The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

บทนำสู่นักปรัชญาในสมัยอินเดียโบราณ

Introduction to the Philosophers of  Ancient India


คำสำคัญ  นักปรัชญา   อินเดียโบราณ

๑.บทนำ 

               บทความนี้กล่าวถึงภูมิหลังและความสำคัญของนักปรัชญาอินเดียโบราณดังที่ปรากฏในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยโดยทั่วไปแล้ว  พระไตรปิฎกถือเป็นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่บรรจุความรู้และมุมมองเกียวกับแนวคิดต่าง ๆ  ของมนุษย์ซึ่งเป็นนักตรรกะและนักปรัชญาในสมัยพุทธกาล ได้นำเสนอโดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับ "ชีวิตมนุษย์"     ในภูมิภาคต่าง ๆ  ของอนุทวีปอินเดีย ในทางรัฐศาสตร์ พระไตรปิฎกหลายฉบับอ้างถึงธรรมของกษัตริย์     ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ปกครองอาณาจักรต่าง ๆ ในอนุทวีปอินเดียหรือนักปรัชญาชาวพุทธกล่าวว่า "ธรรมของกษัตริย์" ซึ่งเป็นหลักการสำหรับผู้บริหารในการปกครองประเทศ ซึ่งเรียกว่า"อปริหานิยธรรม" 

               นักปรัชญา   ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนั้นพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า พราหมณ์บางคนในโลกเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญานั้น    เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เช่นเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์  โลก        ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และหลักฐานการมีอยู่ของเทพเจ้าพวกเขามักจะแสดงความคิดเห็นในเรื่องเหล่านี้ โดยใช้เหตุผลของตนเองหรือคาดคะเนความจริงจากเรื่องราวที่ได้ยินมา อย่างไรก็ตามนักตรรกะและนักปรัชญาเหล่านี้มักแสดงความคิดเห็น โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างไม่ถูกต้อง  บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะอย่างนี้ บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลในลักษณะอย่างนั้น  สิ่งนี้เหตุผลที่นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงอย่างคลุมเครือ และยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับภูมิหลังของเรื่องนั้น ๆ     วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะได้ยินความเห็นของเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ก็จะไม่เชื่อว่าเป็นความจริงและจะสงสัยในความจริงของคำตอบในปัญหาเหล่านั้น และพวกเขาจะไม่ยอมรับสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนี้     

             เมื่อนักตรรกศาสตร์และ นักปรัชญาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว   แต่ข้อเท็จจริงยังคงน่าสงสัย ผู้มีปัญญาเช่นเจ้าชายสิทธัตถะได้ยินความคิดเห็นดังกล่าวและจะทรงสงสัยถึงต้นกำเนิดของความรู้เกี่ยวกับนักปรัญา  องค์ประกอบของความรู้เกี่ยวกับนักปรัชญา  วิธีพิจารณาความจริงเกี่ยวกับนักปรัชญา และความสมเหตุสมผลของความรู้เกี่ยวกับนักปรัชญา    สิ่งเหล่านี้คือหน้าที่ของนักตรรกศาสตร์ นักปรัชญาจะต้องให้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงให้สังคมเข้าใจมากขึ้นโดยตั้งคำถามว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงเมื่อศึกษาความหมายของ "นักปรัชญา"      ผู้เขียนพบว่าเป็นการยาก  ที่จะเข้าใจองค์ประกอบของการเป็นนักปรัชญาเนื่องจากนิยามของนักปรัชญาในสมัยพุทธกาล อาจไม่สอดคล้องกับนิยามของนักปรัชญาที่เราเข้าใจในปัจจุบัน  อย่างไรก็ตาม ในส่วนของแนวคิดเรื่ององค์ประกอบของนักปรัชญาในปัจจุบันนั้น    นักวิชาการหลายคนแสดงความคิดเห็นเรื่ององค์ประกอบของนักปรัชญา โดยใช้เหตุผลอธิบายเรื่องนี้แตกต่างกัน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาที่ว่านักวิชาการคนแสดงความคิดเห็นได้ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ได้      ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงสร้างกระบวนพิจารณาความจริงที่สมมติขึ้นมา และความจริงขั้นปรมัตถ์ เพื่อยุติข้อพิพาททางสังคมเรื่องความจริงทางศาสนา   ในยุคปัจจุบันก็มีกระบวนพิจารณาความจริงที่สมมติขึ้น เช่นวิธีจารณาคดีอาญา, วิธีพิจารณาคดีแพ่งของศาล เป็นต้น              

