Introduction : Philosophy is human knowledge in the Tripitaka.
คำสำคัญ ปรัชญา ความรู้ มนุษย์ พระไตรปิฎก
บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญปัญหา
โดยทั่วไปแล้ว ปรัชญาเป็นวิชาหลักสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ ๑ ในมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วโลก อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยบางแห่งเปิดสอนวิชาปรัชญาเป็นวิชาเลือก ซึ่งกำหนดให้ นักศึกษาต้องศึกษาวิชานี้ในทุกหลักสูตร เมื่อนักศึกษาฟังการบรรยายปรัชญาเบื้องต้นจากอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือศึกษาตำราปรัชญาเบื้องต้นด้วยตนเอง นักศึกษาจะรับรู้เนื้อหาปรัชญาเบื้องต้นผ่านอายตนะภายใน และสั่งสมเนื้อหาปรัชญานี้ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากธรรมชาติของนักศึกษามหาวิทยาลัยในฐานะมนุษย์ที่มีอายตนะภายใน พวกเขาจึงไม่เพียงแต่รับรู้และสั่งสมเนื้อหาปรัชญาไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น แต่ยังมีลักษณะของนักคิดอีกด้วย เมื่อนักศึกษารับรู้สิ่งใด พวกเขามักจะคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้น โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และการดำรงอยู่ของเทพเจ้าอย่างมีเหตุผล
อย่างไรก็ตาม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนเกี่ยวกับ "ชีวิตมนุษย์ " ในแง่ของ "ขันธ์ห้า" เราได้ยินมาว่ามนุษย์ทุกคนมีอายตนะภายในที่จำกัดการรับรู้ และมีอคติในความคิดที่จะยืนยันความจริงเพื่อเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด สิ่งนี้ก่อให้เกิดความมืดมนในชีวิต พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถอธิบายความจริงในเรื่องเหล่านี้ได้อย่างมีเหตุผล อย่างไรก็ตาม ในสมัยพระพุทธเจ้า พราหมณ์บางกลุ่มในโลกเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่นเรื่องราวของพระพรหมสร้างมนุษย์ โลกเที่ยง และอัตตา พวกเขามักจะแสดงความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับความจริงของเรื่องราวเหล่านี้ โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่ออธิบายความจริง อย่างไรก็ตามการใช้เหตุผลของพวกเขา บางครั้งก็ถูกต้อง บางครั้งก็ไม่ถูกต้อง บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลแบบนี้ บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลแบบนั้นเป็นต้น เมื่อเหตุผลที่ใช้อธิบายความจริงของคำตอบนั้นคลุมเครือและไม่ชัดเจนเช่นนี้ วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะได้ยินความคิดเห็นเช่นนี้ ย่อมสงสัยว่าความคิดเห็นของนักปรัชญาคนใดถูกต้อง นักปรัชญาคนใดไม่ถูกต้อง เพื่อแก้ปัญหาการใช้เหตุผลที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน พระพุทธเจ้าจึงทรงวางกระบวนการพิจารณาความจริงในเรื่องนี้โดยนิยามกระบวนการพิจารณาความจริงทางพระพุทธศาสนา ไว้ดังนี้
เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่สืบทอดกันมาตั้งสมัยก่อนพระพุทธเจ้าจนถึงปัจจุบันเช่น ในก่อนสมัยพุทธกาลชาวแคว้นสักกะและโกลิยะ ต่างเชื่อมั่นใจในการมีอยู่ของเทพเจ้าอย่างมั่นคง เราไม่ควรเชื่อทันทีว่าเป็นความจริง เราควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนจนกว่าสอบสวนข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐาน เมื่อเราศึกษาตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่น การมีอยู่ของเทพเจ้าก็ยังมีประเด็นที่น่าสงสัยอยู่ว่า ต้นกำเนิดของความรู้ของมนุษย์คืออะไร ? องค์ประกอบของความรู้ของมนุษย์มีอะไรบ้าง ? พระพุทธเจ้าทรงใช้ขั้นตอนในการพิจารณาความจริงอย่างไร ? และความรู้ของมนุษย์มีความสมเหตุสมผลเพียงใด ? เราจะนำความรู้นี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร ? เราจะสามารถประกอบอาชีพอะไรได้บ้างหลังจากสำเร็จการศึกษา ? เหตุผลที่ต้องตั้งคำถามว่าปรัชญา พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์เป็นวิชาที่ควรค่าแก่ศึกษาหรือไม่ ? ก็เพราะหลังจากการศึกษาปรัชญาแล้ว ผู้คนยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในปรัชญา ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เห็นประโยชน์ของปรัชญาอย่างแน่นอน
ปัจจุบันจำนวนนักศึกษาปรัชญาในประเทศไทยยังค่อนข้างน้อย เนื่องจากปรัชญาเป็นวิชาบังคับที่นักศึกษาในทุกมหาวิทยาลัยต้องเเรียน เมื่อเข้าสู่กระบวนการสอนแล้ว นักศึกษามักจะตั้งคำถามและแลกเปลี่ยนปัญหากันผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ ว่า "เรียนปรัชญาไปทำไม? เพราะการเรียนมักจะเข้าใจยาก " เมื่อผู้เขียนทราบความจริงในเรื่องนี้ก็เกิดความสงสัยว่า"อาจารย์มหาวิทยาลัยมีวิธีการสอนปรัชญาอย่าง ไร ? เมื่อนักศึกษาเรียนรู้ข้อเท็จจริงทางปรัชญาจากการบรรยายของอาจารย์ ก็จะรวบรวมเนื้อหาทางปรัชญาเหล่านั้น ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เมื่อมีการใช้หลักฐานทางอารมณ์เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของแนวคิดของนักปรัชญาเหล่านั้น นักศึกษายังคงไม่เข้าใจแนวคิดของนักปรัชญาเหล่านั้น และสงสัยว่านักปรัชญาคนใดใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง หรือใช้เหตุผลในลักษณะนี้ หรือลักษณะนั้นบ้าง ซึ่งเป็นแนวคิดที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน เมื่อปัญญาชนเช่นนักศึกษาเหล่านี้ได้ยินแนวคิดของนักปรัชญาในทุกยุคทุกสมัย พวกเขาจะสงสัยเกี่ยวกับต้นกำเนิดของความรู้ของนักปรัชญา มีองค์ประกอบของความรู้ของนักปรัชญา กระบวนการที่นักปรัชญาใช้พิจารณาความจริงและความสมเหตุสมผลของความรู้ของนักปรัชญา เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อการศึกษาปรัชญาไม่น่าดึงดูดสนใจนักศึกษาไทยก็เป็นเพราะอาจารย์ปรัชญาให้ความสำคัญกับการสอนแนวคิดของนักปรัชญาคนใดคนหนึ่งมากเกินไป โดยไม่สนใจคุณลักษณะของนักปรัชญาในฐานะมนุษย์ แม้ว่าโดยธรรมชาติแล้ว นักปรัชญาจะเป็นนักคิดที่สามารถใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ แต่เมื่อนักปรัชญามีอาตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ และมีความคิดที่ลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน ดังนั้น พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจกระบวนการพิจารณาความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์
เมื่อผู้เรียนไม่เข้าใจว่า ต้นกำเนิดของความรู้ทางปรัชญา ธรรมชาติของความรู้ทางปรัชญา วิธีการแสวงหาความรู้ทางปรัชญาและความสมเหตุสมผลของความรู้ทางปรัชญา ผู้ศึกษาจึงไม่สามารถตอบปัญหาที่ว่า "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความรู้ของเราเป็นจริงหรือเท็จ ? และนำความรู้ทางปรัชญาไปในชีวิตประจำวันได้ซึ่งสอดคล้องกับทัศนะที่นักปรัชญาสมัยใหม่เชื่อว่า "ปรัชญาคือมารดาแห่งศาสตร์ทั้งปวง" สาขาวิชาการสมัยใหม่ทุกแขนง ได้แยกเนื้อหาวิชาการออกจากปรัชญา เพื่อสร้างหลักสูตรใหม่ โดยใช้กระบวนการวิธีพิจารณาความจริงของปรัชญามาประยุกต์ใช้ในหลักสูตรใหม่
