The Real problems of The Buddha's Social Reforms in the Indian subcontinent
บทนำ ที่มาและความสำคัญของปัญหา " ทำไมต้องปฏิรูปสังคม"
เมื่อเราศึกษาเหตุการณ์ทางการเมืองและสังคมที่เกิดขึ้นก่อนสมัยพุทธกาล โดยอาศัยหลักฐานในพระไตรปิฏกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และพระไตรปิฎกฉบับหลวงแล้ว เราจะได้ยินข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่า สมัยนั้นเป็นยุคมืดมนของชาวอนุทวีปอินเดีย อาณาจักรต่าง ๆ เช่น อาณาจักรโกลิยะและอาณาจักรสักกะได้ก่อตั้งขึ้นภายในอนุทวีปอินเดีย อาณาจักรเหล่านี้เป็นรัฐอิสระที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง โดยใช้รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีเป็นหลักกฎหมายในการปกครองประเทศ ในเวลานั้นนักปรัชญาชาวเรียกรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีว่า "ธรรมกษัตริย์" และถือว่ารัฐธรรมนูญจารีตประเพณีนั้น เป็นหลักธรรมสำหรับผู้บริหารเรียกว่า "ราชอปริหานิยธรรม" สำหรับนักบริหารในสมัยนั้นคือวรรณะกษัตริย์ซึ่งมีหน้าที่ในการบริหารประเทศตามกฎหมายวรรณะ ขนบธรรมเนียมและประเพณีนั่นเอง
อาณาจักรเหล่านี้ภายใต้ระบบการปกครองแบบศูนย์รวม ซึ่งนักปรัชญาชาวไทยมักเรียกกันว่า "ระบบสามัคคีธรรม" ตามกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ประชาชนในประเทศถูกแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะได้แก่วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น ทั้งโดยประชาชนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อชาติตามวรรณะที่ตนเกิดมา เนื่องจากคำสอนทางศาสนาถูกบัญญัติเป็นกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีแล้ว ประชาชนจึงต้องมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น ชาวสักกะถูกห้ามมีเพศสัมพันธ์กับผู้คนในวรรณะอื่น และห้ามปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น การฝ่าฝืนกฎหมายวรรณะและจารีตประเพณีเหล่านี้ ส่งผลให้พวกเขาถูกพระพรหมลงโทษที่เรียกว่า "พรหมทัณฑ์" ซึ่งส่งผลให้พวกเขาสูญเสียสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ตามวรรณะไปตลอดชีวิต พวกเขาจะไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะทางสังคมเดิม ตามที่กฎหมายวรรณะและจารีตประเพณีกำหนดไว้ได้
ต้นกำเนิดของพุทธศาสนา: โดยทั่วไปแล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เกิดจากปัจจัยบางประการที่เอื้ออำนวยให้เกิดขึ้นใน พระพุทธศาสนาไม่ได้เกิดจากพระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียว แต่ยังเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น คำสอนของศาสดา สาวกที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ พิธีกรรมทางศาสนาและสถานที่ทางศาสนาอีกด้วย ปัจจัยแห่งความรู้เหล่านี้ที่นำไปสู่การกำเนิดพระพุทธศาสนาในโลกมนุษย์ ในสมัยอินเดียโบราณลัทธิพราหมณ์ได้อุบัติขึ้น เมื่อพราหมณ์ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาได้เรียนรู้ที่จะใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือในอธิบายความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ ซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่เหนือการรับรู้ของมนุษย์ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้รับการเคารพนับถือจากชาวอนุทวีปอินเดีย ซึ่งประกอบพิธีบูชายัญด้วยต่าง ๆ ตามคำสอนของพราหมณ์อารยันและดราวิเดียนทำให้ได้รับความมั่งคั่งมหาศาลจากการบูชายัญเหล่านี้แก่พราหมณ์ทั้งสองนิกาย
