The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2566

บทนำ ปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์ในพระไตรปิฎก

  Introduction :  Philosophy is human knowledge in the Tripitaka.


บทนำ ปรัชญาเป็นความรู้ของมนุษย์  

          ตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วโลก     ปรัชญาเป็นวิชาพื้นฐานสำหรับนักศึกษาปีแรกในทุกมหาวิทยาลัย      แต่มหาวิทยาลัยบางแห่งสอนปรัชญาเป็นวิชาเลือก     หลังจากที่นักศึกษาได้ฟังการบรรยายเนื้อหาปรัชญาเบื้องต้นจากอาจารย์ในห้องเรียนและการอ่านหนังสือเรียน จิตใจของพวกเขาจะเก็บหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจของพวกเขา  แต่ธรรมชาติของจิตใจของผู้เรียน    นอกจากมีหน้าที่รับรู้และเก็บหลักฐานทางอารมณ์ไว้เป็นสัญญาไว้ในใจแล้ว         จิตใจมนุษย์ยังมีหน้าที่เป็นนักคิดอีกด้วย     เมื่อรู้สิ่งใดแล้ว    ก็จะคิดจากสิ่งนั้น    ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้เรียนได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์       โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและการมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น    จากการบรรยายของอาจารย์ในห้องเรียนและอ่านหนังสือเรียนปรัชญาเบื้องต้น  จิตใจของผู้เรียนได้รับรู้ก็จะเก็บหลักฐานทางอารมณ์ดังกล่าวไว้ในจิตใจของตนเอง   เมื่อวิเคราะหลักฐานทางอารมณ์โดยอนุมานความรู้    เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบแล้ว แต่ผลการวิเคราะห์หลักฐานต่าง ๆ   เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบนั้น เรื่องราวปรากฏเป็นภาพในใจของผู้เรียนนั้น ยังไม่ชัดเจนว่าปรัชญาเกิดขึ้นได้อย่างไร? เป็นเรื่องที่นักปรัชญาจะต้องแสวงหาความรู้ต่อไป 

             เมื่อปรัชญา      พุทธศาสนา และวิทยาศาสตร์ล้วนเป็นความรู้ของมนุษย์  ทั้งสามวิชามีต้นกำเนิดของความรู้จากอะไร?  องค์ประกอบความรู้มีอะไรบ้าง ?      วิธีพิจารณาความจริงของความรู้นั้นแตกต่างกันอย่างไร ?    และความสมเหตุผลของความรู้ทั้งสามวิชานั้นเป็นอย่างไร ?  ความรู้ในสาขาเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร ? หลังสำเร็จการศึกษาในวิชาเหล่านี้      ไปประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง ? คำถามทั้งหมดนี้        ทำให้เกิดปัญหาว่าปรัชญา พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจที่เราควรศึกษาหรือไม่?      เพราะเมื่อนักศึกษาเรียนปรัชญายังไม่เข้าใจในเนื้อหา           พวกเขาจึงไม่เห็นประโยชน์ของปรัชญาอย่างแน่นอน     ปัจจุบันประเทศไทยมีนักศึกษาหลักสูตรปรัชญาไม่มากนัก  เมื่อปรัชญาเป็นวิชาบังคับที่นักศึกษาต้องเรียน  นักศึกษาในมหาวิทยาลัยทุกแห่งมักจะตั้งคำถามในหมู่นักศึกษา  และแบ่งปันปัญหาในเว็บไซต์ต่าง ๆ ว่า     "ทำไมต้องเรียนปรัชญา  ?" เมื่อผู้เขียนได้ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ก็เกิดความสงสัยว่า "อาจารย์จัดการเรียนการสอนปรัชญาอย่างไร?  เมื่อถ่ายทอดเนื้อหาปรัชญาให้นักศึกษาทราบ     แต่ผู้เรียนไม่มีความรู้และความเข้าใจในเนื้อหาของปรัชญานั้น แล้วใครเป็นต้นเหตุของปัญหา? "อาจเป็นเพราะอาจารย์ที่ให้ความรู้เชิงปรัชญา        ไม่เข้าใจกระบวนการพิจารณาความจริงเชิงปรัชญา  หรือนักศึกษาไม่ได้ตั้งใจเรียนปรัชญาจึงไม่เข้าใจแนวคิดของนักปรัชญา     หรือกระบวนการพิจารณาความจริงจากการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ     เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น    

