The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568

บทนำ มนุษย์คือเจ้าของความรู้ในพระไตรปิฎกตามปรัชญาแดนพุทธภูมิ

Introduction: Humans are the possessors of knowledge in the Tripitaka according to Buddhaphumi philosophy.
คำสำคัญ : มนุษย์   ความรู้  พระไตรปิฎก
     
๑.บทนำ

      ชีวิตมนุษย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มีโครงสร้างอยู่บนพื้นฐานของความรู้เกี่ยวกับ "ชีวิต" มนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ หากองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งขาดหายไป ชีวิตมนุษย์ก็จะไม่สมบูรณ์และไม่สามารถเรียกว่า "มนุษย์"   ได้อีกต่อไป เพราะไม่มีชีวิตอีกต่อไป จิตใจของมนุษย์โดยพื้นฐานแล้วไร้รูปร่าง จิตใจมีลักษณะเป็นดวงและอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติของวัฏจักรแห่งความตายและการเกิดใหม่อันไม่มีที่สิ้นสุดในโลกมนุษย์ สวรรค์ นรกและภพภูมิอื่น ๆ วิญญาณอาศัยอยู่ในร่างมนุษย์ซึ่งมีลักษณะคล้ายถ้ำคูหา ดังนั้น ชีวิตมนุษย์จึงมีลักษณะของการเกิดขึ้น การดำรงชีวิตอยู่ และการดับสูญไป  ชีวิตมนุษย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงเป็นเพียงความจริงที่สมมติขึ้น  

      เมื่อกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ วิญญาณจะเกิดในครรภ์มารดาเพื่อสร้างชีวิตใหม่เป็นเวลา ๙ เดือน หลังจากนั้นมนุษย์คนใหม่จะเกิดขึ้นและดำรงอยู่ต่อไป ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมนุษย์อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ หน้าที่ของจิตวิญญาณคือ การใช้อายตนะภายในรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ในโลกมนุษย์ สิ่งนี้จะคงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะสลายไปในอากาศธาตุ อย่างไรก็ตาม จิตใจของมนุษย์ นอกจากการรับรู้และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์แล้ว ยังมีธรรมชาติของนักคิดอีกด้วย เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง พวกเขาจะคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้น แล้วจึงใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของความคิดของตนให้ผู้อื่นทราบ เนื่องจากความคิดของมนุษย์มักสูญหายไปพร้อมความตาย มนุษย์จึงมักคิดค้นวิธีการต่าง ๆ  เพื่อรักษาความรู้นั้นไว้ ยกตัวอย่างเช่น การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกที่เมืองราชคฤห์ พระอานนท์สอนพระอรหันต์ ๕๐๐  รูป จดจำพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าโดยการบอกเล่าปากต่อปาก ที่เรียกว่า"มุขปาฐะ"  หรือจารึกด้วยอักษรพราหมี ภาษาบาลี และสันสกฤต เป็นต้น  

         เมื่อมนุษย์คิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จิตก็ย่อมปรารถนาสิ่งนั้นเพื่อสนองความปรารถนาของตน เมื่อปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งที่นั้นย่อมเป็นทุกข์   เมื่อได้สิ่งที่ปรารถนาย่อมเป็นสุขในโลกมนุษย์นี้  มนุษย์มีความเห็นแก่ตัวโดยกำเนิด มักจะแสดงความเห็นแก่ตัวเมื่อปรารถนาปัจจัย ๔  เพราะปรารถนาแต่ความสุขไม่ใช่ความทุกข์ แต่กลับดำเนินชีวิตอย่างประมาท ขาดความเชื่อมั่นในตนเองที่จะแสวงหาความรู้และทรัพย์สมบัติ จึงไม่สามารถแสวงหาได้ ส่งผลให้ขาดสติในการระลึกถึงความรู้จากประสบการณ์ในอดีตชาติ จึงไม่สามารถต่อสู้กับกิเลสตัณหา ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ หากพวกเขาแสวงหา  เพื่อสนองความปรารถนาของตนโดยมีเจตนาทุจริตโดยใช้วิธีต่าง ๆในการหลอกลวงผู้อื่น  พวกเขาจะต้องรับผลของการกระทำของตนในโลกนี้ กลายเป็นนักโทษและในโลกหน้า พวกเขาจะต้องรับผลของการกระทำของตนในนรก 

