The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพฤหัสบดีที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

ปัญหาความจริงเกี่ยวกับข้อสงสัยของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก

 The Truth About the Buddha's Doubts in the Tripitaka

คำสำคัญ  ปัญหาความจริง ความสงสัย นักปรัชญา

บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา  

               โดยทั่วไป   ความรู้ในวิชาต่าง  ๆ  เช่น  ปรัชญา      พระพุทธศาสนา    ปรัชญาตะวันตก  และวิทยาศาสตร์      ที่สอนกันในหลักสูตรของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก  ถือเป็นความรู้ของมนุษย์ เราเรียกเจ้าของความรู้ทางปรัชญาว่า " นักปรัชญา"     ความรู้ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า  "พระพุทธเจ้า"      และเจ้าของความรู้ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า "นักวิทยาศาสตร์"     เป็นต้น        คำถามก็คือนักวิชาการเหล่านี้สร้างความรู้เกี่ยวกับปรัชญาศาสนาพราหมณ์       พระพทธศาสนา  ปรัชญาตะวันตก และวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร ?      และขอบเขตความรู้ในแต่ละวิชาแตกต่างกันอย่างไร ?            สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราควรศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้    เมื่อเราศึกษาและเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว เราจะรักที่จะแสวงหาความจริงเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้    

                   ในสมัยพุทธกาล มีพราหมณ์อยู่จำนวนหนึ่งที่เป็นนักตรรกะศาสตร์และนักปรัชญา   มักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของสิ่งต่าง ๆ      โดยใช้ปฏิภาณของตนตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริง     นักตรรกะศาสตร์ นักปรัชญามักใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้น  บางครั้งก็ใช้เหตุผลถูกบ้าง     อาจใช้เหตุผลผิดบ้าง อาจใช้เหตุผลเป็นอย่างนั้นบ้างหรือเป็นอย่างนี้บ้าง  เป็นต้น วิญญูชนเมื่อได้ยินความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นแล้ว  ย่อมขาดความน่าเชื่อถือความจริงในเรื่องนั้น        เหตุผลของคำตอบนั้น   ย่อมไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น เช่น ในสมัยก่อนพุทธกาล  เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเรื่อง            พระพรหมสร้างมนุษย์จากร่างของพระพรหมและสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมานั้น      ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา  การมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวรนั้น  เป็นความรู้เหนือการรับรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกายของมนุษย์  แต่มนุษย์สื่อสารกับเทพเจ้าได้ผ่านพิธีกรรมของพราหมณ์เท่านั้น   

               อย่างไรก็ตาม      ในยุคนั้นผู้คนในอนุทวีปอินเดียบูชาเทพเจ้าหลายองค์ด้วยของมีค่าเป็นจำนวนมาก   สร้างความั่งคั่งให้แก่พราหมณ์ทุกนิกายทุกปี  ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล     ในการบูชายัญของพราหมณ์เพื่อขอพรเทพเจ้านั้นของพราหมณ์เพื่อช่วยเหลือมนุษย์    บางครั้งก็ประสบความสำเร็จบ้าง  บางครั้งก็ประสบความล้มเหลว      เมื่อข้อเท็จจริงของผลจากการบูชาเทพเจ้าเป็นเช่นนี้        พราหมณ์บางคนที่เป็นนักตรรกะ  เป็นนักปรัชญา   มักแสดงทัศนะหรือความคิดเห็นในเรื่องนี้อาจเกิดจากเหตุปัจจัยต่าง ๆ        ที่ไม่ประสบความสำเร็จอาจเป็นเพราะถูกเทพเจ้าลงโทษที่ไม่จงรักภักดี     โดยพราหมณ์ใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของตนเองอธิบายความจริงในเรื่องนี้ อาจเป็นการใช้เหตุผลผิดบ้าง  การใช้เหตุผลถูกบ้าง  การใช้เหตุผลเป็นอย่างนั้นบ้าง  การใช้เหตุผลเป็นอย่างนี้บ้าง           เช่น   เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นจัณฑาล  ถูกพระพรหมลงโทษฐานสมสู่กับคนวรรณะอื่น      โดยให้คนในสังคมใช้อำนาจตามกฎหมายวรรณะ     เพื่อขับไล่ออกจากบ้านไปตลอดชีวิต  ไม่มีใครค้าสมาคมด้วยอีกต่อไปต้องสูญเสียสิทธิและหน้าที่ของวรรณะที่ตนเกิดมาไปตลอดชีวิต ไม่สามารถกลับคืนสู่สถานเดิมในสังคมอีกต่อไป         