              เมื่อผู้เรียนยังไม่เข้าใจที่มาของความรู้ปรัชญา   ลักษณะของความรู้ปรัชญา  วิธีการแสวงหาความรู้ของปรัชญา และความสมเหตุสมผลของความรู้ปรัชญา  ก็ไม่สามารถตอบปัญหาที่ว่า "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความรู้ใดของเราเป็นจริงหรือความรู้ใดเท็จ?         เพื่อให้สามารถนำความรู้ทางปรัชญาในชีวิตประจำวันได้              ซึ่งสอดคล้องกับการที่นักวิชาการสมัยใหม่ถือว่า     ปรัชญาเป็นมารดาแห่งศาสตร์ทั้งปวงโดยวิชาการศึกษาสมัยใหม่ทั้งหมดแยกเนื้อหาทางวิชาการออกจากปรัชญาเพื่อสร้างหลักสูตรใหม่ทั้งหมด   โดยการนำกระบวนพิจารณาความจริงทางปรัชญาไป    ใช้วิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงทางปรัชญา  ไปใช้ในหลักสูตรใหม่ของตนด้วย     ดังนั้น  เมื่อโครงสร้างความรู้ของปรัชญาประกอบด้วยนักคิดที่เรียกว่า  "นักปรัชญา"      วิธีพิจารณาความจริงของปรัชญา ก็คือตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ      มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐาน   และหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น   

           เมื่อโครงสร้างความรู้ของปรัชญาเป็นเช่นนี้ วิทยาศาสตร์ที่แยกออกจากปรัชญา        เพื่อจัดทำหลักสูตรใหม่ขึ้นมาก็จะนำกระบวนการพิจารณาความจริงของปรัชญา่ไปใช้วิเคราะห์หลักฐานต่าง ๆ         เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริง         ซึ่งเป็นความรู้ในหลักสูตรของตนเองด้วยซึ่งเป็นวิธีแสวงหาความรู้   ที่มีความเป็นสากลที่ทุกศาสตร์สามารถนำไปใช้ในศาสตร์ของตนเองได้    เหตุผลที่นักศึกษาสมัยใหม่ไม่สนใจเรียนปรัชญานั้น        น่าจะมีสาเหตุทีอาจารย์ผู้สอนไม่เข้าใจโครงสร้างทางปรัชญาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการเรียนปรัชญา ที่นิสิตต้องศึกษาแนวคิดของนักปรัชญาตามเนื้อหาที่กำหนดไว้ในหลักสูตร      เช่น โลก มนุษย์ และเทพเจ้า เป็นต้น เราจะนำแนวคิดของนักปรัชญามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร?  ถ้าอาจารย์ไม่สามารถให้คำตอบได้ ก็จะกลายเป็นปัญหาในการจัดการศึกษา   ที่สอนให้นักศึกษาเรียนรู้ เพื่อสั่งสมความรู้ไว้ในจิตใจ        และบัณฑิตสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรปรัชญาแล้ว  ไม่สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ทำงานในหน่วยงานใดเลย    นอกจากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแล้วมีองค์กรใดบ้างที่ต้องการบัณฑิตสาขาปรัชญามาทำงาน?    เมื่อมองอนาคตของการทำงานเป็นลูกจ้าง     เราเห็นแต่ความมืดมนของชีวิต เพราะไม่รู้ว่าหน่วยงานไหน ต้องการผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาปรัชญาในการทำงาน    เป็นต้น  

               การเขียนปรัชญาพุทธภูมิ เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในตำราปรัชญาหลายเล่มเกี่ยวกับโครงสร้างความรู้ของปรัชญา  ก็ไม่มีหลักฐานว่าองค์ประกอบของปรัชญานั้นคืออะไร? แต่ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้เกี่ยวกับปรัชญาต่อไป    โดยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากเอกสารในตำราเรียนและเว็บไซต์ต่าง ๆ       เพื่อใช้หลักฐานในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้   เพื่อหาเหตุผลในการพิสูจน์ความจริงของคำตอบเกี่ยวกับปรัชญาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น     ดังนั้น เมื่อผู้เขียนตำราเรียนปรัชญาผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เป็นความรู้ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นจากความสงสัยของมนุษย์        เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดแล้ว ตามหลักวิชาการทางปรัชญานั้น   อย่าเชื่อข้อเ้ท็จจริงทันทีว่าเป็นความจริงจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริง    และรวบรวมพยานหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น เป็นต้น

              เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ และได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า  ความจริงของ"ชีวิตมนุษย์"        ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า"ขันธ์ ๕"      เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา         และจิตใช้อวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของร่างกายเกี่ยวสัมพันธ์กับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสังคม    ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติที่จิตใจมนุษย์จะต้องรับรู้  (วิญญาณ)     อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และจิตใจก็รวบรวมหลักฐานของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และสังคมเป็นข้อมูลทางอารมณ์เก็บไว้ในจิตใจ   จิตใจมนุษย์โดยธรรมชาติเป็นผู้คิดหรือการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีเหตุผล  ซึ่งยืนยันความจริงของคำตอบเกี่ยวกับสาเหตุที่เกิดเรื่องนั้น       หากผลการวิเคราะห์ยังไม่พบสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นก็จำเป็นต้องหาหลักฐานเพิ่มเติม เมื่อวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุ        ก็จะกลายเป็นความรู้ที่แท้จริงและจิตใจมนุษย์ก็เก็บความรู้เป็นสัญญาไว้ในใจของตน          ดังนั้นมนุษย์จึงมีแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะค้นหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งต่าง ๆ        เป็นเช่นนั้นมีความเป็นมาอย่างไร ?  เป็นต้นตัวอย่างเช่น
 
    -มนุษย์และงูยักษ์เป็นสัตว์กินเนื้อ เมื่องูเจอคนมันจะฆ่าคนเพื่อเป็นอาหาร เมื่อคนรู้แล้ว ก็จะคิดหาทางเอาตัวรอดจากการถูกงูฆ่าตายด้วยการรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายเพื่อตัดสินใจในการเอาตัวรอดจากถูกงูกัดตาย และเป็นความรู้สั่งสมอยู่ในจิตใจของตนเอง  ดังนั้นการรู้วิธีเอาตัวรอดจากถูกงูกัดตาย จึงเป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตที่มนุษย์รับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของตนเองและสั่งสมอยู่ในจิตเพื่อเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดจากการถูกงูฆ่านับเป็นความรู้อย่างหนึ่งของมนุษย์
  
        -การไปเที่ยวทะเล เมื่อชีวิตมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ เชื่อมต่อกับทะเลที่สงบ       ไม่มีคลื่นวิ่งเข้าหาฝั่ง แต่ท้องฟ้ามืดตรึ้มอยู่ครู่หนึ่ง และมีคลื่นใหญ่วิ่งเข้ามาใกล้ชายฝั่งอย่างรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด  ทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้ามัน ความเชื่อมโยงของชีวิตกับปรากฎการณ์คลื่นทะเลนั้น มนุษย์รวบรวมหลักฐานทางอารมณ   มาวิเคราะห์โดยคาดคะเนความรู้  เพื่อหาเหตุผลอธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนี้ว่า แต่พยานหลักฐานไม่เพียงพอที่อธิบายความจริงว่าปรากฏการณ์คลื่นใหญ่ในทะเล มีความเป็นอย่างไร?  เก็บเป็นหลักฐานของอารมณ์ข้อมูล  เป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสที่มนุษย์ควรแก่การเรียนรู้และคิดหาวิธีเอาตัวรอดเช่นกัน,
  
        -การเดินทางไปต่างประเทศได้พบปะชาวต่างชาติที่สนใจออกเดท แต่ไม่มีความรู้พื้นฐานว่าเป็นใครและมาจากไหน จะเป็นคนดีหรือคนชั่วกันแน่  เราไม่รู้เพราะเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  และมนุษย์มักจะไม่เปิดเผยธาตุแท้ให้ผู้อื่นรู้ในการสนทนา พวกเขาจะรู้ธรรมชาติที่แท้จริงและจุดประสงค์ของการสร้างความสัมพันธ์นั้น เว้นแต่พวกเขาจะอย่างใกล้ชิดว่าจริงใจ หรือเพื่อจุดประสงค์อื่นเท่านั้น   เป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส ที่มนุษย์ควรเรียนรู้และคิดหาทางเอาตัวรอดด้วย,
  