        เพื่อแก้ปัญหาการหลอกลวงนี้ เมื่อเราได้ยินความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เราไม่ควรเชื่อทันทีว่าเป็นความจริง เราควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน จนกว่าเราจะได้สอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับสิ่งนั้น เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ เราสามารถใช้หลักฐานนั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงอย่างมีเหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงของสิ่งนั้น  โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของสิ่งนั้น 

       แต่เมื่อมนุษย์มีอายตนะภายในของร่างกายในการรับรู้ที่จำกัดและมีความลำเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง เนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง  ความกลัว ความเกลียดชังและความรัก เป็นต้น ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์  เมื่อพวกเขาในฐานะพราหมณ์  นักตรรกศาสตร์ นักปรัชญา ข้าราชการ พนักงานสอบสวน อัยการ  และนักวิชาการสาขาอื่น ๆ  มักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้ อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้มักจะใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนั้น บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างไม่ถูกต้อง บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้ หรือบางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น เมื่อพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ได้ยินความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงในเรื่องนั้นวิญญูชนจะไม่เชื่อสิ่งนั้นเป็นความจริงและจะไม่ยอมรับว่าเป็นความรู้ที่ต้องในเรื่องนั้น  

     ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงทราบถึงการลงโทษชาวเมืองสักกะโดยพระพรหม  พวกเขาจึงตกเป็นจัณฑาลที่ถูกสังคมลงโทษ และขับไล่ออกจากบ้านเรือนตลอดชีวิต เพราะกระทำความผิดฐานละเมิดกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ พวกเขาสูญเสียสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ภายใต้กฎหมายวรรณะ กลายเป็นจัณฑาลที่อยู่อาศัยตามท้องถนนโดยไม่มีอยู่ที่ประจำ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาจัณฑาล เป็นปัญหาร้ายแรงของอาณาจักรสักกะ เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในขณะนั้น พระองค์จึงทรงแสดงความเมตตา และกรุณาต่อชาวเมืองสักกะด้วยการปฏิรูปสังคมโดยยกเลิกกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะเพื่อให้ชาวสักกะมีสิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกัน  

     เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสอบสวนข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นคำให้การของปุโรหิตแล้ว พระองค์ทรงได้ยินข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างมนุษย์และวรรณะ เพื่อให้มนุษย์สามารถทำงานตามหน้าที่ของวรรณะที่ตนเกิดมา พระองค์ยังทรงยืนยันข้อเท็จจริงว่า  ปุโรหิตในอดีตเคยเห็นพระพรหมและพระอิศวรในแคว้นสักกะมาก่อน แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงซักถามประวัติของพระพรหมและพระอิศวร แต่ไม่มีปุโรหิตองค์ใดสามารถตอบได้ 

      ดังนั้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงวิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งหมดซึ่งเป็นคำให้การของพราหมณ์ปุโรหิตแล้ว พระองค์ก็ทรงเห็นว่า แม้พราหมณ์จะยืนยันถึงความมีอยู่จริงของพระพรหมและพระอิศวร แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงซักถามถึงประวัติของพระพรหมและพระอิศวร ก็ไม่มีพราหมณ์รูปใดตอบพระองค์ได้ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานแล้ว พระองค์ทรงวินิจฉัยว่าแม้พราหมณ์อาวุโสในบ้านเมือง และมีตำแหน่งที่ปรึกษามหาราชาจะยืนยันข้อเท็จจริงของการมีอยู่ของพระพรหม และพระอิศวรก็ตาม 

