The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566

ปัญหาอภิปรัชญาในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ

 Metaphysical problems in the Mahachula edition of the Tripitaka 

ปัญหาอภิปรัชญาในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ

๑.บทนำ ความสำคัญและประวัติของอภิปรัชญา

        โดยทั่วไปใน วิชาอภิปรัชญาเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา   และเป็นความรู้ของมนุษย์บางคนซึ่งเป็นนักตรรกะหรือนักปรัชญา  โดยนักปรัชญามุ่งหวังที่จะสำรวจธรรมชาติของความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ  ที่พวกเขารับรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกายของตนเองและเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นอารมณ์อยู่ในจิตใจของตนเอง เมื่อนักตรรกะ   หรือนักปรัชญาได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตโดยตรงหรือโดยอ้อมแล้ว     พวกเขามักจะแสดงทัศนะตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผล   และคาดคะเนความจริงของเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้น   ? คำถามพื้นฐานที่วิชาอภิปรัชญามักถามตามความสงสัยของนักปรัชญาได้แก่ ความเป็นจริงคืออะไร ฯ  เวลาและอวกาศมีอยู่จริงหรือไม่ ? จิตใจและร่างกายของมนุษย์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ?   พระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่ ?  และคำถามอื่น ๆ อีกมากมาย แม้ว่าคำถามเหล่านี้อาจดูเป็นนามธรรมและตอบยาก แต่การศึกษาอภิปรัชญาเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำความเข้าใจโลกและตัวเราเอง    

๒.ความสำคัญของอภิปรัชญา 

       วิชาอภิปรัชญามิใช่เป็นเพียงการศึกษาค้นคว้า  เพื่อหาคำตอบในการสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์เท่านั้น  ซึ่งคำตอบเหล่านั้นอาจเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์สำหรับมนุษย์เท่านั้น   แต่ในความเป็นจริงแล้ว วิชาปรัชญามีความสำคัญหลาย ๆ ประการ ดังนี้

       ๒.๑.การสร้างกรอบความคิด  โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์บางคนมีความคิดไร้ขอบจำกัดในเรื่องราวต่าง ๆ  จนไม่อาจหาตัวตนให้เข้าใจในความรู้ของเรื่องนั้นได้ อภิปรัชญาช่วยสร้างกรอบความคิดพื้นฐานในการทำความเข้าใจ มันช่วยให้เราวิเคราะห์  และประเมินความเชื่อและความคิดของเราได้อย่างสมเหตุสมผล    โดยการตั้งคำถามธรรมชาติของความเป็นจริง เราจะสามารถเข้าใจความเชื่อและมุมมองต่าง ๆ  ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น 

       ๒.๒. การพัฒนาความคิดเชิงวิพากษ์การศึกษาอภิปรัชญาช่วยพัฒนาความคิดเชิงวิพากษ์  เราจะเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์ข้อโต้แย้ง ระบุข้อบกพร่องและการสร้างข้อโต้แย้งที่สมเหตุสมผล  ทักษะเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจ  การแก้ปัญหาหรือการโต้แย้งกับผู้อื่น เป็นต้น 

       ๒.๓.การสร้างความหมายของชีวิต    อภิปรัชญาช่วยให้เราสามารถสำรวจความหมายของชีวิตโดยการตั้งคำถามเกี่ยวกับเป้าหมาย คุณค่าและความหมายของการดำรงอยู่   เราจะสามารถค้นหาความหมายและจุดมุ่งหมายในชีวิตของเราได้   และสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณค่า

       ๒.๔.การพัฒนาจริยธรรม   อภิปรัชญาเกี่ยวข้องกับอย่างใกล้ชิดกับจริยธรรม   การศึกษาอภิปรัชญาช่วยให้เราสามารถเข้าใจธรรมชาติของความดี     ความชั่วและความถูกต้องซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาจริยธรรมส่วนบุคคลและสังคมที่ดีขึ้น 

๓.ความเป็นมาของอภิปรัชญา  

     อภิปรัชญาไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน  แต่เป็นผลมากจากการสะสมความรู้และการตั้งคำถามของมนุษย์มาเป็นเวลานาน  เราสามารถแบ่งยุคสมัยสำคัญ ๆ ของอภิปรัชญาได้ดังนี้ 

