The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ปัญหาความจริงเกี่ยวกับความสงสัยของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก

 Introduction The Prince Siddhartha's Doubt as a philosopher คำสำคัญ ความสงสัย นักปรัชญา

บทนำ ทำไมมนุษย์ต้องศึกษาปัญหาความจริง

         โดยทั่วไปแล้ว   พระพุทธศาสนาและปรัชญาถือเป็นความรู้ของมนุษย์      การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  ทำให้ผู้คนตระหนักว่าชีวิตของมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ  ที่มารวมตัวกันในครรภ์มารดา  มันเติบโตเป็นทารกได้   ๙   เดือนแล้ว  จึงคลอดออกจากครรภ์มารดาเป็นมนุษย์คนใหม่และชื่อใหม่   ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  จิตใจของมนุษย์ใช้อวัยวะอินทรีย์    ๖  อวัยวะในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ  เข้ามาในชีวิต    และเก็บหลักฐานทางอารมณ์ของเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนั้นไว้ในจิตใจ      แต่ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ไม่ได้มีหน้าที่เพียงการรับรู้และเก็บอารมณ์ของเรื่องราวต่าง ๆเท่านั้น       แต่ยังมีหน้าที่คิดวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์นั้นโดยอนุมานความรู้   เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุผลได้  

         ธรรมชาติของจิตใจตามหลักปรัชญานั้น  เมื่อผู้ใดกล่าวถึงข้อเท็จจริงในเรื่องใด ๆ     ในฐานะนักปราชญ์ของโลกพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าอย่าเชื่อทันทีว่าเป็นความจริง   ควรสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานอย่างเพียงพอ      เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ    เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ           ถ้าไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริงพยานเพียงคนเดียวก็ขาดความน่าเชื่อถือ และนักปรัชญาก็ไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงนั้นว่า เป็นความจริงได้     เพราะธรรมชาติของมนุษย์เห็นแก่ตัว      จึงมักมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความโง่เขลา ความกลัว   ความรักและความเกลียดชังต่อกัน  เป็นต้น   นอกจากนี้ มนุษยังมีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖อย่างในร่างกายของตัวเอง   มีข้อจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดในสังคมห่างไกลออกไป        หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต     ในการศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับความสงสัยของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ นั้นถือเป็นปัญหาทางอภิปรัชญา    เนื่องจากอภิปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  โลก  และการมีอยู่ของเทพเจ้า  เป็นต้น    

              เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานจากตำราเรียนปรัชญาและเว็บไซต์ต่าง ๆ  บนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต  เราได้ยินข้อเท็จจริงว่า ปรัชญาคือความรู้ของมนุษย์ที่เรียกว่า "นักปรัชญา   เช่น เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นนักปรัชญา       เนื่องจากพระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาด้านศิลปศาสตร์   ๑๘ สาขาเหมือนที่เจ้าชายแห่งราชวงศ์ศากยะทุกพระองค์      จะต้องศึกษาหาความรู้เพื่อใช้ในราชการ       ส่วนนักวิทยาศาสตร์เป็นเจ้าของความรู้ทางวิทยาศาสตร์      เป็นต้น   โดยทั่วไปแล้ว  ตามหลักวิชาการของอภิปรัชญา   ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับความจริงของสิ่งต่าง ๆ  เช่น      มนุษย์ ปรากฏการณ์เกิดที่ขึ้นตามธรรมชาติของจักรวาล และเทพเจ้า เป็นต้น   เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นนักปรัชญาในฐานะมนุษย์      พระองค์ทรงมีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในพระวรกายเป็นสะพานเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ   หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น   เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในพระทัย  พระองค์ทรงเข้าศึกษาในระบบการศึกษาของประเทศสักกะ      ตามหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘  สาขาวิชา  ที่สำนักครูวิศวามิตรพร้อมกับเจ้าชายแห่งศากยวงศ์และเจ้าชายแห่งโกลิยวงศ์หลายพระองค์ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วพระองค์ทรงได้อภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา ซึ่งเป็นเจ้าหญิงแห่งแคว้นโกลิยะ  พระองค์ทรงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในปราสาททั้ง ๓ หลังเป็นเวลา ๑๓ ปีโดยมีนางสนมกว่า ๔๐,๐๐๐ คนคอยปรนนิบัติรับใช้พระองค์      แม้ว่าอารมณ์ความรู้เหล่านี้        ผ่านระบบการศึกษาของราชอาณาจักรสักกะและเป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตที่อยู่รอบตัวของพระองค์เอง   เป็นหลักฐานทางอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในพระทัยของพระองค์       และติดตามพระองค์ไปใช้แก้ปัญหาชีวิตได้ทั่วอนุทวีปอินเดียก็ตาม  แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้พระองค์เรียนรู้   และเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวสักกะทั้งราชอาณาจักรสักกะ     เมื่อพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จเยี่ยมชาวพระนครกบิลพัสดุ์     ทำให้พระองค์ทรงเห็นปัญหาจัณฑาลซึ่งเป็นนักโทษทางสังคม    ผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะด้วยการแต่งงาน  จึงถูกคนในสังคมลงโทษด้วยการขับไล่ออกถิ่นพำนักตลอดชีวิตต้องกลายเป็นไร้วรรณะที่เรียกว่า "จัณฑาล"      ส่วนปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ     เช่น เจ้าชายสิทธัตถะทรงสนพระทัยในปัญหาเกี่ยวกับทฤษฎีสร้างโลกของนักปรัชญาศาสนาพราหมณ์ที่ประกาศเผยแผ่ทั่วชมพูทวีป เป็นต้น ฝนตกหนัก ลมกระโชกแรงทำให้พายุในทะเล       ซึ่งเป็นความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส        และเป็นหลักฐานทางอารมณ์สั่งสมอยู่ในจิตใจของนักปรัชญา       จากนั้นเขาก็วิเคราะห์หลักฐานเพือหาเหตุผลและพิสูจน์ความจริงของคำตอบ  หากคำตอบยังไม่แน่ชัดเจนว่า ความเป็นจริงของสาเหตุของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเกิดขึ้นและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น  ?    นักปรัชญามีความสงสัยและชอบศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่อไป       จึงทำการสืบสวนและรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมเป็นข้อมูลทางอารมณ์ในจิตใจและวิเคราะห์หลักฐาน เพื่อหาเหตุผลของคำตอบในเรื่องนั้นๆ      แต่หลักฐานทางปรัชญาส่วนใหญ่เป็นพยานบุคคลบ่อยครั้งข้อเท็จจริงของคำตอบนั้นขึ้นอยู่กับความคิดของตนเอง    และไม่ใช่ความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเองโดยตรงหลักฐาน      จึงขาดความน่าเชื่อเพราะมันเป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากผู้คนซ้ำแล้วซ้ำเล่าข้อเท็จจริงที่ยึดถือตามประเพณีที่ปฏิบัติที่มีมายาวนาน ข้อเท็จจริงที่ค้นคว้าจากตำราหรือคัมภีร์   ข้อเท็จจริงที่ได้จากการใช้เหตุผล เป็นต้น        ดังนั้นเหตุผลของคำตอบเชิงปรัชญาจึงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา   เนื่องจากมีการค้นพบหลักฐานใหม่เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ยังคงเป็นปัญหาในเรื่องนั้น   เช่น เมื่อจิตใจของมนุษย์รับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของแผ่นดินไหว  ภูเขาไฟระเบิด  พายุไต้ฝุ่น           ลมมรสุม ฯลฯ  และเรื่องราวของปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้เนื้อหาของความรู้ยังไม่ชัดเจนเพราะไม่มีใครรู้สาเหตุของแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ลมมรสุ่ม ฯลฯ   นักปรัชญาต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมจากนักวิชาการในยุคนั้นเช่น ปุโรหิต สมณพราหมณ์ ปริพาชก เพื่อวิเคราะห์สาเหตุของแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด พายุ เป็นต้น    ปุโรหิตให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิต จากประสาทสัมผัสของตนเองเท่านั้น  ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้นหรืออ้างเหตุผลขึ้นมาโดยไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริงของคำตอบ เป็นต้น


