introduction: The Caste problem in the Tripitaka
โดยทั่วไป ชาวพุทธทั่วโลกมักแสวงบุญไปยังเมืองศักดิ์สิทธิทั้ง ๔ แห่งในสาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เพื่อรำลึกถึงพระมหา กรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า ในการปลดปล่อยดวงวิญญาณของมนุษย์จากวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอันไม่สิ้นสุด นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีพระปัญญาธิคุณอันประเสริฐ โดยทรงสำเร็จการศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาวิชาจากสถาบันวิศวมิตร เมื่อพระองค์ทรงเห็นปัญหาของจัณฑาลที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงจากสังคม พวกเขาจึงถูกสังคมลงโทษตลอดชีวิต และไม่สามารถกลับคืนสู่สังคมได้ภายใต้กฎหมายวรรณะและจารีตประเพณี
เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับความจริงเกี่ยวกับ "ต้นกำเนิด" ของจัณฑาล อันเป็นผลมาจากการละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะและจารีตประเพณีอย่างร้ายแรง พวกเขาจึงถูกพระพรหมลงโทษที่เรียกว่า "พรหมทัณฑ์" เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์ ซึ่งเป็นความรู้ที่ขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ แต่เมื่ออายตนะภายในของพระองค์ ทรงมีข้อจำกัดในการรับรู้เรื่องนี้ และมนุษย์ มักมีความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเนื่องจากความรู้ไม่รู้ของตนเอง ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาจึงขาดปัญญาเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์จึงไม่สามารถใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงเรื่องจัณฑาลนี้ได้อย่างสมเหตุสมผล พระองค์เสด็จออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์และค้นพบหลักปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เมื่อพระองค์ทรงปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ พระองค์ได้บรรลุถึงการตรัสรู้ความจริงขั้นปรมัตถ์เรียกว่า"อภิญญา๖"
เมื่อความรู้ทางโลกที่สถาบันการศึกษาทั่วโลกเสนอในหลักสูตรต่าง ๆ ไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ ให้มีปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ได้ ทำให้ชีวิตผู้คนตกอยู่ในความมืดมน และตกอยู่ภายใต้การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เช่น การเลือกปฏิบัติทางการศึกษา อาชีพ การมีส่วนร่วมการปกครองประเทศ และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เป็นต้น ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระองค์ทรงได้ยกย่องเมืองสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง ในสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล พุทธศาสนิกชนผู้มีความศรัทธาและระลึกถึงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ ได้พัฒนาศักยภาพในชีวิตด้วยการปฏิบัติธรรมตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อบรรลุธรรมสูงสุดหรือบรรลุพุทธภาวะเช่นเดียวกับพระองค์ ในระหว่างการจาริกแสวงบุญ ณ เมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่ง จะมีการเทศนาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา เพื่อให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยได้ฟังและเข้าใจพระพุทธศาสนาได้มากขึ้น
อีกประเด็นหนึ่งที่ชาวพุทธไทยสนใจคือเรื่อง "วรรณะ" ในสาธารณรัฐอินเดีย ชาวพุทธไทยมักตั้งคำถามถึงเรื่องนี้เพราะเราไม่ได้ศึกษาเรื่อง"วรรณะ"อย่างจริงจังในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา แม้ว่าการแบ่งแยกวรรณะ จะมีบทบาทสำคัญในการกำเนิดพุทธศาสนาและการปฏิรูปสังคมในยุคอินเดียโบราณ แต่หลักสูตรของพระพุทธศาสนาในราชอาณาจักรไทย แทบจะไม่ได้กล่าวถึงเรื่อง “วรรณะ” ในตำราเรียนเลย นั่นอาจเป็นเพราะนักปรัชญาชาวพุทธส่วนใหญ่เชื่อว่า "วรรณะ" ไม่เกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของพุทธศาสนาในอนุทวีปอินเดีย ดังนั้น ชาวพุทธไทย จึงสนใจศึกษาพระพุทธศาสนาโดยเน้นการปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อบรรลุธรรมสูงสุดมากกว่าประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