ดังนั้น เมื่อโครงสร้างความรู้ของปรัชญาประกอบด้วยนักคิดที่เรียกว่า "นักปรัชญา" ซึ่งเป็นต้นกำเนิดความรู้ขแงปรัชญา วิธีพิจารณาความจริงของปรัชญา ก็คือการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน และหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น เมื่อโครงสร้างความรู้ของปรัชญาเป็นเช่นนี้ วิทยาศาสตร์ที่แยกออกจากปรัชญาเพื่อสร้างหลักสูตรใหม่ ก็จะใช้กระบวนการพิจารณาความจริงของปรัชญา่ในการวิเคราะห์หลักฐานต่างๆ เพื่อใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริง ซึ่งก็คือความรู้ที่อยู่ในหลักสูตรของตนซึ่งเป็นวิธีการแสวงหาความรู้ที่เป็นสากลที่ทุกสาขาวิชาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสาขาวิชาของตนได้
สาเหตุที่นักศึกษาสมัยใหม่ไม่สนใจศึกษาปรัชญา อาจเป็นเพราะอาจารย์ไม่เข้าใจต้นกำเนิดความรู้ทางปรัชญา ไม่เข้าใจโครงสร้างของความรู้ทางปรัชญา กระบวนการวิธีพิจารณาความจริงของปรัชญา และความสมเหตุสมของความรู้ทางปรัชญา วัตถุประสงค์ของการศึกษาปรัชญา ซึ้งก็คือ การให้นักศึกษาได้ศึกษาแนวคิดของนักปรัชญาตามเนื้อหาที่กำหนดไว้ในหลักสูตร เช่น โลก มนุษย์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และหลักฐานการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น เราจะนำแนวคิดของนักปรัชญาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร? หากอาจารย์ไม่สามารถให้คำตอบได้ ก็จะกลายเป็นปัญหาของระบบการศึกษาที่สอนให้นักศึกษาเรียนรู้เพื่อสั่งสมความรู้ไว้ในใจ ยิ่งไปกว่านั้นบัณฑิตจากหลักสูตรปรัชญาไม่สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้กับการทำงานในองค์กรใด ๆ ได้ นอกจากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแล้ว ยังมีองค์กรใดอีกบ้างที่ต้องการบัณฑิตปรัชญาไปทำงาน ? เมื่อมองไปยังอนาคตของการทำงานในฐานะพนักงาน เรามองเห็นแต่ความมืดมนในชีวิต เพราะไม่รู้ว่าองค์กรใดต้องการบัณฑิตปรัชญาในการทำงาน เป็นต้น
การเขียนเกี่ยวกับปรัชญาพุทธภูมิ เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานจากตำราปรัชญาต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงสร้างของความรู้ทางปรัชญาและไม่พบหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่า ปรัชญามีองค์ประกอบความรู้เช่นไร อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้เกี่ยวกับปรัชญา โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานจากเอกสารในตำราเรียน และเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อนำหลักฐานมาวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบเกี่ยวกับปรัชญาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ดังนั้น เมื่อผู้เขียนศึกษาปรัชญา ผู้เขียนจึงได้เรียนรู้ความรู้ในหลากหลายสาขา ซึ่งเกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ในทาง ปรัชญา เมื่อได้ยินความจริงเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ควรเชื่อทันทีควรตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งนั้นไว้ก่อน จนกว่าจะได้รวบรวมหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้นเสียก่อน เมื่อผู้เขียนศึกษาชีวิตมนุษย์จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว ผู้เขียนจึงได้เรียนรู้ว่า ความจริงของชีวิตมนุษย์ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือ "ขันธ์ ๕" เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจที่กำเนิดในครรภ์มารดา มนุษย์ใช้อายตนะภายในร่างกายเชื่อมโยงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น