     อย่างไรก็ตาม การที่นักบวชพราหมณ์ไม่สามารถตอบคำถามของเจ้าชายสิทธัตถะในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่านักบวชพราหมณ์แห่งอาณาจักรสักกะนั้น ไม่มีความรู้เหนือขอบเขตการรับรู้ของประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในของตนเองเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร แม้พวกเขาจะอ้างว่าการบูชายัญผ่านพราหมณ์อารยันจะสามารถเข้าถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าได้ก็ตามพราหมณ์อารยันจะอ้างปุโรหิต(priest) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์เป็นประจักษ์พยานที่น่าเชื่อ ได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าพวกเขาเคยเห็นเทพเจ้าทั้งสองในแคว้นสักกะมาก่อน แต่เป็นคำกล่าวอ้างขึ้นมาลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ 

        หลังจากผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นแล้ว เรื่องราวปรากฏเป็นมโนภาพขึ้นในจิตใจของผู้เขียน ยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจนว่ามีความเป็นอย่างไร  ผู้เขียนจึงสงสัยว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามนุษย์เป็นเจ้าของความรู้ในพระไตรปิฎก? ผู้เขียนรักที่จะแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป โดยจะสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน  เช่น พระไตรปิฎก อรรถกถา คัมภีร์ต่าง ๆ และงานวิจัยอื่นๆ เป็นต้น เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ผู้เขียนจะใช้หลักฐานเหล่านี้เป็นข้อมูล สำหรับการวิเคราะห์  โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องความรู้ของมนุษย์ในพระไตรปิฎก 

      บทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตของมนุษย์ทุกคน เป็นความรู้ที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินอย่างสมเหตุสมผล และปราศข้อสงสัยในเหตุผลของความจริงอีกต่อไป และกระบวนการวิเคราะห์หลักฐาน จะเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยของนิสิตระดับปริญญาเอกด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญา เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนา และสามารถนำความรู้ทางพระพุทธศาสนาบูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ได้อย่างสอดคล้องกับข้อเท็จจริงของชีวิตสมัยใหม่ได้อย่างลงตัวปราศจากข้อสงสัยในข้อเท็จจริงอีกต่อไปและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นต้น

      แต่โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ทุกคนมีอคติอยู่ในจิตใจ ปัญหาของ"อคติ"คืออะไร? เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานจากพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้นิยามคำว่า"อคติ" ไว้ว่าความลำเอียงแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ ฉันทาคติเป็นความลำเอียงทางจิตใจเพราะความรัก โทสคติเป็นความลำเอียงทางจิตใจเพราะความโกรธ ภยาคติเป็นความลำเอียงทางจิตใจ เพราะความกลัว โมหาคติเป็นความลำเอียงเพราะความโง่เขลา  เป็นต้น นอกจากนี้  แม้จิตใจของมนุษย์จะใช้อวัยวะอินทรีย์ ๖ ของร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมที่เกิดขึ้นในอดีตย้อนเวลากลับไปไม่ได้ หรือ จุดที่เกิดเหตุการณ์ไกลออกไปในทะเลหรือดินแดนที่ห่างไกลออกไป   

       กล่าวคือ บุคคลที่ถูกอ้างเป็นพยานถึงความจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอาจให้การยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นโดยปราศจากความรู้จริงในเรื่องนั้น ๆ จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตน เพื่อช่วยให้จำเลยพ้นผิดด้วยความลำเอียง เพราะรักจำเลยหรือผู้กระทำความผิด เมื่อพยานมีความลำเอียงในจิตใจ จึงมักจะให้การที่น่าสงสัย กระบวนการตรวจสอบจำเป็นต้องมีหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งพยานเอกสาร พยานวัตถุ พยานบุคคลและหลักฐานเอกสารดิจิทัลที่แชร์บนอินเตอร์เน็ต 

      เมื่อนักปรัชญาได้รวบรวมหลักฐานเพียงพอแล้วจะใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์เหตุผล เพื่อสำหรับความเที่ยงตรงของคำตอบก็ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับเหตุผลของคำตอบ ที่ยืนยันความจริงของเรื่องอีกต่อไปคำตอบจะเป็นความรู้แท้จริงในเรื่องนั้น เพื่อสนองความอยากรู้ของมนุษย์ต่อไป แต่ความรู้ของมนุษย์ไม่ใช่แค่ความรู้เท่านั้น เพราะต้องนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์มิฉะนั้นจะเสียเงินเปล่าจึงควรลงทุนในการวิจัยและทดลองในหัวข้อที่น่าสนใจ เมื่อองค์ความรู้ในการพัฒนาและขยายเนื้อหาทางวิชาการให้มากขึ้น ก็นำไปใช้ในธุรกิจและสร้างหลักสูตรใหม่ได้  

