The Knowledge Components of Being Philosophers in the Tripitaka
๑.บทนำ องค์ประกอบของนักปรัชญาในพระไตรปิฎก
โดยทั่วไป ผู้คนทั่วโลกเคยได้ยินเรื่อง "นักปรัชญา" หรือ "นักปราชญ์" ตั้งแต่สมัยเป็นนิสิตมหาวิทยาลัย เพราะเป็นวิชาพื้นฐานที่นิสิตชั้นปีหนึ่งต้องศึกษา หรือจากการศึกษาปรัชญาตะวันออกและตะวันตกด้วยตนเอง นักปรัชญาตะวันตกที่พวกเขารู้จัก ได้แก่ เพลโต อริสโตเติล และเรอเน เดส์การ์ต เป็นต้น ส่วนนักปรัชญาตะวันออกตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ ก็มีอยู่หลายคน เช่น เจ้าชายสิทธัตถะ ครูปุรณะ กัสสปะ ครูมักขลิโคศาล ครูอชิตะ เกสกัมพล ครูปกุธ กัจจายนะ เป็นต้น เมื่อได้ยินชื่อนักปรัชญาเหล่านี้ นิสิตก็ยอมรับโดยปริยายว่านักปรัชญาเหล่านี้มีอยู่จริง
อย่างไรก็ตาม เมื่อมนุษย์บางคนในโลกเท่านั้นสามารถเป็นนักปรัชญาได้ ผู้เขียนก็สงสัยว่านักปรัชญาเหล่านี้มีคุณสมบัติของการเป็นนักปรัชญา หรือองค์ประกอบของการเป็นนักปรัชญาที่แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาได้อย่างไร และตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อเราได้ฟังข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สืบทอดกันมา ตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เราไม่ควรเชื่อทันทีว่า เป็นความจริง เราควรสงสัยจนกว่าเราจะได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว เราก็จะใช้หลักฐานนั้น เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น คำตอบที่ได้จากการวิเคราะห์นั้น จะเป็นความรู้ที่ชัดเจนและมีเหตุผล ซึ่งถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น
๒.ญาณวิทยาเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา นักปรัชญา นักตรรกะมีความสนใจศึกษาในปัญหาของต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ องค์ประกอบของความรู้ของมนุษย์ วิธีการที่นักปรัชญาพิจารณาความจริง และความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์ เป็นต้น
เมื่อศึกษาต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์นั้น เดิมนักปรัชญาพราหมณ์และนักตรรกะศาสตร์ในสมัยพุทธกาลนั้น เชื่อว่าพระพรหมและพระอิศวรนั้น เป็นผู้สร้างมนุษย์และสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่เทพเจ้าสร้างขึ้นมานั้น ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา แต่เมื่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์ เป็นทั้งคำสอนของศาสนา และกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะย่อมมีสภาพบังคับตามกฎหมายให้ประชาชนในแคว้นสักกะ ต้องปฏิบัติตาม คือ ห้ามประชาชนแต่งงานข้ามวรรณะและปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น หากใครฝ่าฝืนจะถูกพระพรหมลงโทษเรียกว่า "ลงพรหมทัณฑ์" ด้วยการให้คนในสังคมนั้นไล่พวกเขาออกจากบ้านไปตลอดชีวิต นักโทษทางสังคมเหล่านี้ถูกเรียกว่า "จัณฑาล"
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาที่ร้ายแรงเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของจัณฑาล พระองค์ก็ทรงเปี่ยมไปด้วยความเมตตาและปรารถนาที่จะช่วยให้มนุษย์ทุกคนมีความสุข ได้รับการปลดปล่อยจากความมืดมิดแห่งชีวิต แต่พระองค์ทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีอายตนะภายในร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าเหล่านั้น พระองค์จึงทรงสงสัยเกี่ยวกับความเป็นมาของเทพเจ้าหล่านั้น จึงทรงสืบเสาะหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว พระองค์ทรงใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล
ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ พระพุทธเจ้าทรงสอนความจริงของเรื่องนี้ว่า พราหมณ์บางคนเป็นนักตรรกะและนักปรัชญาหรือศาสดา เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคมเช่น การมีอยู่ของเหล่าเทพ พราหมณ์เหล่านั้น ก็มักจะแสดงความเห็นของตนเองเรื่องการมีอยู่ของเหล่าเทพ ตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริง นักตรรกะ นักปรัชญาและศาสดา อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงของเรื่องการมีอยู่ของเหล่าเทพ บางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ถูกต้องบ้าง ก็ย่อมมีการใช้เหตุผลความจริงที่ผิดไปบ้าง บางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงเป็นอย่างนั้นบ้าง บางครั้งก็ใช้เหตุผลเป็นอย่างนี้บ้าง เป็นต้น ในพรหมจรรย์ (หมายถึงศึกษาปรมัตถ์, การศึกษาพระเวท) ของศาสดานั้น
เมื่อวิญญูชนรู้ดังนี้ว่าลัทธินี้เป็นการประพฤติพรหมจรรย์ไม่น่าไว้วางใจย่อมเบื่อหน่ายหลีกไปจากพรหมจรรย์นั้น เมื่อพรหมจรรย์ที่ไม่น่าไว้วางใจที่วิญญูชนไม่พึงประพฤติเลย ถึงเมื่อก็ทำกุศลธรรมที่ถูกต้องให้สำเร็จไม่ได้ เป็นต้น
ตามข้อเท็จจริงตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เราสามารถจำแนกองค์ประกอบของนักปรัชญาในสมัยพุทธกาลได้ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจได้ ดังนี้คือ
๑.ผู้ใด
๒.ได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
๓.แสดงความคิดเห็นของตนในเรื่องนั้น
๔.โดยใช้เหตุผล
๕.ผลจากการแสดงความเห็นของตนเองต่อผู้อื่น
ตามองค์ประกอบความรู้ดังกล่าวนั้น ผู้เขียนสามารถอธิบายความจริงนักปรัชญาได้ดังต่อไปนี้
๑.ผู้ใด หมายถึง มนุษย์ทุกคนที่มีองค์ประกอบชีวิตเกิดจากปัจจัยร่างกายและจิตใจ มีวิญญาณที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา แล้วเจริญเติบโตเป็นเวลา ๙ เดือน คลอดออกมาแล้วมีชีวิตรอดอยู่ ก็จะมีสภาพบุคคลตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย มีลมหายใจแล้วย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นต้น เมื่อที่มาของความรู้ของมนุษย์ เกิดขึ้นเมื่อจิตใจของมนุษย์ใช้อาตนะภายในร่างกายของตนเองในการรับรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว จิตก็จะเก็บเรื่องราวเหล่านั้น เป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจของตนแล้วใช้หลักฐานเหล่านั้น เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นที่นักปรัชญาตั้งขึ้น แต่คำตอบนั้นไม่มีความสมเหตุสมผลเพราะนักปรัชญา นักตรรกะ เป็นมนุษย์มีทีมีอายตนะภายในร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้และมีอคติต่อผู้อื่น ชีวิตจึงเต็มไปด้วยมืดมน ขาดปัญญาหยั่งรู้ความจริงของชีวิตหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นต้น
๒. เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว กล่าวคือ เมื่อนักตรรกะหรือนักปรัชญาได้ยิน (รับรู้) ข้อเท็จจริงเรื่องมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเรื่องอื่น ๆ เป็นต้น ผ่านอายตนะภายในร่างกายของตนเองแล้ว พวกเขาก็จะเก็บเรื่องราวเหล่านั้นเป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ แต่ธรรมชาติของมนุษย์ไม่เพียงรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ และเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ในจิตใจเท่านั้น ยังมีธรรมชาติของการเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อรับรู้สิ่งใด พวกเขาก็จะคิดจากสิ่งนั้น โดยจิตใจของพวกเขาจะคิดจากหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ
๓. แสดงทัศนะของตนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เมื่อนักปรัชญา นักตรรกะ ได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สืบทอดกัน มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คำสอนของครูบาอาจารย์ของตนเอง ตำราเรียนหรือคัมภีร์ทางศาสนา ก็แสดงทัศนะเรื่องนั้นตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผล และคาดคะเนความจริงในเรื่องนั้น ตัวอย่างเช่นพราหมณ์อารยันสอนว่าพระพรหมสร้างมนุษย์จากร่างกายของพระองค์เอง และสร้างวรรณะให้ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเองเกิดมา และพวกเขาสื่อสารกับเทพเจ้าผ่านพิธีกรรมการบูชายัญ เป็นต้น
๔. ด้วยวิธีการใช้เหตุผล เมื่อธรรมชาติของมนุษย์มีจิตเป็นผู้คิด มนุษย์ย่อมคิดจากสิ่งที่ได้ยินมานั้นแล้ว และใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญานั้น ในการอธิบายในสิ่งที่ตนคิดที่มีอยู่ในจิตใจนั้น ออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยการอธิบาย เขียนเป็นตำรา คัมภีร์ทางศาสนา
๕. ผลการแสดงทัศนะของตนเองต่อผู้อื่น ด้วยการใช้เหตุผลนั้น พระพุทธเจ้าสอนว่านักตรรกะหรือนักปรัชญา แสดงทัศนะหรือความคิดเห็นจากสิ่งที่ได้ยินมานั้น หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมานั้น บางครั้งอาจใช้เหตุผลถูกบ้าง ผิดบ้าง เป็นอย่างนั้นบ้าง เป็นอย่างนี้บ้าง เมื่อเหตุผลของคำตอบยังไม่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร? วิญญูชนได้ยินข้อเท็จจริงของคำตอบนั้น ย่อมไม่เชื่อว่าเป็นความจริง เป็นต้น
เช่น คนเอามีดไล่แทงตัวเราเองโดยไม่รู้จักกันมาก่อน ดังนั้น เราจึงไม่รู้แรงจูงใจในการกระทำความผิดของบุคคลนั้น เพราะมันเป็นอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน และเรามีการรับรู้ที่จำกัด เป็นต้น เราเห็นโจรลักทรัพย์สินต่อหน้าเราโดยตรง แต่ไม่รู้เหตุจูงใจในการขโมย เพราะเอาไปขายเพื่อซื้อยามาเสพหรือตกงานและไม่มีรายได้ที่จะเลี้ยงดูครอบครัว ทั้งนี้เป็นเพราะเรามีการรับรู้ที่จำกัด เป็นต้น ในสมัยอินเดียโบราณศาสนาพราหมณ์เจริญรุ่งเรือง คำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี และมนุษย์สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าได้โดยการบูชายัญเท่านั้น
แม้ว่าเราจะเห็นการบูชายัญต่อหน้าเราโดยตรง แต่เราก็ไม่สามารถรู้แรงจูงในในการบูชายัญหรือเจ้าชายสิทธัตถะทรงผนวชเพราะนิมิต ๔ ประการ แต่เราไม่รู้แรงจูงใจในการแสวงหาสัจธรรมซึ่งเป็นความจริงเกี่ยวกับอะไรเนื่องจากเรามีการรับรู้ที่จำกัด เป็นต้น นอกจากนี้ มนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นเกิดจากความไม่รู้ของตนเองว่าชีวิตของมนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ เว้นแต่บุคคลนั้นจะปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น แล้วจึงจะรู้ว่าจิตอาศัยอยู่ในบุคคลใด เมื่อคิดจะทำกรรม ลงมือกระทำกรรม จิตก็น้อมรับพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นอารมณ์อยู่ในจิตของตน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น