Metaphysical Concepts in the Mahachulalongkorn Tripitaka
แนวคิดเชิงอภิปรัชญาในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณ
โดยทั่วไปแล้ว อภิปรัชญาเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา และเป็นความรู้ของมนุษย์ที่เราเรียกว่า"นักตรรกะ" หรือ "นักปรัชญา" พวกเขามุ่งเน้นการศึกษาธรรมชาติของความเป็นจริงเช่น มนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น เมื่อพวกเขาเรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้โดยตรง จากเรื่องราวที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผ่านอายตนะภายใน และเก็บไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของนักตรรกะและนักปรัชญาคือ เมื่อพวกเขาได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องใด ๆ ในชีวิตไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม พวกเขามักจะแสดงความคิดเห็นของตนเองตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้ โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเป็นมนุษย์มักมีอายตนะภายในร่างกายที่รับรู้ได้อย่างจำกัด และมีอคติต่อผู้อื่น ทำให้ชีวิตของพวกเขามืดมน ทำให้พวกเขาขาดปัญญาเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขาใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของสิ่งที่ได้ยินมา บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างผิด ๆ บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้ พวกเขาก็ใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น เมื่อเหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบนั้นคลุมเครือและไม่ชัดเจน เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้า ได้ยินความคิดเห็นของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเกี่ยวกับเรื่องนั้น พวกเขาจะไม่เชื่อถือและไม่ยอมรับคำตอบเรื่องนั้นเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น
คำถามพื้นฐานที่นักปรัชญามักถามในเรื่องที่สงสัย ได้แก่ความเป็นจริงคืออะไร ฯ เวลาและอวกาศมีอยู่จริงหรือไม่? จิตใจและร่างกายของมนุษย์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ? พระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่ ? และอื่น ๆ อีกมากมาย แม้ว่าคำถามเหล่านี้อาจดูเป็นนามธรรมและตอบยาก อย่างไรก็ตาม การศึกษาปรัชญาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจโลกและตัวเราเอง
๒.ต้นกำเนิดของอภิปรัชญา
เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์ของอภิปรัชญา เราจะเข้าใจข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า อภิปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์ที่ถูกเรียกว่า "นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา" อย่างไรก็ตาม อภิปรัชญาไม่ใช่ความรู้ที่เกิดขึ้นเองทันทีทันใด แต่ความรู้ถูกพัฒนามาจากแนวคิดของนักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญามาช้านานนับตั้งแต่มีมนุษย์บนโลก โดยทั่วไปแล้ว นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาคือมนุษย์ผู้มีอาตนะภายในร่างกายทำหน้าที่รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตและจิตใจของมนุษย์ จะรวบรวมเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ แต่ชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีธรรมชาติเพียงรับรู้และเก็บหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น แต่ยังธรรมชาติของเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อชีวิตของมนุษย์รับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันก็จะคิดจากสิ่งนั้นแล้ว ใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงของสิ่งนั้น ๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อธรรมชาติของมนุษย์มีอายตนะภายในที่มีความสามารถในการรับรู้จำกัด และมีความลำเอียงต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน จึงขาดปัญญาเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นหรือความจริงขั้นปรมัตถ์ จึงไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ได้อย่างสมเหตุสมผล เป็นต้น เราสามารถแบ่งยุคหลักของอภิปรัชญาได้ดังต่อไปนี้