นี่คือกฎธรรมชาติที่จิตใจมนุษย์รับรู้ (วิญญาณ) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จิตใจจึงรวบรวมเรื่องราวเหล่านั้นเป็นข้อมูลทางอารมณ์ที่เก็บไว้ในจิตใจ แต่เนื่องจากจิตใจมนุษย์เป็นนักคิด เมื่อรับรู้สิ่งใดจิตใจจะคิดจากสิ่งนั้น โดยใช้ข้อมูลทางอารมณ์ มาวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงของสิ่งนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับสาเหตุของเหตุการณ์นั้น หากผลของการวิเคราะห์ยังไม่พบสาเหตุของเหตุการณ์นั้น ก็จำเป็นต้องหาหลักฐานเพิ่มเติม เมื่อการวิเคราะห์พบสาเหตุแล้ว ความรู้นั้นก็จะกลายเป็นความรู้ที่แท้จริงและมนุษย์ก็เก็บความรู้นั้นไว้เป็นสัญญาในจิตใจ ดังนั้น มนุษย์จึงมีแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะแสวงหาหลักฐานเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตัวอย่างเช่น
-มนุษย์กับงูยักษ์เป็นสัตว์กินเนื้อ เมื่องูเผชิญหน้ากับมนุษย์ พวกมันก็จะฆ่ามนุษย์เพื่อเป็นอาหาร เมื่อมนุษย์รับรู้เรื่องนี้และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ แต่จิตใจของมนุษย์มิได้เพียงแต่รับรู้และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น ชีวิตมนุษย์ยังมีธรรมชาติของการเป็นนักคิด เมื่อรู้สิ่งใด ก็จะคิดจากสิ่งนั้น โดยวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์ โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ใช้อธิบายคำตอบในเรื่องการเอาชีวิตรอดจากการถูกงูกัดตายนั้น และกลายเป็นความรู้สั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์อีกด้วย ดังนั้น การรู้วิธีเอาชีวิตรอดจากการถูกงูกัดตาย จึงเป็นความรู้มาจากประสบการณ์ชีวิต ที่มนุษย์รับรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกายและสั่งสมไว้ในจิต ความรู้นี้เป็นรูปแบบหนึ่งของความรู้ของมนุษย์
-มนุษย์กับท้องทะเล เมื่อชีวิตมนุษย์มีอายตนะภายในของร่างกายเชื่อมโยงกับท้องทะเลอันสงบนิ่ง ไม่มีคลื่นใดชัดเข้าหาฝั่ง แต่ท้องฟ้ามืดลงชั่วขณะหนึ่ง คลื่นลูกใหญ่ชัดเข้าหาฝั่งอย่างรุนแรงและชัดเจน ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า เมื่อจิตใจของมนุษย์รับรู้ปรากฎการณ์คลื่นทะเลนั้น และรวบรวมเรื่องราวเป็นหลักฐานทางอารมณ์ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ก็ใช้หลักฐานนั้นมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนี้ว่า สาเหตุที่เกิดคลื่นทะเลนั้นมีความเป็นอย่างไร ? อย่างไรก็ตาม เมื่อมนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความมืดมน จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงเกี่ยวกับคลื่นทะเล ซึ่งเป็นความจริงที่สมมติขึ้น จึงจำเป็นต้องสร้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและเก็บหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงต่อไป,
-การเดินทางไปต่างประเทศ การพบปะชาวต่างชาติที่น่าสนใจออกเดท แต่ขาดความรู้พื้นฐานว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน เป็นคนดีหรือคนไม่ดี เราไม่มีทางรู้เพราะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนและมนุษย์ก็มักจะไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนให้ผู้อื่นรับรู้ในบทสนทนา พวกเขาจะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงและจุดมุ่งหมายในการสร้างความสัมพันธ์นั้น เว้นแต่จะสนิทสนมอย่างจริงใจ หรือเพื่อจุดประสงค์อื่นเท่านั้น ถือเป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส ที่มนุษย์ควรเรียนรู้และหาทางเอาตัวรอดเช่นกัน,