๒.ประวัติศาสตร์วรรณะ
เมื่อเราศึกษาต้นกำเนิดของวรรณะในเอกสารที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คือพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เราจะพบข้อเท็จจริงอันน่าทึ่งว่า สังคมมนุษย์ตลอดหลายยุคสมัยมีลักษณะของความไม่เท่าเทียมกัน รวมถึงความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ อำนาจทางการเมืองและแม้แต่ฐานะทางสังคมในยุคอินเดียโบราณ ระบบวรรณะได้สร้างโครงสร้างทางสังคมที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตของผู้คน พระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุด มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของอนุทวีปอินเดียโบราณ ระบบวรรณะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลายประการรวมถึง เศรษฐกิจ สังคมและศาสนา เป็นต้น
แม้ว่าสาเหตุของวรรณะยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา เนื่องจากทุกคนมีอาตนะภายในที่มีความสามารถในการรับรู้จำกัด และมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวรรณะนั้น บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงได้อย่างถูกต้องหรือบางครั้งอาจใช้เหตุผลอย่างผิด ๆ ก็ได้ บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้ หรืออาจใช้เหตุผลในลักษณะนั้นก็ได้ อย่างไรก็ตาม ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนั้น ผู้เขียนพบหลักฐานว่า กฎหมายวรรณะแบ่งประชาชนในอาณาจักรโกลิยะออกเป็น ๔ วรรณะ กล่าวคือ
๒.๑ วรรณะพราหมณ์เป็นวรรณะสูงสุดประกอบด้วยนักบวชนิกายต่าง ๆ พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบพิธีกรรมทางศาสนาและการศึกษา พวกเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีความรู้และปัญญาสูงสุด
๒.๒วรรณะกษัตริย์ เป็นวรรณะของผู้ปกครองและนักรบ พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องประเทศชาติและดูแลประชาชน มีลักษณะเด่นคือความกล้าหาญและความสามารถในการบริหารประเทศ
๒.๓ วรรณะแพศย์ เป็นวรรณะของพ่อค้าและเษตรกร มีหน้าที่รับผิดชอบในการผลิตและค้าขาย มีลักษณะเด่นคือความขยันหมั่นเพียรและทักษะในการหาเลี้ยงชีพ
๒.๔ วรรณะศูทร เป็นวรรณะของกรรมกร มีหน้าที่รับผิดชอบงานต่าง ๆ เช่นการก่อสร้าง เกษตรกรรม และการบริหาร พวกเขามักถูกมองว่าเป็นวรรณะต่ำสุด นอกจากวรรณะทั้ง ๔ แล้ว ยังมีกลุ่มคนที่ต่ำกว่าวรรณะศูทร เรียกว่า "ดาลิด (Dalit) หรือจัณฑาล กลุ่มนี้ถูกกีดกันทางสังคมแลละถูกมองว่าไม่บริสุทธิ์ ไม่มีสิทธิเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมและศาสนา เป็นต้น
๓.ความสำคัญของวรรณะในอนุทวีปอินเดีย
ในยุคอินเดียโบราณ ระบบวรระมีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตประจำวันของชาวอนุทวีปโดยกำหนดสถานะทางสังคม สิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ของแต่ละบุคคล การแต่งงาน อาชีพ แและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ล้วนถูกจำกัดโดยระบบวรรณะ การแต่งงานข้ามวรรณะต่าง ๆ เป็นไปไม่ได้เพราะทิฐิมานะของชาวอนุทวีปเชื้อสายอารยัน และด้วยเหตุนี้การยกเลิกวรรณะจึงเป็นไปไม่ได้ ระบบวรรณะยังมีบทบาทสำคัญในศาสนาพราหมณ์ โดยพิธีกรรมทางศาสนามักถูกจำกัดเฉพาะวรรณะพราหมณ์เท่านั้น ขณะที่วรรณะอื่น ๆ จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และข้อจำกัดที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม ระบบวรรณะในอินเดียมีความสำคัญน้อยลงมากในปัจจุบันแม้ว่าจะมีการแบ่งแยกทางสังคมอยู่บ้าง แต่สาธารณรัฐอินเดียไม่ได้บัญญัติเรื่อง "วรรณะ" ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่า ระบบวรรณะถูกยกเลิกไปโดยปริยาย รัฐบาลอินเดียได้ตราพระราชบัญญัติเพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ประชาชนทุกคน และป้องกันการเลือกปฏิบัติทางวรรณะ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจได้ลดความสำคัญของระบบวรรณะลง แต่ร่องรอยของวรรณะยังคงปรากฎให้เห็นในสังคมอินเดียในปัจจุบัน
