The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ปัญหาความจริงเกี่ยวกับข้อสงสัยของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก

 The Truth About the Buddha's Doubts in the Tripitaka

คำสำคัญ  ปัญหาความจริง ความสงสัย นักปรัชญา

บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา  

                    นักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วโลกมักมีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้เหตุการณ์ในชีวิต    พวกเขายังมีอคติทางความคิดอันเนื่องจากความไม่รู้          ความเกลียดชัง  ความกลัว และความรักต่อผู้อื่น       รวมถึงสิ่งอื่น ๆ  สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความมืดมนในชีวิตนักศึกษาทั่วโลก    ความรู้ในวิชาต่าง  ๆ  เช่นปรัชญา พระพุทธศาสนา  ปรัชญาตะวันตกและวิทยาศาสตร์ซึ่งเปิดสอนในหลักสูตรต่าง ๆ   ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วโลก ถือเป็นความรู้ของมนุษย์    เราเรียกผู้มีความรู้ทางปรัชญาว่า " นักปรัชญา" ผู้มีความรู้ทางพุทธศาสนาว่า "พระพุทธเจ้า"             และผู้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ว่า "นักวิทยาศาสตร์"    แล้วนักวิชาการเหล่านี้สร้างความรู้เกี่ยวกับ   ปรัชญา พุทธศาสนา    ปรัชญาตะวันตก  และวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร ?    และขอบเขตความรู้ในแต่ละวิชาแตกต่างกันอย่างไร ?    สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราควรศึกษา เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เมื่อเราเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว         เราก็มีแรงจูงใจที่จะแสวงหาความจริงเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้    

                   ในสมัยพุทธกาล       พราหมณ์ในโลกเป็นนักตรรกศาสตร์    และนักปรัชญา เมื่อได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับโลก    มนุษย์  และหลักฐานการมีอยู่ของเทพเจ้า           ซึ่งสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน        พวกเขามักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงในเรื่องต่าง ๆโดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริง   หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินในอนุทวีปอินเดีย          นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญามักใช้เหตุผลอธิบายความจริงในเรื่องนั้น ๆ    บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้นอย่างถูกต้อง         บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงที่ไม่ถูกต้อง     บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้หรือลักษณะนั้น   เมือมีการใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน  เมื่อวิญญูชนได้ยินความคิดเห็นในเรื่องนั้น        พวกเขาจะไม่เชื่อถือในความคิดเห็นของนักตรรกะและนักปรัชญาในเรื่องนั้น  วิญญูชนย่อมสงสัยว่าความคิดเห็นของนักปรัชญาคนใดถูกหรือคนใดไม่ถูกต้อง       วิญญูชนย่อมแสวงหาหนทางแก้ไขความไม่น่าวางใจในความคิดเห็นของนักตรรกะ         และนักปรัชญาในสมัยพุทธกาล    โดยวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะจะต้องศึกษา    ค้นคว้า และแสวงหาความจริงกันต่อไป เป็นต้น

                    ยกตัวอย่างเช่น ในยุคก่อนพุทธกาล  เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาวิชา     ได้ยินว่าพระพรหมสร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์เอง     และสร้างวรรณะ เพื่อให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ของตน      การมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวรนั้นมิใช่ข้อสงสัย เป็นความรู้นี้อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์         อย่างไรก็ตาม  มนุษย์สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้ผ่านพิธีกรรมของพราหมณ์เท่านั้นอย่างไรก็ตาม           ในเวลานั้น    ผู้คนในอนุทวีปอินเดียบูชาเทพเจ้าหลายองค์พร้อมของมีค่ามากมาย      สร้างความมั่งคั่งมหาศาลให้แก่พราหมณ์ทุกนิกายทุกปี           การบูชายัญของพราหมณ์ เพื่อขอให้เทพเจ้าเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ บางครั้งก็ประสบความสำเร็จและบางครั้งก็ล้มเหลว      เมื่อพิจารณาถึงความเป็นจริงของผลจากการบูชาเทพเจ้า    พราหมณ์ผู้เป็นนักตรรกศาสตร์    และนักปรัชญามักแสดงทัศนะหรือความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ     ความล้มเหลวของพวกเขาอาจเกิดจากการถูกเทพเจ้าลงโทษ เพราะความไม่จงรักภักดี  พราหมณ์ใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนี้ บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง       บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง        บางพวกเขาอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือลักษณะนั้น  ยกตัวอย่างเช่น        เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นจัณฑาลถูกพระพรหมลงโทษฐานสมสู่กับคนวรรณะอื่น        โดยให้คนในสังคมใช้อำนาจตามกฎหมายวรรณะเพื่อขับไล่ออกจากบ้านไปตลอดชีวิต      ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วยอีกต่อไปต้องสูญเสียสิทธิและหน้าที่ของวรรณะที่ตนเกิดมาไปตลอดชีวิต       และไม่สามารถกลับคืนสู่สถานเดิมในสังคมอีกต่อไป         

