The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2567

ปัญหาความจริงของการปฎิรูปสังคมของพระพุทธเจ้าในอนุทวีปอินเดีย

The Real problems of The Buddha's Social Reforms in the Indian subcontinent

บทนำ   ที่มาและความสำคัญของปัญหาที่ว่า "ทำไมต้องปฏิรูปสังคม"    

              เมื่อเราศึกษาเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในสมัยก่อนพุทธกาล จากหลักฐานในพระไตรปิฏกมหาจุฬาลงกรณและพระไตรปิฎกหลวง ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในยุคนั้นมีแคว้นหรือประเทศต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ที่ดำรงเอกราชที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองที่ใช้ในการปกครองประเทศ  มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรม โดยแบ่งหน้าที่ของประชาชนในประเทศของตนเป็น ๔  วรรณะ  พุทธศาสนาจะถือกำเนิดขึ้นบนโลกนี้ ต้องมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นเมื่อความคิดของมนุษย์ไม่เคยหยุดนิ่ง  เพราะจิตใจของมนุษย์เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา  

          เมื่อมนุษย์ตระหนักถึงความจริงของวัตถุกิเลส  พวกเขาก็ได้รับแรงบันดาลใจที่จะไขว้คว้าสิ่งต่าง ๆ  เพื่อสนองกิเลสตัณหาและความปรารถนาของตนตลอดเวลา แต่สิ่งเหล่านี้ยากที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์ร่วมกัน ตัวอย่างเช่น   เมื่อชาวอารยันอพยพมาสู่ทิศใต้ของเทือกเขาหิมาลัยและทำสงครามกับชาวพื้นเมืองดราวิเดียน พวกเขาสามารถยึดครองดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติเป็นของตนเองได้ จากนั้นพวกเขาจึงก่อตั้งชุมชนทางการเมืองของตนเอง  พวกเขามีอำนาจทางเศรษฐกิจและสามารถส่งข้าวไปขายยังอาณาจักรต่าง ๆ  ทั่วอนุทวีป และมีความศรัทธาในศาสนาพราหมณ์   ซึ่งเป็นพึ่งสำหรับชีวิตในยามยากลำบากของชีวิตและวัฒนธรรม 

            ชีวิตของชาวสักกะเป็นไม่เคยหยุดนิ่ง เป็นไปตามความคิดของตนเอง  ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอนุทวีปอินเดีย  ที่ต้องปฏิรูปสังคมในอนุทวีปอินเดีย เมื่อผู้เขียนและคนอื่น ๆ  เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ว่าความจริงของชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ จากการฆ่า  การทำร้าย  การลักขโมยหรือการฉ้อโกงเพื่อให้มาซึ่งทรัพย์สินของกันและกัน  การใช้ถ้อยคำดูหมิ่น  การดื่มสุราและการเสพยา     แม้จะนำมาซึ่งความสุข  แต่ก็เป็นเพียงความสุขชั่วคราวเท่านั้น        ต้องแลกมาด้วยสุขภาพที่เสียไป   เราต้องใช้เงินซื้อสุขภาพกลับคืนมา สิ่งเหล่านี้เกิดจากทัศนะคติที่ผิดอย่างร้ายแรงของผู้คนในสังคม    กลายเป็นปัญหาทางสังคมมากมายทั่วทั่งอนุทวีปอินเดีย สังคมขาดความสงบสุขตามมาตรฐานศีลธรรมและกฎหมายของประเทศ 

             ก่อนพุทธกาลประมาณ ๑,๐๐๐ ปี เป็นยุคที่ศาสนาพราหมณ์เจริญรุ่งเรือง     มีเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในสังคมของอนุทวีปอินเดียตัวอย่าง เช่น การบูชายัญด้วยการฆ่าสัตว์น้อยใหญ่และมนุษย์ การหลอกลวงมนุษย์โดยอาศัยความเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์  เมื่อมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมน จึงไม่สามารถคิดโดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาและนักตรรกะ ในการอธิบายความจริงของสิ่งต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนเองได้อย่างสมเหตุสมผล  