สิ่งนี้ทำให้จิตใจมนุษย์มืดมนลงเนื่องจากตัณหาที่ครอบงำชีวิตของพวกเขา การขาดปัญญาในการเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นในภาษาไทยเรียกว่า "สมมติสัจจะ" และความจริงขั้นปรมัตถ์ในพระพุทธศาสนาหมายถึง ความจริงสูงสุด พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญาในการอธิบายความจริงได้อย่างมีเหตุผล ดังนั้น เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าที่สืบทอดกัน มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงได้อย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงอย่างผิด ๆ บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้ บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น เมื่อการใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบอย่างคลุมเครือ และไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ จะทรงไม่เชื่อความคิดเห็นของพราหมณ์ ซึ่งเป็นนักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์ และจะไม่ยอมรับข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง
ตัวอย่างเช่น เมื่อชาวอารยันอพยพลงทางใต้เทือกเขาหิมาลัยและทำสงครามกับชาวดราวิเดียน พวกเขาก็สามารถครอบครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติเป็นของตนเองได้ จากนั้นพวกเขาก็ก่อตั้งชุมชนทางการเมืองของตนเอง มีอำนาจทางเศรษฐกิจและสามารถส่งข้าวไปขายยังอาณาจักรต่าง ๆ ทั่วอนุทวีปอินเดีย พวกเขายังเชื่อในศาสนาพราหมณ์ โดยพึ่งพาเทพเจ้าให้ช่วยเหลือในยามยากลำบาก ชาวอารยันไม่เคยหยุดคิดที่จะพัฒนาตนเอง สังคม ปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนาและวัฒนธรรม เกิดขึ้นจากการที่ผู้คนในสังคมอนุทวีปสร้างปัญหาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำเป็นต้องมีการปฏิรูปสังคม เมื่อมนุษย์เกิดมา พวกเขาไม่ตระหนักรู้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานจากการฆ่า การทำร้าย การลักขโมยและการฉ้อโกงเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน การใช้ถ้อยคำดูหมิ่น การดื่มสุราและการเสพยาเสพติด แม้จะนำมาซึ่งความสุข แต่ก็เป็นเพียงสิ่งชั่วคราวและต้องแลกมาด้วยการสูญเสียสุขภาพ เราต้องซื้อสุขภาพกลับคืนด้วยเงิน สิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากทัศนคติที่ผิดร้ายแรง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาสังคมมากมายทั่วอนุทวีปอินเดีย ดังนั้น สังคมจึงขาดความสงบสุขตามหลักศีลธรรมอันดีงามของประชาชนและกฎหมายของประเทศ
ประมาณ ๑,๐๐๐ ปีก่อนพุทธกาล ศาสนาพราหมณ์เจริญรุ่งเรือง การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นในสังคมของอนุทวีปอินเดีย สาเหตุนี้เป็นเพราะกษัตริย์แห่งรัฐต่าง ๆ ได้บัญญัติกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี เพื่อบังคับใช้ภายในอาณาจักรของตน โดยอ้างถึงความมั่นคงของชาติ และการปกป้องผลประโยชน์จากการบูชายัญสัตว์ พวกเขายังหลอกลวงผู้คนด้วยความเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ ส่งผลให้เกิดความมืดมนในชีวิตมนุษย์ เนื่องจากพวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์ใช้ เพื่ออธิบายความจริงได้อย่างมีเหตุผล
ความไม่รู้ (อวิชชา) เกี่ยวกับความทุกข์ของตนเอง เกิดจากคำสอนของพราหมณ์ที่ว่า การบูชายัญสัตว์แและมนุษย์ไม่ก่อให้เกิดบาป และการลักขโมยไม่ก่อให้เกิดบาป เมื่อพราหมณ์เหล่านั้นไม่รู้ต้นตอของความทุกข์ ไม่รู้จุดมุ่งหมายในการดับทุกข์ และไม่รู้วิธีปฏิบัติเพื่อบรรจุสัจธรรมแห่งชีวิต วิญญาณย่อมต้องเวียนว่ายตายแล้วการเกิดใหม่ไม่รู้จบสิ้น สะท้อนถึงความไม่เข้าใจชีวิตของตนเอง เนื่องจากไม่สนใจศึกษา ค้นคว้า และแสวงหาความรู้เกี่ยวกับธรรมะ จึงไม่รู้จักวิธีปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุสัจธรรมแห่งชีวิต ดังนั้นพราหมณ์เหล่านั้นจึงมีศรัทธามั่นคงในเทพเจ้าหลายองค์ และตกลงประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าด้วยวัตถุมงคลต่าง ๆ ตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน เมื่อพิธีกรรมเสร็จสิ้นลง ของบูชาเหล่านี้จะกลายเป็นสมบัติของพราหมณ์ผู้ประกอบพิธีกรรม สร้างความมั่งคั่งให้แก่พราหมณ์ทุกนิกาย ไม่ว่าจะเป็นอารยันหรือมิลักขะ