๒.๑ ปรัชญาสมัยก่อนพุทธกาล เป็นยุคเจริญรุ่งรืองของศาสนาพราหมณ์ เมื่อพราหมณ์ในอนุทวีปอินเดียเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา พวกเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของชีวิตและการมีอยู่ของเทพเจ้า ตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมา พวกเขาความสามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าได้อย่างสมเหตสมผล จนทำให้ชาวอนุทวีปอินเดีย เกิดศรัทธาในเทพเจ้าหลายองค์ และยินยอมทำพิธีบูชายัญผ่านพราหมณ์ เพราะเชื่อว่าเทพเจ้าเหล่านั้นเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของมนุษย์ ผู้มีความทุกข์ทรมานจากความไม่เที่ยงของชีวิตที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาในยุคนี้ใช้เหตุผลอธิบายความจริงของชีวิต แก่ผู้คนในอนุทวีปให้เข้าใจชีวิตว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างมนุษย์ และสร้างวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา
เมื่อพวกเขาเชื่อในคำสอนของพราหมณ์แล้วก็สอนให้พวกเขาขอความช่วยเหลือเทพเจ้าผ่านพิธีกรรมบูชาของพราหมณ์ด้วยสิ่งของมีต่าง ๆ แม้ว่าพราหมณ์ซึ่งเป็นนักตรรกะศาสตร์ และนักปรัชญาจะใช้เหตุผลอธิบายความจริงเรื่อง "มนุษย์" ให้ชาวอนุทวีปเข้าใจอย่างสมเหตุสมผลก็ตาม แต่เหตุผลของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาไม่สามารถทำให้ชาวอนุทวีปเข้าใจถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าได้ด้วยตนเองแม้พราหมณ์ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญามีกระบวนการพิจารณาความจริงโดยการทำพิธีบูชายัญด้วยของมีค่าต่างๆ เพื่อถวายแด่เทพเจ้าผ่านพราหมณ์อารยัน เพื่อขอพรพระพรหมช่วยบรรลุความสำเร็จในชีวิตก็ตาม
แต่ผลของการบูชายัญผ่านพราหมณ์ บางครั้งก็ได้ผลตามที่ปรารถนา บางครั้งบูชายัญก็ไม่ได้ผลตามที่ปรารถนา พวกเขาใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น ๆ ถึงความไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งความปรารถนาไว้ เช่นผู้ทำพิธีบูชายัญเทพมีที่พึ่งเทพเจ้าหลายองค์ ไม่มีศรัทธาในเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งอย่างแท้จริง เมื่อผู้คนในอนุทวีปเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ในกฎธรรมชาติของชีวิต สิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ในการศึกษาหาความรู้ของพวกเขา ถูกจำกัดตามกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน จึงขาดปัญญาในการคิดโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล เป็นต้น
เมื่อพราหมณ์ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์ โลก และข้อพิสูจน์ของการมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น มักจะแสดงความคิดเห็นตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมา นักตรรกศาสตร์ นักปรัชญาบางครั้งอาจให้เหตุผลในการอธิบายความจริงอย่างถูกต้อง บางครั้งอาจใช้เหตุผลในการอธิบายความไม่ถูกต้อง เป็นต้น เมื่อเหตุผลของคำตอบมีลักษณะคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะย่อมไม่เชื่อว่าเป็นความเป็นความจริงและไม่ถือว่าคำตอบเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น
๒.๒ ยุคนักปรัชญาสมัยพุทธกาล ยุคนี้เป็นยุคแห่งการค้นพบความจริงของกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ ความจริงในพระพุทธศาสนามี ๒ ระดับคือความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อแนวคิดของมนุษย์ที่แสดงความคิดเห็นของเรื่องราวที่เล่าสืบทอดกันมาตั้งก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงสมัยพุทธกาล เช่นเรื่อง พระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา ก่อให้เกิดปัญหาในสังคมจากการสมสู่ข้ามวรรณะและปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น เมื่อผู้คนถูกลงโทษจากคนในสังคมโดยอ้างว่า เป็นการลงพรหมทัณฑ์ของพระพรหมไปตลอดชีวิต ไม่อาจกลับคืนสู่สถานเดิมในสังคมได้ ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อคนในสังคม เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นจัณฑาลผู้ลงโทษจากคนในสังคม ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนบนท้องถนนในพระนครกบิลพัสดุ์ แม้อยู่ในวัยชรา ยามเจ็บป่วยและเสียชีวิตอยู่บนท้องถนน เป็นต้น