          ความไม่รู้แจ้ง (อวิชชา) ในความทุกข์ของชีวิตของตนเอง  เพราะคำสั่งสอนของพวกพราหมณ์ที่สอนว่า การบูชายัญด้วยฆ่าสัตว์แและมนุษย์นั้น ไม่ผลเป็นบาปต่อกัน   การลักทรัพย์ไม่มีผลบาปต่อกัน  เมื่อพวกเขาจึงไม่รู้จักทุกข์   สาเหตุของการเกิดทุกข์ของตนเอง  เป้าหมายที่ควรจะดับทุกข์ในชีวิต  ที่ดวงวิญญาณต้องเวียนว่ายตายแล้วเกิดไม่รู้จบสิ้น ซึ่งหมายถึงการขาดความเข้าใจในชีวิตของตนเอง เนื่องจากพวกเขาไม่สนใจที่จะศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้เกี่ยวกับธรรมะ  พวกเขาจึงไม่รู้ว่าจะปฏิบัติธรรมอย่างไร ? เพื่อบรรลุความจริงของชีวิต   พวกเขามีความศรัทธาอย่างมั่นคงในความมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์ และตกลงที่จะประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าด้วยวัตถุมีค่าต่าง ๆ ตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน    เมื่อพิธีกรรมเสร็จสิ้น เครื่องบูชาเหล่านี้ ก็กลายเป็นสมบัติของพราหมณ์ผู้ประกอบพิธี  สร้างความมั่งคั่งให้กับพราหมณ์ทุกนิกายไม่ว่าจะเป็นอารยันหรือมิลักขะ 

          เมื่อ พระพุทธเจ้าตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์แล้ว ความจริงขั้นปรมัตถ์ที่คนธรรมดาสามัญจะเข้าใจได้ยาก  พระองค์ทรงดำริว่าเมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะทรงแสดงพระธรรมเทศนา ก็คงจะไม่มีใครมาฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์  ความรู้เกี่ยวกับกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ของพระองค์ซึ่งหาได้ยาก เพราะพระองค์ทรงเวลา ๖ ปีในการปฏิบัติธรรมหรือศึกษาค้นคว้านั้นก็จะสูญหายไปพร้อมกับการปรินิพพานของพระองค์เอง  อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงหวนคิดถึงปัญหาของคนจัณฑาลในแคว้นสักกะ และทรงเห็นว่าชีวิตจัณฑาลยังคงมืดมนและไม่สามารถหาทางแก้ไขปัญหาชีวิตของตนได้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีสิทธิที่จะพัฒนาศักยภาพชีวิตของตนเอง ผ่านระบบการศึกษาของแคว้นสักกะ พวกเขาขาดการมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ไม่สามารถทำพิธีกรรมทางศาสนาตามความเชื่อของตนเอง เนื่องจากรัฐสภาแห่งราชวงศ์สักกะนั้น ประกาศบังคับใช้กฎหมายวรรณะได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชนในการทำงานตามวรรณะโดยกำเนิด   เมื่อคำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายว่าด้วยวรรณะ        จึงมีเงื่อนไขบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย และการลงโทษสำหรับผู้ที่ละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะอย่างร้ายแรง โดยพวกเขาจะถูกขับออกจากชุมชนและต้องตัดขาดจากบุคคลในครอบครัวไปตลอดชีวิต และจะถูกคนในสังคมเรียกว่า "จัณฑาล"  เมื่อจัณฑาลไม่ได้ประโยชน์จากกฎหมายวรรณะนี้เพราะพวกเขาถูกสังคมลงโทษ ส่วนผู้ที่ได้รับประโยชน์จากกฎหมายนี้ก็ใช้ชีวิตอย่างไม่ระมัดระวัง (ประมาท) และไม่สามารถพัฒนาศักยภาพชีวิตได้ ส่วนวรรณะกษัตริย์เป็นผู้ที่ใช้อำนาจอธิปไตยในการบัญญัติกฎหมาย  การบริหารประเทศและอำนาจตุลาการ ก็มีกำลังทหารเพียงเล็กน้อย  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนได้ ส่วนวรรณะศูทร (shudra) แม้ว่าพวกเขาจะพัฒนาศักยภาพชีวิตและทักษะการทำงานแล้วก็ตาม ก็ไม่มีสิทธิปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่นได้เพราะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยวรรณะ จึงเป็นเพียงคนรับใช้ของวรรณะสูงเท่านั้น            
    