เมื่อ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ถึงกฎธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษย์ อันเป็นสัจธรรมสูงสุดที่คนธรรมดาสามัญไม่สามารถเข้าใจได้ พระองค์ก็ทรงตระหนักว่าเมื่อถึงเวลาที่พระองค์ต้องแสดงพระธรรม เกี่ยวกับกฎธรรมชาติอันหาได้ยากของชีวิตมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงใช้เวลานาน ๖ ปีในการศึกษา ค้นคว้าและลงมือปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ด้วยพระองค์เอง ความรู้อาจสูญหายไป พร้อมกับการปรินิพพานของพระองค์เอง อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงระลึกถึงปัญหาของพวกจัณฑาลในอาณาจักรสักกะ และทรงเห็นว่าชีวิตจัณฑาลยังคงเต็มไปด้วยความมืดมน เพราะพวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ของชีวิต จึงไม่สามารถใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของชีวิตได้อย่างมีเหตุผล และพวกเขาจึงไม่สามารถหาทางออกให้กับปัญหาได้ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้รับการพัฒนาศักยภาพผ่านระบบการศึกษาของอาณาจักรสักกะ พวกเขาขาดการมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และไม่สามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามความเชื่อของตนได้
นับตั้งแต่รัฐสภาแห่งราชวงศ์สักกะนั้น ได้ตรากฎหมายวรรณะขึ้นกฎหมายดังกล่าวกำหนดสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองในการทำงานตามวรรณะโดยกำเนิด เนื่องจากคำสอนของศาสนาพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนของศาสนาและกฎหมายวรรณะ จึงมีเงื่อนไขบังคับให้พลเมืองต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และบทลงโทษสำหรับผู้ที่ละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะอย่างร้ายแรงคือจะถูกลงพรหมทัณฑ์หรือพระพรหมลงโทษ โดยให้สังคมขับพวกเขาออกจากชุมชนและถูกตัดขาดจากครอบครัวตลอดชีวิต และพวกเขาถูกสังคมตราหน้าว่าเป็น "จัณฑาล" เนื่องจากจัณฑาลเป็นผู้สูญเสียสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา และไม่ได้ประโยชน์จากกฎหมายวรรณะนี้เพราะถูกสังคมลงโทษ ส่วนวรรณะสูง ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากกฎหมายนี้ก็ใช้ชีวิตอย่างประมาทเล่นเลอ และไม่สามารถพัฒนาศักยภาพชีวิตของตนที่จะบรรลุถึงความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ได้ ส่วนชนชั้นวรรณะกษัตริย์ซึ่งใช้อำนาจอธิปไตยในการบัญญัติกฎหมาย บริหารประเทศและใช้อำนาจตุลาการพิจารณาอรรถคดีทั้งปวง และมีกำลังทหารน้อย จึงไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนได้ ส่วนวรรณะศูทร (shudra) แม้ว่าจะพัฒนาศักยภาพชีวิตและทักษะการทำงานแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีสิทธิปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่นเพราะถูกกฎหมายวรรณะห้ามไว้ จึงเป็นเพียงผู้รับใช้ของวรรณะที่สูงกว่าเท่านั้น
ดังนั้น เนื่องจากระบบการเมืองของอาณาจักรสักกะเป็นรัฐทางศาสนา และมหาราชาแห่งอาณาจักรสักกะทรงยึดมั่นในหลักการปกครองของศาสนาพราหมณ์ โดยทรงยืนยันว่าพระพรหมเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของประชาชน พระองค์ทรงสร้างมนุษย์จากพระกายของพระองค์เอง และทรงสถาปนาวรรณะเพื่อกำหนดสิทธิและหน้าที่ประชาชนให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ต่อประเทศ ตามวรรณะที่ตนเกิดมา เนื่องจากคำสอนของศาสนาพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนของศาสนาและกฎหมาย ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนอย่างร้ายแรง การแก้ไขปัญหาจัณฑาลในอาณาจักรสักกะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากการยกเลิกกฎหมายวรรณะตามจารีตประเพณีหรือกฎหมายฉบับอื่น ๆ ในอาณาจักรสักกะนั้น เป็นสิ่งที่ห้ามไว้ในรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีของอาณาจักรสักกะ เป็นต้น