โดยสรุป ระบบวรรณะในอินเดียโบราณเป็นระบบการแบ่งชนชั้นทางสังคมที่ซับซ้อน ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของอนุทวีปอินเดีย แม้ว่าในปัจจุบัน ความสำคัญทางการเมืองของระบบวรรณะจะลดน้อยลง อย่างไรก็ตาม ระบบวรรณะยังคงมีอิทธิพลในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมือง การทำความเข้าใจระบบวรรณะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์พุทธศาสนาและวัฒนธรรมของอินเดียอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น สิ่งนี้ทำให้ชาวอารยันสามารถก่อตั้งชุมชนทางการเมืองของตนเองได้ เช่น รัฐโกลิยะโกลิยะและรัฐสักกะรวมทั้งรัฐอื่น ๆ อีก ๒๐ รัฐ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาในอนุทวีปอินเดียที่เคยเป็นดินแดนของชาวมิลักขะมาก่อน
แม้ว่าชาวอารยันจะมีอำนาจอธิปไตยอย่างเต็มที่ในการปกครองรัฐของตนเอง แต่เมื่อคำสอนของพราหมณ์เกี่ยวกับการบูชาเทพเจ้า (God) และเทวดา (Deva) ส่งผลให้พราหมณ์อารยันและพราหมณ์มิลักขะ มีรายได้มหาศาลจากการบูชาและสวดพระเวท เมื่อพราหมณ์ทั้งสองนิกายมีรายได้มหาศาลจากการบูชา ทำให้เกิดปัญหาทางการเมืองในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วทั้งอนุทวีปอินเดีย เนื่องจากความโลภของพราหมณ์อารยันที่ต้องการผูกขาดการบูชา พวกเขาจึงคิดเพื่อหาวิธีจำกัดสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของพราหมณ์มิลักขะในการบูชา ต่อมาเมื่อพวกพราหมณ์อารยันมีอำนาจทางการเมือง และได้รับแต่งตั้งเป็นปุโรหิตมีหน้าที่ เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำแก่มหาราชาแห่งรัฐสักกะในเรื่องกฎหมาย ประเพณี และขนบธรรมเนียม เป็นต้น เมื่อพวกพราหมณ์เหล่านี้มีอิทธิพลทางการเมืองและเห็นว่า เมื่อพวกพราหมณ์มิลักขะ ยังคงได้รับความศรัทธาจากประชาชน ในอนาคตมหาราชาแห่งแคว้นสักกะ อาจทรงแต่งตั้งพราหมณ์มิลักขะเป็นปุโรหิตแทนพราหมณ์อารยันก็ได้ จะทำให้มหาราชาจะปกครองรัฐสักกะโดยสงบสุขตามหลักศีลธรรมและกฎหมายได้ยาก เพื่อคงไว้ซึ่งความมั่นคงในประเทศและรักษารายได้จากการบูชาเทพเจ้า
พราหมณ์อารยันได้เสนอคำสอนของพราหมณ์อารยันต่อรัฐสภาแห่งชาติสักกะ เพื่อประกาศใช้เป็นทั้งคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะตามจารีตประเพณี เพื่อกำหนดสิทธิ และหน้าที่ของชาวสักกะอย่างชัดเจน ผู้คนจึงถูกแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะ คือ วรรณะพราหมณ์มีหน้าที่บูชาและสวดพระเวท วรรณะกษัตริย์มีหน้าที่ปกครอง วรรณะแพศย์มีหน้าที่ทำการเกษตรและค้าขาย และวรรณะศูทรมีหน้าที่รับใช้วรรณะที่สูงกว่า เป็นต้น เมื่อตรากฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะ ย่อมมีสภาพบังคับให้ประชาชนต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยกำหนดเงื่อนไข ที่ห้ามมีเพศสัมพันธ์กับผู้คนจากวรรณะอื่นและห้ามมิให้ปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น
เมื่อมนุษย์มีความปรารถนา (ตัณหา) มาก พวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ พวกเขาจึงกระทำความผิดอย่างร้ายแรงในการละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ เมื่อพวกเขาถูกสังคมลงโทษ เนื่องจากความเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ เป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมเรื่องราวเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจของมนุษย์ จึงกลายเป็นความเชื่อที่หยั่งรากลึกในจิตใจของผู้คนในอนุทวีปอินเดีย ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าวิญญาณของพวกเขาจะผ่านวัฏจักรแห่งความตายและการเกิดใหม่มาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ความรู้สึกเหล่านั้นไม่เคยหายไปจากจิตใจของพวกเขา ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้ยังมีการบูชาเทพเจ้าเป็นประจำทั่วโลก ในการศึกษาปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับสาเหตุของการแบ่งชนชั้นวรรณะในอนุทวีปอินเดีย แม้ว่าเราจะได้ยินความคิดเห็นเกี่ยวกับวรรณะ ตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์จากการแสดงพระธรรมเทศนาของพระภิกษุสงฆ์เถรวาท และการสอนวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียน และมหาวิทยาลัยในราชอาณาจักรไทย แม้ว่าข้อเท็จจริงในเรื่องวรรณะนี้จะถูกยอมรับโดยปริยายว่าเป็นความจริง
แต่ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อเราได้ยินความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราไม่ควรเชื่อทันที เราควรสงสัยก่อนจนกว่าเราจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ก็จะนำมาใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล หากไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบ การให้การของพยานเพียงคนเดียว ถือว่าไม่น่าเชื่อถือและข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นไม่สามารถยอมรับว่าเป็นความจริงได้ เพราะมนุษย์อคติต่อกันและอายตนะภายในร่างกาย มีข้อจำกัดในการรับรู้ประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมความรู้ในจิตใจของตนเอง เพื่อแก้ปัญหาความไม่น่าถือของหลักฐาน โดยเฉพาะคำให้การของประจักษ์พยาน ญาณวิทยาจึงสร้างทฤษฎีความรู้แบบประสบการณ์นิยมขึ้น เพื่อแก้ปัญหาการได้ยินข้อเท็จจริงว่า ผู้ที่ให้การต้องมีความรู้จากประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมไว้ในจิตใจเท่านั้น
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณและพระไตรปิฎกฉบับหลวงได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในรัชสมัยของพระเจ้าโอกกากราชแห่งอาณาจักรโกลิยะ (Koliya Kingdom) ชาวโกลิยะ (Koliya people) มีความเชื่อในคำสอนของพราหมณ์อารยันเกี่ยวกับความมีอยู่ของพระพรหม พระอิศวร พระอินทร์ เป็นต้น ชาวโกลิยะเชื้อสายมิลักขะบูชาเทวดาเป็นประจำทุกปี ชาวโกลิยะเชื้อสายอารยัน จะประกอบพิธีบูชาเทพเจ้าด้วยของมีค่าต่าง ๆ เมื่อพิธีบูชาเสร็จสิ้นเครื่องบูชาจะตกเป็นของพราหมณ์ ผู้ประกอบพิธีโดยปริยาย
เมื่อการบูชายัญจึงนำมาซึ่งความมั่งคั่งให้กับทั้งพราหมณ์อารยันและมิลักขะ เมื่อสถานการณ์ทางสังคมเป็นเช่นนี้ พราหมณ์อารยันก็ต้องการผูกขาดศรัทธาของประชาชน และผลประโยชน์จากการบูชาเทพเจ้า พราหมณ์บางคนจากนิกายต่าง ๆ ซึ่งเป็นนักตรรกะและนักปรัชญา จึงแสดงธรรมะตามปฏิภาณของตนเอง ในการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของตนเองอธิบายคุณค่าของเทพเจ้าตามหลักเหตุผลและการคาดคะเนความจริงว่า พระพรหมและพระอิศวรมีอำนาจเหนือกว่าเทพเจ้าอื่น ๆ เพื่อเรียกร้องค่าบูชาด้วยด้วยของมีค่าต่าง ๆ เป็นต้น เมื่อการเมืองเป็นเรื่องของนักการเมืองที่แสวงหาผลประโยชน์จากนโยบายทางการเมือง ทำให้การบูชาเทพเจ้าจึงกลายเป็นประเด็นทางการเมืองระหว่างชาวอารยันกับชาวมิลักขะ เมื่อมหาราชของแคว้นใดทรงมีความศรัทธาในเทพเจ้า หากพราหมณ์อารยันหรือพราหมณ์ดราวิเดียนประกอบพิธีกรรมบูชายัญเทพเจ้าองค์นั้น มหาราชาทรงประสบความสำเร็จในการปกครองประเทศ พระองค์จะทรงแต่งตั้งพราหมณ์ให้เป็นปุโรหิต (priesthood) ซึ่งมีหน้าที่จะให้คำปรึกษาแก่มหาราชเกี่ยวกับกฏหมาย ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อพวกพราหมณ์อารยันหยิบยกกรณีของพราหมณ์มิลักขึ้นมาศึกษา และร่วมกันพิจารณาว่า หากยังเปิดโอกาสให้พราหมณ์ดราวิเดียนประกอบพิธีบูชาเทวดา (Deva) แก่มหาราชาแห่งแคว้นของตน แล้วพระองค์ทรงปกครองประเทศสำเร็จ พระองค์ก็จะทรงแต่งตั้งพราหมณ์ดราวิเดียน เป็นปุโรหิตก็จะส่งผลกระทบต่อนโยบายทางการเมืองของรัฐนั้น