรื่องราวเหล่านั้นเป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ จากนั้นมนุษย์จะใช้หลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้นโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อมนุษย์เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ เนื่องจากข้อจำกัดของการรับรู้ของอายตนะภายในร่างกายและมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นอยู่เสมอ ชีวิตมนุษย์ทุกคนจึงเต็มไปด้วยความมืดมน จึงไม่มีความสามารถคิดโดยใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างสมเหตุสมผล บางครั้งอาจใช้เหตุผลถูกบ้าง อาจใช้เหตุผลผิดบ้าง บางครั้งอาจใช้เหตุผลเป็นอย่างนั้นบ้าง อาจใช้เหตุผลเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่แน่นอนว่า มีความเป็นมาอย่างไร? วิญญูชนยอมไม่ถือว่าข้อเท็จจริงของเรื่องนั้นว่าเป็นความจริง
เมื่อธรรมชาติของมนุษย์เป็นความจริงอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเมื่อเราได้ยินความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เราไม่ควรเชื่อทันทีว่าเป็นความจริง เราควรสงสัยเสียก่อน จนกว่าเราจะได้สืบเสาะหาข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานเมื่อมีหลักฐานเพียงพอ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ใช้หลักฐานทางอารมณ์เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยการใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบของเรื่องนั้นอย่างสมเหตุผล หากผลการวิเคราะห์ข้อมูลให้คำตอบที่ชัดเจน ก็จะเป็นความรู้ของมนุษย์ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตของมนุษย์ในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อนำความรู้ดังกล่าวไปพัฒนาศักยภาพชีวิตและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น เป็นต้น

๒.ประเภทของความจริง
แม้ว่า ปรัชญาจะเป็นความรู้ของมนุษย์ แต่ก็มีมนุษย์เพียงบางคนเท่านั้น ที่เป็นนักตรรกะ และนักปรัชญา พวกเขาสนใจในการศึกษาปัญหาของความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และการมีอยู่จริงของเทพเจ้า เป็นต้น แต่ปัญหาเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ด้วยอายตนะภายในร่างกายและความรู้ที่เกินกว่าขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ในสมัยพุทธกาล เมื่อพราหมณ์บางคนที่เป็นนักตรรกะและนักปรัชญาได้ยินความเห็นเกี่ยวกับเทพเจ้า นักตรรกะและนักปรัชญามักจะแสดงทัศนะตามปฏิภาณของตนเอง และคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักตรรกะและนักปรัชญาในการอธิบายการมีอยู่ของเทพเจ้า พระพรหมเป็นเทพเจ้าสูงสุด เป็นพรหมผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครเทียบได้ เป็นผู้เห็น เป็นผู้มีอำนาจ เป็นผู้อิสระ เป็นผู้สร้าง ผู้ดลบันดาล เป็นผู้เหนือกว่า ผู้บังคับบัญชา ผู้มีอำนาจ เป็นบิดาของสัตว์ที่เกิดแล้วและจะเกิดมา ส่วนพระพรหมผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เหตุใดเราจึงเห็นพระพรหมองค์นี้เกิดที่นี้ก่อน ในขณะพวกเราเกิดมาทีหลัง
เมื่อพราหมณ์ผู้เป็นปุโรหิต (Priesthood)ที่ปรึกษาของกษัตริย์ในด้านกฎหมาย ขนบธรรมเนียม (custom) และจารีตประเพณี(tradition)กล่าวถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ทำงานตามวรรณะที่ตนเกิดมา เมื่อมนุษย์เรียนรู้และค้นคว้าเรื่องราวเหล่านี้จากหนังสือ หรือคัมภีร์ จากครูบาอาจารย์ พวกเขาก็มักจะเชื่อทันทีว่ามันเป็นความจริงโดยปริยาย แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเราไม่ควรเชื่อข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวทันที่เราควรสงสัยเสียก่อน จนกว่าเราจะได้สืบเสาะหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว เราจะใช้เป็นหลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้และคาดคะเนความจริง โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น