ในการศึกษาเพื่อพัฒนาโลก ในวันที่ ๔ ของการเสด็จเยี่ยมราษฎรในกรุงกบิลพัสดุ์ เจ้าชายสิทธัตถะทรงพบกับพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งละทิ้งวรรณะ บ้านเรือน ครอบครัวและสังคมเดิม เพื่อแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิต การผนวชเป็นพระโพธิสัตว์เป็นหนทางเดียวที่พระองค์จะทรงเข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตได้อย่างถ่องแท้ และพระองค์ยังทรงสามารถประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า โดยขอให้พระพรหมทรงยกเลิกวรรณะได้ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ก็ทรงสามารถบูชายัญได้โดยมิได้ฝ่าฝืนคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะใด จนกระทั่งทรงตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ด้วยญาณทิพย์อันสูงส่ง ซึ่งเหนือกว่ามนุษย์ทั้งปวง มนุษย์ทุกคนจึงเท่าเทียมกันตามกฎธรรมชาติ ผู้ใดกระทำความดีด้วยกายสุจริต วจีสุจริตและมโนสุจริต ย่อมไปเกิดในสุคติภูมิ และผู้ใดกระทำความชั่วด้วยกายทุจริต วจีทุจริต ย่อมไปเกิดในทุคติภูมิ พระองค์ทรงค้นพบสัจธรรมแห่งธรรมชาติของมนุษย์ นั่นคือ มนุษย์มีจิตวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริง เมื่อมนุษย์ตายไป ร่างกายย่อมเสื่อมสลายไปตามธรรมชาติ แต่วิญญาณจะยังคงเวียนว่ายตายแล้วเกิดใหม่ในภพหน้าอย่างไม่สิ้นสุด

ชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ ก่อให้เกิดชีวิตใหม่ นี่คือกฎธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษย์ที่ไม่มีใครหลีกหนีได้ ดังนั้น มนุษย์จึงไม่ได้เกิดจากกายของพระพรหม ดังที่พราหมณ์อารยันได้สั่งสอนไว้ เมื่อจิตวิญญาณของมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องวัฏจักรแห่งความตายและการเกิดใหม่ พระองค์ก็ทรงพบว่าต้นเหตุแห่งกรรมของมนุษย์คือเจตนาแห่งกรรมดีและกรรมชั่ว มีทางเดียวเท่านั้นที่จะหยุดวัฏจักรแห่งความตายและการเกิดใหม่ของวิญญาณได้ มนุษย์ต้องพัฒนาศักยภาพในชีวิตเพื่อชำระล้างกรรมชั่วที่สั่งสมไว้ในจิตใจด้วยการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ ซึ่งจะนำไปสู่อุดมคติสูงสุดของชีวิตคือนิพพาน เมื่อพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ พระองค์ทรงตรัสรู้ (enlightened) กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์นั่นคือ ชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกาย และจิตใจในครรภ์มารดา ซึ่งรวมกันเป็นมนุษย์ เมื่อเกิดมาจากครรภ์มารดาแล้วดำรงชีวิตอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็สมมติชื่อและนามสุกล การเกิดเป็นมนุษย์นั้น ดำรงชีวิตอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วจึงดับสูญไปเอง
ดังนั้น มนุษย์จึงเป็นเพียงความจริงที่สมมติขึ้น พระพุทธเจ้าทรงมีญาณทิพย์เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา และทรงเห็นว่ามนุษย์มีวิญญาณคือ ตัวตนที่แท้จริงสถิตอยู่ในร่างกาย เมื่อชีวิตมนุษย์ตายลงวิญญาณจะออกจากร่างกายไปเกิดในสังสารวัฏ แล้วกลับมาเกิดในโลกมนุษย์ใหญ่อีกครั้ง ดังนั้น เมื่อมนุษย์ไม่ได้เกิดจากร่างกายของพระพรหมและพระอิศวรตามนิกายต่าง ๆในศาสนาพราหมณ์ได้สั่งสอนไว้ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทดสอบผลการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นเวลา ๗ สัปดาห์หรือ ๔๙ วัน พระองค์จึงทรงบรรลุผลการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ คือความรู้ในระดับ"อภิญญา ๖" ทั้ง ๗ ครั้ง