 ๒.ประเภทของความจริง

              โดยทั่วไปแล้ว    ความจริงของสรรพสิ่งเกิดขึ้นในชีวิต   ทั้งสิ่งที่มนุษย์รับรู้โดยตรงผ่านอายตนะภายในของตนเองจากเรื่องราวที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน      ซึ่งเรียกว่า "ตำนาน"  การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า         ทำให้มนุษย์เข้าใจว่าชีวิตของมนุษย์เป็นผลมาจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ  เมื่อจิตวิญญาณปฏิสนธิในครรภ์มารดา    เมื่อทารกเจริญเติบโตครบ  ๙  เดือน ก็จะเกิดเป็นมนุษย์และพ่อแม่จะเป็นผู้ตั้งชื่อให้      ทารกรอดชีวิต ก็จะมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย              ในขณะมีชีวิตอยู่   จิตใจของมนุษย์ใช้อายตนะภายในรับรู้เหตุการณ์ต่าง  ๆ  ในชีวิต และเก็บเหตุการณ์เหล่านั้นไว้  เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ  อย่างไรก็ตาม  ธรรมชาติของจิตใจของมนุษย์นั้น  ไม่เพียงแต่รับรู้และเก็บหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น        แต่ยังปรุงแต่งอารมณ์ต่าง ๆ  ในจิตใจ   ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่า "การคิด"  หน้าที่นี้คือ การวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์        โดยการอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น   ๆ    โดยการใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบอย่างมีเหตุผลอีกด้วย

                  มนุษย์มีระดับสติปัญญาที่แตกต่างกันไปตามธรรมชาติ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสติสัมปชัญญะและปัญญา             เมื่อบางคนขาดความตระหนักรู้ในการรับรู้และจดจำเหตุการณ์ต่าง ๆ       ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน และขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์          จึงไม่สามารถใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้อธิบายความจริงของเรื่องนั้นได้อย่างมีเหตุผล   หากพวกเขามีบทบาทหน้าที่ของตนต่อสังคม    การใช้เหตุผลของพวกเขา บางครั้งอาจใช้เหตุผลได้อย่างถูกต้อง  บางครั้งอาจใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง   ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของสิ่งต่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนเองได้ เมื่อชีวิตต้องตัดสินใจ      ผู้คนมักเชื่อว่ามันเป็นความจริงโดยไม่มีเหตุผลอันหนักแน่นจึงถูกหลอกลวงได้ง่าย    ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก เป็นต้น  

              เมื่อเขาได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าอย่าเชื่อทันทีว่าเป็นความจริง   ควรสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานอย่างเพียงพอ เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ             เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ   ถ้าไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริง พยานเพียงคนเดียวก็ขาดความน่าเชื่อถือ        และนักปรัชญาก็ไม่อาจยอมรับข้อเท็จจริงนั้นว่าเป็นความจริงได้ เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้น มีความเห็นแก่ตัวจึงมักมีอคติต่อผู้อื่น     เนื่องจากความโง่เขลา  ความกลัว    ความรัก   และความเกลียดชังซึ่งกันและกัน  เป็นต้น นอกจากนี้  มนุษยังมีอายตนะภายในร่างกาย  ซึ่งมีข้อจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดในสังคมห่างไกล หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต       

              การศึกษาปัญหาความจริงเรื่องความสงสัยของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณ  ถือเป็นปัญหาทางอภิปรัชญาเพราะอภิปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาความจริงเรื่องมนุษย์     ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  โลก        และการมีอยู่ของเทพเจ้า  เป็นต้น       เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานจากตำราปรัชญา      และเว็บไซต์ต่าง ๆบนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต         เราได้ยินข้อเท็จจริงว่าปรัชญาคือความรู้ของมนุษย์ที่เรียกว่า  "นักปรัชญา"   เช่น จ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นนักปรัชญา  พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์   ๑๘ สาขาเช่นเดียวกับเจ้าชายอื่น ๆ     ในพระราชวงศ์ศากยะที่ต้องศึกษาหาความรู้เพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน     

                 ตามหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘  สาขาวิชา     ที่สำนักเรียนครูวิศวามิตรร่วมกับเจ้าชายแห่งราชวงศ์ศากยะ  และเจ้าชายแห่งโกลิยวงศ์อีกหลายพระองค์              เมื่อสำเร็จการศึกษา  พระองค์ทรงได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงพิมพาแห่งแคว้นโกลิยะ       พระองค์ทรงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในปราสาททั้ง ๓   แห่งนาน ๑๓ ปี             โดยมีพระสนมกว่า ๔๐,๐๐๐ คน      คอยรับใช้พระองค์    แม้ว่าความรู้และอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้น       ซึ่งมาจากระบบการศึกษาของราชอาณาจักรสักกะและจากประสบการณ์ชีวิตของพระองค์เอง    จะเป็นเครื่องพิสูจน์อารมณ์ที่สั่งสมไว้ในพระทัยของพระองค์    และติดตามพระองค์ไปใช้แก้ปัญหาชีวิตทั่วทั้งอนุทวีปอินเดียก็ตาม       แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่พระองค์จะทรงเรียนรู้และเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวสักกะทั่วทั้งราชอาณาจักรสักกะ     

            เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา  เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จไปเยี่ยมราษฎรในพระนครกบิลพัสดุ์   ทำให้พระองค์ทรงได้เห็นปัญหาจัณฑาลซึ่งเป็นนักโทษทางสังคม       ผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายวรรณะด้วยการสมสู่กับคนต่างวรรณะ  จึงถูกสังคมลงโทษด้วยการขับออกจากที่อยู่ตลอดชีวิตและกลายเป็นคนไร้วรรณะที่เรียกว่า "จัณฑาล" เป็นต้น  

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