    -การทำงานเป็นข้าราชการในหน่วยงานของรัฐในประเทศไทย  เขาจะศรัทธาในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่?จะต้องรวบรวมหลักฐานจากผู้ที่แสดงความคิดเห็นบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก เพราะมนุษย์มักซ่อนกิเลสไว้ในใจ   จะไม่แสดงออกผ่านการกระทำ คำพูด และเจตนาที่ซ่อนอยู่ในใจ  เราต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ตัวตนที่ชัดเจน  เป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านกระสาทสัมผัสของตน ที่มนุษย์ควรเรียนรู้เช่นกัน


      ดังนั้นความรู้ของมนุษย์มีบ่อเกิดความรู้มาจาก ๑. การเรียนรู้ผ่านระบบการศึกษาของประเทศ   ๒. การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตจากประสาทสัมผัสของมนุษย์     เราสามารถอธิบายความรู้แต่ละประเภทได้ดังนี้ 
 
        ๑. การเรียนรู้ผ่านระบบการศึกษาของประเทศ เมื่อมนุษย์เข้าสู่ยุคศิวิไลซ์    เพราะมนุษย์พัฒนาศักยภาพชีวิตจนสามารถสร้างอารยธรรมของตนเองผ่านระบบการศึกษา  ที่จัดโดยรัฐบาลของแต่ละประเทศ ที่จัดการเรียนการสอนในห้องเรียนของมหาวิทยาลัยโรงเรียนและ วิทยาลัยโดยมีอาจารย์สอนวิชาต่าง ๆแม้กระทั้่งวิชาปรัชญาและพุทธศาสนา เมื่อได้ยินเนื้อหาความรู้จากคำสอนของอาจารย์นักศึกษาก็จะสั่งสมความรู้ในจิตใจ  และเมื่อเลิกเรียนความรู้นั้นติดตัวกลับบ้าน ดังนั้น  การศึกษาที่จัดการเรียนการสอนจึงเป็นการเรียนรู้เพื่อมีความรู้เท่านั้น แต่เมื่อเรียนรู้จบต้องไปฝึกงานก่อนเพื่อนำความรู้ตัดสินปัญหาในการทำงานหน้าที่ต่าง ๆ  
        ๒. ความรู้ผ่านประสบการณ์ชีวิต    เมื่อร่างกายมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ ๖ อวัยวะ ที่เชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ มนุษย์รับรู้ปรากฎการณ์เหล่านี้เช่น  แผ่นดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิด พายุลูกใหญ่พัดเข้าฝั่ง ทำลายเรือเดินสมุทรเรือประมงนับหมื่นลำและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก  ข้อเท็จจริงในเรื่องเหล่านี้ ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนว่าเกิดจากอะไร เป็นเรื่องที่นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในใจพวกเขามาวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆเพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงถึงสาเหตุที่ปรากฏการณ์ในเรื่องนี้ทั้งนี้เพราะมนุษย์มีข้อจำกัดในการรับรู้ปรากฏการณ์เหล่านี้  จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเองจึงมีหลักฐานไม่เพียงพอ  ที่สามารถใช้เป็นข้อมูลเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ได้  แต่เหตุการณ์นั้นก็ถูกลืมไปในไม่ช้าจนกลายเป็นตำนานที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคนโดยบอกคนรุ่นหลังถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ  เนื่องจากไม่มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาเฝ้าติดตามสภาพอากาศเหมือนทุกวันนี้
ข้อพิสูจน์เรื่องพระพรหมและพระอิศวรเมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ หลายเล่มได้กล่าวถึงเทพเจ้าอยู่หลายองค์  เมื่อความเชื่อเรื่องเทพเจ้าครอบงำชีวิตของผู้คนพราหมณ์มักจะอธิบายเหตุผลกับคนวรรณะอื่น ๆ เพราะพระพิโรธของพระพรหมและพระอิศวรได้ลงโทษมนุษย์เกิดจากมนุษย์ที่ละเมิดกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการแบ่งวรรณะ  โดยการแต่งงานข้ามวรรณะ ผู้คนจะดูหมิ่นและเกลียดชังกันในสังคมเหล่าทวยเทพลงโทษมนุษย์ด้วยทำให้เกิดแผ่นดินไหว ลมพายุ     และฝนตกหนักแม้จะได้รับคำตอบที่สมเหตุสมผลจากพราหมณ์แล้ว    และหลายคนก็ให้เหตุผลยืนยันความจริง เพื่อเป็นหลักฐานในเรื่องนี้  แต่เมื่อไม่มีใครเคยเห็นพระพรหมแล้วพระุองค์จะทรงลงโทษมนุษย์ได้อย่างไร?  แต่ปัญหาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเกิดขึ้น  มนุษย์สงสัยสาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวหรือพายุ   แม้มนุษย์จะเก็บหลักฐานเป็นอารมณ์ของข้อมูลในจิตใจได้เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ แต่หลักฐานที่เก็บได้จากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์นั้นและฟังข้อเท็จจริงโดยสรุปเบื้องต้น ยังได้หลักฐานไม่เพียงที่จะยืนยันความของคำตอบของสาเหตุที่เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้  แม้จะมีการอ้างข้อเท็จจริงจากพยานบุคคล    แต่ยังมีข้อสงสัยในที่มาของความรู้ของพยานเหล่านั้นดังนั้นความรู้ของนักปรัชญาที่พัฒนาขึ้นมานั้น  แม้ได้ข้อเท็จจริงจากพยานหลายคนเป็นหลักฐานเพิ่มเติมใช้เป็นข้อมูลใช้การวิเคราะห์แม้จะได้เหตุผลยืนยันความจริงของคำตอบ แต่พยานบุคคลเหล่านั้นมิใช่ประจักษ์พยานที่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเองก็ไม่สามารถรับฟังยืนยันความจริงในเรื่องนั้นได้ 