        ความรู้ของมนุษย์   ในสมัยอินเดียโบราณนักปรัชญาสงสัยเกี่ยวกับความเชื่อในเทพเจ้า เทวดา และธรรมชาติอื่นๆ เป็นต้น เพราะมนุษย์มีความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสในการแสวงหาชะตาชีวิตในแหล่งอาหารที่มีความอุดมไป ด้วยน้ำใช้ในการอุปโภคและบริโภคสัตว์น้ำ และสัตว์ป่าเพื่อล่าเป็นอาหาร ฯลฯ พราหมณ์สอนชาวอารยันว่าสาเหตุที่ชาวอารยันค้นพบดินแดนอนุทวีปอินเดียที่อุดมด้วยน้ำ ที่มีสัตว์น้ำและสัตว์ป่าเพื่อล่าสัตว์เป็นอาหารในการดำรงชีพ เพราะเหล่าทวยเทพดลใจให้พบดินแดนศักดิ์สิทธิแห่งนี้เมื่อชาวอารยันสามารถยึดครองดินแดนแห่งนี้ได้ พระองค์ยังทรงปล่อยให้พวกเขาดำเนินชีวิตตามสิทธิเสรีภาพ และหน้าที่ในการใช้อำนาจอธิปไตยในดินแดนของตน เพื่อระลึกถึงคุณพระอิศวร พระพรหม ชาวอารยันจำเป็นต้องถวายเครื่องบูชายัญและสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าเพื่อช่วยให้ชาวอารยันเจริญรุ่งเรืองเพียงผู้เดียว 

        เมื่อพระพรหมเป็นความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตประสาทของมนุษย์และไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของมนุษย์ แต่พราหมณ์อารยันสามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงของพระพรหมได้ การบูชาเทพเจ้าด้วยเครื่องสังเวยตามคำสอนของพราหมณ์ ได้นำความมั่งคั่งมาสู่นิกายต่าง ๆ ของพราหมณ์ เมื่อประโยชน์ของเครื่องสังเวยมีมูลค่าการตลาดสูง ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพราหมณ์อารยันกับพราหมณ์ดราวิเดียนด้วยเหตุนี้ ปุโรหิตชาวอารยัน (Priesthood) จึงหาทางจำกัดสิทธิและหน้าที่ของพราหมณ์ดราวิเดียน ไม่ให้ทำพิธีกรรมบูชายัญอีกต่อไปโดยให้คำปรึกษาแก่มหาราชาในแคว้นต่าง ๆ และกล่าวถึงเจตจำนงของพระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่อให้ทำหน้าที่ของวรรณะตน เมื่อรัฐสภาแห่งอาณาจักรสักกะได้ตรากฎหมายจารีตประเพณีด้วยวรรณะและประกาศบังคับใช้กฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะในอาณาจักรแห่งรัฐสักกะ ต่อมามีผู้ละเมิดผิดกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะโดยการแต่งงานข้ามวรรณะ จะถูกสังคมลงโทษด้วยการขับไล่ออกจากสังคมต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนในพระนครใหญ่ เป็นต้น  

       มีปัญหาที่ผู้เขียนสงสัยว่าพราหมณ์มีวิธีแสวงหาความรู้หรือไม่ เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลในพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ ได้ค้นพบข้อเท็จจริงว่าในสมัยก่อนพราหมณ์ในนิกายต่างๆ ได้ก่อตั้งสถานศึกษาของศาสนาพราหมณ์สำหรับวรรณะกษัตริย์จากเมืองต่าง ๆ เพื่อศึกษาและแสวงหาความรู้เพื่อการทำงานตามวรรณะตน  แม้แต่เจ้าชายสิทธัตถะก็ยังทรงได้รับการศึกษาในสถาบันการศึกษาของครูวิศวามิตร เพื่อปกครองประเทศตามวรรณะที่พระองค์ประสูติ 