ดังนั้น เมื่อนักปรัชญายอมรับความจริงของอภิปรัชญานั้นมีทั้งความรู้ที่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส เช่น ภูเขา แม่น้ำและมนุษย์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีความรู้อีกประเภทหนึ่งที่เกินขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ โดยเฉพาะสภาวะเหนือธรรมชาติของมนุษย์ เช่น วิญญาณของมนุษย์ที่เกิดมาในวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดใหม่ไม่สิ้นสุด โลกแห่งเทวดาหรือขุมนรก แม้แต่คลื่นวิทยุ โทรทัศน์ หรืออินเตอร์เน็ต ที่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยตนเอง ต้องอาศัยเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือเป็นเครื่องมือสื่อสารทางปัญญา ดังนั้นเมื่อเรารับฟังข้อเท็จจริงของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์ตามอภิปรัชญาแล้ว เราจึงสามารถแบ่งความจริงออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๒.๑.ความจริงที่สมมติขึ้น มนุษย์โดยทั่วไปอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น สภาพแวดล้อมเหล่านี้จะปรากฏขึ้น ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วหายไปจากสายตาของมนุษย์ เช่น พายุในทะเลจีนใต้ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้เกิดคลื่นใหญ่ได้ในช่วงระยะสั้น ๆ ก่อนจะสงบลงและหายไปจากสายตาของมนุษย์ เป็นต้น ชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะประสูติและทรงมีพระชนม์ชีพอยู่เป็นเวลา ๘๐ ปี ก่อนที่พระองค์จะปรินิพพานและสูญหายไปจากสายตาของชาวพุทธทั่วโลก เป็นต้น
แต่ก่อนที่สภาวะเหล่านี้จะหายไปจากสายตาของมนุษย์ จิตใจของมนุษย์สามารถใช้อายตนะภายในร่างกาย เพื่อรับรู้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นได้โดยตรง แล้วสั่งสมเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจของตนเองอย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้นมิได้มีหน้าที่รับรู้และเก็บเรื่องราวต่าง ๆ เป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจเท่านั้น แต่ยังมีธรรมชาติเป็นนักคิด เมื่อจิตใจของมนุษย์รับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ย่อมคิดจากสิ่งนั้น แต่เมื่ออาตนะภายในร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้และมักมีอคติเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ทำให้ชีวิตของมนุษย์ตกอยู่ในความมืดมนของชีวิต ทำให้ขาดความสามารถในการใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผลได้
เมื่อมนุษย์บางคนเป็นนักปรัชญา เป็นนักตรรกะมักจะแสดงความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามปฏิภาณของตนตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น มนุษย์บางคนซึ่งเป็นนักตรรกะ เป็นนักปรัชญา จึงอาจให้เหตุผลบางครั้งผิดบ้าง บางครั้งผิดบ้าง อาจเป็นอย่างนั้นบ้าง อาจเป็นอย่างนี้บ้าง ดังนั้นวิญญูชนจึงไม่ยอมรับตำยืนยันความจริงของนักตรรกะ นักปรัชญาว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้นได้
ทั้งนี้ เมื่อลักษณะของมนุษย์นั้นมีอายตนะภายในร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่อยู่ห่างไกล ใต้ท้องทะเลหรือ ในถ้ำบนภูเขา หรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในสมัยก่อนพุทธกาล เมื่อกว่า๒,๕๐๐ปีมาแล้ว มนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ ความกลัว ความรักและความชัง เป็นต้น ทำให้ชีวิตมนุษย์มืดมน จึงไม่มีปัญญาหยั่งรู้ หรือกำหนดรู้จากอำนาจสมาธิ หรือความสามารถหยั่งรู้เป็นพิเศษที่เรียกว่า "ญาณ" เมื่อข้อเท็จจริงของมนุษย์เป็นเช่นนี้ การได้ฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากพยานเพียงคนเดียวย่อมขาดความน่าเชื่อถือเพราะข้อจำกัดของการรับรู้และอคติ เมื่อไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น ความเห็นของพยานคนเดียวก็ไม่มีความน่าเชื่อถือ และไม่สามารถยืนยันด้วยเหตุผล เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้นจริงหรือเท็จได้