พระองค์ทรงมีพระเมตตาและพระกรุณาธิคุณต่อมนุษย์ทั่วโลก ให้หลุดพ้นจากพันธนาการเรื่องการแบ่งชนชั้นวรรณะ เจ้าชายสิทธัตถะทรงมิเชื่อทันทีว่าเทพเจ้ามีอยู่จริง พระองค์ทรงสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ เมื่อมีพยานหลักฐานเพียงพอก็ใช้หลักฐานเหล่านั้น เป็นข้อมูลเพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุต่อไป
๒.๓ นักปรัชญาสมัยหลังพุทธกาล มีนักตรรกศาสตร์ นักปรัชญาเกิดขึ้นมากมาย เป็นมนุษย์ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และไม่ย่อมปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ แสวงหาผลประโยชน์จากการบูชาเช่นในสมัยก่อนพุทธกาล ยอมขาดปัญญาเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัติ แต่ผู้ไม่ประมาทในชีวิตเช่นพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนต่างต่าง ๆ ทั่วโลก
๒.๔ ยุคกรีกโบราณ:เป็นอภิปรัชญาเริ่มต้นชึ้นนักปรัชญากรีกเช่นเพลโตและอริสโตเติลได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติของความเป็นจริง ความรู้และจิตใจ ผลงานของพวกเขามีอิทธิพลต่อการพัฒนาอภิปรัชญาในยุคต่อมาเป็นอย่างมาก
๒.๕ ยุคกลางอภิปรัชญาในยุคกลางได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์ นักปรัชญาในยุคนี้มักจะมุ่งเน้นไปที่การพิสูจน์การมีอยู่เทพเจ้า และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับเหตุผล
๒.๖ ยุคเรเนซองส์ เป็นยุคฟื้นฟูศิลปะ วิทยาศาสตร์และปรัชญา นักปรัชญาในยุคนี้หันกลับไปศึกษาผลงานของนักปรัชญากรีกและเริ่มพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆ เช่น ลัทธิประจักษ์นิยม
๒.๗ ยุคใหม่ นักปรัชญาเป็นยุคสมัยใหม่มีการพัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพในยุคนี้ นักปรัชญาในยุคนี้ได้บูรณาการปรัชญาให้เข้ากับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เช่นลัทธิประจักษ์นิยมและลัทธิเหตุผลนิยม
๒.๘ ในยุคปัจจุบัน อภิปรัชญายังคงพัฒนาแนวคิดอย่างต่อเนื่องต่อไปมีแนวคิดใหม่ ๆ เช่น ลัทธิโครงสร้างนิยม และลัทธิหลังโครงสร้างนิยมได้เกิดขึ้น และมีการถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับคำถามพื้นฐานของอภิปรัชญา
ดังนั้น อภิปรัชญาเป็นสาขาที่สำคัญของปรัชญาที่ช่วยให้เราสามารถทำความเข้าใจโลกและตัวเราเองได้อย่างลึกซึ้ง การศึกษาอภิปรัชญาช่วยพัฒนาความคิดเชิงวิพากษ์ สร้างความหมายชีวิตและพัฒนาจริยธรรม อภิปรัชญามีความเป็นมาอันยาวนานและยังพัฒนาต่อไปจนถึงปัจจุบัน เป็นต้น
๓.ความสำคัญของอภิปรัชญา
วิชาอภิปรัชญา ไม่เพียงแต่เป็นการศึกษาความจริงของสิ่งต่าง ๆ เช่น มนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้าเท่านั้น สิ่งเหล่านี้รับรู้ผ่านอายตนะภายในของเราเองและสั่งสมเป็นข้อมูลทางอารมณ์ในจิตใจของเรา อย่างไรก็ตาม จิตใจไม่ได้มีธรรมชาติในการรับรู้และสั่งสมเรื่องราวต่างๆ ไว้เป็นข้อมูลทางอารมณ์ในจิตใจเท่านั้น มันยังมีธรรมชาติของการเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อจิตใจของมนุษย์รับรู้สิ่งใด มันก็จะคิดจากสิ่งนั้นโดยการวิเคราะห์ข้อมูลทางอารมณ์ผ่านการอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนั้น เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของสิ่งนั้น อย่างไรก็ตาม นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเหล่านี้ บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลอย่างผิด ๆ บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลอย่างนี้ บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเป็นอย่างนั้น เมื่อคำตอบที่ได้จากการวิเคราะห์นี้ยังคลุมเครือและไม่ชัด เจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าได้ยินความคิดเห็นของคำตอบดังกล่าว ย่อมไม่เชื่อถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงเรื่องนั้น ดังนั้น ปรัชญามีความสำคัญอย่างยิ่งในชีวิต โดยเราสามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงในเรื่องได้หลายประการ กล่าวคือ
๓.๑.การสร้างกรอบความคิด โดยทั่วไปแล้ว บางคนมีจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการอันไร้ขอบเขตและมีข้อจำกัดในเรื่องราวต่าง ๆ จนถึงจุดขั้นไม่สามารถเข้าใจความรู้ของเรื่องนั้น ๆ ได้อภิปรัชญาช่วยสร้างกรอบความคิดพื้นฐานเพื่อความเข้าใจ ช่วยให้เราวิเคราะห์และประเมินความเชื่อและความคิดของเราอย่างมีเหตุผล โดยการตั้งคำถามถึงธรรมชาติของความเป็นจริง เราจะสามารถเข้าใจความเชื่อและมุมมองต่าง ๆได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