           โดยทั่วไปแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าสอนเพียงเรื่องเดียวคือชีวิต ซึ่งเรียกว่า  เบ็ญจขันธ์" นั้น  มนุษย์มีองค์ประกอบชีวิต  ๕ อย่างคือ รูป  เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ  เป็นต้น  เนื่องจากความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ  เป็นความรู้ของมนุษย์ ในยุคปัจจุบัน นักตรรกะและนักปรัชญ์สมัยใหม่ จึงบูรณาการความรู้ของพระพุทธศาสนาเข้ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในลักษณะสอดคล้องกัน ทั้งนี้ ความรู้ทางปรัชญา พุทธศาสนา และวิทยาศาสตร์ล้วนเป็นความรู้ของมนุษย์ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น   เราสามารถคิดโดยใช้เหตุผลเพื้ออธิบายความจริงของมนุษย์ได้ดังนี้  

         รูปหมายถึงสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยตา   ซึ่งเป็นที่อยู่ของจิตหรือวิญญาณของมนุษย์   มีอยู่ชั่วระยะหนึ่ง   แล้วร่างกายก็เสื่อมสลาย    เมื่อร่างกายตายลง จิตใจไม่สามารถใช้อายตนะภายในร่างกายได้อีก จะต้องออกจากร่างกายไปเกิดในภพชาติอื่นต่อไป  เมื่อความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ  เป็นความรู้ในระดับประสาทสัมผัส มีลักษณะเกิดขึ้น   ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นแล้วก็เสื่อมสายไป ถือเป็นความจริงที่สมมติขึ้น นักปรัชญ์ซึ่งเป็นเจ้าของศาสตร์นั้น   ก็จะพัฒนาความรู้ในศาสตร์ของตนอยู่ตลอดเวลา  เมื่อเห็นจุดบกพร่องในสาขาวิชาของตน เขาก็ใช้ความรู้นั้นพัฒนาและให้ก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลาเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์  โดยใช้ความรู้เหล่านั้นในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวก    

            เวทนาหมายถึงภาวะของจิตที่แสดงความรู้สึกผ่านทางร่างกาย  เกิดขึ้นเมื่ออายตนะภายในร่างกายรับรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วเก็บเรื่องราวเหล่านั้น ไว้เป็นสัญญาในจิตใจแล้วคิด หรือสร้างอารมณ์เหล่านั้นเป็นภาพขึ้นมาในจิตใจ ที่เรียกว่า "จินตนาการ"  แล้ว     จิตใจจึงแสดงพฤติกรรมออกมาผ่านร่างกาย เช่น ความรู้สึกสุข ทุกข์  เป็นต้น " มนุษย์สามารถคิดโดยใช้เหตุผลอธิบายความคิดของตนเกี่ยวกับสิ่งต่าง  ๆ  ที่เกิดขึ้นในชีวิต  หรือ ความฝันที่ต้องการความสำเร็จในชีวิต      หรือแสวงหาปัจจัย ๔  มาใช้ในชีวิตประจำวันและดำรงอยู่ต่อไปในสังคมมนุษย์ได้         เมื่อมนุษย์มีเหตุผลในการกระทำและสามารถคิดได้เรียกว่า  "ปัญญา"  แต่ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่เที่ยง  เมื่อเกิดมาจากปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดา จะอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งจากนั้นชีวิตก็จะตายไปจากโลกมนุษย์                

             มีปัญหาที่น่าสงสัยว่า  เมื่อชีวิตตายไป  มนุษย์มีชีวิตหลังความตายมีอยู่หรือไม่  ตามคำสอนของนักปรัชญาอินเดียโบราณหลายคนเห็นพ้องกันว่า พระพรหมเป็นผู้สร้างมนุษย์จากร่างของพระองค์  เมื่อมนุษย์ตายไปชีวิตก็จะหายไป และไม่มีชีวิตหลังความตายอีกต่อไป  อย่างไรก็ตามตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงค้นพบโดยการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ จนพระองค์ทรงมีดวงตาทิพย์ที่เหนือกว่ามนุษย์ทั้งปวง พระองค์ทรงเห็นดวงวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายทั้งใหญ่ทั้งเล็กที่ตายไปแล้วก็จะละทิ้งร่างไปเกิดในภพชาติอื่น ผู้ใดทำความดีที่เรียกว่า "บุญ"  มีกายสุจริต พูดสุจริตและคิดสุจริต ดวงวิญญาณนั้นย่อมไปสวรรค์ หรือไปเกิดในดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ที่ประชาชนอยู่ได้อย่างสงบตามหลักศีลธรรมอันดีงามของประชาชน ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและกฎหมายบ้านเมือง  ถ้าผู้ใดกระทำความชั่วที่เรียกว่า "อกุศลกรรม" มีกายทุจริต พูดจาทุจริต และมีความคิดทุจริตเพราะ เป็นการทรยศต่อประเทศในด้านการศึกษา   เศรษฐกิจ การศาสนา  การเมืองและไม่กตัญญูต่อสถาบันพระมหากษัตริย์  ที่สร้างบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เป็นสุข       เมื่อกระทำความชั่ว  กรรมนั้นจะสั่งสมไว้ในใจแล้วดวงวิญญาณไปชดใช้กรรมชั่วที่ตนทำไว้ในนรก  เป็นต้น  