เมื่อผู้เขียนวิเคราะห์หลักฐานโดยอาศัยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ ฟังข้อเท็จจริงได้ว่า มูลเหตุที่ชีวิตของประชาชนในอนุทวีปอินเดีย เต็มไปด้วยความมืดมน เพราะพวกเขามีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้และมีอคติต่อผู้อื่น เนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงที่สมมติขึ้น การใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือ ที่นักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงดังกล่าว บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลได้ถูกต้อง บางครั้งอาจใช้เหตุผลได้ไม่ถูกต้อง บางครั้งอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น เป็นต้น เมื่อเหตุผลของคำตอบของชาวอนุทวีปอินเดียยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะได้ฟังความคิดเห็นของบุคคลเหล่านั้น ย่อมไม่เชื่อว่าเป็นความจริง เป็นต้น
การมีอยู่เทพเจ้าหลายองค์ ที่พวกเขายอมรับความจริงโดยปริยายที่ได้สั่งสมกันมายาวนาน จนพวกเขาคิดว่าไม่มีพึ่งพาอันประเสริฐกว่านี้อีกแล้ว ในยามที่พวกเขามีความทุกข์ทรมานก็พากันเข้าสำนักพราหมณ์เพื่อทำพิธีบูชาพระพรหมเป็นเทพเจ้ามีอยู่จริง ทรงมีคุณต่อมนุษย์ เพราะทรงสร้างมนุษย์ขึ้นจากพระวรกายของพระองค์ และทรงกำหนดโชคชะตาของมนุษย์ ที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้น ด้วยการกำหนดสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ในการประกอบอาชีพแก่คน ๔ วรรณะเท่านั้น ในยามที่มนุษย์มีความทุกข์เพราะปรารถนาสิ่งใดมิได้สิ่งนั้น ก็จะเดินทางไปสู่สำนักของเจ้าลัทธิต่าง ๆ เพื่อประกอบพิธีบูชายัญด้วยการฆ่าโคให้เทพเจ้าดลบันดาลให้สิ่งที่ตนปรารถนา นำมาซึ่งความร่ำรวย แก้วแหวน เงินทอง ทรัพย์สิน และพืชพันธ์ุธัญญาหารเป็นจำนวนมากแก่ของเจ้าลัทธิ ซึ่งเป็นพวกพราหมณ์ประกอบพิธีบูชายัญนั้น เป็นต้น การแบ่งวรรณะทำให้เกิดปัญหาสังคมของการฆ่าคนครอบครัว เพื่อรักษาเกียรติยศ การเกิดการเหยียดสีผิว ชนชั้นวรรณะในสังคม และปัญหาของการแต่งงานข้ามวรรณะ ทำให้เกิดประชาชนไร้วรรณะที่เรียกว่า "พวกจัณฑาล" เป็นพวกขาดสิทธิหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา จึงมีฐานะยากจนไม่มีสิทธิในที่ดินทำกินได้ ไม่มีสิทธิได้รับการศึกษาจากรัฐและไม่มีสิทธิสาธยายมนต์พระเวทและถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคมด้วยการถูกขับไล่ออกจากคามหมู่บ้านที่ตนเคยบำพักอาศัยมา ใช้ชีวิตข้างถนนในพระนครใหญ่ เช่น พระนครกบิลพัสดุ์ พระนครราชคฤห์ พระนครเวสาลี และพระนครสาวัตถี เป็นต้น
การที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงพบปัญหาสังคมเรื่องชนชั้นวรรณะนั้น ทรงต้องการปฏิรูปสังคมให้มนุษย์มีสิทธิหน้าที่เท่าเทียมกัน แต่พระองค์ไม่อาจปฏิรูปสังคมได้ เพราะมนุษย์มีความเชื่อเพราะถูกสอนกันอย่างผิด ๆ ว่าชีวิตของมนุษย์ตายแล้วสูญ ทุกชีวิตถูกกำหนดโชคชะตาไว้แล้วด้วยอำนาจของพระพรหม ซึ่งเป็นเทพสูงสุดมนุษย์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขชีวิตตนเองได้และขัดต่อธรรมของกษัตริย์ อันเป็นหลักนิติศาสตร์ในการปกครองประเทศในยุคนั้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะรับรู้ข้อมูลจากประสาทสัมผัสของพระองค์ ปัญหาทางสังคมในแคว้นสักกะแล้ว เมื่อทรงศึกษาข้อมูลว่า ระบบการเมืองการปกครองแบบสามัคคีธรรมให้สมาชิกรัฐสภาศากยวงศ์มาจากวรรณะกษัตริย์ เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยทั้งนิติบัญญัติออกกฎหมาย อำนาจบริหารปกครองประเทศและอำนาจตุลาการและหลักอปริหานิยธรรม ล้วนแต่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาวรรณะในชมพูทวีปให้สำเร็จได้ พระองค์ตัดสินพระทัยออกแสวงหาความรู้และความจริงของชีวิตที่เรียกว่า "กฎธรรมชาติ"ของชีวิตมนุษย์ด้วยวิธีการทรงออกผนวช เพื่อสละวรรณะกษัตริย์ เดินทางออกสู่โลกกว้างผ่านแคว้นมัลละ แคว้นกาสี และแคว้นมคธเพื่อเรียนรู้วิธีการค้นหาความจริงแห่งมนุษย์ที่สร้างความมืดมน ให้กับการเดินทางของจิตวิญญาณมาแล้วไม่รู้กี่อสงไขยและกี่แสนกัปป์
บรรณานุกรม

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น