Problems with the truth about untouchables in the Tripitaka
บทนำ
โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดที่อาศัยอยู่บนโลกมนุษย์แต่มีลักษณะแตกต่างจากสัตว์ทั่วไปที่มนุษย์มีสติปัญญาในการคิดหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตส่วนสัตว์อื่นมีชีวิตอยู่โดยอาศัยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดมีสติและสมาธิน้อยมาก ในการศึกษาปัญหาเรื่องจัณฑาลในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ ถือเป็นปัญหาอภิปรัชญาที่น่าสนใจและควรที่ศึกษาเป็นอย่างยิ่งเพื่อนำเสนอประเด็นปัญหาต่อสังคมมนุษย์ เพื่อให้สาธารณชนเกิดความรู้ความเข้าใจความจริงของชีวิตมนุษย์เพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลทุกระดับของสังคม แม้แต่ในระดับโลกโดยเฉพาะผู้คนทั่วโลกที่ชอบดูถูกคนสีผิวต่างกัน รูปร่างหน้าตา รูปลักษณ์ที่ปรากฏตัวในสังคมมนุษย์และความสามารถต่าง ๆ เป็นต้น เมื่อปรัชญา พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ของมนุษย์ และใช้ความรู้นั้นเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตประจำวัน ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าตรัสรู้กฎธรรมชาติเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์นั้น กฎธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษย์ตั้งขึ้นจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจมารวมตัวกันในครรภ์มารดาแล้ว กลายเป็นทารกอาศัยอยู่บนโลกชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว ชีวิตก็สลายตัวและกลับคืนสู่ธรรมชาติ ชีวิตมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากร่างกายของพระพรหม เมื่อมนุษย์ตายไป ก็ไม่สูญสลายไปตามคำสอนพราหมณ์แต่อย่างใด เพราะวิญญาณออกจากร่างไปเกิดในภพอื่นในวัฏสงสารอันไม่สิ้นสุด เมื่อมีชีวิตอยู่ จิตใจของมนุษย์อาศัยอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของร่างกาย เพื่อเชื่อมต่อกับเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นและสั่งสมหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจของตน จิตใจจึงวิเคราะห์หลักฐานของเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นโดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาตัดสินความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นต่อไป
แต่ความคิดเห็นของเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมีทั้งเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นความจริงและความเท็จ แต่มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้เพราะข้อจำกัดในการรับรู้ของอวัยวะอินทรีย์ ๖ ของร่างกายของมนุษย์และมนุษย์มักมีอคติของตนเอง อาจแสดงความคิดเห็นหลอกลวงผู้อื่นต่อสังคมได้ พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักปรัชญาตรัสสอนว่า เมื่อเราได้ยินความคิดเห็นในเรื่องที่สืบทอดกันต่อ ๆ มา อย่าเชื่อทันทีว่าเป็นเรื่องจริง จนกว่าเราจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในใจ แล้ววิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาเหตุผลในการพิสูจน์ความจริงของคำตอบว่าจริงหรือเท็จ หากผลการวิเคราะห์ข้อมูลมีคำตอบที่ชัดเจน ก็จะเป็นองค์ความรู้ของความมนุษย์และสามารถติดตามชีวิตมนุษย์ในที่ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อใช้ความรู้นั้นในการพัฒนาศักยภาพของชีวิและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น เป็นต้น
