The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

หลักฐานพิสูจน์พุทธประวัติเกี่ยวกับสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงหนีไปผนวช

 Epistemology problems:  The  reason why Prince Siddhartha fled to ordain

บทนำ   

        เมื่อเราศึกษาลักษณะของความรู้ทางปรัชญาและศาสนาพราหมณ์ ทั้งสองสาขาเป็นความรู้ของมนุษย์และมีบ่อเกิดความรู้เดียวกันจากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจ แต่เนื้อหาของความรู้ทั้งสองสาขานั้นแตกต่างกันอย่างไร ? เป็นเรื่องที่น่าสนใจและเราควรศึกษาให้เข้าใจอย่างชัดเจนในเนื้อหาของความรู้ที่แท้จริง และกระบวนการคิดจากหลักฐานพิสูจน์แตกต่างกันอย่างไร สามารถตีความข้อเท็จจริงและแยกแยะความไม่สมบูรณ์ของเนือหาทั้งสองสาขาได้อย่างชัดเจน กล่าวคือ ความรู้ในศาสนาเทวนิยม เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงของคำสอนของพราหมณ์แล้ว ต้องเชื่ออย่างมั่นใจว่าเป็นความจริงโดยไม่ต้องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกถือว่าเป็นความเชื่อทางศาสนาเทวนิยมไป ส่วนความรู้ทางปรัชญานั้น เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใด ต้องมีพยานหลักฐานพิสูจน์ความจริงนั้น  หากไม่มีพยานหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ถือข้อเท็จจริงเราได้ยินมานั้นจากพยานหลักฐานเพียงคนเดียว ข้อเท็จจริงจึงมีน้ำหนักของเหตุผลน้อย อาจจะมีอคติในใจและไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นความจริงได้ ในการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ นักปรัชญาจึงเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาว่าตามแนวคิดทางญาณวิทยาว่าด้วยบ่อเกิดความรู้ของมนุษย์นั้น นักปรัชญาจึงสร้างทฤษฎีความรู้ขึ้นมาหลายทฤษฎีเพื่อสืบเสาะข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานมาพิสูจนความจริงของคำตอบของปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับความจริงของเรื่องต่าง ๆ  นั้น

         ในการเขียนบทความเรื่องสาเหตุทีเจ้าชายสิทธัตถะทรงหนีไปผนวชนั้น ผู้เขียนได้เลือกทฤษฎีความรู้ประจักษ์นิยมเป็นหลักในการวิเคราะห์ข้อมูลจากหลักฐานซึ่งเป็นที่มาของความรู้ เช่น พยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานวัตถุ เป็นต้น ทฤษฎีความรู้นี้ได้กำหนดกฎจากแนวคิดว่า "บ่อเกิดความรู้ของมนุษย์ต้องรับรู้ทางประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้นจึงจะถือว่าข้อเท็จจริงนั้นเป็นความรู้ที่แท้จริง" ตามทฤษฎีความรู้ที่กล่าวข้างต้น ผู้เขียนตีความว่าหลักฐานที่จะยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงหนีไปผนวชได้ เฉพาะหลักฐานเป็นพยานบุคคลที่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของบุคคลนั้นเท่านั้น จึงจะรับฟังเป็นพยานได้ หากไม่มีความรู้เชิงประจักษ์ก็รับฟังเป็นพยานบุคคลไม่ได้  ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมาจากความรู้จากประสบการณ์ชีวิตของพระอานนท์ที่ถวายงานรับใช้พระพุทธเจ้าอย่างใกล้ชิด และเป็นพระญาติที่มีเชื้อสายศากยวงศ์เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ดังนั้นความรู้ของพระอานนท์ถือว่าเป็นความรู้จากประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัสของพระอานนท์ เมื่อถ่ายทอดด้วยวิธีการมุขปาฐะและเป็นตัวอักษรในพระไตรปิฎกถือว่าเป็นพยานเอกสารที่รับฟังได้ 


         เมื่อผู้เขียนค้นคว้าหลักฐานจากพระไตรปิฎกเล่มที่๑๓ พระสุตันตปิฎกเล่มที่ ๕  (ฉบับมหาจุฬาฯ)มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปันนาสก์ ๕.จังกีสูตรว่าด้วยพราหมณ์ชื่อจังกี [๔๒๕]...ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า พระสมณโคดมทรงสละเงินทองมากมายทั้งที่ฝั่งอยู่ในพื้นดินและในอากาศ ผนวชแล้ว ฯลฯ พระสมณโคดมกำลังหนุ่มแน่นมีพระเกศาดำสนิท  ทรงพระเจริญวัยอยู่ในปฐมวัยเสด็จออกจากพระราชวังเป็นบรรพชิตฯลฯ เมื่อพระชนกและพระชนนีไม่ทรงปรารถนา (จะให้เสด็จออกผนวช) มีน้ำพระเนตรชุ่มพระพักตร์ทรงกันแสงอยู่พระสมณโคดมทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุแล้วครองผ้ากาสาวพัสตร์เสด็จออกจากพระราชวังผนวชเป็นบรรพชิด ฯลฯ  และหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๐ พระสุตันตปิฎกเล่มที่๒๒  (ฉบับมหาจุฬา ฯ )  ขุททกนิกายจุฬนิทเทส[ปารานยวรรค] ๖.ปารายนัตถุติคาถานิทเทสข้อ ๑๐๗....พระผู้มีพระภาคชื่อว่าทรงเป็นเอกบุรุษ เพราะส่วนแห่งการบรรพชา เป็นอย่างไร  คือ พระผู้มีพระภาค ยังทรงหนุ่มแน่น มีพระเกศาดำสนิทดี  เพรียบพร้อมความหนุ่มฉกรรจ์ในปฐมวัย เมื่อพระชนกและพระชนนีมีน้ำพระเนตรชุ่มพระพักตร์ ทรงกันแสงร่ำไห้ไม่ปรารถนา (ให้ผนวช) ทรงละหมู่พระญาติ ทรงตัดความกังวลในการครองเรือน ความกังวลด้วยพระโอรสและพระเหสี ความกังวลด้วยพระญาติ ความกังวลด้วยพระสหายและอำมาตย์ ความกังวลด้วยสั่งสมทุกอย่าง ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวะ เสด็จออกผนวชจากพระราชวังเป็นบรรพชิด ฯลฯ  