๒.บ่อเกิดความรู้ของปรัชญา 

       เมื่อปรัชญา พระพุทธศาสนา และวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ของมนุษย์  เจ้าของความรู้ในด้านปรัชญาเรียกว่า"นักปรัชญา" เช่น เพลโต  อริสโตเติล และพราหมณ์เจ้าของลัทธิทั้ง ๖ นิกายเรา เป็นต้น พระพุทธเจ้าทรงเป็นเจ้าของความรู้ในด้านพุทธศาสนา   และนักวิทยาศาสตร์เป็นเจ้าของความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์นักปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาความจริงของ   โลก มนุษย์  จักรวาล และข้อพิสูจน์ความมีอยู่ของเทพเจ้า  เป็นต้น  ส่วนพระพุทธศาสนาสนใจปัญหาชีวิต  ส่วนนักวิทยาศาสตร์สนใจปัญหาความจริงของสรรพสิ่ง บ่อเกิดความรู้ของนักปรัชญาพระพุทธเจ้า และนักวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อความรู้ด้านปรัชญา พระพุทธศาสนา และวิทยาศาสตร์เป็นของมนุษย์ที่มีอวัยวะอินทรีย์ ๖ อย่างของร่างกายเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสังคมของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องเผชิญหน้าตลอดเวลาแต่สาเหตุยังไม่ชัดเจนว่าเป็นมาอย่างไร ทำให้ทุกคนสงสัยข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้น  เมื่อทุกคนรวบรวมหลักฐานเป็นข้อมูลทางอารมณ์สั่งสมไว้ในจิตใจ    วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาเหตุผลมายืนยันข้อเท็จจริงของคำตอบที่สงสัยนั้น  หากผลการวิเคราะห์ข้อมูลก็ชัดเจนไม่มีข้อสงสัยในข้อเท็จจริงอีกต่อไป ถือว่าคำตอบนั้นเป็นความรู้ตามข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นหากข้อเท็จจริงยังคงเป็นที่น่าสงสัยนักปรัชญา   พระพุทธเจ้าและนักวิทยาศาสตร์จะหาหลักฐานเพิ่มเติม  เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและยืนยันคำตอบต่อไป    ตัวอย่างเช่น ในแต่ละปีมนุษย์ต้องเผชิญกับภัยจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเช่น ฟ้าร้อง ฝนตกหนัก พายุหมุนในทะเล  คลื่นทะเลขนาดใหญ่พัดเข้าสู่ทำลายบ้านเรืองและเรือประมงหาปลาในทะเล  แต่หาสาเหตุปรากฏการณ์ทางธรรมชาติไม่ได้  เป็นต้น ส่วนปรากฎการณ์ทางสังคมเช่นเสียงคนเถียงกัน เสียงประะท้วงกัน เป็นต้น จมูกดมกลิ่นเหม็นเน่าตลอดเวลา กลิ่นอาหารนานาชาติหรือกลิ่นน้ำหอม    เป็นต้น ลิ้นสัมผัสอาหารนาชาติ น้ำดื่มหรือสุราและยาเสพติด เป็นต้นเมื่อร่างกายของนักปรัชญาเชื่อมต่อกับปรากฏการณ์ทางสังคมและธรรมชาตินี้ มันเป็นประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์แต่ละคนและรวบรวมหลักฐานเป็นอารมณ์ของข้อมูลอยู่ในจิตใจเมื่อนักปรัชญาวิเคราะห์ข้อมูลในจิตใจ เรื่องราวก็ปรากฏขึ้นในในจิตใจไม่ชัดเจนพอที่จะเข้าใจถึงสาเหตุของความเป็นมาของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและทางสังคมได้ นักปรัชญาชอบศึกษาความจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอีกต่อไปพวกเขามองหาหลักฐานเพื่มเติมเพื่อพิสูจน์ความจริงด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหาเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังยืนข้อเท็จจริง แต่หลักฐานพิสูจน์เชิงปรัชญา   ก็มักจะเป็นพยานบุคคลที่ยืนกรานความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น  ตัวอย่างเช่นในสมัยศาสนาพราหมณ์เจริญรุ่งเรืองพราหมณ์ได้สอนชาวอนุทวีปอินเดียให้เชื่อว่า พระพรหมสร้างมนุษย์จากกายของพระพรหมและวรรณะให้สิทธิและหน้าที่แก่มนุษย์ทำงานตามวรรณะที่พวกเขาเกิดมาพราหมณ์ยืนยันข้อเท็จว่า พระพรหมสามารถติดต่อได้ด้วยพิธีบูชายัญเพื่ออธิษฐานช่วยคนประสบความสำเร็จในการงานและชีวิต    แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะถามถึงความเป็นมาของพระพรหมและพระอิศวรไม่มีพราหมณ์อธิบายความเป็นมาของพระพรหม ให้เจ้าชายสิทธัตะให้เข้าใจชัดแจ้งได้ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยในความมีอยู่จริงของพระพรหม  แม้พราหมณ์จะอธิบายว่ามีคนเห็นพระพรหมมาก่อนก็ตามแต่เป็นข้ออ้างขึ้นมาลอย ๆ ไม่มีหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างตนว่าเป็นความจริง   

