The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

วิธีพิจารณาความจริงเกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา(๓)

๓.วิธีพิจารณาความจริงเกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา

บทนำ

      โดยทั่วไปแล้ว จิตใจมนุษย์ใช้อายตนะภายในเพื่อรับรู้เเหตุการณ์ต่าง ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างต่อเนื่อง  จิตใจทำหน้าที่เป็นผู้รับรู้ที่เรียกว่า"วิญญาณ" เมื่อรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันจะบันทึกเหตุการณ์เหล่านั้น เป็นข้อมูลทางอารมณ์ และความทรงจำไว้ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของจิตใจไม่ได้มีเพียงการรับรู้และบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้เป็นข้อมูลทางอารมณ์เท่านั้น จิตใจมนุษย์ยังเป็นนักคิดอีกด้วย  ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่า "สังขาร" หรือความคิดซึ่งเป็น ๑ ในขันธ์ ๕ เมื่อจิตใจรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว มันจะคิดวิเคราะห์สิ่งนั้น โดยอนุมานความรู้จากข้อมูลทางอารมณ์ โดยใช้เหตุผล  ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาเพื่ออธิบายความจริงของคำตอบนั้น 

      แต่เมื่อธรรมชาติของมนุษย์นั้นมีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น และมีความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ทำให้ชีวิตตกอยู่ในความมืดมน มนุษย์จึงขาดปัญญาเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์  พวกเขาจึงไม่สามารถคิด โดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของในเรื่องนั้นได้อย่างสมเหตุสมผล เมื่อผู้คนบางกลุ่มในโลกเป็นนักตรรกะนักปรัชญา  พวกเขาก็แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริง บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ถูกต้องบางครั้ง พวกเขาอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ผิด บางครั้งก็อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนี้ บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนั้น เป็นต้น  เมื่อเหตุผลของความจริงของคำตอบนั้นยังคลุมเครือและไม่ชัดเจนแล้ว วิญญูชนเช่นพระพุทธเจ้าได้ยินความคิดเห็นของคำตอบนั้นยังคลุมเครือ ยอมไม่เชื่อถือว่าเป็นความจริง และไม่ยอมรับว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น  

        โดยทั่วไปแล้ว  จิตใจมนุษย์มีธรรมชาติในการรับรู้และบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นข้อมูลทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ เมื่อจิตใจมนุษย์จินตนาการอารมณ์เหล่านั้นขึ้นมา และสร้างภาพขึ้นในจิตใจโดยปราศจากขอบเขตของความรู้ที่ชัดเจน จิตใจจะก่อให้เกิดความสงสัยไม่รู้จบเกี่ยวกับความจริงของสิ่งเหล่านั้น และทำให้ขอบเขตของความรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นไม่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นโดยตรงในชีวิตประจำวัน หรือเรียนรู้จากโซเชียลมีเดียทุกวัน ก็มีหลักฐานว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนั้น ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ที่หลอกลวงผู้อื่นด้วยเจตนาฉ้อโกง เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อและตกลงจะส่งมอบทรัพย์สินหรือโอนเงินผ่านระบบธนาคารโดยตรง 
ยกตัวอย่างเช่น มากมายในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการเอารัดเอาเปรียบดังกล่าว นักปรัชญาพุทธและนักปรัชญาตะวันตกหลายคน พยายามศึกษาหาความรู้ที่ถูกต้อง และเป็นความรู้ที่นักปรัชญาพุทธและนักปรัชญาตะวันตกยอมรับ นักปรัชญาตะวันตกหลายคนจึงคิดค้นวิธีการพิจารณาความจริงในขอบเขตของความรู้ทางญาณวิทยา เพื่อพัฒนาวิธีแสวงหาความรู้ทางญาณวิทยาที่ถูกต้อง และสอดคล้อมกับข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นเพื่อประโยชน์ที่ได้รับด้วยความซื่อสัตย์ และยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย ดังนั้นนักปรัชญาทั่วโลกจึงมีแนวคิดทางญาณวิทยา ๔ ประการเกี่ยวกับที่มาของความรู้ ๔  แห่ง คือ      

๓.๑.วิธีการแสวงหาความรู้จากศรัทธา  

     เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ แล้ว ก็ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในสมัยที่ศาสนาพราหมณ์เจริญรุ่งเรือง ผู้คนในอนุทวีปอินเดียเชื่อในคำสอนที่ว่า พระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างโลกและมนุษย์ จนกลายเป็นความรู้ที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของพวกเขา โดยไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องสงสัยอีกต่อไป ต่อมานักปรัชญาพราหมณ์สร้างทฤษฎีเกี่ยวกับ"กำเนิดโลก" จากคำสอนของครูบาอาจารย์ ด้วยการคาดคะเนความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าจากสิ่งที่ได้ยินมา หรือ โดยการอนุมานความรู้ตามหลักเหตุผล โดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เนื่องจากพวกเขาเชื่อครูบาอาจารย์ของตน ดังนั้น จึงไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เพื่อเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น  