เพื่อผูกขาดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการบูชาเทพเจ้า ความมั่นคงของชาติ และป้องกันไม่ให้พวกดราวิเดียน กลับมามีอิทธิพลทางการเมืองในแคว้นสักกะอีกครั้ง หากชาวอารยันปล่อยให้สถานการณ์ทางการเมืองของแคว้นสักกะดำเนินต่อไป ตามกฎธรรมชาติ จึงเป็นเรื่องยากที่ชาวอารยันจะใช้อำนาจอธิปไตยปกครองประเทศ ให้เจริญรุ่งเรืองตามหลักศาสนาพราหมณ์และกฎหมายได้โดยชาวอารยันเพียงกลุ่มเดียวได้ยาก พวกปุโรหิตจึงเสนอให้บัญญัติกฎหมายจารีตประเพณี และขนบธรรมว่าด้วยวรรณะ เพื่อแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายวรรณะกำหนดไว้ หากประชาชนฝ่าฝืนคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะให้สิทธิในการลงโทษผู้คนในสังคมด้วยการเนรเทศตลอดชีวิต ผู้คนหวาดกลัวจนต้องใช่ชีวิตเร่ร่อนบนท้องถนนในพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนได้ยินเรื่อง "วรรณะ" ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล จนถึงปัจจุบันว่า อาณาจักรโกลิยะและสักกะได้ประกาศใช้กฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะ โดยแบ่งประชาชนในอาณาจักรออกเป็น ๔ วรรณะคือ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เป็นต้น แม้ว่าผู้เขียนจะยอมรับความจริงนี้โดยปริยายก็ แต่เมื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานทางอารมณ์ในใจแล้ว โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบเรื่อง "วรรณะ" แต่การใช้เหตุผลของผู้เขียนเพื่ออธิบายความจริง ก็ยังคงมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะยืนยันต้นกำเนิดของวรรณะในอาณาจักรสักกะและอาณาจักรโกลิยะได้ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังข้อเท็จจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หรือ สิ่งที่ปฏิบัติกันมาตามขนบธรรมเนียม ประเพณีที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยข่าวลือด้วยอ้างอิงตำราหรือคัมภีร์ ด้วยการใช้เหตุผล (คิดเอาเอง) อย่าได้เชื่อทันที เราควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน จนกว่าจะได้สืบเสาะหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน วิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผล พิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงเรื่อง "วรรณะ" ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ยังมีข้อสงสัยและผู้เขียนชอบศึกษาในเรื่องนี้เพิ่มเติม ผู้เขียนจึงสืบเสาะหาข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแบ่งชนชั้นในแคว้นต่าง ๆ ในพระไตรปิฎก อรรถกถา และข่าวสารเกี่ยวกับวรรณะตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ไว้ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ผู้เขียนจึงวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริงของคำตอบเกี่ยวกับสาเหตุของการแบ่งวรรณะในอนุทวีปอินเดีย โดยเขียนคำอธิบายในรูปแบบบทความวิเคราะห์ บทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่พระธรรมทูตสายต่างประเทศในอินเดีย และเนปาลใช้บรรยายประวัติพระพุทธศาสนา แก่ผู้แสวงบุญชาวไทยในเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งในสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล วิธีการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า จะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาปริญญาเอกด้านปรัชญา พุทธศาสนา และนิติศาสตร์เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยในระดับปริญญาเอก เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ และความจริงที่ผ่านเกณฑ์ตัดสินความรู้ที่แท้จริงอย่างสมเหตุสมผลโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับความจริงของคำตอบในปัญหานั้น
3 ความคิดเห็น:
ทุกคนล้วนมีความชอบที่แตกต่างกัน
แต่ปลายทางเหมือนกัน...ครับ
🥰😇
ดีมากครับ.🥰😇
แสดงความคิดเห็น