ในการศึกษาปัญหาความจริงเรื่องจัณฑาล ตามหลักอภิปรัชญานั้น เมื่อพราหมณ์อารยันในฐานะปุโรหิต (Priesthood) กล่าวถึงข้อเท็จจริงว่า พระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้กับมนุษย์ทำงานตามวรรณะที่ตนเกิดพระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่าอย่าเชื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นทันที่ ควรสงสัยไว้ก่อน จนกว่าตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานอย่างเพียงพอ มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น แต่ความจริงของอภิปรัชญาก็คือมีทั้งความรู้ที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของตนเอง เช่น ภูเขา แม่น้ำ และมนุษย์ เป็นต้น และความรู้อีกประเภทหนึ่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ โดยเฉพาะสภาวะเหนือธรรมชาติของมนุษย์ เช่นวิญญาณของมนุษย์ที่ไปเกิดในวัฏสงสารไม่รู้จบสิ้น โลกแห่งเทวดาหรือนรก แม้แต่คลื่นวิทยุ โทรทัศน์ หรืออินเตอร์เน็ต มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยตนเองต้องพึ่งพาเทคโนโลยี่ด้านคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือเป็นเครื่องมือสื่อสารทางปัญญา ดังนั้นตามหลักอภิปรัชญา เราสามารถแบ่งความจริงออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑.ความจริงที่สมมติขึ้น โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์อาศัยอยู่ระหว่างสภาพธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นมันคงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและหายไปจากสายตาของมนุษย์ แต่ก่อนที่เงื่อนไขเหล่านี้จะหมดไป จิตใจของมนุษย์จึงอาศัยอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ในสังคมที่เกิดขึ้น และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์เหล่านั้น มาสั่งสมไว้ในจิตใจของตนเอง แต่ธรรมชาติของจิตใจมิได้มีหน้าที่รับรู้และรวบรวมหลักฐานมาสั่งสมไว้ในจิตใจเท่านั้น ยังมีหน้าที่คิดวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นว่าเป็นจริงหรือเท็จ หากไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ความคิดเห็นจากพยานเพียงเดียวขาดความน่าเชื่อถือ ไม่อาจยืนยันเหตุผลอธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบว่าเป็นความจริงได้ เพราะมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์มีข้อจำกัดในการรับรู้ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่อยู่ห่างไกลออกไป ใต้ท้องทะเล หรือตามถ้ำ ภูเขาหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในสมัยก่อนพุทธกาล เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา และมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นด้วยอวิชชา ความกลัว ความรัก และความเกลียดชัง เป็นต้นดังนั้นวิธีพิจารณาความจริง ที่สมมติของพระพุทธศาสนาจำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตบในเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ เป็นต้น
๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์ โดยทั่วไปแล้วความจริงขั้นปรมัตถ์คือความจริง ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์ พวกเขาจึงไม่สามารถรับรัู้ความจริงขั้นปรมัตถ์ได้ด้วยตนเองได้ เพราะมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง๖ในร่างกายของตนเองมีข้อจำกัดในการรับรู้ในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นห่างไกลออกไปตลอดจนถึงเรื่องอื่น ๆ ได้เกิดขึ้น และมนุษย์มักมีอคตต่อผู้อื่นในความจริงเรื่องต่าง ๆ ทำให้ชีวิตมนุษย์ตกอยู่ในความมืดมิดอยู่เสมอ ในยุคปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้สร้างสรรค์เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เพื่อสืบสวนความจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายถึงการมีอยู่ของวิญญาณ นรก และโลกแห่งสวรรค์ที่เหล่าเทวดาอยู่ที่นั้นอย่างมีความสุข แต่ไม่มีหลักฐานว่านักวิทยาศาสตร์ใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อค้นหาความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ หรือความจริงขั้นปรมัตถ์และมีหน่วยงานของรัฐใด ๆ ประกาศรับรองผลการวิจัยในเรื่องนี้แล้ว แต่ผู้เขียนพบหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ ว่าพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงศึกษาและค้นคว้าหลักการปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมีหลายวิธี ในที่สุดพระองค์ทรงค้นพบหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ และพระองค์ทรงใช้หลักปฏิบัตินี้พัฒนาศักยภาพของชีวิต จนกระทั่งพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของกฎธรรมชาติของชีวิต มนุษย์ทุกคนมีวงจรชีวิตเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนับไม่ถ้วนแล้วแล้วเกิดใหม่เป็นมนุษย์ เพราะการปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดาเหมือนกันทุกคน มนุษย์จึงไม่ได้ เกิดจากการสร้างของพระพรหมและพระอิศวรตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน ดังนั้นพระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องความจริงขั้นปริมัตถ์ บุคคลจะหยั่งรู้ความจริงเรื่องนี้ได้จะต้องเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอริยบุคคลเท่านั้นโดยการผ่านการพัฒนาศัยภาพของชีวิตตามอริยมรรคมีองค์ ๘ จนกระทั้งบรรลุถึงความรู้ในระดับอภิญญา ๖ เท่านั้น
ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องใด ๆ หากไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากพยานผู้นั้น มันไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถรับฟังว่าเป็นความจริงได้แต่หลักฐานทางปรัชญาส่วนใหญ่คือ"พยานบุคคล" (witness) มีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง๖สำหรับการรับรู้การมีอยู่ของปรากฏการณ์ธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมต่าง ๆ ในขอบเขตประสาทสัมผัสที่จำกัดและมักมีอคติแอบแฝงอยู่ในใจพยานความคิดเห็นในเรื่องต่างๆนั้นเป็นความจริงหรือความเท็จก็ได้ทำให้หลักฐานไม่น่าเชื่อถือและข้อความดังกล่าวไม่อาจยอมรับได้ว่าเป็นจริงเพื่อแก้ปัญหาความไม่น่าเชื่อของหลักฐาน นักปรัชญาได้สร้างทฤษฎีความรู้ประจักษ์นิยมโดยมีแนวคิดว่า "บ่อเกิดความรู้ของมนุษย์ต้องรับรู้จากประสาทสัมผัสของมนุษย์และสั่งสมอยู่ในจิตใจเท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นผู้มีความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น"
ดังนั้นการศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับจัณฑาลในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ นั้น เมื่อเรามีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ มีข้อจำกัดในการรับรู้เรื่องความเป็นมาของจัณฑาลและมักมีอคติเพราะความไม่รู้ จำเป็นต้องการตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ถ้าหลักฐานเป็นบุคคลก็ต้องมีความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสเท่านั้น จึงจะสามารถให้ข้อเท็จจริงเพื่อยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นๆถ้าผู้อ้างตนเป็นพยานบุคคลไม่มีความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส ถือเป็นพยานที่ไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถรับเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ ถือว่าเป็นพยานเท็จเป็นต้น
๑.ข้อเท็จจริงในเรื่องจัณฑาล
เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานต่าง ๆ เช่นพระไตรปิฎมหาจุฬาฯ เป็นต้น ผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าแคว้นสักกะและแคว้นโกลิยะเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันทางเชื้อสายเพราะในยุคสมัยพระเจ้าโอกกากราชทรงพระอภิเษกสมรสสองครั้ง พระองค์ทรงมีพระราชโอรส และพระธิดาประสูติจากพระนางกษัตริย์จำนวน ๙ พระองค์ และพระองค์ทรงมีพระราชโอรสองค์ใหม่อีก ๑ องค์ประสูติกาลจากพระมเหสีองค์ใหม่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับอัมพัฏฐมานพว่า เจ้าชายศากยะทั้งหลายเป็นพระโอรสของกษัตริย์ทั้งหลาย เพราะพระเจ้าโอกกากราชเป็นบรรพบุรุษของราชวงศ์ศากยะ ส่วนอัมพัฏฐมานพ เป็นข้าราชบริพาร(วรรณะศูทร)ของพระราชวงศ์ศากยะ เป็นต้น เมื่อผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวผู้เขียนตีความว่า การประกาศใช้กฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะเป็นครั้งแรกในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราช ทรงเป็นมหาราชผู้ปกครองแคว้นโกลิยะแล้ว เมื่อแคว้นสักกะ แยกตัวเองเป็นเอกราชไม่อยู่ภายใต้การปกครองแคว้นโกลิยะอีกต่อไปแต่ก็นำกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีจากแคว้นโกลิยะ มาใช้บังคับประชาชนในแคว้นสักกะเป็นต้นเมื่อผู้เขียนศึกษาประวัติของจัณฑาลจากหลักฐานในพระไตรปิฎกของมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ ทีฆนิกายสีลวรรค[อัมพัฏฐสูตร] พระพุทธดำรัสกล่าวว่าอัมพัฏฐมานพ เป็นลูกหญิงรับใช้ข้อ.๒๖๗ ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงพระดำริว่าอัมพัฏฐมานพนี้ ชอบเหยียดหยามพวกศากยะเป็นคนรับใช้ทางที่ดีควรถามถึงตระกูลเธอบ้าง จึงตรัสถามถึงตระกูลดูบ้างจึงตรัสถามว่า "อัมพัฏฐะ เธอมีตระกูล(โคตร)อย่างไร เขาทูลตอบว่า"ท่านโคดม ข้าพเจ้าคือกัณหายนะตระกูล (กัณหา ยนโคตร)"พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "อัมพัฏฐะ เมื่อเธอระลึกถึงตระกูลเก่าแก่ของบิดา มารดาของเธอ(จะรู้ว่า)พวกศากยะเป็นลูกเจ้า แต่เธอเป็นลูกของหญิงรับใช้ของพวกศากยะ ก็ศากยะพาอันอ้างถึงพระเจ้าโอกกากราชว่าเป็นบรรพบุรุษของตน..จากข้อความซึ่งเป็นบทสนทนาของพระพุทธเจ้ากับอัมพัฏฐมานพในพระไตรปิฎกข้างต้นนั้น มีปัญหาว่า"จัณฑาล"เป็นวรรณะที่ต่ำที่สุดหรือไม่เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกของมหาจุฬาฯเล่มที่๗ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๗ จุลวรรคภาค๒ [๙.ปาติโมกขัฏฐปนขันธกะ]๓.อิมัสมิงธัมมวินเยอัฏฐัจฉริยะข้อ [๓๘๕] ๔.วรรณะ ๔ เหล่านี้คือกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร....ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงว่ากฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการแบ่งวรรณะระบุไว้อย่างชัดเจน โดยแบ่งชาวแคว้นโกฬิยะและชาวแคว้นสักกะออกเป็น ๔ วรรณะคือวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เป็นต้น โดยระบุสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายไว้ดังนี้๑.ผู้คนในวรรณะพราหมณ์จะศึกษาและสาธยายมนต์ เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมเพื่อแก้ไขความทุกข์ที่เกิดในชีวิตเท่านั้น ๒.พวกวรรณะกษัตริย์มีหน้าที่ปกครองประชาชน ให้เกิดความสงบเรียบร้อยด้วยศีลธรรมอันดีของประชาชนและออกกฎหมายรองรับความเชื่อในสังคม ๓.ส่วนวรรณะแพศย์มีหน้าที่ทำการเกษตรกรรมค้าขายและส่งสินค้าไปขายตามเมืองต่างๆเป็น ต้น ๔. ส่วนวรรณะศูทรนั้นมีหน้ารับใช้คนวรรณะสูงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนพวกไร้วรรณะ เรียกว่า "พวกจัณฑาล" นั้น เพราะพวกเขาฝ่าฝืนกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ โดยการแต่งงานข้ามวรรณะ ต้องสูญเสียสิทธิและหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมาและถูกขับไล่ออกจากสังคมไปตลอดชีวิต ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนไปตามพระนครใหญ่เช่นพระนครกบิลพัสดุ์ พระนครเทวทหะ เป็นต้น เมื่อกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะมิได้ระบุว่าจัณฑาลเป็น ๑ ใน ๔ วรรณะ ดังนั้นผู้เขียนพิจารณาเห็นว่าคนจัณฑาลเป็นคนไร้วรรณะเพราะวรรณะต่ำสุดตามกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะคือศูทร เป็นต้น