     ๓.๑ ยุคกรีกโบราณ:เป็นอภิปรัชญาเริ่มต้นชึ้นนักปรัชญากรีกเช่น  เพลโตและอริสโตเติลได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติของความเป็นจริง  ความรู้และจิตใจ ผลงานของพวกเขามีอิทธิพลต่อการพัฒนาอภิปรัชญาในยุคต่อมาเป็นอย่างมาก 

     ๓.๒ ยุคกลาง     อภิปรัชญาในยุคกลางได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์  นักปรัชญาในยุคนี้มักจะมุ่งเน้นไปที่การพิสูจน์การมีอยู่เทพเจ้าและการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับเหตุผล 

     ๓.๓ ยุคเรเนซองส์         เป็นยุคที่เกิดการฟื้นฟูศิลปะ  วิทยาศาสตร์และปรัชญา นักปรัชญาในยุคนี้หันกลับไปศึกษาผลงานของนักปรัชญาชาวกรีกและเริ่มพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆ เช่น    ลัทธิประจักษ์นิยม  

     ๓.๔ ยุคใหม่  นักปรัชญาเป็นยุคเกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็วของวิทยาศาสตร์ นักปรัชญาในยุคนี้พยายามที่จะประสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับปรัชญา เช่น  ลัทธิประจักษ์นิยมและลัทธิเหตุผลนิยม  

     ๓.๕  ยุคปัจจุบัน อภิปรัชญายังคงพัฒนาต่อไป มีแนวคิดใหม่ ๆ เช่น ลัทธิโครงสร้างนิยมและลัทธิหลังโครงสร้างนิยมที่เกิดขึ้นและมีการถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับคำถามพื้นฐานของอภิปรัชญา  

     ดังนั้น อภิปรัชญาเป็นสาขาที่สำคัญของปรัชญาทีี่ช่วยให้เราสามารถทำความเข้าใจโลกและตัวเราเองได้อย่างลึกซึ้ง  การศึกษาอภิปรัชญาช่วยพัฒนาความคิดเชิงวิพากษ์ สร้างความหมายชีวิตและพัฒนาจริยธรรม  อภิปรัชญามีความเป็นมาอันยาวนานและยังพัฒนาต่อไปจนถึงปัจจุบัน    เป็นต้น 

      อภิปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนโลก  ซึ่งเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ทั้ง  ๙  ดวงที่โคจรรอบตวงอาทิตย์  โลกและดวงอาทิตย์  เป็นสสารที่มีแรงโน้มถ่วงของตัวเอง เมื่อโลกมีแรงโน้มถ่วงจึงดึงดูดดวงอาทิตย์เข้ามาหาตนเองและในขณะเดียวกันอาทิตย์ก็มีแรงโน้มถ่วงของตัวเองเช่นกัน เมื่อดวงอาทิตย์และโลกต่างฝ่ายต่างใช้แรงโน้มถ่วงของตนเองดึงดูดซึ่งกันและกัน  แม้ว่าดวงอาทิตย์เป็นสสารที่มีพลังงานโน้มถ่วงมากกว่าโลกแต่ก็ไม่สามารถใช้แรงโน้มถ่วงของตัวเองดึงดูดโลกเข้าหาดวงอาทิตย์ได้มากกว่านี้แรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ทำให้โลกโคจรรอบดวงทิตย์เป็นรูปวงรีส่งผลให้โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์  ซึ่งมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์แตกต่างกันตลอดทั้งปีอุณหภูมิบนโลกไม่เท่ากันในแต่ละวัน มนุษย์จึงสมมติว่ามีฤดูกาลที่แตกต่างกันในแต่ละปี 