       ความหมายของปรัชญา เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  ๒๕๕๔ ได้ให้คำจำกัดความว่า "ปรัชญาคือวิชาที่ว่าด้วยหลักความรู้และความจริง"และคำว่า "ความรู้พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานนิยามว่าความรู้คือสิ่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าหรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ เช่น ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ สิ่งที่ได้รับจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิดหรือการปฏิบัติ หลักความรู้คือสาระที่มั่นคงและความจริง  แยกประเด็น ความ แปลว่า เรื่อง เช่น เนื้อความ เกิดความส่วนคำว่า"จริง"ได้ให้คำจำกัดความได้ว่าเป็นอย่างนั้นแน่แท้ไม่กลับเป็นอย่างอื่น ฯลฯเมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฯลฯ ผู้เขียนตีความว่า ปรัชญาคือความรู้ที่มนุษย์สั่งสมจากการศึกษา    การค้นคว้า หรือประสบการณ์รวมทั้งความสามารถและทักษะการปฏิบัติ  เช่น ความรู้เชิงประวัติศาสตร์ สิ่งที่ได้จากการฟัง การคิด การปฏิบัติลักษะดังนั้น ความรู้เชิงปรัชญาต้องมีสาระมั่นคงและเป็นความจริงอย่างแน่แท้ไม่เป็นอย่างอื่น เป็นต้น เมื่อ"ปรัชญา" มีบ่อเกิดความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์ที่เรียกว่า "อวัยวะอินทรีย์ ๖" เชื่อมต่อกับสิ่งต่าง ๆ, สภาวะต่าง ๆ, และปรากฎการณ์ทางธรรมชาติและสังคมของมนุษย์แล้ว จิตใจของมนุษย์ก็เก็บหลักฐานทางอารมณ์นี้ไว้ในจิตใจเพื่อใช้เป็นข้อมูลใช้ในการวิเคราะห์หาเหตุผลเพื่อยืนยันความจริงในเรื่องนั้น ๆ แต่เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว ปรากฏเรื่องราวออกมาไม่แน่ชัดว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ มนุษย์ย่อมสงสัยความจริงในเรื่องนั้น ๆ เมื่อธรรมะหรือธรรมชาติที่เป็นสภาวะ สิ่งต่าง ๆ และปรากฏการณ์ เช่นนักปรัชญาสงสัยว่าโลกมีที่มาอย่างไร  นักปรัชญาให้คำตอบว่า โลกสร้างจากน้ำ ไฟ ลม และดินบ้าง ฯลฯ ด้วยเหตุผลหลายประการจึงไม่สามารถระบุได้ว่าข้อใดเป็นคำตอบที่ถูกต้อง แม้คำตอบเชิงปรัชญาก็ยังสรุปไม่ได้ว่าความจริงคืออะไร แต่เป็นคำตอบมีเหตุผลและสามารถนำไปพัฒนาเป็นองค์ความรู้ที่แท้จริงบนโดยอาศัยเทคโนโลยี่สมัยใหม่ได้  
          
๒.ลักษณะของปรัชญา  

        เมื่อปรัชญาคือความรู้ของมนุษย์ เพราะมันเป็นสิ่งที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์ แต่จิตใจของมนุษย์เป็นสิ่งไม่มีรูปร่าง      ลักษณะของความรู้ที่สั่งสมอยู่ในจิตก็เป็นสิ่งไม่มีตัวตนเช่นเดียวกัน ความรู้ทางปรัชญาเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ใช้ร่างกายเชื่อมต่อกับปรากฎการณ์ทางธรรมชาติและสังคมที่เกิดขึ้น  เมื่อรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ฺนี้เป็นข้อมูลทางอารมณ์ในจิตใจ และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาเหตุผลยืนยันความจริงของเรื่องนั้น ๆ     แต่ผลของการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงนั้นมีเรื่องราวปรากฏขึ้นในจิตใจของนักปรัชญายังไม่ชัดเจนว่าจริงหรือเท็จ   ทำให้นักปรัชญาสงสัยและชอบศึกษาเพิ่มเติม   เพื่อวิเคราะห์หาเหตุผลเพื่อยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ  เมื่อได้คำตอบแล้ว ความรู้จะสั่งสมอยู่ในจิตใจและติดตามชีวิตไปทุกที่  เพื่อประยกต์ใช้ในการทำงานและแก้ไขปัญหาในชีวิตต่อไป  แต่โดยทั่วไปความรู้มักจะสูญหายไปพร้อมกับความตายของเจ้าของความรู้นั้น  มนุษย์จึงคิดหาวิธีรักษาความรู้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาจากหลักฐานที่มีอยู่  มนุษย์สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ บันทึกข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ไว้หลักฐานโดยเขียนภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วตามผนังถ้ำหรือวิธีมุขปาฐะพระไตรปิฎกฉบับต่าง ๆ  การสร้างศาสนวัตถุในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชหรือประดิษฐ์อักษรอักษรพราหมีขึ้นใช้ในการบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ  และสร้างอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงงานเผยแผ่ของพระพุทธเจ้า เป็นต้น   ตามแนวคิดของมนุษย์แบ่งปรัชญาแบ่งออกเป็น ๕ สาขาด้วยกันกล่าวคือ

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