๓.ปัญหาว่าใครคือจัณฑาลในพระไตรปิฎกเมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๒ พระวินัยปิฎกมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่๑๔อังคุตตรนิกายปัญจก- ฉักกนิบาตโฑณสูตร ข้อ.๑๙๒..พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาลอย่างไร? คือพราหมณ์ในโลกนี้เป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดาเป็นผู้มีชาติกำเนิดถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครคัดค้านตำหนิได้ เพราะอ้างถึงชาติตระกูลเขาย่อมแสวงหาดีเจ็ดชั่วโคตรนางพราหมณีที่เขายกให้ด้วยการหลั่งน้ำบ้าง เขาย่อมสมสู่กับพราหมณีบ้างสตรีชั้นกษัตริย์แพศย์บ้าง นายพรานบ้าง ศูทรบ้าง ชั้นจันทาลบ้าง ฯลฯ.....พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาลอย่างนี้แล
ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ข้างต้น ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงว่าแคว้นสักกะ แคว้นโกลิยะและแคว้นอื่น ๆ ในชมพูทวีปได้นำหลักคำสอนของพราหมณ์ เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ และมีบทบัญญัติสำคัญในกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะคือ ห้ามมิให้ชาวแคว้นสักกะแต่งงานข้ามวรรณะกัน หากชายหรือหญิงฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะด้วยเจตนาที่จะรักกันและอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาหรือจัดให้มีการแต่งงานตามประเพณี พวกเขาต้องสละวรรณะของตนโดยปริยาย ถ้าไม่ยอมรับว่ากระะทำของตนฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายคนในสังคมจะสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อวิเคราะห์หาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องที่น่าสงสัยนั้นและคนในสังคมจะตัดสินลงโทษพวกเขาที่กระทำความผิดฐานฝ่าฝืนบทบัญญัติคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะอย่างร้ายแรง ต้องสละวรรณะเดิมของตนตามกฎหมายและถูกลงโทษด้วยการถูกไล่ออกจากถิ่นที่อยู่เดิม
ดังนั้นเมื่อชีวิตทุกคนมีตัณหาราคะอยู่ในจิตใจไม่เว้นแม้แต่วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพทย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น จึงไม่สามารถยับยั้งตนเองที่จะแสดงความสมัครรักใคร่ต่อกันและมีความสัมพันธ์ทางเพศ(สมสู่) กับหญิงต่างวรรณะได้ เพราะมีชีวิตที่อ่อนแอจึงขาดสติสัมปชัญญะ ที่จะนึกถึงหลักคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ มาเป็นหลักในการใช้พิจารณาก่อนกระทำผิดฐานฝ่าฝืนคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายยจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะว่า จะถูกคนในสังคมตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานมาพิจารณาลงโทษ ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากมายในสังคมของแคว้นสักกะ ที่การแต่งงานข้ามวรรณะจะถูกลงพรมทัณฑ์และถูกขับไล่ออกจากสังคมนั้น
ดังนั้นปัญหาที่ว่าจัณฑาลคือใคร? เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ นั้นฟังข้อเท็จจริงว่าวรรณะทั้ง ๔ คือวรรณะพราหมณ์หรือนักบวช วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เมื่อจัณทาลไม่รวมอยู่ในวรรณะตามคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะแล้ว ผู้เขียนเห็นว่าจัณฑาลนักโทษที่ถูกสังคมลงโทษฐานะกระทำความผิดต่อหลักคำสอนในศาสนาและกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะอย่างร้ายแรงเพราะการมัวเมาในชีวิตสมสู่กับคนต่างวรรณะ เป็นต้น
