The Real problems of The Buddha's Social Reforms in the Indian subcontinent
บทนำ ที่มาและความสำคัญของปัญหา " ทำไมต้องปฏิรูปสังคม"
เมื่อเราศึกษาเหตุการณ์ทางการเมืองและสังคมที่เกิดขึ้นก่อนสมัยพุทธกาล โดยอาศัยหลักฐานในพระไตรปิฏกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และพระไตรปิฎกฉบับหลวงแล้ว เราจะได้ยินข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่า สมัยนั้นเป็นยุคมืดมนของชาวอนุทวีปอินเดีย อาณาจักรต่าง ๆ เช่น อาณาจักรโกลิยะและอาณาจักรสักกะได้ก่อตั้งขึ้นภายในอนุทวีปอินเดีย อาณาจักรเหล่านี้เป็นรัฐอิสระที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง โดยใช้รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีเป็นหลักกฎหมายในการปกครองประเทศ ในเวลานั้นนักปรัชญาชาวเรียกรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีว่า "ธรรมกษัตริย์" และถือว่ารัฐธรรมนูญจารีตประเพณีนั้น เป็นหลักธรรมสำหรับผู้บริหารเรียกว่า "ราชอปริหานิยธรรม" สำหรับนักบริหารในสมัยนั้นคือวรรณะกษัตริย์ซึ่งมีหน้าที่ในการบริหารประเทศตามกฎหมายวรรณะ ขนบธรรมเนียมและประเพณีนั่นเอง
อาณาจักรเหล่านี้ภายใต้ระบบการปกครองแบบศูนย์รวม ซึ่งนักปรัชญาชาวไทยมักเรียกกันว่า "ระบบสามัคคีธรรม" ตามกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ประชาชนในประเทศถูกแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะได้แก่ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น ทั้งโดยประชาชนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อชาติตามวรรณะที่ตนเกิดมา เนื่องจากคำสอนทางศาสนาถูกบัญญัติเป็นกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีแล้ว ประชาชนจึงต้องมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น ชาวสักกะถูกห้ามมีเพศสัมพันธ์กับผู้คนในวรรณะอื่น และห้ามปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น การฝ่าฝืนกฎหมายวรรณะและจารีตประเพณีเหล่านี้ ส่งผลให้พวกเขาถูกพระพรหมลงโทษที่เรียกว่า "พรหมทัณฑ์" ซึ่งส่งผลให้พวกเขาสูญเสียสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ตามวรรณะไปตลอดชีวิต พวกเขาจะไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะทางสังคมเดิม ตามที่กฎหมายวรรณะและจารีตประเพณีกำหนดไว้ได้
ต้นกำเนิดของพุทธศาสนา โดยทั่วไป ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มีปัจจัยบางประการที่ส่งเสริมให้เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน พระพุทธศาสนาไม่ได้เกิดจากพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียว แต่ยังรวมถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น คำสอนของศาสดา สาวกที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ พิธีกรรมทางศาสนาและสถานที่ทางศาสนาต่าง ๆ อีกด้วย ปัจจัยแห่งความรู้เหล่านี้เอง ที่นำไปสู่การกำเนิดพระพุทธศาสนาในโลกมนุษย์ ในสมัยอินเดียโบราณนั้น ความเจริญรุ่งเรืองในศาสนาพราหมณ์ เกิดขึ้นเมื่อพราหมณ์ ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา รู้จักใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือในอธิบายความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่เหนือการรับรู้ของมนุษย์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้รับการเคารพนับถือจากชาวอนุทวีปอินเดีย ซึ่งเต็มใจที่จะประกอบพิธีบูชายัญด้วยต่าง ๆ ตามคำสอนของพราหมณ์อารยันและดราวิเดียน สร้างความมั่งคั่งมหาศาลจากถวายเครื่องบูชาเหล่านี้ ให้แก่พราหมณ์ทั้งสองนิกาย
