The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

บทนำ นักปรัชญาในสมัยอินเดียโบราณ

Introduction Philosophers in Ancient India


คำสำคัญ  นักปรัชญา   พระไตรปิฎก

๑.บทนำ 

                บทความนี้จะกล่าวถึงความเป็นมาและความสำคัญของนักปรัชญาอินเดียโบราณในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ  โดยทั่วไปแล้ว  พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่บรรจุความรู้และมุมมองเกียวกับแนวคิดต่าง ๆ  ของมนุษย์ โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ในภูมิภาคต่าง ๆ  ของอนุทวีปอินเดีย  ในทางรัฐศาสตร์     พระไตรปิฎกหลายฉบับกล่าวถึง "หลักธรรมะของพระมหากษัตริย์" ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญในการปกครองประเทศ หรือนักปรัชญาพุทธศาสนากล่าวว่า หลักธรรมะของกษัตริย์" เป็นหลักธรรมะสำหรับนักบริหารเรียกว่า "หลักราชอปริหานิยธรรม"  ในด้านปรัชญานั้น พระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณได้ระบุว่า พราหมณ์บางคนเป็นนักตรรกะ เป็นนักปรัชญานั้น    พวกเขาแสดงความเห็นตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผล และคาดคะเนความจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแต่นักตรรกะ นักปรัชญาเหล่านี้ บางครั้งก็ใช้เหตุผลที่ถูกต้อง  ไม่ถูกต้อง  ซึ่งทำให้การใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบขาดความน่าเชื่อถือ และน่าสงสัยในข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้น เป็นต้น  วิญญูชนจะไม่ยอมรับความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น     

             เมื่อนักตรรกะ นักปรัชญาให้เหตุผล   เพื่อตอบสังคมในเรื่องนั้นแล้ว   แต่ข้อเท็จจริงของเรื่องนั้นยังคงสงสัย คนในสังคมจะสงสัยถึงต้นกำเนิดของความรู้เกี่ยวกับนักปรัญา  องค์ประกอบของความรู้เกี่ยวกับนักปรัชญา  วิธีพิจารณาความจริงเกี่ยวกับนักปรัชญาและความสมเหตุสมผลของความรู้เกี่ยวกับนักปรัชญานั้น    เป็นหน้าที่ของนักตรรกะ นักปรัชญาจะต้องให้เหตุผล     เพื่ออธิบายความจริงกับสังคมต่อไปอีกว่า "เราจะได้อย่างไรว่าเป็นความจริง"        เมื่อเราศึกษาความหมายของคำว่า "นักปรัชญา" เป็นเรื่องยากสำหรับผู้เขียน  เพราะแนวคิดเรื่องนักปรัชญาในสมัยพุทธกาล อาจไม่ตรงกับคำจำกัดความของนักปรัชญาที่เราเข้าใจในปัจจุบันอย่างชัดเจน  แต่แนวคิดเกี่ยวกับนักปรัชญาในปัจจุบัน เราอาจต้องมองไปที่บุคคลสำคัญที่มีความคิดเห็นและคำสอน ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตและสังคม ซึ่งในพระไตรปิฎกมีอยู่มากมาย 

                โดยทั่วไปแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าสอนเพียงเรื่องเดียวคือชีวิต ซึ่งเรียกว่า  เบ็ญจขันธ์" นั้น   มนุษย์มีองค์ประกอบชีวิต  ๕ อย่างคือ รูป  เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ  เป็นต้น  เนื่องจากความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ  เป็นความรู้ของมนุษย์ ในยุคปัจจุบัน นักตรรกะและนักปรัชญ์สมัยใหม่ จึงบูรณาการความรู้ของพระพุทธศาสนาเข้ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในลักษณะสอดคล้องกัน ทั้งนี้ ความรู้ทางปรัชญา พุทธศาสนา และวิทยาศาสตร์ล้วนเป็นความรู้ของมนุษย์ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น   เราสามารถคิดโดยใช้เหตุผลเพื้ออธิบายความจริงของมนุษย์ได้ดังนี้  

         รูปหมายถึงสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยตา   ซึ่งเป็นที่อยู่ของจิตหรือวิญญาณของมนุษย์   ดำรงอยู่ได้ชั่วระยะหนึ่งแล้วร่างกายจะเสื่อมลงไป    เมื่อร่างกายตาย จิตไม่สามารถใช้อายตนะภายในร่างกายได้อีก จะต้องออกจากร่างกายไปเกิดในภพชาติอื่นต่อไป  เมื่อความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ  เป็นความรู้ในระดับประสาทสัมผัส มีลักษณะเกิดขึ้น   ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นแล้วก็เสื่อมสายไป ถือเป็นความจริงที่สมมติขึ้น นักปรัชญ์ซึ่งเป็นเจ้าของศาสตร์นั้น   ก็จะพัฒนาความรู้ในศาสตร์ของตนอยู่ตลอดเวลา  เมื่อเห็นจุดบกพร่องในสาขาวิชาของตน เขาก็ใช้ความรู้นั้นพัฒนาและให้ก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลาเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์  โดยใช้ความรู้เหล่านั้นในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวก      

            เวทนาหมายถึง    ภาวะของจิตที่แสดงความรู้สึกผ่านทางร่างกาย       เกิดขึ้นเมื่ออายตนะภายในร่างกายรับรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วเก็บเรื่องราวเหล่านั้น ไว้เป็นสัญญาในจิตใจแล้วคิดหรือสร้างอารมณ์เหล่านั้นขึ้นมาเป็นภาพขึ้นที่เรียกว่า "จินตนาการ"  แล้ว     จิตใจจึงแสดงพฤติกรรมออกมาผ่านร่างกาย  เช่น ความรู้สึกสุข ทุกข์    เป็นต้น " มนุษย์สามารถคิดโดยใช้เหตุผลอธิบายความคิดของตนเกี่ยวกับสิ่งต่าง  ๆ  ที่เกิดขึ้นในชีวิต  หรือ ความฝันที่ต้องการความสำเร็จในชีวิต      หรือแสวงหาปัจจัย ๔  มาใช้ในชีวิตประจำวัน     และดำรงอยู่ต่อไปในสังคมมนุษย์ได้      เมื่อมนุษย์มีเหตุผลในการกระทำและสามารถคิดได้เรียกว่า  "ปัญญา"  แต่ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่เที่ยง  เมื่อเกิดมาจากปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดา จะอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งจากนั้นชีวิตก็จะตายไปจากโลกมนุษย์                

             มีปัญหาที่น่าสงสัยว่า  เมื่อชีวิตตายไป   มนุษย์มีชีวิตหลังความตายมีอยู่           หรือไม่  ตามคำสอนของนักปรัชญาอินเดียโบราณหลายคนเห็นพ้องกันว่า พระพรหมเป็นผู้สร้างมนุษย์จากร่างของพระองค์  เมื่อมนุษย์ตายไป  ชีวิตก็จะหายไป           และไม่มีชีวิตหลังความตายอีกต่อไป      อย่างไรก็ตามตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงค้นพบโดยการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘           จนพระองค์ทรงมีดวงตาทิพย์ที่เหนือกว่ามนุษย์ทั้งปวง        พระองค์ทรงเห็นดวงวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายทั้งใหญ่ทั้งเล็กที่ตายไปแล้ว   ก็จะละทิ้งร่างไปเกิดในภพชาติอื่น  ผู้ใดทำความดีที่เรียกว่า "บุญ"         มีกายสุจริต พูดสุจริตและคิดสุจริต ดวงวิญญาณนั้นย่อมไปสวรรค์ หรือไปเกิดในดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ที่ประชาชนอยู่ได้อย่างสงบตามหลักศีลธรรมอันดีงามของประชาชนตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและกฎหมายบ้านเมือง  ถ้าผู้ใดกระทำความชั่วที่เรียกว่า "อกุศลกรรม"    มีกายทุจริต พูดจาทุจริตและมีความคิดทุจริตเพราะเป็นการทรยศต่อประเทศในด้านการศึกษา   เศรษฐกิจ          การศาสนา  การเมืองและไม่กตัญญูต่อสถาบันพระมหากษัตริย์  ที่สร้างบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เป็นสุข       เมื่อกระทำความชั่ว  กรรมนั้นจะสั่งสมไว้ในใจแล้วดวงวิญญาณไปชดใช้กรรมชั่วที่ตนทำไว้ในนรก  เป็นต้น  

            การที่พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงเห็นดวงวิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย ปฏิสนธิในครรภ์ของมารดานั้น   ก็ขัดแย้งและหักล้างคำสอนของพวกพราหมณ์อารยันที่สอนว่า พระพรหมและพระอิศวร  ทรงสร้างมนุษย์จากร่างของพระองค์และสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้น   ปฏิบัติหน้าที่ ตามวรรณะที่ตนเกิดมา เมื่อคำสอนของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงขัดแย้งและหักล้างการเลือกปฏิบัติที่สังคมมีต่อมนุษย์ คำสอนของพวกพราหมณ์อารยันจึงขาดความน่าเชื่อและไม่อาจยอมรับได้ว่าเป็นความจริง