             ดังนั้น เมื่อระบบการเมืองของแคว้นสักกะเป็นรัฐศาสนา และมหาราชาแห่งแคว้นสักกะอาศัยความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ เป็นหลักการปกครองประเทศ โดยอ้างว่าพระพรหมเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของประชาชน เพราะเทพเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์ และสร้างวรรณะให้ประชาชนปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเองเกิดมา  เนื่องจากคำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะจึงถือเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนอย่างร้ายแรง การแก้ปัญหาจัณฑาลในแคว้นสักกะเป็นเรื่องยาก เพราะการยกเลิกกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะ  ถูกห้ามโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีของแคว้นสักกะ เป็นต้น การศึกษาเพื่อพัฒนาโลก ในวันที่ ๔ ของการเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนในพระนครกบิลพัสดุ์ เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้พบกับพระภิกษุผู้ละทิ้งวรรณะและออกจากเรือนไม่เกี่ยวข้องกับสังคม ครอบครัวและหมู่บ้านอีกต่อไปเพื่อแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิต การเป็นพระโพธิสัตว์จึงเป็นหนทางเดียว ที่พระองค์จะทรงศึกษาสัจธรรมแห่งชีวิตได้อย่างเต็มที่ และพระองค์ทรงทำพิธีบูชาเทพเจ้า เพื่อขอให้พระพรหมทรงยกเลิกวรรณะของพระองค์ได้ โดยไม่ละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายว่าด้วยวรรณะอีกต่อไป เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นพระโพธิสัตว์และตรัสรู้ (ค้นพบ) กฎธรรมชาติแห่งความจริงของชีวิตมนุษย์ด้วยญาณทิพย์ของพระองค์เหนือมนุษย์ทั้งปวง ชีวิตมนุษย์ทุกคนมีความเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน ใครทำกุศลด้วยการสุจริต วจีสุจริตและมโนสุจริต ก็จะไปเกิดในสุคติภูมิ และผู้ใดทำอกุศลด้วยกายทุจริต  วจีทุจริต พระองค์ทรงได้ค้นพบความจริงของมนุษย์ที่ว่า มนุษย์มีจิตวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริง  เมื่อชีวิตมนุษย์ดับสูญ  ร่างกายจะสลายไปตามธรรมชาติ  แต่จิตวิญญาณจะเวียนว่ายเกิดใหม่ในโลกหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด 

       ชีวิตมนุษย์จึงเกิดขึ้นจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจก่อให้เกิดชีวิตใหม่ขึ้น มันเป็นกฎธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษย์ที่ไม่มีใครหลีกหนีได้ เพราะฉะนั้น      มนุษย์จึงไม่ได้เกิดมาจากร่างของพระพรหมตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน เมื่อจิตวิญญาณของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการเวียนว่ายเกิดใหม่ในวัฏสงสาร พระองค์ก็ทรงพบว่าสาเหตุแห่งกรรมของมนุษย์คือเจตนาแห่งกรรมดีและกรรมชั่วมีหนทางเดียว ที่จะหยุดวัฏจักรแห่งความตายและการเกิดใหม่ของวิญญาณได้ มนุษย์ต้องพัฒนาศักยภาพในชีวิต เพื่อชำระล้างกรรมชั่วที่สั่งสมอยู่ในจิตใจทั้งหมดโดยการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์๘ อันประเสริฐ ซึ่งจะนำไปสู่อุดมคติสูงสุดของชีวิตคือ นิพพาน ได้เมื่อพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘  พระองค์ทรงตรัสรู้ (enlightened) กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ว่า ชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกาย และจิตใจในครรภ์มารดาที่รวมกันเป็นมนุษย์ เมื่อเกิดมาจากครรภ์มารดาและดำรงอยู่เป็นมนุษย์ใหม่ ก็มีชื่อตามนี้และนามสุกลของเชื้อสายนั้น การเกิดขึ้นของมนุษย์นั้น ดำรงชีวิตอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง  แล้วก้ดับไปเอง  

            ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นเพียงความจริงที่สมมติขึ้นมา   พระพุทธเจ้าทรงมีญาณทิพย์อันสูงส่งกว่ามนุษย์ธรรมดา และทรงเห็นว่ามนุษย์มีวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงอยู่ในร่างกาย เมื่อชีวิตมนุษย์ดับสูญ วิญญาณจะออกจากร่างไปเกิดในสังสารวัฏ แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ใหญ่อีกครั้ง    เพราะฉะนั้น เมื่อมนุษย์ไม่ได้เกิดมาจากร่างของพระพรหม และพระอิศวรตามคำสอนของนิกายพราหมณ์ต่าง ๆ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทดสอบผลการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นเวลา ๗ สัปดาห์หรือ ๔๙ วัน  พระองค์ก็ทรงได้รับผลการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘  คือความรู้ในระดับ"อภิญญา ๖" ทั้ง ๗ ครั้ง 