-การทำงานในฐานะข้าราชการในหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งในประเทศไทย เชื่อในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่? เราต้องรวบรวมหลักฐานจากผู้ที่แสดงความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียเพราะมนุษย์มักซ่อนกิเลสไว้ในใจ ไม่แสดงออกผ่านการกระทำ คำพูดและเจตนาที่ซ่อนไว้ในใจ เราต้องใช้เวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวตนของพวกเขาอย่างชัดเจน นี่คือความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านกระสาทสัมผัสของตน ซึ่งมนุษย์ควรเรียนรู้เช่นกัน ดังนั้นความรู้ของมนุษย์ จึงหมายถึงการสั่งสมความรู้จากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ ซึ่งรวมทั้งความสามารถและทักษะเชิงปฏิบัติ เช่น ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์, ความรู้ที่ได้รับจากการได้ยิน การฟัง การคิด หรือการปฏิบัติเช่น ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพหรือความรู้เกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน เราสามารถอธิบายต้นกำเนิดของความรู้ โครงสร้างของความรู้ วิธีการพิจารณาความรู้จริงของความรู้ และความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์ ได้ดังนี้
๑. ต้นกำเนิดแห่งความรู้ของมนุษย์ มนุษย์เป็นนักคิดโดยธรรมชาติ พวกเขาเป็นนักคิดที่อาศัยการรับรู้ผ่านอายตนะภายในและสั่งสมเรื่องราวจากการรับรู้ของตน อย่างไรก็ตาม อายตนะภายในเหล่านี้มีความสามารถในการรับรู้ที่จำกัด และมีอคติในความคิดเห็นของตนเองที่จะเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ส่งผลให้ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยมืดมน และขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ยินและสืบทอดกันมา เช่น การมีอยู่เทพเจ้าตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา
รัฐบาลทั่วโลกจึงแก้ปัญหาไข โดยจัดระบบการศึกษาระดับชาติ และออกกฎหมายให้ประชาชนปฏิบัติตาม เมื่อมนุษย์ก้าวเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ มนุษย์ได้พัฒนาศักยภาพในการสร้างอารยธรรมของตนเองผ่านระบบการศึกษา ที่รัฐบาลของแต่ละประเทศจัดหาให้ชั้นเรียนจัดขึ้นในมหาวิทยาลัย โรงเรียน และวิทยาลัยโดยมีครูผู้สอนที่เชี่ยวชาญในหลากหลายวิชารวมถึงปรัชญาและพุทธศาสนา หลังจากฟังคำสอนของครูแล้ว นักศึกษาจะสั่งสมความรู้เหล่านี้และนำความรู้ติดตัวของผู้เรียนไปใช้ที่บ้าน ดังนั้น การศึกษาในสถาบันการศึกษา จึงมุ่งเน้นที่การแสวงหาความรู้เพียงอย่างเดียว เมื่อจบหลักสูตรนักศึกษาจะได้เข้าร่วมโครงการฝึกงาน เพื่อพัฒนาทักษะการนำความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจและแก้ปัญหาในหน้าที่ความรับผิดชอบต่าง ๆ
๒. ความรู้จากประสบการณ์ชีวิต เมื่อร่างกายมนุษย์มีอายตนะภายในที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต เมื่อมนุษย์ประสบกับปรากฎการณ์เหล่านี้ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือพายุรุนแรงที่ซัดเข้าฝั่งทำลายเรือประมงนับหมื่นลำ และคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก สาเหตุที่แน่ชัดของเหตุการณ์เหล่านี้ ยังคงไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว พวกเขาก็ใช้หลักฐานทางอารมณ์เป็นข้อมูล สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นโดยใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของสาเหตุที่เกิดปรากฏการณ์ในเรื่องนี้ เพราะมนุษย์มีข้อจำกัดในการรับรู้ปรากฏการณ์เหล่านี้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเอง หลักฐานที่มีอยู่จึงไม่เพียงพอ ที่จะนำมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นั้นก็ถูกลืมเลือนไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นตำนานที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน บอกเล่าให้คนรุ่นหลังรู้ถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ เนื่องจากไม่มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใด ที่สามารถติดตามสภาพอากาศได้เหมือนในปัจจุบัน
เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ซึ่งบรรจุพระธรรมและวินัยอยู่หลายเล่ม ได้กล่าวถึงเทพเจ้าหลายองค์ เมื่อความเชื่อเรื่องเทพเจ้าครอบงำชีวิตมนุษย์ พราหมณ์มักใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือ ในการอธิบายของคำตอบของตนให้คนต่างวรรณะฟัง ทั้งนี้ เพราะพระพรหมและพระอิศวรลงโทษมนุษย์ที่ละเมิดกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีด้วยการแต่งงานข้ามวรรณะ นำไปสู่ความดูถูกเหยียดหยามและเกลียดชัง เทพเจ้าเหล่านั้นลงโทษมนุษย์ด้วยการทำให้เกิดแผ่นดินไหว ลมพายุ และฝนตกหนัก แม้พราหมณ์จะตอบอย่างมีเหตุผล แต่หลายคนก็ให้เหตุผลสนับสนุนหลักฐานเหล่านั้น แต่เทพเจ้าจะลงโทษได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีใครเคยเห็นพระพรหมมาก่อน อย่างไรก็ตาม ปัญหาของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติก็เกิดขึ้นมนุษย์ต่างก็สงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหวหรือพายุ แม้มนุษย์จะรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เพื่อนำมาวิเคราะห์แต่หลักฐานที่รวบรวมจากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติผ่านอายตนะภายใน ยังไม่เพียงพอ ที่จะใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ คำตอบของสาเหตุที่เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ แม้จะมีพยานบุคคลยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม มีข้อสงสัยว่าพยานเหล่านั้นเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุหรือไม่ ดังนั้น คำให้การของพยานเหล่านี้จึงขาดความน่าเชื่อถือ และไม่สามารถยอมรับได้ว่าเป็นการยืนยันความจริงของเรื่องนี้ได้
๒.ต้นกำเนิดของความรู้เชิงปรัชญา
เมื่อปรัชญา พระพุทธศาสนา และวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ของมนุษย์ ปรมาจารย์แห่งความรู้เชิงปรัชญาจึงถูกเรียกว่า"นักปรัชญา" เช่น เพลโต อริสโตเติล และพราหมณ์ทั้งหกนิกาย พระพุทธเจ้าทรงเป็นปรมาจารย์แห่งความรู้ทางพุทธศาสนา นักวิทยาศาสตร์เป็นปรมาจารย์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ นักปรัชญาสนใจศึกษาความจริงของโลก มนุษย์ จักรวาล และการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น พระพุทธศาสนาเน้นย้ำถึงปัญหาของชีวิตมนุษย์ ขณะที่นักวิทยาศาสตร์เน้นย้ำถึงความจริงของสรรพสิ่ง
ความรู้ของนักปรัชญา พระพุทธเจ้าและนักวิทยาศาสตร์มีต้นกำเนิดมาอย่างไร ?เมื่อนักปรัชญา พระพุทธเจ้าและนักวิทยาศาสตร์เป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในเชื่อมโยงกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอยู่เสมอเมื่อพวกเขารับรู้สิ่งต่าง ๆ จิตใจของมนุษย์จะเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ จากนั้นพวกเขาวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์เหล่านี้ โดยอนุมานความรู้ของตนเองด้วยเหตุผลหรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยิน โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบของเรื่องนั้น ๆ แต่เมื่อนักปรัชญาในสมัยพุทธกาลใช้เหตุผล บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น เมื่อการใช้เหตุผลคลุมเครือและไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความเป็นมาของเรื่องราวที่ได้ยิน เมื่อวิญญูชนได้ยินความคิดเห็นใด ๆ พวกเขาจะสงสัยความจริงของเรื่องนั้น ๆ โดยธรรมชาติ