             เมื่อผู้เขียนศึกษาเรื่อง "นักปรัชญา"   ในสมัยพุทธกาลจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ  ฟังได้มีเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น คือมีนักตรรกะและนักปรัชญาหลายสำนักที่สามารถคิดและใช้เหตุผลอธิบายความจริงเรื่องมนุษย์ได้ เช่น สถาบันการของครูวิศวมิตร  ครูปกุธะ กัจจายนะ  ครูสัญชัย เวลัฏฐบุตร  เป็นต้น  ความคิดเห็นทางปรัชญาจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ  และหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาและการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘  ของพระพุทธเจ้า ผ่านการตระหนักรู้และสั่งสมอยู่ในจิตใจของพระอานนท์ พระอรหันต์นับพันองค์ เพื่อไม่ให้ความรู้สูญหายไปพร้อมกับความตายหรือพระนิพพาน  พระอรหันต์หลายพันรูปได้ถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธเจ้าและการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ โดยบอกเล่าปากต่อปาก (มุขปาฐะ) ให้กับพระอรหันต์รุ่นต่อ ๆ ไป เพื่อรักษาพระธรรมวินัยและการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าไว้ในพระไตรปิฎกทั้งนิกายเถรวาทและมหายาน มีการสืบสานความรู้ในพระไตรปิฎกโดยการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘      เพื่อบรรลุสัจธรรมแห่่งชีวิตตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าจนถึงปัจจุบัน  ในการต่อยอดความรู้นั้น นักจิตวิทยาสามารถนำความรู้เรืื่องจิตจากคำสอนของพระพุทธเจ้า มาพัฒนาความรู้ด้านจิตวิทยาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าให้คงอยู่ต่อไปได้ ทำให้จิตของชาวพุทธทั่วโลกให้มีสติสัมปชัญญะและตื่นรู้ ในปัจจุบันและสามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ด้วยตนเอง 

                    เมื่อผู้เขียนฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับนักตรรกะ นักปรัชญาในยุคก่อนพุทธกาล  ผู้เขียนก็ไม่ได้เชื่อทันทีว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง แต่สงสัยไว้ก่อนว่า พวกเขามีภูมิหลังอย่างไร ?  อย่างไรก็ตาม         ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้เกี่ยวกับนักปรัชญาต่อไป กระบวนการพิจารณาความจริงของความเป็นนักปรัชญานั้น        จะเริ่มต้นด้วยการสืบเสาะหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนักปรัชญาและรวบรวมหลักฐาน        เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว               ผู้เขียนก็จะใช้หลักฐานดังกล่าวเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้  หรือคาดคะเนความจริงโดยใช้เหตุผล  ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา       ในการอธิบายความเป็น "นักปรัชญา"  อย่างสมเหตุสมผล          คำตอบที่ได้จากการคาดคะเนความจริงอย่างมีเหตุผลนั้น          จะเขียนเป็นบทความวิเคราะห์ที่เป็นประโยชน์ในการศึกษาเชิงวิเคราะห์ในหลักสูตรต่าง   ๆ  ที่เปิดสอนในสถาบันการศึกษา  และมหาวิทยาลัยทั่วราชอาณาจักรไทยและทั่วโลกเป็นการศึกษาด้านพุทธศาสนาที่บูรณาการกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ เราจะเห็นขอบเขตของการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในหลากหลายสาขา      ที่เราสามารถประยุกต์ความรู้ในเรื่องนั้น ๆ  ได้อย่างถูกต้อง ตามจุดประสงค์ของการศึกษาในวิชานั้น ๆ ไปในทิศทางเดียวกัน  ไม่ใช่การศึกษาเพื่อรู้เท่านั้น แต่ไม่นำความรู้ไปใช้ได้เลย  ถือเป็นการลงทุนด้านการศึกษาที่สิ้นเปลือง       กระบวนการวิเคราะห์องค์ประกอบรู้ของ "นักปรัชญา" จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาระดับปริญญาเอกทุกสาขาวิชา       และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการศึกษาพระพุทธศาสนาและปรัชญา        เพื่อพัฒนาราชอาณาจักรไทยให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาของโลก  โดยใช้แพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตสร้างศูนย์การเรียนรู้ระดับโลกได้ด้วยอินเตอร์เน็ตสมัยใหม่ ผู้คนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ทั่วโลก   

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