       
๒.ประเภทของความจริง

              โดยทั่วไป    ความจริงของสิ่งต่าง ๆ  เกิดขึ้นในชีวิต   ทั้งสิ่งที่รับรู้ได้โดยตรงผ่านอายตนะภายใน ร่างกาย ของตนเอง  สิ่งที่ผู้คนได้ยินจากการเล่าสู่กันเรื่อยมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ที่เรียกว่า "ตำนาน"  การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทำให้มนุษย์เข้าใจว่าชีวิตของมนุษย์เป็นผลจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ  ที่จิตวิญญาณปฏิสนธิในครรภ์มารดา       เมื่อทารกเจริญเติบโตได้  ๙  เดือน ก็จะเกิดมาเป็นมนุษย์และพ่อแม่จะตั้งชื่อให้ให้ทารก    เมื่อเกิดมามีชีวิตรอดอยู่แล้ว ก็จะมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย เป็นต้น ในขณะมีชีวิตอยู่   จิตใจของมนุษย์ใช้อายตนะภายในร่างกายรับรู้เหตุการณ์ต่าง  ๆ  ที่เกิดขึ้นในชีวิต และเก็บเหตุการณ์เหล่านั้นไว้  เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ  อย่างไรก็ตาม  ธรรมชาติของจิตใจของมนุษย์นั้น  ไม่เพียงแต่รับรู้และเก็บหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น    แต่ยังปรุงแต่งอารมณ์ต่าง ๆ ขึ้นในจิตใจอีกด้วยซึ่งเรียกว่า "การคิด"ซึ่งมีหน้าที่ในการวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์โดยการอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น  โดยการใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ    อย่างสมเหตุผลอีกด้วย

                  โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้นมีระดับสติปัญญาแตกต่างกัน  โดยเฉพาะจิตสำนึกและปัญญาที่ต่างกัน เมื่อมนุษย์บางคนขาดสติสัมปชัญญะในการรับรู้และจดจำเหตุการณ์ต่าง ๆ   ได้ ทำให้ชีวิตมืดมิด   จึงขาดความสามารถในการคิดและการใช้เหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริง โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของสิ่งต่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนเองได้    เมื่อชีวิตต้องตัดสินใจ ผู้คนมักเชื่อว่ามันเป็นความจริงโดยไม่มีเหตุผลอันหนักแน่นจึงถูกหลอกลวงได้ง่ายก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก เป็นต้น  

              เมื่อเขาได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าอย่าเชื่อทันทีว่าเป็นความจริง   ควรสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานอย่างเพียงพอ เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ             เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ   ถ้าไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริง พยานเพียงคนเดียวก็ขาดความน่าเชื่อถือ        และนักปรัชญาก็ไม่อาจยอมรับข้อเท็จจริงนั้นว่าเป็นความจริงได้ เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้น มีความเห็นแก่ตัวจึงมักมีอคติต่อผู้อื่น     เนื่องจากความโง่เขลา  ความกลัว    ความรัก   และความเกลียดชังซึ่งกันและกัน  เป็นต้น นอกจากนี้  มนุษยังมีอายตนะภายในร่างกาย  ซึ่งมีข้อจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดในสังคมห่างไกล หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต       

              การศึกษาปัญหาความจริงเรื่องความสงสัยของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณ  ถือเป็นปัญหาทางอภิปรัชญาเพราะอภิปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาความจริงเรื่องมนุษย์     ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  โลก        และการมีอยู่ของเทพเจ้า  เป็นต้น       เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานจากตำราปรัชญา      และเว็บไซต์ต่าง ๆบนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต         เราได้ยินข้อเท็จจริงว่าปรัชญาคือความรู้ของมนุษย์ที่เรียกว่า  "นักปรัชญา"   เช่น จ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นนักปรัชญา  พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์   ๑๘ สาขาเช่นเดียวกับเจ้าชายอื่น ๆ     ในพระราชวงศ์ศากยะที่ต้องศึกษาหาความรู้เพื่อใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน     

               ตามหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘  สาขาวิชา  ที่สำนักเรียนครูวิศวามิตรร่วมกับเจ้าชายแห่งราชวงศ์ศากยะ    และเจ้าชายแห่งโกลิยวงศ์อีกหลายพระองค์           เมื่อสำเร็จการศึกษา  พระองค์ทรงได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงพิมพาแห่งแคว้นโกลิยะ       พระองค์ทรงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในปราสาททั้ง ๓   แห่งนาน ๑๓ ปีโดยมีพระสนมกว่า ๔๐,๐๐๐ คน     คอยรับใช้พระองค์    แม้ว่าความรู้และอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้น  ซึ่งมาจากระบบการศึกษาของราชอาณาจักรสักกะและจากประสบการณ์ชีวิตของพระองค์เอง    จะเป็นเครื่องพิสูจน์อารมณ์ที่สั่งสมไว้ในพระทัยของพระองค์      และติดตามพระองค์ไปใช้แก้ปัญหาชีวิตทั่วทั้งอนุทวีปอินเดียก็ตาม       แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่พระองค์จะทรงเรียนรู้และเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวสักกะทั่วทั้งราชอาณาจักรสักกะ     

            เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา  เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จไปเยี่ยมราษฎรในพระนครกบิลพัสดุ์   ทำให้พระองค์ทรงได้เห็นปัญหาจัณฑาลซึ่งเป็นนักโทษทางสังคม       ผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายวรรณะด้วยการสมสู่กับคนต่างวรรณะ  จึงถูกสังคมลงโทษด้วยการขับออกจากที่อยู่ตลอดชีวิตและกลายเป็นคนไร้วรรณะที่เรียกว่า "จัณฑาล" เป็นต้น  

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