        เมื่อมนุษย์มีอาตนะภายในร่างกายในการรับรู้เรื่องราว แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง เป็นสังคมมนุษย์ทั่วโลก  ผู้คนมักอยากรู้เรื่องราวต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น  สภาพอากาศ ภูเขา ลมทะเล หิมะถล่มหรือเรื่องราวของคนประสบความสำเร็จในชีวิตคนชั่วที่แทงคนตายในที่สาธารณะโรงเรียนหรือสถานีรถไฟฟ้า เป็นต้น    เมื่อเราศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับปรัชญาตามเว็บไซต์ต่าง ๆบนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตเราได้ยินมาว่าสถานบันการศึกษาทั่วโลกเปิดสอนหลักสูตรปรัชญาและพระพุทธศาสนา   เพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตของนักศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจในความจริงของชีวิตของตนเองจะมีอาจารย์ที่จะถ่ายทอดความรู้ด้านปรัชญาให้กับนิสิตรุ่นต่อไปที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมความรู้นั้นไว้ในจิตใจของตนสามารถนำความรู้ที่อยู่ในใจของตนประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน  เพื่อแก้ปัญหาที่เข้ามาในชีวิตได้  แต่เมื่อวิชาเหล่านี้คือความรู้ของมนุษย์ก็เกิดปัญหาที่ผู้เขียนสงสัยว่ามนุษยคือบ่อเกิดความรู้เชิงปรัชญา พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร?เป็นเรื่องที่เราควรศึกษาค้นคว้าให้มาก  

       เมื่อเราศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เราจะเห็นการพัฒนาความรู้ของมนุษย์ตั้งแต่สมัยรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ผู้คนเชื่อกันว่า มีเทพเจ้าหลายองค์พวกพราหมณ์อารยันได้แสดงหลักปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความมีอยู่ของเทพเจ้าด้วยการบูชายัญ จนเป็นที่นิยมมากจนผู้คนในอนุทวีปอินเดีย     ตกลงที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพราหมณ์ด้วยการบูชาเทพเจ้าด้วยของมีค่าต่าง ๆและของบูชาเหล่านี้สร้างรายได้มหาศาลให้กับพราหมณ์นิกายต่าง ๆ  ในสมัยนั้นคำสอนของพราหมณ์   เป็นทั้งหลักคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี   ได้กำหนดข้อห้ามการแต่งงานระหว่างวรรณะและห้ามปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น   และมีการลงโทษอย่างรุนแรงสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนคำสอนของศาสนาพราหมณ์    และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ   ด้วยการไล่ออกจากสังคมที่พวกเขาอาศัยไปตลอดชีวิต    แต่ชาวอนุทวีปอินเดียส่วนใหญ่มีชีวิตที่อ่อนแอและมักขาดสติปัญญา   ดังนั้นพวกเขาจึงดำเนินชีวิตตามตัณหาของตน  จนไม่สามารถควบคุมจิตใจของตนได้  พวกเขาจึงฝ่าฝืนคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตวรรณะประเพณี โดยมีเพศสัมพันธ์กับผู้คนวรรณะต่าง ๆ   หรือปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น พวกเขาจึงถูกคนในสังคมลงโทษด้วยการถูกไล่ออกจากสังคมที่ตนอยู่อาศัยไปตลอดชีวิตและเรียกคนเหล่านี้ว่า "จัณฑาล" 

         เจ้าชายสิทธัตถทรงเห็นว่าปัญหาจัณฑาลเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ   สิ่งนี้ ทำให้    พระองค์ทรงสงสัยในการมีอยู่ของเทพเจ้า แม้ว่าพระองค์จะทรงสำเร็จการศึกษาไปแล้ว ๑๘ สาขาแต่พระองค์ทรงไม่รู้เรื่องถึงการมีอยู่ของเทพเจ้า เพราะมันเป็นความรู้ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของพระองค์ที่จะรับรู้ได้  ยกเว้นการบูชายัญของพราหมณ์ผู้ทำพิธีเท่านั้น  ส่วนพระองค์นั้นทรงไม่สามารถทำการบูชายัญ   เพื่อขอพรพระพรหมเพื่อช่วยยกเลิกวรรณะในแคว้นสักกะ เพราะเป็นความผิดอย่างร้ายแรงต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ     เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยในความมีอยู่ของเทพเจ้า  พระองค์ทรงชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องต่อไปพระองค์จึงทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากคำให้การของปุโรหิตซึ่งเป็นผู้เป็นใหญ่ในประเทศสักกะ   และที่ปรึกษาของกษัตริย์ในเรื่องกฎหมาย ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี พระองค์ทรงได้ยินข้อเท็จจริง    จากคำให้การของพราหมณ์ปุโรหิตว่าหลักคำสอนเรื่องเทพเจ้า  เป็นคำสอนของอาจารย์ที่มีความเป็นมายาวนานแล้ว พวกเขาจึงตั้งทฤษฎีกำเนิดโลกและมนุษย์ว่าพระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างมนุษย์ แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามว่าพระพรหมและพระอิศวรนั้นมีความเป็นมาอย่างไร?  ไม่มีปุโรหิตคนใดตอบพระองค์ได้  เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่น่าสงสัยเช่นนี้ พระองค์ทรงไม่เชื่อเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าตามคำสอนของพราหมณ์อารยันพระองค์ทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมในแคว้นสักกะ   ด้วยการเสนอยกเลิกกฎหมายในแคว้นสักกะต่อรัฐสภาราชวงศ์ศากยะแห่งแคว้นสักกะ เมื่อสมาชิกรัฐสภาราชวงศ์ศากยะ   ร่วมการพิจารณาในข้อกฎหมายตามกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดแห่งแคว้นสักกะ ซึ่งเป็นหลักบริหารประเทศสักกะนั้นสมาชิกรัฐสภาเห็นว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีแห่งแคว้นสักกะมาตรา ๓ ที่ห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้ว   