            การที่พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงเห็นดวงวิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย ปฏิสนธิในครรภ์ของมารดานั้น ก็ขัดแย้งและหักล้างคำสอนของพวกพราหมณ์อารยันที่สอนว่า พระพรหมและพระอิศวร  ทรงสร้างมนุษย์จากร่างของพระองค์และสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้น   ปฏิบัติหน้าที่ ตามวรรณะที่ตนเกิดมา เมื่อคำสอนของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงขัดแย้ง และหักล้างการเลือกปฏิบัติที่สังคมมีต่อมนุษย์ คำสอนของพวกพราหมณ์อารยันจึงขาดความน่าเชื่อและไม่อาจยอมรับได้ว่าเป็นความจริง

             ดังนั้น เมื่อผู้เขียนได้ยินเรื่องราวของ "นักปรัชญา"   ในสมัยพุทธกาลจากคำสอนของครูบาอาจารย์ในห้องเรียน และศึกษาด้วยตนเองจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ  ได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า นักตรรกะและนักปรัชญาหลายสำนัก ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์   เช่น  สถาบันการศึกษาของครูวิศวมิตร  ครูปกุธะ กัจจายนะ  ครูสัญชัย เวลัฏฐบุตร  เป็นต้น เมื่อผู้เขียนได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับนักตรรกะ     นักปรัชญาในยุคก่อนพุทธกาล  ผู้เขียนไม่ได้เชื่อในทันทีว่าเป็นเรื่องจริง แต่สงสัยในข้อเท็จจริงก่อนว่า ต้นกำเนิดความรู้ของการเป็นนักตรรกะและนักปรัชญาเป็นอย่างไร?  องค์ประกอบความรู้ของการเป็นนักตรรกะและนักปรัชญามีอะไรบ้าง    กระบวนการพิจารณาความจริงของการเป็นนักตรรกะ  เป็นนักปรัชญานั้นทำอย่างไร  และความสมเหตุสมผลของการเป็นนักตรรกะและนักปรัชญาสอดคล้องต้องกันอย่างไร เป็นต้น       โดยผู้เขียนจะสืบเสาะหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนักปรัชญาและนักตรรกะและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว    ผู้เขียนก็จะใช้หลักฐานดังกล่าวเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้  หรือคาดคะเนความจริงโดยใช้เหตุผล   ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความเป็น "นักปรัชญา"  อย่างสมเหตุสมผล    

                  คำตอบที่ได้จากการคาดคะเนความจริงอย่างมีเหตุผลนั้น  จะเป็นบทความวิเคราะห์ที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิชาต่าง   ๆ  ที่เปิดสอนในสถาบันการศึกษา       และมหาวิทยาลัยทั่วราชอาณาจักรไทยและทั่วโลก         เป็นการศึกษาด้านพระพุทธศาสนาที่บูรณาการ        กับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อย่างสอดคล้องกัน     เราจะเห็นขอบเขตของการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในสาขาต่าง ๆ    ได้ชัดเจนขึ้น       และสามารถประยุกต์ความรู้ในเรื่องนั้นได้อย่างถูกต้อง  ตามจุดประสงค์ของการศึกษาในวิชานั้น ๆ ไปในทิศทางเดียวกัน    ไม่ใช่การศึกษาเพื่อรู้อีกต่อไป      หากผู้เรียนยังไม่สามารถนำความรู้ในวิชานั้นไปประยุกต์ใช้ได้แล้ว  ถือเป็นการลงทุนด้านการศึกษาที่สิ้นเปลือง  กระบวนการวิเคราะห์องค์ประกอบรู้ของ      "นักปรัชญา" จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาระดับปริญญาเอกทุกสาขาวิชา  และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการศึกษาพระพุทธศาสนาและปรัชญาเพื่อพัฒนาราชอาณาจักรไทย ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาของโลก     โดยใช้แพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตสร้างศูนย์การเรียนรู้ระดับโลกและผู้คนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้นี้ได้ทั่วโลก   

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