     ดังนั้น  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จเยี่ยมราษฏร์ในพระนครกบิลพัสดุ์และทรงเห็นปัญหาที่ว่า "จัณฑาล" ถูกจำกัดสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะในอาชีพ การศึกษา และการบูชาตามความเชื่อของตน การแต่งงานข้ามวรรณะของจัณฑาล จะถูกลงโทษโดยคนในสังคมขับไล่ พวกเขาออกจากสังคม ที่เคยอยู่อาศัยต้องอยู่สองข้างทางในพระนครกบิลพัสดุ์ มีอาชีพรับจ้างคนชั้นสูงไปทิ้งขยะ ทำความสะอาดถนน และอยู่อย่างนั้น แม้ว่าในวัยชรา เจ็บป่วยและตายข้างถนน ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงโทมนัสและไตร่ตรอง  ถึงความทุกข์ยากของประชาชนเป็นเวลาหลายวัน ดังนั้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมโดยเสนอร่างกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการยกเลิกวรรณะต่อรัฐสภาศากยวงศ์ แต่รัฐสภาศายวงศ์ไม่อนุมัติเพราะขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสักกะที่เรียกว่า"ราชอปริหานิยธรรม" ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการบริหารประเทศ 

     เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นว่าปัญหาของประเทศแก้ไขไม่ได้ด้วยระบบรัฐสภาศากยวงศ์เพราะกระทบผลประโยชน์ทางการเมืองของหลายวรรณะ   เมื่อทรงพิจารณาถึงสาเหตุของปัญหาในประเทศ   เกิดจากความเชื่อในพระพรหมสร้างมนุษย์จากร่างกายของพระองค์ และนำหลักสอนของพราหมณ์ที่อ้างว่าพระพรหมสร้างวรรณะให้มนุษย์ไปตรากฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะด้วยความเห็นชอบของรัฐสภาศากยวงศ์ เมื่อรัฐสภาตรากฎหมายใดแล้วจะยกเลิกกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วย วรรณะไม่ได้เพราะเป็นข้อห้าม ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุด ในการปกครองประเทศ เมื่อปัญหาความทุกข์ของประชาชน ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยระบบการเมืองผ่านรัฐสภาศากยวงศ์ได้ แต่ความชรา ความเจ็บไข้ และความตายของผู้คนทุกวรรณะ 

      ด้วยเหตุนี้เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงสงสัยว่าถ้าพระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้นมา แต่ทำไมพระองค์ไม่สร้างมนุษย์ให้มีชีวิตอมตะเหมือนพระองค์ และเมื่อพระองค์ทรงตรัสถามถึงประวัติความเป็นมาของพระพรหมและพระอิศวรแล้วไม่มีใครตอบพระองค์ได้ เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ให้พ้นจากความมืดมิด   เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยออกผนวช เพื่อแสวงหาความรู้เกี่ยวกับความจริงของชีวิตในสำนักการศึกษาต่าง ๆ ในแคว้นมคธ  เช่น สำนักของอาฬารดาบสและอุททกดาบส เป็นสถาบันการศึกษาเปิดสอนปรัชญาชีวิตในหลักสูตรสมถกรรมฐานขั้นสูงสุดระดับ "สมบัติ๘" เป็นต้น 

     การศึกษาของมนุษย์ในสมัยอินเดียโบราณ เป็นการแสวงหาความรู้ในระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์ กล่าวคือ เมื่อร่างกายของมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ที่เชื่อมโยงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมที่เกิดขึ้น และจิตใจของมนุษย์เก็บหลักฐานเป็นข้อมูลทางอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ เมื่อเราวิเคราะห์ข้อมูลที่อยู่ในจิตใจ เพื่อหาเหตุผลยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นๆ  แต่คำตอบนั้นไม่ชัดเจนพอ ที่จะสรุปได้ว่า ความรู้นั้นจริงหรือเท็จ  แต่มนุษย์เชื่อในสิ่งที่คิดและรักที่จะศึกษาต่อไป จำเป็นต้องมีหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนความคิดเห็นของพวกเขาในสมัยก่อนพุทธกาลนักปรัชญา จะใช้หลักฐานเป็นพยานบุคคล (witness) ให้ข้อเท็จจริงเพื่อยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ แต่มนุษย์ก็มีอคติอยู่ในจิตใจจึงขาดความซื่อสัตย์สุจริตไม่สามารถรับฟังเป็นพยานบุคคลได้ 