         ผู้เขียนฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ข้างต้นและผู้เขียนตึความได้ว่าเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะยังทรงพระเยาว์ในวัย ๒๙ พรรษาและทรงเห็นปัญหาของประเทศที่จัณฑาลต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนข้างถนนในพระนครกบิลพัสดุ์ เพราะขาดสิทธิและหน้าที่ในการทำงาน  การศึกษา  การบูชาตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ของนิกายตนเองเป็นต้น  และพวกเขาได้แต่งงานข้ามวรรณะถือเป็นการละเมิดกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยศีลธรรมอันดีของประชาชน กฎหมายมีสภาพบังคับโดยให้อำนาจกับผู้คนในสังคมสามารถลงโทษจัณฑาลด้วยการขับไล่ออกจากถิ่นพำนักอาศัยในสังคมนั้นได้จัณฑาลต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนในพระนครใหญ่เป็นต้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของพวกจัณฑาลทำให้เกิดความทุกข์ในพระทัยของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลจากปัญหาจัณฑาลเป็นเวลาหลายวัน และทรงพบข้อเท็จจริงว่าสาเหตุเกิดความเชื่อในพระพรหมสร้างมนุษย์ และสร้างวรรณะให้สิทธิและหน้าที่ทำงานตามวรรณะที่ตนเกิด  แต่ไม่เคยมีใครเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะ ยกเว้นปุโรหิตซึงเป็นพราหมที่ปรึกษาวรรณะกษัตริย์ในด้านกฎหมายจารีตประเพณี กล่าวอ้างขึ้นมาว่าคนที่เกิดก่อนเคยเห็นพราหมณ์ในแคว้นสักกะมาก่อนแต่ไม่มีหลักฐานมายืนยัน และเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามประวัติความเป็นมาของพระพรหมและพระอิศวร แต่ไม่มีปุโรหิตซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองตอบพระองค์ได้ ดังนี้พระองค์ตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมในแคว้นสักกะโดยเสนอร่างกฎหมายให้สมาชิกรัฐสภาร่วมกันพิจารณาและลงมิติเห็นว่าการเสนอยกกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการยกเลิกวรรณะขัดต่อหลักอปริหานิยธรรม ซึ่งเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตปะเพณีในการปกครองประเทศ เป็นต้น และปุโรหิตที่ปรึกษาของวรรณะกษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองแนะนำว่าหากยกเลิกกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะแล้วเป็นเรื่องยากที่จะปกครองแคว้นสักกะให้เจริญรุ่งเรืองเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่เสื่อมเลย  เป็นต้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่สามารถปฏิรูปสังคมได้  พระองค์ทรงเห็นว่าทางเดียวที่จะช่วยเหลือจัณฑาลและมนุษย์ทุกคนได้พระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะสละวรรณะกษัตริย์และทรงออกผนวชเป็นบรรพชิตเพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตของพระองค์ให้บรรลุถึงความจริงของชีวิตว่า พระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้กับมนุษย์ตามที่พราหมณ์กล้าวอ้างหรือไม่ 

        เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกได้กล่าวว่า "เมื่อพระชนกและพระชนนีมีน้ำพระเนตรชุ่มพระพักตร์ ทรงกันแสงร่ำไห้ไม่ปรารถนา (ให้ผนวช)" แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการออกผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะทรงทูลขอพระราชอนุญาตต่อพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางปชาบดีโคตรมีเพื่อทรงออกผนวชจริง แต่พระราชบิดาและพระมารดาเลี้ยงทรงมิได้อนุญาตให้พระองค์ทรงออกผนวชแต่อย่างใด ทั้งสองพระองค์ทรงกันแสงร่ำไห้ด้วยความเสียพระทัยและหลักฐานในพระไตรปิฎกได้กล่าวอีกว่า "ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวะ เสด็จออกผนวชจากพระราชวังเป็นบรรพชิต ฯลฯแสดงให้ชัดเจนว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวชตั้งแต่อยู่ในพระราชวังจึงเสด็จหนีออกผนวชในวันประสูติของเจ้าชายหาหุล ส่วนข้อความที่กล่าวว่าพระองค์ทรงละหมู่พระญาติ ทรงตัดความกังวลในการครองเรือน ความกังวลด้วยพระโอรสและพระเหสี ความกังวลด้วยพระญาติ ความกังวลด้วยพระสหายและอำมาตย์ ความกังวลด้วยสั่งสมทุกอย่าง ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวะเสด็จออกผนวชจากพระราชวังเป็นบรรพชิด แสดงว่าพระองค์มิได้ลาใครในวันเสด็จออกผนวช  เป็นต้น ข้อความที่ได้กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกยิ่งสนับสนุนความเห็นของนักวิชาการตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวช  นอกจากนี้นักโบราณคดีได้ขุดค้นพยานวัตถุตั้งอยู่ไม่ไกลจากประตูทางทิศตะวันตกเขตพระราชวังโบราณกบิลพัสดุ์ เชื่อกันว่าสร้างขึ้นสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักของหลักฐานในพระไตรปิฎกชัดเจนยิ่งขึ้นว่าพระองค์เสด็จหนีออกผนวชจริง  เป็นต้น

 

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