๓.๒. การพัฒนาการคิดเชิงวิพากษ์ การศึกษาอภิปรัชญาช่วยพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ เราจะเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์ข้อโต้แย้ง ระบุข้อบกพร่องและการสร้างข้อโต้แย้งที่สมเหตุสมผล ทักษะเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจ การแก้ปัญหาหรือการโต้แย้งกับผู้อื่น เป็นต้น
๓.๓.การสร้างความหมายของชีวิต อภิปรัชญาช่วยให้เราสามารถสำรวจความหมายของชีวิต โดยการตั้งคำถามเกี่ยวกับเป้าหมาย คุณค่าและความหมายของการดำรงอยู่ เราจะสามารถค้นหาความหมายและจุดมุ่งหมายในชีวิตของเราได้และสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณค่า
๓.๔.การพัฒนาจริยธรรม อภิปรัชญาเกี่ยวข้องกับอย่างใกล้ชิดกับจริยธรรม การศึกษาอภิปรัชญาช่วยให้เราสามารถเข้าใจธรรมชาติของความดีความชั่วและความถูกต้องซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาจริยธรรมส่วนบุคคลและสังคมที่ดีขึ้น
อภิปรัชญา เป็นความรู้ของมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ทั้ง ๙ ดวงที่โคจรรอบตวงอาทิตย์ โลกและดวงอาทิตย์เป็นสสารที่มีแรงโน้มถ่วงของตัวเอง เมื่อโลกมีแรงโน้มถ่วงจึงดึงดูดดวงอาทิตย์เข้ามาหาตนเอง และในขณะเดียวกันอาทิตย์ก็มีแรงโน้มถ่วงของตัวเองเช่นกัน เมื่อดวงอาทิตย์และโลกต่างฝ่ายต่างใช้แรงโน้มถ่วงของตนเองดึงดูดซึ่งกัน และกัน แม้ว่าดวงอาทิตย์เป็นสสารที่มีพลังงานโน้มถ่วงมากกว่าโลก แต่ก็ไม่สามารถใช้แรงโน้มถ่วงของตัวเองดึงดูดโลกเข้าหาดวงอาทิตย์ได้มากกว่านี้แรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ทำให้โลกโคจรรอบดวงทิตย์เป็นรูปวงรีส่งผลให้โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์แตกต่างกันตลอดทั้งปีอุณหภูมิบนโลกไม่เท่ากันในแต่ละวัน มนุษย์จึงสมมติว่ามีฤดูกาลที่แตกต่างกันในแต่ละปี
เมื่อมนุษย์มีอาตนะภายในร่างกายในการรับรู้เรื่องราว แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงบนโลก เหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมมนุษย์ทั่วโลก ผู้คนมักอยากรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น สภาพอากาศ ภูเขา ลมทะเล หิมะถล่มหรือเรื่องราวของคนประสบความสำเร็จในชีวิต คนชั่วที่แทงคนตายในที่สาธารณะโรงเรียนหรือสถานีรถไฟฟ้า เป็นต้นเมื่อเราศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับปรัชญาตามเว็บไซต์ต่าง ๆบนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตเราได้ยินมาว่าสถานบันการศึกษาทั่วโลกเปิดสอนหลักสูตรปรัชญาและพระพุทธศาสนาเพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตของนักศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจในความจริงของชีวิตของตนเองจะมีอาจารย์ที่จะถ่ายทอดความรู้ด้านปรัชญาให้กับนิสิตรุ่นต่อไปที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมความรู้นั้นไว้ในจิตใจของตนสามารถนำความรู้ที่อยู่ในใจของตน ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อแก้ปัญหาที่เข้ามาในชีวิตได้ แต่เมื่อวิชาเหล่านี้คือความรู้ของมนุษย์ก็เกิดปัญหาที่ผู้เขียนสงสัยว่ามนุษยคือบ่อเกิดความรู้เชิงปรัชญา พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร?เป็นเรื่องที่เราควรศึกษาค้นคว้าให้มาก
เมื่อเราศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เราจะเห็นการพัฒนาความรู้ของมนุษย์ตั้งแต่สมัยรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ผู้คนเชื่อกันว่า มีเทพเจ้าหลายองค์พวกพราหมณ์อารยันได้แสดงหลักปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความมีอยู่ของเทพเจ้าด้วยการบูชายัญ จนเป็นที่นิยมมากจนผู้คนในอนุทวีปอินเดีย ตกลงที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพราหมณ์ด้วยการบูชาเทพเจ้าด้วยของมีค่าต่าง ๆและของบูชาเหล่านี้สร้างรายได้มหาศาลให้กับพราหมณ์นิกายต่าง ๆ ในสมัยนั้นคำสอนของพราหมณ์ เป็นทั้งหลักคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ได้กำหนดข้อห้ามการแต่งงานระหว่างวรรณะและห้ามปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น