๔."พรหมทัณฑ์"บทลงโทษผู้กระทำผิดกฎหมายวรรณะประเพณีเมื่อผู้เขียนศึกษาคำว่า "พรหมทัณฑ์" จากหลักฐานในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมายของคำว่า "พรหมทัณฑ์" ซึ่งแปลว่า "คำสาปของพราหมณ์" และอีกความหมายหนึ่ง คือ การลงโทษอย่างสูง ห้ามมิให้ใครพูดด้วยแห่งสงฆ์ เป็นต้น คำว่า"พรหมทัณฑ์" นั้น หลักฐานปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกหลายฉบับด้วยกันกล่าวคือพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่๗, ที่๘, ที่๙, ที่๑๐ เป็นต้นในพระไตรปิฎกหลายฉบับด้วยกัน มีสาระสำคัญคือลงโทษพระภิกษุฉันนะดังกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯเล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๗ จุลวรรคภาค๒ ว่าด้วยการลงพรหมทัณฑ์ ข้อ [๔๔๕]ครั้งนั้นท่านพระอานนท์ได้กล่าวกับพระภิกษุเถระทั้งหลายดังนี้ว่า"ท่านผู้เจริญในเวลาจะปรินิพพานพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ว่าภิกษุทั้งหลายเมื่อเราล่วงไปสงฆ์จงลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุฉันนะ "พระภิกษุเถระทั้งหลายถามว่า"ท่านพระอานนท์ท่านทูลถามพระผู้มีพระภาค หรือว่าพระพุทธเจ้าข้าพรหมทัณฑ์เป็นอย่างไร ท่านพระอานนท์ตอบว่า"ท่านผู้เจริญ" กระผมทูลถามพระผู้มีพระภาคแล้วว่า"พระพุทธเจ้าข้าพรหมทัณฑ์เป็นอย่างไรพระองค์รับสั่ง "อานนท์ภิกษุฉันนะพึงพูดได้ตามที่ปรารถนาภิกษุทั้งหลายไม่พึ่งว่ากล่าวไม่พึ่งตักเตือน ไม่พึ่งพร่ำสอนภิกษุฉันนะ"ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า "ท่านอานนท์ ถ้าอย่างนั้นท่านนั้นแลจงลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุฉันนะ"
ตามหลักฐานในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ได้นิยามคำว่า"พรหมทัณฑ์"ให้มีความหมาย ๒ ประการ คือ๑.การสาปแห่งพราหมณ์และ ๒.บทลงโทษต่อพระภิกษุผู้ว่า ยากคือห้ามมิให้ผู้ใดสนทนาในหมู่สงฆ์ด้วยกันเป็นต้น เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาเรื่อง "พรหมทัณฑ์" จากหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ ผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระภิกษุทั้งหลาย ก่อนที่พระองค์จะปรินิพพาน พระองค์ตรัสว่าโปรดลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุฉันนะ การลง"พรหมทัณฑ์"ตามกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีจึงเป็นการลงโทษในสังคมฆราวาส ซึ่งกระทำผิดฐานฝ่าฝืนคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะประเพณีอย่างร้ายแรง ส่วนสังคมในคณะสงฆ์สำหรับพระภิกษุที่สอนยาก ไม่ยอมปฏิบัติตาม พระธรรมวินัยพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้คณะสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แก่พระภิกษุรูปได้ด้วยการไม่ว่ากล่าวตักเตือน เมื่อเขาทำอะไรผิดหรือละเมิดพระธรรมวินัย เมื่อไม่ถูกว่ากล่าวตักเตือนก็กลายเป็นส่วนเกินของสังคมไป เมื่อสังคมคฤหัสถ์ในแคว้นสักกะ ประชาชนถูกแบ่งแยกตามสิทธิและหน้าที่ของแต่ละวรรณะ พวกวรรณะสูงจึงปฏิเสขที่จะคบวรรณะต่ำและจัณฑาลโดยไม่ว่ากล่าวไม่ตักเตือนและอบรมสั่งสอนแต่บทลงโทษของคนในสังคมหนักที่สุดคือ การไม่ยอมให้จัณฑาลใช้สาธารณสมบัติร่วมกับคนในวรรณะสูง เช่น บ่อน้ำหรือก็อกน้ำในที่สาธารณะเรียนหนังสือร่วมชั้นกับชนในวรรณะสูง เมื่อจัณฑาลถูกลงโทษด้วยการลงพรหมทัณ์จากคนในสังคมหรือสาปแช่งจากพราหมณ์ พวกจัณฑาลจึงสร้างสังคมตนเองขึ้นมาด้วยการมีลูกมากด้วยการไม่คุมกำเนิด ทำให้กลายเป็นประชาชนมีคุณภาพของชีวิตต่ำ เพราะไม่ได้รับการศึกษา เพื่อเป็นที่พึ่งของตนเองใช้ชีวิต สองข้างถนนสาธารณะในเมืองใหญ่เช่นเมืองกบิลพัสดุ์ด้วย ดังนั้นภาพของประชาชนที่เราเรียกว่าจัณฑาลนั้นใช้ชีวิตสองข้างถนนจึงเป็นที่พบเห็นเรื่องปกติในสมัยก่อนพุทธกาล จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไปแม้ในเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลกในยุคสมัยปัจจุบันนั้น พบเห็นเห็นคนไร้บ้านเรือนไม่มีงานทำใช้ชีวิตข้างทางจึงเป็นเรื่องปกติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น