        ดังนั้นเมื่อเหตุผลยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องใด ๆ จากพยานที่มีอคติ ย่อมทำให้เกิดความกังขาเกี่ยวกับความจริงเรื่องนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงหาทางแก้ปัญหาเรื่องอคติของมนุษย์ โดยการพัฒนาความรู้ทางปรัชญาพราหมณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยมนุษย์ในการรับข้อมูลที่อยู่เกินขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ได้ แม่นยำยิ่งขึ้น ความรู้ของมนุษย์ได้มาจากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในของพวกเขาเท่านั้นและถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงของมนุษย์  พวกเขาใช้จิตใจของตนเองเป็นผู้คิดหาเหตุผลยืนยันความของคำตอบในเรื่องนั้น แต่คำตอบเชิงปรัชญาในหัวข้อเดียวกัน  นักปรัชญาหลายคนมีเหตุผลที่แตกต่างกัน ในการยืนยันความจริงของตำตอบตามความเข้าใจของพวกเขาคำตอบเชิงปรัชญา จึงไม่สามารถระบุได้ว่าคำตอบของนักปรัชญาข้อใด  เป็นคำตอบที่แท้จริงเพราะทุกคำตอบนั้น มีเหตุผลด้วยกันทั้งสิ้นแต่มีข้อสงสัย และข้อโต้แย้งทั้งหมดมนุษย์ได้คิดหาทางออก โดยการสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้ได้ความรู้ที่ถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น 

      การที่มนุษย์สร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้ทำให้เนื้อหาวิชาปรัชญา  ขยายออกไปจนเนื้อหาทางวิชาการแยกออกมาเป็นสาขาวิชาใหม่ ๆ อีกมากมาย เช่น พุทธปรัชญา พุทธศาสนา เรขาคณิต คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศกรรมศาสตร์เป็นต้น จนกระทั่งการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์ คลื่นโทรทัศน์ และคลื่นไวฟาย เป็นต้น  คลื่นเหล่านี้มีสภาวะที่อยู่เหนือประสาทสัมผัสของมนุษย์ แต่มนุษย์สามารถสร้างโทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องส่งและรับคลื่นเหล่านี้ และแปลงเป็นภาพนิ่งวีดีโอและภาพยนตร์ได้ การสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เพื่อเป็นเครือข่ายสำหรับการสื่อสารระหว่างผู้คนและการแบ่งปันความรู้ผ่านอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ผู้อื่นได้ศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมทำให้มีการใช้ความรู้สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา 

       ด้วยข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่ผู้เขียนได้ยินมาข้างต้น แต่เรื่องที่ปรากฏขึ้นใจของผู้เขียนไม่ชัดเจนเพียงพอว่า ความรู้คืออะไร ? และมีลักษณะอย่างไร ? ผู้เขียนจึงตัดสินใจค้นคว้าข้อมูลเรื่อง "ความรู้ของมนุษย์ในพระไตรปิฎก" โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารในพระไตรปิฎกอรรถกถา คัมภีร์ต่าง ๆ และงานวิจัยอื่น ๆ เป็นต้น เพื่อหาเหตุผลยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องความรู้ของมนุษย์ในพระไตรปิฎก  บทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตของมนุษย์ทุกคน เป็นความรู้ที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินอย่างสมเหตุสมผล และปราศข้อสงสัยในเหตุผลของความจริงอีกต่อไป  เมื่อศึกษาอย่างเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของตนเองแล้วว่า มนุษย์ว่าสัมพันธ์กับความรู้ได้อย่างไรแล้ว ก็เป็นเรื่องง่าย ที่จะสอนผู้อื่นเห็นความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพของความรู้ เป็นต้น


ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