มันทำให้จิตใจมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมนอันเนื่องจากตัณหาที่ครอบงำชีวิตของพวกเขา เมื่อมนุษย์จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความที่สมมติขึ้นในภาษาไทยเรียกว่า "สมมติสัจจะ และความขั้นปรมัตถ์ในพระพุทธศาสนาหมายถึงความจริงสูงสุด พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาในการอธิบายความจริงได้อย่างสมเหตุสมผล ดังนั้น เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้า ที่ได้ยินสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผล อธิบายความจริงอย่างผิด ๆ บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนี้ บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนั้น เมื่อการใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความเป็นมาของเทพเจ้าแล้ว วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงจะไม่เชื่อความคิดเห็นของพราหมณ์ ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาและไม่ยอมข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นเป็นความรู้ที่แท้จริง
ตัวอย่างเช่น เมื่อชาวอารยันอพยพลงไปทิศใต้ของเทือกเขาหิมาลัย และทำสงครามกับชาวพื้นเมืองดราวิเดียน พวกเขาสามารถยึดครองดินแดน ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติเป็นของตนเองได้ จากนั้นจึงก่อตั้งชุมชนทางการเมืองของตนเอง มีอำนาจทางเศรษฐกิจและสามารถส่งข้าวไปขายยังอาณาจักรต่าง ๆ ทั่วอนุทวีปอินเดีย พวกเขายังเชื่อในศาสนาพราหมณ์ เพื่อพึ่งพาเทพเจ้าช่วยเหลือในยามยากลำบาก ชาวสักกะไม่เคยหยุดคิดที่จะพัฒนาตนเองและพัฒนาสังคม ปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศาสนาและวัฒนธรรม เกิดจากคนในสังคมอนุทวีปได้สร้างปัญหาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำเป็นต้องปฏิรูปสังคม เมื่อผู้คนเกิดด้วยมาความไม่รู้ตัวว่าชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานจากการฆ่า การทำร้ายร่างกาย การลักขโมยและการฉ้อโกงเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน การใช้ถ้อยคำดูหมิ่น การดื่มสุราและการเสพยา แม้จะนำมาซึ่งความสุข แต่ก็เป็นเพียงสิ่งชั่วคราวและ ต้องแลกท่ด้วยการสูญเสียสุขภาพ เราต้องใช้เงินซื้อสุขภาพของเรากลับคืนมา สิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากทัศนคติที่ผิดร้ายแรง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาสังคมมากมายทั่วอนุทวีปอินเดีย สังคมจึงขาดความสงบสุขตามหลักศีลธรรมอันดีงามของประชาชนและกฎหมายของประเทศ
ประมาณ ๑,๐๐๐ ปีก่อนพุทธกาล ศาสนาพราหมณ์เจริญรุ่งเรือง มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในสังคมของอนุทวีปอินเดีย ตัวอย่างเช่น เมื่อกษัตริย์แห่งรัฐต่าง ๆ ได้บัญญัติกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งชนชั้นวรรณะ เพื่อความมั่นคงของชาติและปกป้องผลประโยชน์จากการบูชายัญโดยการฆ่าสัตว์ทั้งเล็กทั้งใหญ่ และหลอกลวงผู้คนด้วยความเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ เมื่อชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาจึงขาดปัญญาเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาและนักตรรกะ ในการอธิบายความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนเองอย่างสมเหตุสมผล ความไม่รู้แจ้ง (อวิชชา) เกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของชีวิตของตนเอง อันเนื่องมาจากคำสอนของพราหมณ์ที่สอนว่า การบูชายัญด้วยฆ่าสัตว์แและมนุษย์ไม่ก่อเกิดบาปต่อกัน และการลักทรัพย์ไม่ก่อให้เกิดบาปต่อกัน เมื่อพวกเขาไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักต้นตอความทุกข์ของตนเอง ไม่รู้เป้าหมายที่จะดับทุกข์ในชีวิต ดวงวิญญาณต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบสิ้น