ดังนั้นวิธีพิจารณาความจริงที่สมมติขึ้นในพระพุทธศาสนา จึงต้องอาศัยการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ เป็นต้น
๒.๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์โดยหลักทั่วไป ความจริงขั้นปรมัตถ์คือความจริงที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ผ่านอายตนะภายในของมนุษย์ธรรมดาที่ยังไม่ได้พัฒนาศักยภาพของตนเองในชีวิตพวกเขาจึงไม่สามารถรับรัู้ความจริงขั้นปรมัตถ์ได้ด้วยตนเองแม้พวกเขาจะได้รับการศึกษาจากการฟัง การได้ยิน การอ่าน การปฏิบัติในห้องเรียนของโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยแม้จะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงขั้นปรมัตถ์ก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงการศึกษาในเชิงทฤษฎีเท่านั้น เว้นแต่ผู้นั้นจะลงมือปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้นเนื่องจากมนุษย์มีอายตนะภายในร่างกาย มีข้อจำกัดในการรับรู้ในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นระยะไกลและสิ่งอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นและมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่น ทำให้ชีวิตมนุษย์ต้องมืดมิดอยู่เสมอ
ในยุคปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างสรรค์เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้น เพื่อสืบเสาะหาความจริงของสิ่ง ๆ และรวบรวมหลักฐานมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ความจริงของสิ่งต่าง ๆ โดยการใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงถึงการมีอยู่ของวิญญาณ นรก และโลกแห่งสวรรค์ที่เหล่าเทวดาอยู่อย่างมีความสุข อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่านักวิทยาศาสตร์ใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อค้นหาความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์หรือความจริงขั้นปรมัตถ์ และไม่มีหน่วยงานของรัฐใด ประกาศรับรองผลการวิจัยในเรื่องนี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้พบหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณว่า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงศึกษาและค้นคว้าหลักการปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆซึ่งมีวิธีการมากมาย ในที่สุดพระองค์ก็ทรงค้นพบหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ และทรงใช้หลักปฏิบัตินี้พัฒนาศักยภาพของชีวิต จนตรัสรู้ความจริงแห่งกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ทุกคนมีวัฏจักรชีวิตแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนับไม่ถ้วนในสังสารวัฏ เมื่อเกิดใหม่ เป็นมนุษย์ก็จะปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดาเป็นเหมือนกันทุกคนมนุษย์ จึงไม่ได้ถูกสร้างโดยพระพรหมและพระอิศวรตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนความจริงขั้นปริมัตถ์ บุคคลมีปัญญาหยั่งรู้ความจริงนี้ได้ต้องเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าเท่านั้น ที่สามารถบรรลุปัญญาในระดับอภิญญา ๖ ต้องผ่านการพัฒนาศัยภาพของชีวิตตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากพยานนั้น ก็ย่อมไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถยอมรับว่าเป็นความจริงได้ อย่างไรก็ตามพยานหลักฐานทางปรัชญาส่วนใหญ่มักเป็น "พยานบุคคล" (witness) ที่มีอายตนะภายในร่างกายที่มีข้อจำกัดในการรับรู้การมีอยู่ของปรากฏการณ์ธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นและมักมีอคติต่อผู้อื่น มักจะทำในสิ่งไม่ควรโดยมีความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ในการยืนยันความจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้นว่าจริงหรือเท็จก็ได้ ทำให้หลักฐานไม่น่าเชื่อถือเพื่อแก้ปัญหาความไม่น่าเชื่อถือของหลักฐาน นักปรัชญาจึงได้สร้างทฤษฎีความรู้ประจักษ์นิยมโดยมีแนวคิดว่า "บ่อเกิดความรู้ของมนุษย์ต้องรับรู้จากประสาทสัมผัสของมนุษย์และสั่งสมอยู่ในจิตใจเท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นบุคคล ผู้มีความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น"
ดังนั้นการศึกษาปัญหาความจริงเรื่อง"จัณฑาล"ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณนั้น เมื่อเรามีอายตนะภายในร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้ถึงที่มาของจัณฑาลและมักมีอคติเนื่องจากความไม่รู้ จึงจำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น
๓.ข้อเท็จจริงในเรื่องจัณฑาล
เมื่อผู้เขียนได้ตรวจสอบพยานหลักฐานต่าง ๆ เช่น พระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ อรรถกถา และเอกสารวิชาการอื่น ๆ เป็นต้น ผู้เขียนได้ทราบข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า แคว้นสักกะและแคว้นโกลิยะเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันโดยสายเลือดกัน เพราะในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราชทรงได้อภิเษกสมรสสองครั้ง พระองค์ทรงมีพระราชโอรส พระธิดา ๙ พระองค์ซึ่งประสูติกาล จากพระนางกษัตริย์และพระองค์ทรงมีพระราชโอรสองค์ใหม่อีก ๑ องค์ประสูติกาลจากพระมเหสีองค์ใหม่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับอัมพัฏฐมานพว่า เจ้าชายศากยะทั้งหลายเป็นพระโอรสของกษัตริย์ทั้งหลาย เพราะพระเจ้าโอกกากราชเป็นบรรพบุรุษของราชวงศ์ศากยะ ส่วนอัมพัฏฐมานพเป็นข้าราชบริพาร(วรรณะศูทร)ของพระราชวงศ์ศากยะ เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงหลักฐานเอกสารในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณแล้ว ผู้เขียนคาดคะความจริงว่าการประกาศใช้กฎหมายวรรณะจารีตประเพณีครั้งแรกในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ยิ่งใหญ่ที่ปกครองแคว้นโกลิยะ เมื่อแคว้นสักกะประกาศแยกตัวออกจากแคว้นโกลิยะเป็นรัฐอิสระและไม่อยู่ภายใต้การปกครองของแคว้นโกลิยะอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ผู้นำชาวสักกะก็ได้นำกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีจากแคว้นโกลิยะมาประกาศบังคับใช้ให้ประชาชนในแคว้นสักกะต้องปฏิบัติตนตามกฎหมายวรรณะอย่างเคร่งครัดต่อไป เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนศึกษาประวัติของจัณฑาลจากหลักฐานในพระไตรปิฎกของมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ ทีฆนิกายสีลวรรค[อัมพัฏฐสูตร] พระพุทธดำรัสกล่าวว่าอัมพัฏฐมานพ เป็นลูกหญิงรับใช้ข้อ.๒๖๗ ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงพระดำริว่าอัมพัฏฐมานพนี้ ชอบเหยียดหยามพวกศากยะเป็นคนรับใช้ทางที่ดีควรถามถึงตระกูลเธอบ้าง จึงตรัสถามถึงตระกูลดูบ้างจึงตรัสถามว่า "อัมพัฏฐะ เธอมีตระกูล(โคตร)อย่างไร เขาทูลตอบว่า"ท่านโคดม ข้าพเจ้าคือกัณหายนะตระกูล (กัณหา ยนโคตร)"พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "อัมพัฏฐะ เมื่อเธอระลึกถึงตระกูลเก่าแก่ของบิดา มารดาของเธอ(จะรู้ว่า)พวกศากยะเป็นลูกเจ้า แต่เธอเป็นลูกของหญิงรับใช้ของพวกศากยะ ก็ศากยะพาอันอ้างถึงพระเจ้าโอกกากราชว่าเป็นบรรพบุรุษของตน..