            ด้วยเหตุผลของคำตอบที่วิเคราะห์โดยอนุมานความจากพยานหลักฐานต่าง ๆ  มูลเหตุที่ประชาชนในดินแดนปัจจันตชนบท     ชีวิตมีแต่ความมืดมน      เพราะความเชื่อการมีอยู่เทพเจ้าหลายองค์ที่พวกเขายอมรับความจริงโดยปริยายที่ได้สั่งสมกันมายาวนาน    จนพวกเขาคิดว่าไม่มีพึ่งพาอันประเสริฐกว่านี้อีกแล้ว                ในยามที่พวกเขามีความทุกข์ทรมานก็พากันเข้าสำนักพราหมณ์       เพื่อทำพิธีบูชาพระพรหมเป็นเทพเจ้ามีอยู่จริง ทรงมีคุณต่อมนุษย์       เพราะทรงสร้างมนุษย์ขึ้นจากพระวรกายของพระองค์ และทรงกำหนดโชคชะตาของมนุษย์    ที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้น ด้วยการกำหนดสิทธิ       เสรีภาพและหน้าที่ในการประกอบอาชีพแก่คน ๔ วรรณะเท่านั้น ในยามที่มนุษย์มีความทุกข์เพราะปรารถนาสิ่งใดมิได้สิ่งนั้น ก็จะเดินทางไปสู่สำนักของเจ้าลัทธิต่าง ๆ   เพื่อประกอบพิธีบูชายัญด้วยการฆ่าโคให้เทพเจ้าดลบันดาลให้สิ่งที่ตนปรารถนา  นำมาซึ่งความร่ำรวย แก้วแหวน เงินทอง ทรัพย์สิน และพืชพันธ์ุธัญญาหารเป็นจำนวนมากแก่ของเจ้าลัทธิซึ่งเป็นพวกพราหมณ์ประกอบพิธีบูชายัญนั้น เป็นต้น       การแบ่งวรรณะทำให้เกิดปัญหาสังคมของการฆ่าคนครอบครัว       เพื่อรักษาเกียรติยศ การเกิดการเหยียดสีผิว          ชนชั้นวรรณะในสังคม และปัญหาของการแต่งงานข้ามวรรณะ            ทำให้เกิดประชาชนไร้วรรณะที่เรียกว่า "พวกจัณฑาล"         เป็นพวกขาดสิทธิหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา จึงมีฐานะยากจนไม่มีสิทธิในที่ดินทำกินได้            ไม่มีสิทธิได้รับการศึกษาจากรัฐและไม่มีสิทธิสาธยายมนต์         พระเวทและถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคมด้วยการถูกขับไล่ออกจากคามหมู่บ้านที่ตนเคยบำพักอาศัยมา   ใช้ชีวิตข้างถนนในพระนครใหญ่        เช่น พระนครกบิลพัสดุ์  พระนครราชคฤห์ พระนครเวสาลี และพระนครสาวัตถี เป็นต้น 

        การที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงพบปัญหาสังคมเรื่องชนชั้นวรรณะนั้น ทรงต้องการปฏิรูปสังคมให้มนุษย์มีสิทธิหน้าที่เท่าเทียมกัน แต่พระองค์ไม่อาจปฏิรูปสังคมได้      เพราะมนุษย์มีความเชื่อเพราะถูกสอนกันอย่างผิด ๆ ว่าชีวิตของมนุษย์ตายแล้วสูญ ทุกชีวิตถูกกำหนดโชคชะตาไว้แล้วด้วยอำนาจของพระพรหม ซึ่งเป็นเทพสูงสุดมนุษย์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขชีวิตตนเองได้และขัดต่อธรรมของกษัตริย์   อันเป็นหลักนิติศาสตร์ในการปกครองประเทศในยุคนั้น  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะรับรู้ข้อมูลจากประสาทสัมผัสของพระองค์ ปัญหาทางสังคมในแคว้นสักกะแล้ว  เมื่อทรงศึกษาข้อมูลว่า ระบบการเมืองการปกครองแบบสามัคคีธรรมให้สมาชิกรัฐสภาศากยวงศ์มาจากวรรณะกษัตริย์ เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ทั้งนิติบัญญัติออกกฎหมายอำนาจบริหารปกครองประเทศ และอำนาจตุลาการและหลักอปริหานิยธรรม ล้วนแต่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาวรรณะในชมพูทวีปให้สำเร็จได้ พระองค์ตัดสินพระทัยออกแสวงหาความรู้และความจริงของชีวิตที่เรียกว่า "กฎธรรมชาติ" ของชีวิตมนุษย์ด้วยวิธีการทรงออกผนวชเพื่อสละวรรณะกษัตริย์ เดินทางออกสู่โลกกว้างผ่านแคว้นมัลละ แคว้นกาสี และแคว้นมคธเพื่อเรียนรู้วิธีการค้นหาความจริงแห่งมนุษย์ที่สร้างความมืดมิดให้กับการเดินทางของจิตวิญญาณมาแล้วไม่รู้กี่อสงไขยและกี่แสนกัปป์

บรรณานุกรม

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