        ดังนั้นเมื่อกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะได้บัญญัติไว้ ต่อมาภายหลังสมาชิกรัฐสภาไม่สามารถยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ได้    เพราะห้ามกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีในการปกครองประเทศสักกะ  การที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมในแคว้นสักกะ  โดยเสนอยกเลิกกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี  จึงเป็นการต้องห้ามตามกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีของประเทศ  สมาชิกรัฐสภาราชวงศ์ศากยะ    จึงมีมติเป็นเอกฉัน์ไม่เห็นชอบร่างกฎหมายยกเลิกวรรณะจารีตประเพณี   ตามที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสนอมา จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดของประเทศ เป็นต้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงปฏิรูปสังคมไม่สำเร็จเพราะหลักคำสอนของพราหมณ์เรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้า   เป็นทั้งคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ    เมื่อพระองค์ไม่สามารถยกเลิกกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ได้มนุษย์ทุกคนต้องมีชีวิตที่มืดมิดต่อไป    พระองค์ทรงตัดสินพระทัยสละวรรณะกษัตริย์แม้จะเสียสิทธิและหน้าที่ปกครองแคว้นสักกะไปตลอดชีวิตเพื่อเสด็จออกบวชเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ทรงสามารถประกอบพิธีบูชายัญต่อพระพรหมได้ เพื่อขอพรพระพรหมช่วยยกเลิกกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีได้โดยไม่ผิดกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี  ที่ห้ามคนมิใช่พราหมณ์ประกอบพิธีบูชายัญและสวดพระเวท เพื่อพิสูจน์ว่าพระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่เกิดซึ่งเป็นสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ตามคำสอนของพราหมณ์หรือไม่ มีเหตุผลอธิบายว่าเรารู้ความจริงในเรื่องนี้ได้อย่างไร ? เป็นต้น

       ดังนั้น  การมีอยู่จริงของพระพรหมและพระอิศวร   ปัญหาอภิปรัชญาข้อแรกในพระพุทธศาสนาหรือปรัชญาพุทธภูมิ    ก็คือสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์  เพื่อศึกษาและค้นคว้าการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร ญาณวิทยามีหน้าที่ให้คำตอบว่าเราจะรู้ความจริงเรื่องการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวรไดอย่างไร    ? เมื่อปัญหาเกี่ยวกับความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้า  พระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้กับมนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่เกิดยังเป็นที่น่าสงสัยว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นความจริง?  แต่ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้อีกต่อไป แต่ธรรมชาติของผู้เขียนมีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ที่มีข้อจำกัดในการรับรู้ความจริงจากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแคว้นสักกะ มาเป็นเวลากว่า ๒,๕๐๐ ปี   ผู้เขียนจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน   มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ  เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงในเรื่องการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร พระองค์ทรงสร้างมนุษย์  และสร้างวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่เกิดมาตามคำสอนของพราหมณ์และมีความสมเหตุสมเหตุผลของความรู้หรือไม่     

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