How do we know that King Bimbisara' s Patronage of Buddhism
โดยทั่วไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็นนักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญา ผู้มีความรู้ด้านอภิปรัชญาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา เป็นต้น เนื่องจากนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา เป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในจำกัดในการรับรู้ความจริง ที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัติและมักมีอคติต่อผู้อื่น ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงสมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ หรือกำหนดความรู้ที่เกิดขึ้นจากอำนาจสมาธิหรือความสามารถจากการหยั่งรู้เป็นพิเศษที่เรียกว่าว่า "ญาณ" เป็นต้น
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนว่าพราหมณ์บางคนในสมัยก่อนพุทธกาล เป็นนักตรรกศาสตร์และนักอภิปรัชญา เมื่อได้ยินความจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน นักปรัชญา และนักตรรกศาสตร์มักแสดงความคิดเห็นของตนเองตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงตามที่ได้ยินมา โดยใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้น อย่างไรก็ตาม นักตรรกศาสตร์และนักอภิปรัชญา บางครั้งมักจะใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างถูก บางครั้งก็ใช้เหตุผลอย่างไม่ถูกต้อง บางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนี้ บางครั้งก็ใช้เหตุผลในลักษณะนั้น เมื่อเหตุผลที่ใช้อธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่งคลุมเครือและไม่ชัดเจน เมื่อวิญญูชนได้ยินความคิดเห็นเช่นนี้ พวกเขามักจะไม่เชื่อ เพราะยังมีข้อสงสัยและปฏิเสขที่จะยอมรับว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนได้ฟังเรื่องราวการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสาร พระองค์ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นพระมหากษัตริย์องค์แรก ที่ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจน ถึงปัจจุบัน พระเจ้าพิมพิสารทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ครองแคว้นมคธ พระองค์ทรงศรัทธาในพระโพธิสัตว์สิทธัตถะตั้งแต่แรกเห็น เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของพระองค์มิได้สะท้อนถึงลักษณะนิสัยของชนชั้นต่ำเมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงสนทนากับพระโพธิสัตว์สิทธัตถะ พระองค์ทรงทราบความจริงว่า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะประสูติในราชวงศ์ศากยะแห่งอาณาจักรสักกะ พระเจ้าพิมพิสารทรงเข้าใจผิดว่าพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงได้ละทิ้งราชวงศ์ศากยะแห่งอาณาจักรสักกะ เพื่อผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ เนื่องจากความขัดแย้งในราชวงศ์ศากยะพระเจ้าพิมพิสารทรงมีพระประสงค์จะถวายดินแดนอาณาจักรกลิงคะให้แก่พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงเป็นพระประมุข แต่พระองค์ทรงปฏิเสขเพราะทรงมีพระประสงค์แสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิต
เมื่อพระโพธิสัตว์ตรัสรู้กฎธรรมชาติแห่งสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ โดยชอบด้วยพระองค์เอง ด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ชาวพุทธทั่วโลกจึงเรียกพระองค์ว่า"พระพุทธเจ้า" พระองค์เสด็จมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาพร้อมกับพระอรหันต์ ๓ องค์ ซึ่งเดิมเป็นฤาษีหรือ "ชฏิล"และบริวารอีก ๑,๐๐๐ คน พระเจ้าพิมพิสารและพสกนิกร ๑๒๐,๐๐๐ คน ได้ต้อนรับพระพุทธเจ้าที่ลัฐิวันสวนตาล เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ หลังจากทรงฟังพระธรรมเทศนา พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยชาวแคว้นมคธทรงได้รับญาณทิพย์ (spiritual eye) พระองค์ทรงกลายเป็นองค์อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาองค์แรกในสมัยนั้น ประชาชนจำนวนมากละทิ้งความเชื่อในเทพเจ้า และหันมาปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ จนบรรลุปัญญาอันแท้จริงที่เรียกว่า"อภิญญา๖ "
ผู้เขียนศึกษาประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสาร ณ สำนักเรียนนักธรรมสนามหลวงซึ่งตั้งอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ความรู้เหล่านี้ได้มาจากการอ่าน หนังสือ การเขียน การฟังและการพูด เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริง เรื่องการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาจากครูในโรงเรียน และสั่งสมเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ ผู้เขียนใช้หลักฐานทางอารมณ์เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ และคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องเหล่านี้ โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริง อย่างไรก็ตาม หลังจากวิเคราะห์ข้อเท็จจริงแล้ว ความรู้เกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนายังคงไม่ชัดเจน เนื่องจากหลักฐานเอกสารมีเพียงเล่มเดียวคือ พระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ส่วนพยานวัตถุเกี่ยวกับสถานที่ตั้งของแคว้นมคธและพยานบุคคลที่น่าเชื่อได้ ซึ่งสามารถยืนข้อเท็จจริงในเรื่องต่าง ๆก็สูญหายไปหมดแล้ว เมื่อมีหลักฐานไม่เพียงพอ ที่จะใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ โดยการอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบ ดังนั้นความรู้ที่ได้ จึงไม่สมเหตุสมผล เราจำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ความจริงต่อไป เป็นต้น
ปัญหาคือ เราจะรู้ความจริงได้อย่างไร?
