The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2568

บทนำ แนวคิดเรื่อง "มนุษย์" ในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ

    Introduction to the concept of Human in the Tripitaka 

บทนำ 

          พระไตรปิฎกเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก  ซึ่งรวบรวมแนวคิดต่าง ๆ  เกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ ความรู้นี้สั่งสมมาจากประสบการณ์ชีวิต    ผ่านอายตนะภายในและเก็บไว้ในพระทัยของพระพุทธเจ้า พระอานนท์ พุทธสาวกของพระพุทธเจ้า ได้ถ่ายทอดความรู้นี้ไว้ในพระไตรปิฎกหลายฉบับ  หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๓ เดือน ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณ  ปรัชญาพราหมณ์เป็นวิชาแรกที่มีการศึกษาความจริงของชีวิตมนุษย์ 

          ในยุครุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์  ผู้คนในอนุทวีปอินเดียมีความเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์  แต่มีเพียงองค์เดียวคือพระพรหมเท่านั้น ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นจากพระวรกายของพระองค์เอง อย่างไรก็ตามความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์นี้  กลายเป็นประเด็นทางการเมืองระหว่างชาวอารยันและชาวมิลักขะ เนื่องจากการบูชายัญทำให้พราหมณ์ทั้งสองนิกายร่ำรวยขึ้น  แต่ละนิกายจึงต้องการคงไว้ ซึ่งผลกำไรมูลค่ามหาศาลจากการบูชาในวัดของตน  ในฐานะที่ปรึกษาของกษัตริย์ในภูมิภาคต่าง ๆ พราหมณ์ปุโรหิตได้เสนอให้บัญญัติกฎหมายวรรณะและจารีตประเพณี เพื่อจำกัดสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของชาวดราวิเดียนในการบูชาเทวดา (Deva) โดยมีกฎหมายห้ามไม่ให้ประชาชนมีเพศสัมพันธ์สมสู่กับบุคคลที่มีวรรณะอื่น  และห้ามไม่ให้ประชาชนปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น   เป็นต้น  

       เมื่อมหาราชาแห่งอาณาจักรโกฬิยะและสักกะทรงประกาศใช้กฎหมายวรรณะ ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี ภายใต้คำแนะนำของปุโรหิต (priesthood) ผู้มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่พระเจ้าโอกากราช มหาราชาแห่งอาณษจักรโกลิยะ พระองค์ทรงประกาศบังคับใช้กฎหมายวรรณะขนบธรรมเนียมและประเพณี โดยทรงอ้างว่าพระพรหมทรงสร้างมนุษย์ให้ถือกำเนิดขึ้นมา พระองค์จึงทรงสร้างวรรณะเพื่อให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา    พระองค์ทรงแบ่งมนุษย์ออกเป็น ๔ วรรณะ และพระองค์ทรงห้ามมิให้มนุษย์มีเพศสัมพันธ์กับบุคคลในวรรณะอื่น และห้ามมิให้ปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น เป็นต้น   

                 อย่างไรก็ตาม ชาวโกลิยะโดยทั่วไป มีชีวิตที่เปราะบางพวกเขาขาดความมั่นใจในการแสวงหาความรู้ซึ่งเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ จึงขาดความเพียรศึกษา และสติในจดจำความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายใน และเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นข้อมูลทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ    พวกเขาจึงขาดจิตใจที่แน่วแน่และหวั่นไหวต่อสถานการณ์ในชีวิต  ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน ไร้ซึ่งความสามารถในการใช้ติปัญญาของตน เมื่อพิจารณาประสบการณ์ที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าการมีเพศสัมพันธ์กับผู้คนต่างวรรณะในฐานะสามีภริยากัน ถือเป็นการละเมิดกฎหมายวรรณะ ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี พวกเขาจะสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงของข้อกล่าวหา  เมื่อพวกเขากระทำผิดจริง จึงถูกพระพรหมลงโทษ โดยให้คนในสังคมลงโทษด้วยการขับไล่ออกจากบ้านเรือนตลอดชีวิต พวกเขาถูกบังคับให้เร่ร่อนไปตามท้องถนนตลอดชีวิต แม้กระทั่งอยู่ในวัยชรา เจ็บป่วย และเสียชีวิตบนท้องถนน  นักโทษเหล่านี้ถูกชาวบ้านในแคว้นสักะว่า "คนจัณฑาล" เป็นต้น 

           เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาเรื่อง "จัณฑาล" ถูกพระพรหมลงโทษ      พระองค์ทรงไม่เชื่อทันที พระองค์ทรงสงสัยไว้ก่อนว่าไม่เป็นความจริง จนกว่าพระองค์จะทรงได้สอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน พระองค์ทรงพบพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ได้ได้แก่พราหมณ์ในฐานะเป็นปุโรหิต (priesthood) ที่ปรึกษาของกษัตริย์และพราหมณ์จากสำนักต่าง ๆ ที่เป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา  เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินข้อเท็จจริงพื้นฐานว่า พระพรหมทรงสร้างมนุษย์และวรรณะต่าง ๆ  ขึ้น    เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา พระองค์ทรงได้ยินคำให้การของพราหมณ์เหล่านั้นว่า พวกเขาได้เห็นพระพรหมและพระอิศวรในอาณาจักรสักกะ มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตรัสถามว่า พระพรหมและพระอิศวรมีประวัติความเป็นมาอย่างไร ?  ปุโรหิตเหล่านั้นก็ไม่สามารถตอบพระองค์ได้ เมื่อพราหมณ์เหล่านั้น      ใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงเกี่ยวกับพระพรหม   และพระอิศวรในลักษณะคลุมเครือและไม่ชัดเจนเช่นนี้ เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยในความมีอยู่ของพระพรหมและอิศวร  พระองค์ทรงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ 

         เมื่อปุโรหิตไม่นำหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ เมื่อนำหลักฐานมาวิเคราะห์จากข้อเท็จจริง      และคำให้การของปุโรหิตแล้วก็เป็นข้ออ้างที่ไร้เหตุผล ปราศจากการอ้างอิงถึงวิธีการปฏิบัติตนจึงจะเข้าถึงการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวรได้เห็นว่า พระพรหมและพระอิศวรไม่มีอยู่จริง    ตามที่พราหมณ์ปุโรหิตกล่าวอ้างแต่อย่างใดเมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์ชีวิตมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นักปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ เดิมนักปรัชญาได้ยินข้อเท็จจริงจากคำสอนของพราหมณ์อารยันว่า พระพรหมสร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระพรหม และสามารถช่วยให้มนุษย์ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ด้วยการบูชาเทพเจ้ากับพราหมณ์อารยันเท่านั้น  

           เมื่อชาวอนุทวีปอินเดียเชื่อการมีอยู่จริงของเทพเจ้า และตกลงที่จะทำพิธีบูชาเทพเจ้าโดยมีพราหมณ์อารยันหรือพราหมณ์ดราวิเดียนเป็นผู้ทำพิธีให้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับการรับรู้ถึงการมีอยู่เทพเจ้าผ่านประสาทสัมผัสของตนเองก็ตาม    แต่พวกเขาก็เชื่อในการมีอยู่เทพเจ้า และตกลงปฏิบัติตามคำสอนของพราหมณ์ด้วยเหตุผลที่อธิบายถึงสภาวะของการมีอยู่ของเทพเจ้า  และอ้างว่าเคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะมาก่อน      การอ้างตนเป็นพยานหลักฐานในฐานะปุโรหิตเป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ในด้านนิติศาสตร์ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี และเป็นผู้ใหญ่ในประเทศตามกฎหมายจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองประเทศที่เรียกว่า "หลักอปริหานิยธรรม" 

             เป็นผู้ให้การยืนยันความจริงของคำตอบในการมีอยู่จริงของพระพรหม ยิ่งเพิ่มความเชื่ออย่างมั่นใจในคำสอนของพราหมณ์และตกลงทำพิธีกรรม  เพื่อขอเทพเจ้าช่วยตัวเองให้ประสบความสำเร็จในชีวิตและการทำงานในการเซ่นสังเวยเทพเจ้ามักจะถวายเครื่องบูชาด้วยสิ่งของล้ำค่าต่าง ๆ  โดยพราหมณ์ที่ประกอบพิธีเรียกร้องจากผู้ถวายเครื่องบูชายัญ  และเครื่องสังเวยเหล่านี้นำความมั่งคั่งมาสู่พราหมณ์ในนิกายต่างๆ และครอบงำผู้คนที่ยึดติดในสิ่งเหล่านี้มาจนถึงปัจจุบันนี้ 