และมีการลงโทษอย่างรุนแรงสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ ด้วยการไล่ออกจากสังคมที่พวกเขาอาศัยไปตลอดชีวิต แต่ชาวอนุทวีปอินเดียส่วนใหญ่มีชีวิตที่อ่อนแอและมักขาดสติปัญญา ดังนั้นพวกเขาจึงดำเนินชีวิตตามตัณหาของตน จนไม่สามารถควบคุมจิตใจของตนได้ พวกเขาจึงฝ่าฝืนคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตวรรณะประเพณี โดยมีเพศสัมพันธ์กับผู้คนวรรณะต่าง ๆ หรือปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น พวกเขาจึงถูกคนในสังคมลงโทษด้วยการถูกไล่ออกจากสังคมที่ตนอยู่อาศัยไปตลอดชีวิตและเรียกคนเหล่านี้ว่า "จัณฑาล"
เจ้าชายสิทธัตถทรงเห็นว่าปัญหาจัณฑาลเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ สิ่งนี้ ทำให้พระองค์ทรงสงสัยในการมีอยู่ของเทพเจ้า แม้ว่าพระองค์จะทรงสำเร็จการศึกษาไปแล้ว ๑๘ สาขาแต่พระองค์ทรงไม่รู้เรื่องถึงการมีอยู่ของเทพเจ้า เพราะมันเป็นความรู้ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของพระองค์ที่จะรับรู้ได้ ยกเว้นการบูชายัญของพราหมณ์ผู้ทำพิธีเท่านั้น ส่วนพระองค์นั้นทรงไม่สามารถทำการบูชายัญ เพื่อขอพรพระพรหมเพื่อช่วยยกเลิกวรรณะในแคว้นสักกะ เพราะเป็นความผิดอย่างร้ายแรงต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยในความมีอยู่ของเทพเจ้า พระองค์ทรงชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องต่อไป พระองค์จึงทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากคำให้การของปุโรหิต ซึ่งเป็นผู้เป็นใหญ่ในประเทศสักกะและที่ปรึกษาของกษัตริย์ในเรื่องกฎหมาย ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี พระองค์ทรงได้ยินข้อเท็จจริง จากคำให้การของพราหมณ์ปุโรหิตว่าหลักคำสอนเรื่องเทพเจ้า เป็นคำสอนของอาจารย์ที่มีความเป็นมายาวนานแล้ว พวกเขาจึงตั้งทฤษฎีกำเนิดโลกและมนุษย์ว่าพระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างมนุษย์แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามว่าพระพรหมและพระอิศวรนั้นมีความเป็นมาอย่างไร? ไม่มีปุโรหิตคนใดตอบพระองค์ได้ เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่น่าสงสัยเช่นนี้ พระองค์ทรงไม่เชื่อเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน พระองค์ทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมในแคว้นสักกะ ด้วยการเสนอยกเลิกกฎหมายในแคว้นสักกะต่อรัฐสภาราชวงศ์ศากยะแห่งแคว้นสักกะ เมื่อสมาชิกรัฐสภาราชวงศ์ศากยะร่วมการพิจารณาในข้อกฎหมายตามกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดแห่งแคว้นสักกะ ซึ่งเป็นหลักบริหารประเทศสักกะนั้นสมาชิกรัฐสภาเห็นว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีแห่งแคว้นสักกะมาตรา ๓ ที่ห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้ว
ดังนั้น การมีอยู่จริงของพระพรหมและพระอิศวร ปัญหาอภิปรัชญาข้อแรกในพระพุทธศาสนาหรือปรัชญาพุทธภูมิ ก็คือสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อศึกษาและค้นคว้าการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร ญาณวิทยามีหน้าที่ให้คำตอบว่า เราจะรู้ความจริงเรื่องการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวรไดอย่างไร? เมื่อปัญหาเกี่ยวกับความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้า พระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้กับมนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่เกิดยังเป็นที่น่าสงสัยว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นความจริง? แต่ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้อีกต่อไป แต่ธรรมชาติของผู้เขียนมีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ที่มีข้อจำกัดในการรับรู้ความจริงจากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแคว้นสักกะ มาเป็นเวลากว่า ๒,๕๐๐ ปี ผู้เขียนจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงในเรื่องการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ และสร้างวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่เกิดมาตามคำสอนของพราหมณ์และมีความสมเหตุสมเหตุผลของความรู้หรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น