โดยทั่วไป มนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้และมักความลำเอียงไปข้างใดฝ่ายหนึ่งเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตของมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าในความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อมนุษย์ในฐานะพราหมณ์ นักตรรกศาสตร์ นักปรัชญา ผู้เขียนศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาเกี่ยวกับ การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าพิมพิสาร ณ สำนักเรียนนักธรรมสนามหลวงแห่งหนึ่งและมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงจากคำสอนของครูในห้องเรียน และสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจของผู้เขียน ผู้เขียนใช้หลักฐานเหล่านั้น เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนตามหลักเหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่อง ที่พระเจ้าพิมพิสารทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนานั้น แต่เมื่่อวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจแล้ว ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนเพราะไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผลได้อย่างชัดเจน บ่อเกิดความรู้ของมนุษย์ยังไม่ชัดเจนว่ามีความเป็นอย่างไร องค์ประกอบของความรู้เรื่องการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนายังไม่ครบถ้วนว่า มีขอบเขตมากน้อยเพียงใด กระบวนการพิจารณาความจริงในเรื่องนี้ครบถ้วนหรือไม่ และผลการวิเคราะห์มีความสมเหตุสมผลหรือไม่ เป็นต้น
ข้อเท็จจริงเบื้องต้น เมื่อชาวพุทธทั่วโลกได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องราวการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาที่สืบทอดกันมาเป็นเวลากว่า ๒,๕๐๐ ปี เราก็ยอมรับความจริงโดยปริยายว่า พระเจ้าพิมพิสารทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นความจริงที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและสิ้นสุดลง เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเสด็จสวรรคต ส่วนพยานที่เห็นเหตุการณ์นั้นล้วนเสียชีวิตหมดแล้ว ส่วนชาวพุทธที่เกิดในรุ่นหลังนั้นก็ไม่มีความรู้โดยตรงผ่านอายตนะภายในร่างกาย และสั่งสมความรู้นั้นไว้ในจิตใจ แต่ได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องนี้โดยฟังตามกันมาจากรุ่นสู่รุ่นจึงเกิดความสงสัยในข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราควรมีความสงสัยเสียก่อนจนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว เราก็จะใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้จากพยานหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงเรื่องนี้
ดังนั้น เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสารแล้ว ผู้เขียนควรจะสงสัยเสียก่อน และผู้เขียนก็ชอบที่จะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อไป จึงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและพระไตรปิฎกฉบับหลวง พบว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ กระจัดกระจายอยู่ในพระไตรปิฎกหลายเล่มเมื่อโครงสร้างความรู้เกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสารยังไม่มีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องที่พระองค์ทรงอุปถัมภ์แล้ว เราจะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างไร? เมื่อพยานบุคคล คือพระเจ้าพิมพิสารทรงได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปเพียง ๒ ปี ส่วนชาวราชคฤห์ที่เกิดในสมัยเดียวพระเจ้าพิมพิสารนั้นได้ตายไปจนหมดสิ้นแล้วทิ้งไว้เพียงพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาและพระไตรปิฎกฉบับหลวง พยานวัตถุของอนุสรณสถานที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชที่ปักหมุดไว้ทั่วสาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล บันทึกการแสวงบุญของพระภิกษุชาวจีนสองรูป ซึ่งเดินทางมาสืบหาสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เมือง และคัดลอกพระไตรปิฎกกลับไปสู่ประเทศจีน เป็นต้น
ญาณวิทยา ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา มักกล่าวว่ามนุษย์มีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตและมักมีอคติต่อผู้อื่น ดังนั้นชีวิตของมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดความเพียรพยายามแสวงหาความรู้ ขาดสติในการจดจำความรู้จากประสบการณ์ชีวิต ขาดสมาธิในการทำงาน และขาดปัญญาในการเข้าใจความจริงของชีวิต สิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในความมืดมน เมื่อมีปัญหาชีวิตทำให้ตัดสินผิดพลาด เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมากทุกปี เพื่อแก้ปัญหานี้ นักปรัชญาจึงสนใจศึกษาต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ โครงสร้างของความรู้ของมนุษย์ วิธีพิจารณาความจริงของความรู้ของมนุษย์ในการแสวงหาความรู้ และความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์ ดังนั้นญาณวิทยาจึงมีหน้าที่ศึกษาและค้นหาคำตอบสำหรับมนุษย์รู้ว่า "เรารู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราได้ยินนั้นจริงหรือเท็จ มาตรฐานที่ใช้วัดความรู้ของมนุษย์คืออะไร ? โรงสร้างความรู้ของมนุษย์คืออะไร? ความรู้ของมนุษย์เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม เป็นต้น เราสามารถอธิบายความจริงได้ดังนี้
วิธีการแสวงหาความรู้ เมื่ออวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ อวัยวะที่เชื่อมโยงกับความรู้ (ยังมีต่อ)ตอนที่ ๒

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น