2. Types of truths about the Maurya kingdom in the Mahachulalongkorn Tripitaka
๑.บทนำ
โดยทั่วไปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ ด้วยอายตนะภายในร่างกาย ที่เรียกว่า "ความจริงที่สมมติขึ้น" และความจริงของสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยอายตนะภายในร่างกายที่เรียกว่า "ความจริงขั้นปรมัตถ์" กล่าวอีกนัยหนึ่ง มนุษย์โดยทั่วไปมักจะคิดว่าสิ่งที่มนุษย์รับรู้ได้ด้วยอายตนะภายในร่างกายเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เช่น มนุษย์ซึ่งมีอยู่จริง เมื่อทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย ซึ่งเป็นธรรมชาติของชีวิตที่ทุกคนรู้กันมาช้านาน แม้ว่ามนุษย์บางคนเป็นนักปรัชญา จะสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับความจริงขึ้นมา โดยการคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผลที่ว่ามนุษย์เกิดมาก็ต้องตาย เมื่อตายก็สิ้นสูญ ไม่เหลืออะไรเลย อย่างไรก็ตาม แต่เมื่อมนุษย์ต้องทนทุกข์อย่างไม่สิ้นสุด ก็ต้องเข้าหาผู้อาวุโสในบ้านเมืองซึ่งเป็นที่พึ่งของตนในขณะนั้น เมื่อการใช้เหตุผลแก้ไขปัญหาชีวิตได้ไม่นาน เพราะมนุษย์มีความทุกข์เกิดขึ้นตลอดเวลา พวกเขาจึงสร้างเทพเจ้าขึ้นมาเพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์ โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าอันเป็นที่พึ่งเหล่านั้น ผู้คนสามารถเข้าถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าเหล่านั้นก็โดยด้วยการบูชายัญเท่านั้น เมื่อการบูชาเทพเจ้าเป็นเรื่องปกติในสังคมก็กลายเป็นแหล่งแห่งประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของพราหมณ์อารยันและพราหมณ์มิลักขะ พวกเขาก็หาวิธีปกป้องผลประโยชน์ของตนไว้
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น ทำให้ชาวอนุทวีปอินเดียรู้ว่ามนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้น มาจากร่างของพระพรหมตามคำสอนของพราหมณ์อารยันแต่อย่างใด แต่เกิดจากการปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดาแล้วเกิดปัจจัยทางกายและจิตใจ รวมตัวกันเป็นทารกจนอายุได้ ๙ เดือนก็คลอดออกมามีชีวิตรอดอยู่ ดำรงชีวิตอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วดับสูญไป อายตนะภายในร่างกายของมนุษย์ สามารถรับรู้ความจริงในระดับประสาทสัมผัสเท่านั้นหรือความจริงที่สมมติขึ้น ส่วนความจริงเหนือประสาทสัมผัสของมนุษย์นั้น มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้เว้นแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ เพราะพระอริยบุคคลเหล่านี้ได้ผ่านการพัฒนาศักยภาพของชีวิตแล้ว ตามหลักปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้ว ดังนั้นความจริงทางอภิปรัชญา ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น แบ่งออกได้ ๒ ประเภท คือ

๑.ความจริงที่สมมติขึ้น
๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์ เป็นต้น
๑.ความจริงที่สมมติขึ้น
โดยทั่วไป สิ่งที่มนุษย์รับรู้ได้มีลักษณะปรากฏขึ้น อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็เสื่อมสลายไป แต่ก่อนสิ่งเหล่านี้จะดับไป เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งเหล่านี้ และเก็บเรื่องราวของสิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ พวกเขาจะสมมติชื่อให้กับสิ่งเหล่านั้น โดยไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงของสิ่งนั้น ๆ เสมอไป ทั้งนี้เป็นเพราะมนุษย์มีอายตนะภายในร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้ของจิตใจและมีคำลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความมืดมน จิตใจของพวกเขาจึงขาดปัญญาหยั่งรู้ความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ จึงไม่สามารถคิดโดยการวิเคราะห์ในการอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ หรือคาดคะเนความจริงได้ในการใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงอย่างสมเหตุสมผลได้ เช่น
กรณีเรือเดินทะเลขนาดใหญ่และเครื่องบินโดยสารหลายลำได้สูญหายในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น โดยไม่ทราบสาเหตุที่เกิดขึ้น เมื่อได้ยินเรื่องราวของเหตุการณ์เหล่านี้ มนุษย์บางคนที่เป็นนักตรรกะ เป็นนักปรัชญามักจะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยทฤษฎีต่างๆ มากมายตั้งแต่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไปจนถึงปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ แต่ทัศนะในการอธิบายความจริงของคำตอบนั้น เกิดจากปฏิภาณตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงทั้งนั้น นักตรรกะ นักปรัชญา จึงมีการใช้เหตุผลอาจถูกบ้าง อาจผิดบ้าง เป็นอย่างนั้นบ้าง เป็นอย่างนี้บ้าง คำตอบที่ได้รับมาจึงไม่แน่ชัด ส่วนนักวิทยาศาสตร์แม้จะมีความสงสัยในปัญหาที่เกิดขึ้น ใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวมรวบหลักฐานต่าง ๆ ได้เพียงบางส่วนของเหตุการณ์เท่านั้นไม่สามารถรวบรวมได้ทั้งหมด เพื่อเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุที่เรือเดินทะเล และเครื่องบินหายไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น
ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่าการหายไปของเรือเดินสมุทรและเครื่องบินในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น อาจเกิดได้หลายปัจจัย เช่น สภาพอากาศที่เลวร้าย กระแสน้ำในมหาสมุทรไหลไปอย่างรุนแรงไปตามชายฝั่งทะเลตรงสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ทำให้เกิดสภาวะน้ำทะเลหมุนอย่างรุนแรงตามแรงเหวี่ยงของโลกที่หมุนรอบตัวเอง บริเวณตรงกลางน้ำหมุนในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น ทำให้เกิดสภาวะสูญญากาศ เมื่อเรือเดินสมุทรหรือเครื่องบินผ่านไปในบริเวณนั้น จึงถูกแรงดึงดูดนั้น ดูดเครื่องบินหรือเรือเดินสมุทธเข้าไปในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า โดยผู้เขียนเทียบเคียงด้วยการคาดคะเนความจริงจากแรงการหมุนของท่อรถไต่ถังเคลือนไหวไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้สภาวะสูญญากาศเกิดขึ้นภายในท่อของรถไต่ถังนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้คนสามารถจึงยืนหรือเดินไปตามท่อของรถไต่ถัง และขับรถไปตามท่อของรถไต่ถังได้จนกว่ารถจะหยุดหมุน เป็นต้น แต่การสรุปสาเหตุที่แน่ชัดนั้นเป็นเรื่องยากเพราะข้อมูลที่เรามีอาจไม่เพียงพอ และความเข้าใจของเราก็อาจมีข้อจำกัด เป็นต้น
ในเรื่องนี้นักปรัชญา, นักตรรกะ นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาสามารถแสดงความคิดเห็นของตนได้ ตามปฏิภาณตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงในเรื่องนี้เท่านั้น แต่ความคิดเห็นเหล่านั้นก็เป็นเพียงความคิดเห็นเมื่อนักตรรกะ, นักปรัชญามักใช้เหตุผลผิดบ้าง การใช้เหตุผลถูกบ้าง การใช้เหตุผลเป็นอย่างนี้ การใช้เหตุผลมันเป็นอย่างนั้น ทำให้ความเห็นทางปรัชญาไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถยอมรับได้ว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงเสมอไป
เมื่อมนุษย์บางคนเป็นนักตรกะและนักปรัชญามีข้อจำกัดของอายตนะภายในร่างกายในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตและมีความอำเอียงต่อผู้อื่น ชีวิตของนักตรรกะ นักปรัชญาจึงตกอยู่ในความมืดมน จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาความจริง ที่แท้จริงได้อย่างสมบูรณ์ เราอาจเข้าเข้าใจความจริงได้เพียงบางส่วน และความเข้าใจก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลาและข้อมูลใหม่ ๆ การยอมรับข้อจำกัดของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เมื่ออาณาจักรโมริยะเป็นมหาอำนาจของโลก ในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่ออาณาจักรโมริยะเป็นมหาอำนาจของโลก ที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่เป็นระยะเวลา ๘๐ กว่าปีก่อนเสื่อมสลายลงตามกฎไตรลักษณ์ ในปัจจุบัน มหาราชาแห่งอาณาจักรโมริยะทรงยินยอมสละอำนาจอธิปไตยในการปกครองอาณาจักรโมริยะ เป็นประเทศที่ตั้งขึ้นใหม่คือ สาธารณรัฐอินเดีย อาณาจักรโมริยะจึงมีฐานะเป็นรัฐพิหารซึ่งเป็นหนึ่งใน ๒๘ รัฐของสาธารณรัฐอินเดียเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาณาจักรโมริยะ มีลักษณะเกิดขึ้น ดำรงเอกราชอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและสูญเสียเอกราชไปเป็นเช่นนี้ ตามหลักปรัชญาถือว่าอาณาจักรโมริยะเป็นความจริงที่สมมติขึ้น ดังนั้น เราจึงสามารถศึกษาปัญหาความเรื่องการสร้างอาณาจักรโมริยะตามหลักปรัชญาได้
๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์ เป็นความจริงอีกประเภทหนึ่ง ที่ถูกค้นพบโดยการตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะ ต่อมาชาวพุทธเรียกพระองค์ว่า " พระพุทธเจ้า" เป็นความรู้ที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ของปุถุชนที่จะรับได้ เว้นแต่ผู้นั้นจะได้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ตัวอย่างเช่น ความรู้เกี่ยวกับนรก ซึ่งเป็นความรู้นอกเหนือประสาทสัมผัสของมนุษย์ ที่ดวงวิญญาณของมนุษย์ต้องชดใช้กรรมของตนเอง เพราะรักษาศีลไม่ได้จึงเกิดอกุศลกรรมในชีวิตโดยการฆ่าผู้อื่นหรือสัตว์น้อยใหญ่ ลักทรัพย์หรือคิดฉ้อโกงผู้อื่น ประพฤติผิดในกาม พูดจาหมิ่นประมาทผู้อื่น การดื่มสุราและเสพยา เป็นต้น ส่วนทำบุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการคือการให้ทาน การรักษาศีลและการภาวนา ด้วยการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ อารมณ์บุญกิริยาวัตถุย่อมสั่งสมอยู่ในจิตใจเป็นกุศลกรรมของชีวิต เมื่อตายไปก็จะไปเกิดบนโลกสวรรค์
ดังนั้น การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นทำให้มนุษย์รู้ว่าปัจจัยแห่งการเกิดของมนุษย์นั้นมิได้ถูกพระพรหมและพระอิศวรสร้างขึ้น แต่เกิดจากปฏิสนธิวิญญาณของมนุษย์ในครรภ์มารดา ซึ้งข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ มนุษย์สามารถรับรู้ได้ด้วยการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น