ความรู้ของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อพระองค์ทรงได้ยินข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่าพระพรหมลงโทษชาวสักกะ โดยพระองค์จึงทรงบัญชาให้สังคมลงโทษพวกเขา ด้วยการขับไล่ออกจากบ้านเรือนไปตลอดชีวิต และเรียกคนเหล่านี้ว่า "จัณฑาล" เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ทราบความจริงเกี่ยวกับพระพรหมลงโทษชาวสักกะแล้วพระองค์ก็ทรงไม่เชื่อข้อเท็จจริงทันที แต่พระองค์ก็ทรงสงสัยไว้ก่อนว่าไม่เป็นความจริง เมื่อพระองค์ทรงชอบแสวงหาความจริงเรื่องนี้อีกต่อไป พระองค์จึงทรงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ และรวบรวมหลักฐานเช่น พราหมณ์สำนักต่าง ๆ ที่อ้างตนเองว่าสามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้ผ่านพิธีกรรมบูชายัญของตน เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงไต่สวนประจักษ์พยานคือพราหมณ์สำนักต่าง ๆ พยานเหล่านั้นทั้งหมดก็ให้การสอดคล้องกันและยืนยันว่าตนไม่เคยเห็นพระพรหม และไม่รู้แม้กระทั่งประวัติของพระองค์
นักปรัชญาชอบศึกษาความจริงในเรื่องเหล่านี้ พวกเขาแสวงหาหลักฐานเพื่มเติม เพื่อพิสูจน์ความจริงโดยการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือใช้การอธิบายความจริงของเรื่องนั้น ๆ อย่างไรก็ตาม หลักฐานพิสูจน์ทางปรัชญามักเป็นพยานบุคคลที่ยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น ในสมัยรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์ได้สอนผู้คนในอนุทวีปอินเดียให้เชื่อว่าพระพรหมสร้างมนุษย์จากร่างกายของพระองค์และวรรณะ พระองค์ได้มอบสิทธิ และหน้าที่แก่มนุษย์ในการทำงานตามวรรณะที่ตนเกิดมาพราหมณ์ยืนยันว่า สามารถติดต่อพระพรหมได้ผ่านพิธีกรรมบูชายัญ เพื่อช่วยให้ผู้คนประสบความสำเร็จในการงานและชีวิต เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงซักถามถึงต้นกำเนิดของพระพรหมและพระอิศวร ไม่มีพราหมณ์คนใด สามารถอธิบายถึงต้นกำเนิดของพระพรหมแก่เจ้าชายสิทธัตถะได้อย่างชัดเจน สิ่งนี้ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยถึงการมีอยู่ของพระพรหม แม้ว่าพราหมณ์จะอธิบายว่ามนุษย์เคยเห็นพระพรหมมาก่อนแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตามข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ ไม่มีมูลความจริงและไม่มีหลักฐานยืนยัน
นิยามของปรัชญา เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานจากพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๕๔ ได้ให้คำจำกัดความว่า "ปรัชญาคือวิชาที่ว่าด้วยหลักความรู้และความจริง"และ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานให้คำจำกัด "ความรู้" เป็นสิ่งที่สั่งสมจากการศึกษา เล่าเรียน ค้นคว้า หรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถและทักษะในการปฏิบัติ เช่น ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์, สิ่งที่ได้จากการได้ยิน ได้ฟัง การคิดหรือการปฏิบัติ หลักการแห่งความรู้คือสาระที่มั่นคงและความจริง แยกประเด็น "ความ" แปลว่า "เรื่อง" เช่น เนื้อความ เกิดความส่วนคำว่า "จริง" หมายถึงสิ่งที่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฯลฯ ผู้เขียนตีความปรัชญาว่าเป็นความรู้ที่มนุษย์สั่งสมมาโดยการศึกษา การวิจัยหรือประสบการณ์รวมถึงความสามารถและทักษะในการปฏิบัติจริง ยกตัวอย่างเช่น ความรู้ทางประวัติศาสตร์,ความรู้ได้มาจากจากการฟัง การคิด และการปฏิบัติ ดังนั้น ความรู้ทางปรัชญาจึงต้องมีแก่นแท้ที่มั่นคง เป็นความจริงที่แน่นอนและไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เพราะ "ปรัชญา" มีต้นกำเนิดของความรู้ของนักปรัชญามาจากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในของมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า "อายตนะภายในเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆมากมาย เช่น สภาพแวดล้อม ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมของมนุษย์ที่เกิดขึ้น จิตใจของมนุษย์รับรู้แล้วก็จะเก็บเรื่องราวเหล่านี้เป็นหลักฐานทางอารมณ์เหล่านี้ไว้ในจิตใจ ใช้เป็นข้อมูลใช้ในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนั้น ๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว เรื่องราวต่าง ๆ มักปรากฏขึ้นโดยไม่ทราบที่มา เมื่อข้อเท็จจริงเป็นดังนี้ วิญญูชนยจะสงสัยความจริงของเรื่องราวนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น นักปรัชญาตะวันตกมองโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่และสงสัยว่าโลกนี้เกิดขึ้นอย่างไร ? นักปรัชญาตะวันตกวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานหรือคาดคะเนความจริงของเรื่องราวนั้น ๆ นักปรัชญาบางคนให้คำตอบว่าโลกถูกสร้างขึ้นจากน้ำบ้าง ไฟบ้าง ลมบ้าง และดินบ้าง ฯลฯ โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องปฐมธาตุของโลก แต่การใช้เหตุผลอธิบายความจริงเรื่องนี้ บางคนอาจใช้เหตุผลได้อย่างถูกต้อง บางคนอาจใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง เป็นต้น เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนักปรัชญาในสมัยพุทธกาล เจ้าชายสิทธัตถะทรงสร้างกระบวนการพิจารณาความจริงขึ้น เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้
๒.ลักษณะของปรัชญา : ปรัชญาคือความรู้ของมนุษย์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์ อย่างไรก็ตามจิตใจของมนุษย์ไร้รูปแบบ และความรู้มีอยู่ในจิตใจ เนื่องจากจิตใจไร้รูปแบบ ความรู้จึงจับต้องไม่ได้ ต้นกำเนิดของความรู้ทางปรัชญาเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ใช้อายตนะภายในเชื่อมโยงกับปรากฎการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น เมื่อมนุษย์รับรู้ พวกเขาจะรวบรวมหลักฐานเหล่านี้ไว้เป็นข้อมูลทางอารมณ์ในจิตใจ จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้ โดยใช้เหตุผลยืนยันความจริงของเรื่องนั้น จากผลจากการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงนี้ ทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นในจิตใจของนักปรัชญายังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจนว่าเป็นจริงหรือเท็จ วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะได้ยินความคิดเห็น ก็เกิดความสงสัยและชอบแสวงหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลโดยการอนุมานความรูเพื่อยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น เมื่อได้คำตอบอย่างชัดเจนแล้ว ความรู้ก็จะสั่งสมอยู่ในจิตใจและติดตามชีวิตไปทุกหนทุกแห่งเพื่อนำไปใช้ในการทำงาน และแก้ไขปัญหาในชีวิตต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปแล้ว ความรู้มักจะสูญหายไปพร้อมกับความตายของมนุษย์นั้น ดังนั้น มนุษย์จึงแสวงหาวิธีที่จะรักษาความรู้ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาจากหลักฐานที่มีอยู่ มนุษย์จึงคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ และบันทึกข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้มากมาย ดังจะเห็นได้จากรูปภาพของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วบนผนังถ้ำ หรือวิธีมุขปาฐะจากพระไตรปิฎกฉบับต่าง ๆ การสร้างวัตถุทางศาสนาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช หรือประดิษฐ์อักษรพราหมี เพื่อบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ และสร้างอนุสรณ์เพื่อรำลึกถึงงานเผยแผ่ของพระพุทธเจ้า เป็นต้น ตามแนวคิดของมนุษย์ ปรัชญาแบ่งออกเป็น ๕ สาขาคือ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น