ซึ่งหมายถึงการขาดความเข้าใจในชีวิตของตนเอง เพราะไม่สนใจศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้เกี่ยวกับธรรมะ พวกเขาจึงไม่รู้จักวิธีปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุความจริงของชีวิต พวกเขาจึงมีศรัทธาอันมั่นคงในเทพเจ้าหลายองค์ และตกลงประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าด้วยของมีค่าต่าง ๆ ตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน เมื่อพิธีกรรมเสร็จสิ้นลง เครื่องบูชาเหล่านี้ ก็ตกเป็นสมบัติของพราหมณ์ผู้ประกอบพิธี สร้างความมั่งคั่งให้กับพราหมณ์ทุกนิกาย ไม่ว่าจะเป็นอารยันหรือมิลักขะ
เมื่อ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ถึงกฎธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษย์ อันเป็นสัจธรรมสูงสุดที่คนธรรมดาสามัญไม่สามารถเข้าใจได้ พระองค์ก็ทรงตระหนักว่าเมื่อถึงเวลาที่พระองค์ต้องแสดงพระธรรม เกี่ยวกับกฎธรรมชาติอันหาได้ยากของชีวิตมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงใช้เวลานาน ๖ ปีในการศึกษา ค้นคว้าและลงมือปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ด้วยพระองค์เอง ความรู้อาจสูญหายไป พร้อมกับการปรินิพพานของพระองค์เอง อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงระลึกถึงปัญหาของพวกจัณฑาลในอาณาจักรสักกะ และทรงเห็นว่าชีวิตจัณฑาลยังคงเต็มไปด้วยความมืดมน เพราะพวกเขาขาดปัญญาเข้าใจความจริงของชีวิต จึงไม่สามารถใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของชีวิต และพวกเขาจึงไม่สามารถหาทางออกให้กับปัญหาได้ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้รับการพัฒนาศักยภาพผ่านระบบการศึกษาของอาณาจักรสักกะ พวกเขาขาดการมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และไม่สามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามความเชื่อของตนได้
เนื่องจากรัฐสภาแห่งราชวงศ์สักกะนั้น ประกาศบังคับใช้กฎหมายวรรณะได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชนในการทำงานตามวรรณะโดยกำเนิด เมื่อคำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายว่าด้วยวรรณะ จึงมีเงื่อนไขบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย และการลงโทษสำหรับผู้ที่ละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะอย่างร้ายแรง โดยพวกเขาจะถูกขับออกจากชุมชนและต้องตัดขาดจากบุคคลในครอบครัวไปตลอดชีวิต และจะถูกคนในสังคมเรียกว่า "จัณฑาล" เมื่อจัณฑาลไม่ได้ประโยชน์จากกฎหมายวรรณะนี้เพราะพวกเขาถูกสังคมลงโทษ ส่วนผู้ที่ได้รับประโยชน์จากกฎหมายนี้ก็ใช้ชีวิตอย่างไม่ระมัดระวัง (ประมาท) และไม่สามารถพัฒนาศักยภาพชีวิตได้ ส่วนวรรณะกษัตริย์เป็นผู้ที่ใช้อำนาจอธิปไตยในการบัญญัติกฎหมาย การบริหารประเทศและอำนาจตุลาการ ก็มีกำลังทหารเพียงเล็กน้อย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนได้ ส่วนวรรณะศูทร (shudra) แม้ว่าพวกเขาจะพัฒนาศักยภาพชีวิตและทักษะการทำงานแล้วก็ตาม ก็ไม่มีสิทธิปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่นได้เพราะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยวรรณะ จึงเป็นเพียงคนรับใช้ของวรรณะสูงเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อระบบการเมืองของแคว้นสักกะเป็นรัฐศาสนา และมหาราชาแห่งแคว้นสักกะอาศัยความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ เป็นหลักการปกครองประเทศ โดยอ้างว่าพระพรหมเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของประชาชน เพราะเทพเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์ และสร้างวรรณะให้ประชาชนปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเองเกิดมา เนื่องจากคำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะจึงถือเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนอย่างร้ายแรง การแก้ปัญหาจัณฑาลในแคว้นสักกะเป็นเรื่องยาก เพราะการยกเลิกกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะ ถูกห้ามโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีของแคว้นสักกะ เป็นต้น การศึกษาเพื่อพัฒนาโลก ในวันที่ ๔ ของการเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนในพระนครกบิลพัสดุ์ เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้พบกับพระภิกษุผู้ละทิ้งวรรณะและออกจากเรือนไม่เกี่ยวข้องกับสังคม ครอบครัวและหมู่บ้านอีกต่อไปเพื่อแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิต การเป็นพระโพธิสัตว์จึงเป็นหนทางเดียว ที่พระองค์จะทรงศึกษาสัจธรรมแห่งชีวิตได้อย่างเต็มที่ และพระองค์ทรงทำพิธีบูชาเทพเจ้า เพื่อขอให้พระพรหมทรงยกเลิกวรรณะของพระองค์ได้ โดยไม่ละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายว่าด้วยวรรณะอีกต่อไป เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นพระโพธิสัตว์และตรัสรู้ (ค้นพบ) กฎธรรมชาติแห่งความจริงของชีวิตมนุษย์ด้วยญาณทิพย์ของพระองค์เหนือมนุษย์ทั้งปวง ชีวิตมนุษย์ทุกคนมีความเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน ใครทำกุศลด้วยการสุจริต วจีสุจริตและมโนสุจริต ก็จะไปเกิดในสุคติภูมิ และผู้ใดทำอกุศลด้วยกายทุจริต วจีทุจริต พระองค์ทรงได้ค้นพบความจริงของมนุษย์ที่ว่า มนุษย์มีจิตวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริง เมื่อชีวิตมนุษย์ดับสูญ ร่างกายจะสลายไปตามธรรมชาติ แต่จิตวิญญาณจะเวียนว่ายเกิดใหม่ในโลกหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ชีวิตมนุษย์จึงเกิดขึ้นจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจก่อให้เกิดชีวิตใหม่ขึ้น มันเป็นกฎธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษย์ที่ไม่มีใครหลีกหนีได้ เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงไม่ได้เกิดมาจากร่างของพระพรหมตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน เมื่อจิตวิญญาณของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการเวียนว่ายเกิดใหม่ในวัฏสงสาร พระองค์ก็ทรงพบว่าสาเหตุแห่งกรรมของมนุษย์คือเจตนาแห่งกรรมดีและกรรมชั่วมีหนทางเดียว ที่จะหยุดวัฏจักรแห่งความตายและการเกิดใหม่ของวิญญาณได้ มนุษย์ต้องพัฒนาศักยภาพในชีวิต เพื่อชำระล้างกรรมชั่วที่สั่งสมอยู่ในจิตใจทั้งหมดโดยการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์๘ อันประเสริฐ ซึ่งจะนำไปสู่อุดมคติสูงสุดของชีวิตคือ นิพพาน ได้เมื่อพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ พระองค์ทรงตรัสรู้ (enlightened) กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ว่า ชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกาย และจิตใจในครรภ์มารดาที่รวมกันเป็นมนุษย์ เมื่อเกิดมาจากครรภ์มารดาและดำรงอยู่เป็นมนุษย์ใหม่ ก็มีชื่อตามนี้และนามสุกลของเชื้อสายนั้น การเกิดขึ้นของมนุษย์นั้น ดำรงชีวิตอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก้ดับไปเอง
ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นเพียงความจริงที่สมมติขึ้นมา พระพุทธเจ้าทรงมีญาณทิพย์อันสูงส่งกว่ามนุษย์ธรรมดา และทรงเห็นว่ามนุษย์มีวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงอยู่ในร่างกาย เมื่อชีวิตมนุษย์ดับสูญ วิญญาณจะออกจากร่างไปเกิดในสังสารวัฏ แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ใหญ่อีกครั้ง เพราะฉะนั้น เมื่อมนุษย์ไม่ได้เกิดมาจากร่างของพระพรหม และพระอิศวรตามคำสอนของนิกายพราหมณ์ต่าง ๆ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทดสอบผลการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นเวลา ๗ สัปดาห์หรือ ๔๙ วัน พระองค์ก็ทรงได้รับผลการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ คือความรู้ในระดับ"อภิญญา ๖" ทั้ง ๗ ครั้ง