จากข้อความซึ่งเป็นบทสนทนาของพระพุทธเจ้ากับอัมพัฏฐมานพในพระไตรปิฎกข้างต้นนั้นผู้เขียนคาดคะเนความจริงจากกฎหมายจรีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะในสักกะนั้นตามหลักเหตุผลนั้น แบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะกล่าวคือวรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เป็นต้น พวกศากยะหมายถึงสมาชิกแห่งพระราชวงศ์ศากยะนั้นเอง ส่วนอัมพัฏฐะนั้นเป็นลูกของหญิงรับใช้ของวรรณะกษัตริแห่งพระราชวงศ์ศากยะซึ่งหมายถึงวรรณะศูทรนั่นอง
มีปัญหาว่า"จัณฑาล"เป็นวรรณะที่ต่ำหรือไม่เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกของมหาจุฬาฯเล่มที่๗ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๗ จุลวรรคภาค๒ [๙.ปาติโมกขัฏฐปนขันธกะ]๓.อิมัสมิงธัมมวินเยอัฏฐัจฉริยะข้อ [๓๘๕] ๔.วรรณะ ๔ เหล่านี้คือกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร....
ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงมาว่ากฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับการแบ่งวรรณะ ระบุอย่างชัดเจนว่าประชาชนในแคว้นสักกะแบ่งออกได้ ๔ วรรณะคือ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เป็นต้น โดยระบุสิทธิ และหน้าที่ตามกฎหมายไว้ดังนี้
๑.ผู้คนในวรรณะพราหมณ์มีหน้าที่ศึกษาและสาธยายมนต์ เพื่อใช้ในพิธีกรรมเพื่อคลายความทุกข์ที่เกิดในชีวิตเท่านั้น
๒.พวกวรรณะกษัตริย์มีหน้าที่ปกครองประชาชน ให้มีความสงบเรียบร้อยด้วยศีลธรรมอันดีของประชาชน และบัญญัติกฎหมายให้ประชาชนปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ของตนเอง เป็นต้น
๓.ส่วนวรรณะแพศย์ มีหน้าที่ทำการเกษตร ค้าขาย และส่งสินค้าไปขายในเมืองต่าง ๆ เป็นต้น
๔.ส่วนวรรณะศูทรนั้นมีหน้ารับใช้คนวรรณะสูงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนพวกไร้วรรณะเรียกว่า"พวกจัณฑาล"นั้น เพราะพวกเขาฝ่าฝืนกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ โดยการแต่งงานข้ามวรรณะ ต้องสูญเสียสิทธิและหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมาและถูกขับไล่ออกจากสังคมไปตลอดชีวิต ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนไปตามพระนครใหญ่เช่นพระนครกบิลพัสดุ์ พระนครเทวทหะ เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะมิได้ระบุว่าจัณฑาลเป็น ๑ ใน ๔ วรรณะ ดังนั้นผู้เขียนพิจารณาเห็นว่าคนจัณฑาลเป็นคนไร้วรรณะ เพราะวรรณะต่ำสุดตามกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะคือศูทร เป็นต้น
๓.๑ปัญหาว่าใครคือจัณฑาลในพระไตรปิฎก
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๒ พระวินัยปิฎกมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่๑๔อังคุตตรนิกายปัญจก- ฉักกนิบาตโฑณสูตร ข้อ.๑๙๒..พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาลอย่างไร? คือพราหมณ์ในโลกนี้เป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดาเป็นผู้มีชาติกำเนิดถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครคัดค้านตำหนิได้ เพราะอ้างถึงชาติตระกูลเขาย่อมแสวงหาดีเจ็ดชั่วโคตรนางพราหมณ์ ที่เขายกให้ด้วยการหลั่งน้ำบ้าง เขาย่อมสมสู่กับพราหมณีบ้างสตรีชั้นกษัตริย์แพศย์บ้าง นายพรานบ้าง ศูทรบ้าง ชั้นจันทาลบ้าง ฯลฯ.....พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาลอย่างนี้แล
ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ ข้างต้น ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงมาว่า แคว้นสักกะ แคว้นโกลิยะและแคว้นอื่น ๆ ในอนุทวีปอินเดีย มีการประกาศบังคับใช้กฎหมายวรรณะกับประชาชนในแคว้นของตน ทำให้กฎหมายฉบับนี้เป็นหลักคำสอนของพราหมณ์ และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ โดยมีสภาพบังคับตามกฎหมายที่ประชาชนในแคว้นหรือประเทศของตนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด มีบทบัญญัติที่สำคัญประการหนึ่งคือ ในกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะคือ ห้ามมิให้ชาวแคว้นสักกะแต่งงานข้ามวรรณะ หากชายหรือหญิงฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายจารีตประเพณีว่า ด้วยวรรณะก็คือด้วยเจตนาร่วมประเวณีกันและอยู่ร่วมกัเป็นสามีภริยา หรือจัดการแต่งงานตามประเพณีพวกเขาต้องเสียสิทธิ และหน้าที่ตามวรรณะที่เกิดมาไปโดยปริยาย ถ้าไม่ยอมรับว่ากระะทำของตนฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายคนในสังคมจะสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อวิเคราะห์หาเหตุผล มาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องที่น่าสงสัยนั้นและคนในสังคมจะตัดสินลงโทษพวกเขาที่กระทำความผิดฐานฝ่าฝืนบทบัญญัติคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะอย่างร้ายแรง ต้องเสียสิทธิและหน้าที่ตามวรรณะเดิมของตนตามกฎหมายวรรณะ และถูกลงโทษด้วยการถูกขับไล่ออกจากถิ่นที่อยู่เดิม
ดังนั้นเมื่อชีวิตทุกคนมีตัณหาราคะอยู่ในจิตใจไม่เว้นแม้แต่วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพทย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น จึงไม่สามารถยับยั้งตนเองที่จะแสดงความสมัครรักใคร่ต่อกันและมีความสัมพันธ์ทางเพศ(สมสู่)กับหญิงต่างวรรณะได้ เพราะมีชีวิตที่อ่อนแอจึงขาดสติสัมปชัญญะ ที่จะนึกถึงหลักคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ มาเป็นหลักในการใช้พิจารณา ก่อนกระทำผิดฐานฝ่าฝืนคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายยจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะว่า จะถูกคนในสังคมตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานมาพิจารณาลงโทษ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากมายในสังคมของแคว้นสักกะ ที่การแต่งงานข้ามวรรณะจะถูกลงพรมทัณฑ์และถูกขับไล่ออกจากสังคมนั้น
ดังนั้นปัญหาที่ว่าจัณฑาลคือใคร? เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ นั้นฟังข้อเท็จจริงว่าวรรณะทั้ง ๔ คือวรรณะพราหมณ์หรือนักบวช วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เมื่อจัณทาลไม่รวมอยู่ในวรรณะตามคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะแล้วผู้เขียนเห็นว่าจัณฑาลนักโทษที่ถูกสังคม ลงโทษฐานะกระทำความผิดต่อหลักคำสอนในศาสนาและกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะอย่างร้ายแรง เพราะการมัวเมาในชีวิตสมสู่กับคนต่างวรรณะ เป็นต้น
๓.๒"พรหมทัณฑ์"บทลงโทษผู้กระทำผิดกฎหมายวรรณะประเพณี