      ส่วนการขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้านั้น มีคำสอนของพราหมณ์เกี่ยวกับการบูชายัญ ซึ่งเป็นหน้าที่ของวรรณะพราหมณ์เท่านั้น ส่วนผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ไม่สามารถบูชายัญและสวดพระเวทได้ เพราะเป็นข้อห้ามตามหลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะ หลักฐานปรากฏในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณเล่มที่๑๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓ [๓๖] ภัคควะก็เรารู้ชัดทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก เรารู้ชัดความเป็นมาของทฤษฎีนั้นและรู้ชัดยิ่งกว่านั้นและเมื่อรู้ชัดยิ่งกว่านั้น จึงไม่ยึดมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นจึงรู้ชัดความดับด้วยตนเองที่เมื่อรู้ชัดตถาคตจึงไม่ดำเนินไปสู่ความเสื่อม 
      ๓๗] ภัคควะ  มีสมณพราหมณ์บางพวก ประกาศว่าด้วยทฤษฎีกำเนิดของโลกตามลัทธิอาจารย์ว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างว่าพระอิศวรเป็นสร้าง? เราจึงเข้าไปถามเขาอย่างนี้ว่า"ทราบว่าท่านทั้งหลายบัญญัติทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกตามลัทธิอาจารย์ว่าพระอิศวรเป็นผู้สร้างว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างจริงหรือ ?"   
      สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกเราถามอย่างนี้แล้วยืนยันว่า"เป็นเช่นนั้น"เราจึงถามต่อไปว่า "พวกท่านประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกตามลัทธิอาจารย์ว่า พระอิศวรเป็นผู้สร้างว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างมีความเป็นมาอย่างไร ? สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกเราถามอย่างนี้แล้วก็ตอบไม่ได้กลับย้อนถามเรา เราถูกเขาถามแล้วจึงตอบว่า .......เป็นต้น

    ๓.๒วิธีการแสวงหาความรู้ของเจ้าชายสิทธัตถะ

       เมื่อผู้เขียนได้พิจารณาข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากหลักฐานต่าง ๆ แล้ว และได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นจัณฑาล  นักโทษที่ถูกสังคมพิพากษาให้เนรเทศออกจากสังคมตลอดชีวิต ในข้อกล่าวหาว่าละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และ กฎหมายการแบ่งชนชั้นวรรณะอย่างร้ายแรง เพราะขาดปัญญาที่จะควบคุมกิเลสตัณหาของตน จึงเกิดความสมัครใจรักใคร่และร่วมประเวณีกับคนต่างวรรณะ เป็นต้น เมื่อสังคมลงโทษพวกจัณฑาลทั้งชายและหญิง พวกเขาใช้ชีวิตเร่ร่อนแม้ในวัยชรา เจ็บป่วย และนอนตายบนท้องถนน เป็นนต้น ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยว่าจัณฑาลมีประวัติความเป็นมาอย่างไร ? 

    เจ้าชายสิทธัตถะทรงสนพระทัยที่จะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับจัณฑาลต่อไป พระองค์จึงทรงสืบหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ และรวบรวมหลักฐานจากคำให้การของนักบวช ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อพระองค์ทรงวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ โดยใช้เหตุผล  ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงได้  พระองค์ทรงพบความจริงอย่างชัดเจนว่า พระพรหมที่ชาวสักกะเคารพบูชานั้นได้สร้างมนุษย์จากร่างของพระองค์เอง และสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นนั้นให้พวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมาเท่านั้น  พวกพราหมณ์ในสมัยก่อนก็เคยเห็นพระพรหมในอาณาจักรสักกะมาก่อน เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงถามว่าพระพรหมและพระอิศวร ผู้สร้างมนุษย์มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ? ไม่มีพราหมณ์คนใดสามารถตอบได้  เมื่อคำให้การของพราหมณ์ปุโรหิตมีข้อกังขาและข้อขัดแย้งที่น่าสงสัยดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าพราหมณ์เหล่านั้น ไม่มีความรู้อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของตนเอง เกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าจึงไม่รู้ประวัติของพระพรหมและพระอิศวรเมื่อข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นที่สิ้นสุดแล้ว เจ้าชายก็ทรงปฏิเสขการมีอยู่ของเทพเจ้า และไม่เชื่อว่าคำสอนของพราหมณ์เกี่ยวกับ"ทฤษฎีกำเนิดของโลก" เป็นความจริง เป็นต้น

       ดังนั้น วิธีการแสวงหาความรู้โดยพิจารณาความจริงของเจ้าชายสิทธัตถะจึงเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถาม เมื่อนักปรัชญาได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น การมีอยู่ของเทพเจ้า การสร้างวรรณะของพระพรหมหรือเรื่องอื่น ๆ เราควรเชื่อทันทีว่าเป็นความจริงเราควรสงสัยก่อนว่าเรื่องนั้นไม่จริงจนกว่าเราจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นและรวบรวมหลักฐาน  เมื่อมีหลักฐานเพียงพอก็ใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงเรื่องนั้นอย่างชัดเจนว่าสิ่งนั้นจริงหรือเท็จ เป็นต้น

ติดตามปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาครั้งแรกในพระไตรปิฎก (ตอน๔)

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