๓.วิธีพิจารณาความจริงเกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา
โดยทั่วไปแล้ว จิตใจของมนุษย์จะใช้อายตนะภายในร่างกาย เพื่อเชื่อมโยงความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตอยู่ตลอดเวลา โดยจิตใจของมนุษย์ทำหน้าที่เป็นตัวรับรู้ที่เรียกว่า"วิญญาณ" เมื่อได้รับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นอารมณ์และความทรงจำในจิตใจ แต่ธรรมชาติของจิตใจนั้น ไม่เพียงแต่รับรู้และเก็บเรื่องราวทางอารมณ์เท่านั้น จิตใจของมนุษย์ยังมีความคิดอีกด้วย ในพระพุทธศาสนาเรียกว่า "สังขาร" ซึ่งหมายความว่า เมื่อจิตได้รับรู้เรื่องราวของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะนึกถึงสิ่งนั้นเพื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเรื่องราวเบื้องหลังนั้นคืออะไรกันแน่ ?

แต่เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์นั้น มีอายตนะภายในมีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและมีอคติเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ทำให้ชีวิตตกอยู่ในความมืดมน มนุษย์ไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงของเรื่องนั้นได้อย่างสมเหตุสมผล เมื่อมนุษย์บางคนในโลกเป็นนักตรรกะ เป็นนักปรัชญา พวกเขาจึงแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริง บางครั้งก็อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ถูกต้อง บางครั้งก็อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ผิดบ้าง บางครั้งก็อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงเป็นอย่างนี้บ้าง บางครั้งก็อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงเป็นอย่างนั้นบ้าง เป็นต้น เมื่อข้อเท็จจริงของคำตอบไม่แน่นอนว่ามีความเป็นอย่างไร วิญญูชนได้ยินข้อเท็จจริงของคำตอบแล้ว ย่อมขาดความน่าเชื่อและไม่ยอมรับว่าเป็นความจริง
โดยทั่วไปแล้ว จิตใจของมนุษย์มีธรรมชาติในการรับรู้และเก็บเรื่องราวไว้เป็นอารมณ์ในจิตใจ แล้วจิตมนุษย์ก็จะคิด(ปรุงแต่ง) อารมณ์เหล่านั้นโดยจินตนาการขึ้นมา โดยสร้างภาพขึ้นในจิตใจโดยไม่มีขอบเขตของความรู้ที่ชัดเจน ซึ่งก่อให้เกิดความสงสัยในความจริงของสิ่งนั้นไม่รู้จบ และทำให้ขอบเขตของความรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นไม่ชัดเจน ตัวอย่างเช่นเมื่อผู้เขียนศึกษาข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันโดยตรง หรือรับรู้จากสื่อสังคมออนไลน์ทุกวัน ก็มีหลักฐานว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนั้น สร้างขึ้นโดยมิจฉาชีพเพื่อหลอกลวงผู้อื่นโดยเจตนาทุจริตให้หลงเชื่อและยอมส่งมอบทรัพย์ให้โดยตรง หรือโอนเงินผ่านระบบธนาคาร
มีตัวอย่างมากมายในโซเชียลมีเดียของการแสวงหาผลประโยชน์ในลักษณะดังกล่าว นักปรัชญาชาวพุทธและนักปรัชญาชาวตะวันตกหลายท่าน ได้พยายามศึกษาหาความรู้ที่ถูกต้องและความรู้ที่นักปรัชญาชาวพุทธและนักปรัชญาชาวตะวันตกยอมรับ ดังนั้น นักปรัชญาหลายคน จึงได้คิดค้นวิธีพิจารณาความจริงในขอบเขตความรู้ทางญาณวิทยา เพื่อพัฒนาวิธีแสวงหาความรู้ทางญาณวิทยาที่ถูกต้องและสอดคล้อมกับข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น เพื่อผลประโยชน์ที่ได้รับด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย ด้วยเหตุนี้นักปรัชญาทั่วโลกมีแนวคิดทางญาณวิทยา ๔ ประการเกี่ยวกับที่มาของความรู้ ๔ คือ
๓.๑.วิธีการแสวงหาความรู้จากศรัทธา
เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณแล้ว ก็ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในสมัยที่ศาสนาพราหมณ์เจริญรุ่งเรือง ผู้คนในอนุทวีปอินเดียเชื่อในคำสอนที่ว่า พระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างโลกและมนุษย์ จนกลายเป็นความรู้หยั่งรากลึกอยู่ในจิตใจของพวกเขา โดยไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องสงสัยอีกต่อไป ต่อมานักปรัชญาพราหมณ์สร้างทฤษฎีเกี่ยวกับ "กำเนิดโลก" จากคำสอนของครูบาอาจารย์ด้วยการคาดคะเนความจริง เกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าด้วยเหตุผล หรือ โดยการอนุมานความรู้ตามหลักเหตุผล โดยไม่มีความสงสัยเพราะไว้เนื้อเชื่อใจในครูบาอาจารย์ของตน จึงไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐาน เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น
ส่วนการติดต่อขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้าของมนุษย์นั้น ก็มีคำสอนของพราหมณ์เกี่ยวกับการบูชายัญ ซึ่งเป็นหน้าที่ของวรรณะพราหมณ์เท่านั้น ส่วนผู้มิใช่พราหมณ์ไม่สามารถบูชายัญและสวดพระเวทได้ เพราะเป็นสิ่งต้องห้ามตามหลักคำสอนในศาสนาพราหมณ์และหลักกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ หลักฐานปรากฏในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณเล่มที่๑๑ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓ [๓๖] ภัคควะก็เรารู้ชัดทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลก เรารู้ชัดความเป็นมาของทฤษฎีนั้นและรู้ชัดยิ่งกว่านั้นและเมื่อรู้ชัดยิ่งกว่านั้น จึงไม่ยึดมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นจึงรู้ชัดความดับด้วยตนเองที่เมื่อรู้ชัดตถาคตจึงไม่ดำเนินไปสู่ความเสื่อม
๓๗] ภัคควะ มีสมณพราหมณ์บางพวก ประกาศว่าด้วยทฤษฎีกำเนิดของโลกตามลัทธิอาจารย์ว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างว่าพระอิศวรเป็นสร้าง? เราจึงเข้าไปถามเขาอย่างนี้ว่า"ทราบว่าท่านทั้งหลายบัญญัติทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกตามลัทธิอาจารย์ว่าพระอิศวรเป็นผู้สร้างว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างจริงหรือ ?"
สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกเราถามอย่างนี้แล้วยืนยันว่า"เป็นเช่นนั้น"เราจึงถามต่อไปว่า "พวกท่านประกาศทฤษฎีว่าด้วยต้นกำเนิดของโลกตามลัทธิอาจารย์ว่า พระอิศวรเป็นผู้สร้างว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างมีความเป็นมาอย่างไร ? สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกเราถามอย่างนี้แล้วก็ตอบไม่ได้กลับย้อนถามเรา เราถูกเขาถามแล้วจึงตอบว่า .......เป็นต้น
๓.๒วิธีการแสวงหาความรู้ของเจ้าชายสิทธัตถะ

เมื่อผู้เขียนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากหลักฐานแล้วฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นจัณฑาล นักโทษผู้ต้องคำพิพากษาของคนในสังคมให้ไล่ออกจากสังคมที่ตนพำนักอาศัยไปตลอดชีวิต ในข้อหาฐานละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะอย่างร้ายแรง เพราะขาดสติปัญญาในการควบคุมราคะของตนเอง จึงเกิดความสมัครใจรักใคร่และมีเพศสัมพันธ์กับคนต่างวรรณะ เป็นต้น เมื่อถูกสังคมลงโทษพวกจัณฑาลทั้งชายและหญิง ดำรงชีวิตเร่ร่อนแม้ในวัยชรา เจ็บป่วย และนอนตายอยู่ข้างถนน เป็นสาเหตุให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยว่าจัณฑาลมีความเป็นมาอย่างไร ?
เจ้าชายสิทธัตถะทรงสนพระทัยที่จะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับจัณฑาลต่อไป พระองค์จึงทรงสืบหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้และรวบรวมหลักฐานจากคำให้การของพราหมณ์ปุโรหิต ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะเอง เมื่อพระองค์ทรงวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงได้ข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนว่าพระพรหมที่ชาวสักกะเคารพนับถือนั้น สร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์และสร้างวรรณะให้มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นนั้น ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่พวกเขาเกิดมาเท่านั้น พราหมณ์ปุโรหิตรุ่นก่อน ๆ ก็เคยเห็นพระพรหมในแคว้นสักกะมาก่อน แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามว่าพระพรหมและพระอิศวรผู้สร้างมนุษย์นั้น มีความเป็นมาอย่างไร ? แต่ไม่มีพราหมณ์คนใดตอบได้เมื่อคำพยานของพราหมณ์ปุโรหิตมีข้อพิรุธน่างสงสัยเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าพราหมณ์ปุโรหิตเหล่านั้น ไม่มีความรู้เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของตนเอง เกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าจึงไม่ทราบประวัติความเป็นของพระพรหมและพระอิศวร เมื่อข้อเท็จจริงเรื่องนี้อันเป็นที่สุดแล้ว เจ้าชายทรงปฏิเสขการมีอยู่ของเทพเจ้าและไม่เชื่อว่าคำสอนเรื่องทฤษฎีกำเนิดของโลกของพราหมณ์เป็นความจริง เป็นต้น
ดังนั้น วิธีการแสวงหาความรู้โดยกระบวนพิจารณาความจริงของเจ้าชายสิทธัตถะจึงเริ่มต้นด้วยการตั้งปัญหา เมื่อนักปรัชญาได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่นการมีอยู่ของเทพเจ้า การสร้างวรรณะของพระพรหมหรือเรื่องอื่น ๆ ก็ได้ เราควรสงสัยก่อนว่าไม่เป็นความจริง จนกว่าจะมีการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นและรวบรวมพยานหลักฐานได้อย่างเพียงพอ มาวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงนั้นให้ชัดเจนว่าเป็นความจริงหรือความเท็จ เป็นต้น
ติดตามปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาครั้งแรกในพระไตรปิฎก (ตอน๔)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น