เมื่อผู้เขียนศึกษาคำว่า "พรหมทัณฑ์" จากหลักฐานในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมายของคำว่า "พรหมทัณฑ์"ซึ่งแปลว่า"การลงโทษของพระพรหม" และอีกความหมายหนึ่ง คือการลงโทษอย่างสูงห้ามมิให้ใครพูดด้วยแห่งสงฆ์ เป็นต้น คำว่า "พรหมทัณฑ์" นั้น หลักฐานปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกหลายฉบับด้วยกันกล่าวคือพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่๗, ที่๘, ที่๙, ที่๑๐ เป็นต้น ในพระไตรปิฎกหลายฉบับด้วยกัน มีสาระสำคัญคือ ลงโทษพระภิกษุฉันนะ ดังกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯเล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๗ จุลวรรคภาค๒ ว่าด้วยการลงพรหมทัณฑ์ ข้อ [๔๔๕]ครั้งนั้นท่านพระอานนท์ได้กล่าวกับพระภิกษุเถระทั้งหลายดังนี้ว่า"ท่านผู้เจริญในเวลาจะปรินิพพานพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ว่าภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราล่วงไปสงฆ์จงลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุฉันนะ "พระภิกษุเถระทั้งหลายถามว่า"ท่านพระอานนท์ท่านทูลถามพระผู้มีพระภาค หรือว่าพระพุทธเจ้าข้าพรหมทัณฑ์เป็นอย่างไร ท่านพระอานนท์ตอบว่า"ท่านผู้เจริญ" กระผมทูลถามพระผู้มีพระภาคแล้วว่า"พระพุทธเจ้าข้าพรหมทัณฑ์เป็นอย่างไรพระองค์รับสั่ง "อานนท์ภิกษุฉันนะพึงพูดได้ตามที่ปรารถนาภิกษุทั้งหลายไม่พึ่งว่ากล่าวไม่พึ่งตักเตือน ไม่พึ่งพร่ำสอนภิกษุฉันนะ"ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า "ท่านอานนท์ถ้าอย่างนั้นท่านนั้นแลจงลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุฉันนะ"
ตามหลักฐานในพจนานุกรมราช บัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ได้ให้นิยามคำว่า "พรหมทัณฑ์" มีความหมาย ๒ ประการ คือ
๑.การสาปแช่งแห่งพราหมณ์และ
๒.บทลงโทษต่อพระภิกษุที่สอนได้ยาก คือห้ามมิให้ผู้ใดสนทนาในหมู่สงฆ์ด้วยกัน เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาเรื่อง "พรหมทัณฑ์"จากหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพระภิกษุก่อนจะปรินิพพาน พระองค์จะทรงลงพรหมทัณฑ์หรือลงโทษแก่ภิกษุฉันนะ
ดังนั้น การลง "พรหมทัณฑ์"ตามกฎหมายวรรณะ จึงเป็นการลงโทษในสังคมฆราวาส สำหรับผู้กระทำความผิดร้ายแรงต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ส่วนสังคมสงฆ์นั้น พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้คณะสงฆ์ลงโทษภิกษุที่ประพฤติผิด หรือฝ่าฝืนพระธรรมวินัยด้วยการตักเตือนภิกษุเหล่านั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้นไม่ถูกตักเตือน ก็จะกลายเป็นส่วนเกินในสังคมไปเมื่อสังคมคฤหัสถ์ในแคว้นสักกะ ประชาชนถูกแบ่งแยกตามสิทธิและหน้าที่ของแต่ละวรรณะ วรรณะสูงไม่ยอมคบหาสมาคมกับวรรณะต่ำและจัณฑาลโดยไม่ได้การตักเตือนและสั่งสอนแต่การลงโทษจัณฑาลที่รุนแรงที่สุดของคนในสังคม คือ การไม่อนุญาตให้คนจัณฑาลใช้สาธารณูปโภคร่วมกับคนในวรรณะสูง เช่น บ่อน้ำสาธารณะหรือก๊อกน้ำสาธารณะ และไม่ให้เรียนหนังสือในชั้นเดียวกันกับชนชั้นสูง เมื่อจัณฑาลถูกลงโทษด้วยการลง "พรหมทัณ์"จากคนในสังคม หรือถูกพราหมณ์สาป พวกเขาจึงสร้างสังคมของตัวเองขึ้นมาด้วยการมีลูกหลายคนโดยไม่คุมกำเนิด ทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่คุณภาพของชีวิตต่ำ เพราะไม่ได้รับการศึกษาเพื่อพึ่งพาตนเองได้ พวกเขาต้องอาศัยอยู่สองฟากถนนสาธารณะในเมืองใหญ่ เช่น เมืองกบิลพัสดุ์ด้วย ดังนั้นภาพลักษณ์ของคนจัณฑาลที่อาศัยอยู่สองฟากถนนจึงเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปในสมัยก่อนพุทธกาล จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา แม้แต่ในเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลก ในยุคปัจจุบันเป็นเรื่องปกติ ที่จะเห็นคนไร้บ้านที่ไม่มีงานทำ ต้องอาศัอยู่ข้างถนน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น