ด้วยเหตุผลของคำตอบที่วิเคราะห์โดยอนุมานความจากพยานหลักฐานต่าง ๆ มูลเหตุที่ประชาชนในดินแดนปัจจันตชนบท ชีวิตมีแต่ความมืดมน เพราะความเชื่อการมีอยู่เทพเจ้าหลายองค์ที่พวกเขายอมรับความจริงโดยปริยายที่ได้สั่งสมกันมายาวนาน จนพวกเขาคิดว่าไม่มีพึ่งพาอันประเสริฐกว่านี้อีกแล้ว ในยามที่พวกเขามีความทุกข์ทรมานก็พากันเข้าสำนักพราหมณ์เพื่อทำพิธีบูชาพระพรหมเป็นเทพเจ้ามีอยู่จริง ทรงมีคุณต่อมนุษย์ เพราะทรงสร้างมนุษย์ขึ้นจากพระวรกายของพระองค์ และทรงกำหนดโชคชะตาของมนุษย์ ที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้น ด้วยการกำหนดสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ในการประกอบอาชีพแก่คน ๔ วรรณะเท่านั้น ในยามที่มนุษย์มีความทุกข์เพราะปรารถนาสิ่งใดมิได้สิ่งนั้น ก็จะเดินทางไปสู่สำนักของเจ้าลัทธิต่าง ๆ เพื่อประกอบพิธีบูชายัญด้วยการฆ่าโคให้เทพเจ้าดลบันดาลให้สิ่งที่ตนปรารถนา นำมาซึ่งความร่ำรวย แก้วแหวน เงินทอง ทรัพย์สิน และพืชพันธ์ุธัญญาหารเป็นจำนวนมากแก่ของเจ้าลัทธิ ซึ่งเป็นพวกพราหมณ์ประกอบพิธีบูชายัญนั้น เป็นต้น การแบ่งวรรณะทำให้เกิดปัญหาสังคมของการฆ่าคนครอบครัว เพื่อรักษาเกียรติยศ การเกิดการเหยียดสีผิว ชนชั้นวรรณะในสังคม และปัญหาของการแต่งงานข้ามวรรณะ ทำให้เกิดประชาชนไร้วรรณะที่เรียกว่า "พวกจัณฑาล" เป็นพวกขาดสิทธิหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา จึงมีฐานะยากจนไม่มีสิทธิในที่ดินทำกินได้ ไม่มีสิทธิได้รับการศึกษาจากรัฐและไม่มีสิทธิสาธยายมนต์พระเวทและถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคมด้วยการถูกขับไล่ออกจากคามหมู่บ้านที่ตนเคยบำพักอาศัยมา ใช้ชีวิตข้างถนนในพระนครใหญ่ เช่น พระนครกบิลพัสดุ์ พระนครราชคฤห์ พระนครเวสาลี และพระนครสาวัตถี เป็นต้น
การที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงพบปัญหาสังคมเรื่องชนชั้นวรรณะนั้น ทรงต้องการปฏิรูปสังคมให้มนุษย์มีสิทธิหน้าที่เท่าเทียมกัน แต่พระองค์ไม่อาจปฏิรูปสังคมได้ เพราะมนุษย์มีความเชื่อเพราะถูกสอนกันอย่างผิด ๆ ว่าชีวิตของมนุษย์ตายแล้วสูญ ทุกชีวิตถูกกำหนดโชคชะตาไว้แล้วด้วยอำนาจของพระพรหม ซึ่งเป็นเทพสูงสุดมนุษย์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขชีวิตตนเองได้และขัดต่อธรรมของกษัตริย์ อันเป็นหลักนิติศาสตร์ในการปกครองประเทศในยุคนั้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะรับรู้ข้อมูลจากประสาทสัมผัสของพระองค์ ปัญหาทางสังคมในแคว้นสักกะแล้ว เมื่อทรงศึกษาข้อมูลว่า ระบบการเมืองการปกครองแบบสามัคคีธรรมให้สมาชิกรัฐสภาศากยวงศ์มาจากวรรณะกษัตริย์ เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยทั้งนิติบัญญัติออกกฎหมาย อำนาจบริหารปกครองประเทศและอำนาจตุลาการและหลักอปริหานิยธรรม ล้วนแต่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาวรรณะในชมพูทวีปให้สำเร็จได้ พระองค์ตัดสินพระทัยออกแสวงหาความรู้และความจริงของชีวิตที่เรียกว่า "กฎธรรมชาติ"ของชีวิตมนุษย์ด้วยวิธีการทรงออกผนวช เพื่อสละวรรณะกษัตริย์ เดินทางออกสู่โลกกว้างผ่านแคว้นมัลละ แคว้นกาสี และแคว้นมคธเพื่อเรียนรู้วิธีการค้นหาความจริงแห่งมนุษย์ที่สร้างความมืดมน ให้กับการเดินทางของจิตวิญญาณมาแล้วไม่รู้กี่อสงไขยและกี่แสนกัปป์
บรรณานุกรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น