      แนวคิดอภิปรัชญาคือแนวคิดอย่างมีเหตุผลของมนุษย์ที่เรียกว่า "นักปรัชญา" อภิปรัชญาเป็นความรู้จากประสบการณ์ของชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์และเกิดขึ้น  เมื่อชีวิตของนักปรัชญาเชื่อมต่อกับสภาวะ สิ่งของและปรากฏการณ์ต่าง ๆ และรวบรวมหลักฐานเป็นข้อมูลทางอารมณ์ในจิตใจ   เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลทางอารมณ์และเรื่องราวก็ปรากฏขึ้นในใจพวกเขายังไม่ทราบแน่ชัดว่าสาเหตุเกิดจากอะไร  พวกเขาจึงสงสัยและชอบที่จะค้นคว้าหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อวิเคราะห์หาเหตุผลยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น 

          ในสมัยอินเดียโบราณ นักปรัชญาพราหมณ์เริ่มอ้างหลักฐานซึ่งเป็นพยานบุคคลเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้เช่น พวกพราหมณ์สอนว่าพระพรหมและพระอิศวรเป็นเทพเจ้าที่แท้จริง พระองค์สร้างมนุษย์และวรรณะให้สิทธิและหน้าที่แก่มนุษย์ในการทำงานตามวรรณะที่ตนเกิดมา โดยอ้างปุโรหิตเป็นพยานบุคคล เมื่อได้รับคำตอบของปุโรหิตแล้ว ผู้คนก็คลายความสงสัยได้ต่อมานักปรัชญาคนอื่นค้นพบหลักฐานใหม่สำหรับการวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผลยืนยันความจริงของเรื่องนั้นเพื่อหักล้างข้อเท็จจริงดั้งเดิม หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงของเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จได้ ความจริงที่เคยเชื่อในเรื่องนั้นเป็นอันตกไป 

         ดังนั้น เมื่อแนวคิดเรื่องอภิปรัชญาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา นักปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความจริงของโลก มนุษย์ ธรรมชาติ และความมีอยู่ของพระเป็นเจ้าเป็นต้น เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ พบว่าหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าในหลายเรื่อง มีความสอดคล้องต้องกับกระบวนการคิดของนักปรัชญาตะวันตก เช่น ความสงสัยที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าอย่าตกลงใจเชื่อในข้อเท็จจริงเพราะฟังตามกันมา การเชื่อตามจารีตประเพณีต่อเนื่องกันมา การแพร่ข่าวและการคิดหาเหตุผลเอาเองโดยไม่มีหลักฐานยืนยันความจริง การคาดคะเนตามหลักเหตุผล การไตร่ตรองตามแนวเหตุผลเข้าได้กับทฤษฎีที่ตั้งธงคำตอบไว้เป็นแล้วรูปลักษณะของเรื่องราวน่าจะเป็นไปได้เชื่อว่านักบวชนี้เป็นครูของเราเป็นต้น,  

         แต่ผู้เขียนมีความกระตือรือรนที่จะศึกษาความจริงเกี่ยวกับ"แนวคิดเชิงอภิปรัชญาเกี่ยวกับมนุษยชาติในพระไตรปิฎก" นี้   จึงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎก  อรรถกถา  บันทึกของนักบวชชาวจีนและความเห็นของนักปราชญ์ชาวพุทธ วัตถุพยานได้แก่โบราณสถาน  วัดมายาเทวี สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า   วัดมหาโพธิ สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  วัดนิรวารณาและสถูป เป็นสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า  ธัมเมฆสถูปเป็นสถานที่ปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า  ฯลฯ      เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้วจะนำหลักฐานมาวิเคราะห์ข้อมูล     เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบหรือพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้  ความรู้ที่ได้จากบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่อ่าน  เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาศักยภาพชีวิตและมีความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์และให้เหตุผล

          ตามหลักปรัชญา หลักคำสอนในพระพุทธศาสนาและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ที่สำคัญจะเป็นประโยชน์กับพระวิทยากรในการบรรยายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ที่ประเทศอินเดียและเนปาลให้มีเนื้อหาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน สำหรับกระบวนการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ  เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงนั้น ในบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อนิสิตปริญญาเอกด้านพระพุทธศาสนา และปรัชญาในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ มาวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยในระดับปริญญาเอก เพื่อพิสูจน์ความจริงในปัญหาที่วิจัยความจริงของคำตอบจะเป็นความรู้ที่ผ่านกระบวนการพิจารณาที่ถูกต้องและเป็นความรู้ที่มีความสมเหตุสมผล ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อเท็จจริงอีกต่อไป           

 

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