       ความสงสัยในวิทยาศาสตร์  เมื่อผู้เขียนพิจารณาถึงเงื่อนไขเวลาที่เกิดของวิทยาศาสตร์ผู้เขียนเห็นว่าวิทยาศาสตร์วิวัฒนาการ จากแนวคิดของญาณวิทยาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งปรัชญาว่า ด้วยบ่อเกิดความรู้ของมนุษย์ โดยนักปรัชญาตั้งทฤษฎีความรู้ประจักษณ์นิยมว่าที่มาของความรู้ของมนุษย์เกิดจากการรับรู้ของประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้น จึงถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงของนักวิทยาศาสตร์ในเรื่องนั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดพายุในทะเลและคลื่นขนาดใหญ่ชัดเข้าฝั่ง ทำลายชีวิตผู้คนและทำให้เรืออับปาง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของมนุษย์นั้นไม่ชัดเจนว่าอะไรทำให้เกิดพายุใหญ่ในทะเลนักวิทยาศาสตร์สงสัยว่า สาเหตุของพายุคืออะไร แล้วหาวิธีสร้างเครื่องมือวัดสภาพอากาศเพื่อหาสาเหตุของพายุและสัญญาณแจ้งเตือนภัย เป็นต้น ในสมัยก่อนพุทธกาล มนุษย์ยังไม่รู้จักสร้างเครื่องตรวจสภาพอากาศ คนก็จะถามพราหมณ์ว่าสาเหตุของพายุเกิดจากอะไร  เมื่อพราหมณ์ยังไม่ได้พัฒนาศักยภาพในชีวิต ก็ไม่มีความรู้ระดับญาณทิพย์ ก็อ้างเหตุผลว่าเทพเจ้าลงโทษมนุษย์ไม่ได้ทำพิธีบูชายัญพระพรหม เทพเจ้าจึงลงโทษมนุษย์ ในยุคปัจจุบัน มนุษย์แสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นและนักวิทยาศาสตร์สามารถค้นพบว่าโลกหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดวงอาทิตย์ ทำให้กระแสน้ำในมหาสมุทรเกิดการเคลื่อนตัว ดวงอาทิตย์ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อนและแรงดึงดูดระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดฤดูกาลที่แตกต่างกัน แต่ในยุคปัจจุบัน ดาวเทียมตรวจสภาพอากาศถูกสร้างขึ้นเพื่อส่งสัญญาณเตือนภัยทางทะเลได้ ส่วนตัวอย่างชีวิตประจำวัน มีคนตายตามถนนทำให้เกิดเรื่องราวผุดขึ้นใจของผู้พบเห็น ไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร เป็นลูกใคร และสาเหตุการตายเกิดจากทะเลาะวิวาทหรือยิงกันผิดคน ซึ่งล้วนแต่เป็นที่น่าสงสัยและจำเป็นที่กระทรวงยุติธรรมจะต้องหาหลักฐานมาวิเคราะห์เพื่อยืนยันความจริง โดยให้เหตุผลว่าผู้ตายเป็นใคร เป็นต้น 
  

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