The Real problems of The Buddha's Social Reforms in the Indian subcontinent
บทนำ ที่มาและความสำคัญของปัญหาที่ว่า "ทำไมต้องปฏิรูปสังคม"
ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะถือกำเนิดขึ้นบนโลกนั้น ต้องมีปัจจัยบางประการที่ทำให้พระพุทธศาสนาเกิดขึ้น เมื่อความคิดของมนุษย์ไม่เคยหยุดนิ่ง เพราะมนุษย์มีจิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหาตลอดเวลา เมื่อได้รับรู้ความจริงของ
วัตถุกิเลสแล้ว ก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะไขว้สิ่งต่าง ๆ มาสนองอารมณ์กิเลสตัณหาตลอดเวลา แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ได้มาโดยยาก เพราะเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน ตัวอย่างเช่น เมื่อชาวอารยันอพยพมาสู่ทิศใต้ของเทือกเขาหิมาลัย ได้ทำสงครามกับชาวพื้นเมืองดราวิเดียน กองทัพของพวกเขาสามารถช่วงชิงดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรในธรรมชาติเป็นของพวกตนสำเร็จแล้ว ก็สร้างชุมชนการเมืองของตนขึ้นมา มีอำนาจทางเศรษฐกิจสามารถส่งข้าวออกไปขายยังแคว้นต่าง ๆ ได้ มีความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ที่พึ่งของชีวิตในยามที่เกิดความทุกข์ยากของชีวิต และวัฒนธรรม
การดำเนินชีวิตของชาวสักกะ ก็ไม่เคยหยุดนิ่งเช่นเดียวย่อมเป็นไปตามความนึกคิดของพวกเขาเอง ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอนุทวีปอินเดีย ที่จำเป็นต้องปฏิรูปสังคมในอนุทวีปอินเดีย เมื่อผู้เขียนและมนุษย์คนอื่น ๆ เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ว่าความจริงของชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์จากการฆ่ากัน การทำร้ายกัน การลักขโมย หรือการฉ้อโกง เพื่อให้มาซึ่งทรัพย์สินของกันและกัน การใช้ถ้อยคำดูหมิ่น การดื่มสุราและการเสพยา แม้จะนำมาซึ่งความสุข แต่ก็เป็นเพียงความสุขชั่วคราวเท่านั้น ต้องแลกมาด้วยสุขภาพที่เสียไป เราต้องใช้เงินซื้อสุขภาพกลับคืนมา สิ่งเหล่านี้เกิดจากทัศนะคติที่ผิดอย่างร้ายแรงของผู้คนในสังคม กลายเป็นปัญหาทางสังคมมากมายทั่วทั่งอนุทวีปอินเดีย สังคมขาดความสงบสุขบนมาตรฐานทางศีลธรรมและกฎหมายของประเทศ
ก่อนสมัยพุทธกาลประมาณ ๑,๐๐๐ ปี เป็นยุคของศาสนาพราหมณ์กำลังเจริญรุ่งเรือง มีเหตุการณ์ของการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในสังคมของอนุทวีปอินเดียตัวอย่าง เช่นการบูชายัญด้วยสัตว์น้อยใหญ่และมนุษย์ การหลอกลวงมนุษย์โดยอาศัยความเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ เมื่อมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมนเนื่องจากความไม่รู้แจ้ง (อวิชชา) ในความทุกข์ของชีวิตของตนเอง เพราะคำสั่งสอนของพวกพราหมณ์ที่สอนว่า การบูชายัญด้วยฆ่าสัตว์แและมนุษย์นั้น ไม่ผลเป็นบาปต่อกัน การลักทรัพย์ไม่มีผลบาปต่อกัน เมื่อพวกเขาจึงไม่รู้จักทุกข์ สาเหตุของการเกิดทุกข์ของตนเอง เป้าหมายที่ควรจะดับทุกข์ในชีวิตที่ดวงวิญญาณต้องเวียนว่ายตายแล้วเกิดไม่รู้จบสิ้น ซึ่งหมายถึง การขาดความเข้าใจในชีวิตของตนเอง เนื่องจากพวกเขาไม่สนใจที่จะศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้เกี่ยวกับธรรมะ พวกเขาจึงไม่รู้ว่าจะปฏิบัติธรรมอย่างไร ? เพื่อบรรลุความจริงของชีวิต พวกเขามีความศรัทธาอย่างมั่นคงในความมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์ และตกลงที่จะประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าด้วยวัตถุมีค่าต่าง ๆ ตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน เมื่อพิธีกรรมเสร็จสิ้น เครื่องบูชาเหล่านี้ ก็กลายเป็นสมบัติของพราหมณ์ผู้ประกอบพิธี สร้างความมั่งคั่งให้กับพราหมณ์ทุกนิกายไม่ว่าจะเป็นอารยันหรือมิลักขะ
เมื่อ พระพุทธเจ้าตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์แล้ว ความจริงขั้นปรมัตถ์ที่คนธรรมดาสามัญจะเข้าใจได้ยาก พระองค์ทรงดำริว่าเมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะทรงแสดงพระธรรมเทศนา ก็คงจะไม่มีใครมาฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์ ความรู้เกี่ยวกับกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ของพระองค์ ซึ่งหาได้ยากเพราะพระองค์ทรงเวลา ๖ ปีในการปฏิบัติธรรมหรือศึกษาค้นคว้านั้นก็จะสูญหายไปพร้อมกับการปรินิพพานของพระองค์เอง อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงหวนคิดถึงปัญหาของคนจัณฑาลในแคว้นสักกะ และทรงเห็นว่าชีวิตจัณฑาลยังคงมืดมนและไม่สามารถหาทางแก้ไขปัญหาชีวิตของตนได้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีสิทธิที่จะพัฒนาศักยภาพชีวิตของตนเอง ผ่านระบบการศึกษาของแคว้นสักกะ พวกเขาขาดการมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ไม่สามารถทำพิธีกรรมทางศาสนาตามความเชื่อของตนเอง เนื่องจากรัฐสภาแห่งราชวงศ์สักกะนั้น ประกาศบังคับใช้กฎหมายวรรณะได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชนในการทำงานตามวรรณะโดยกำเนิด เมื่อคำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายว่าด้วยวรรณะ จึงมีเงื่อนไขบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายและการลงโทษสำหรับผู้ที่ละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะอย่างร้ายแรง โดยพวกเขาจะถูกขับออกจากชุมชนและต้องตัดขาดจากบุคคลในครอบครัวไปตลอดชีวิตและจะถูกคนในสังคมเรียกว่า "จัณฑาล" เมื่อจัณฑาลไม่ได้ประโยชน์จากกฎหมายวรรณะนี้เพราะพวกเขาถูกสังคมลงโทษ ส่วนผู้ที่ได้รับประโยชน์จากกฎหมายนี้ก็ใช้ชีวิตอย่างไม่ระมัดระวัง (ประมาท) และไม่สามารถพัฒนาศักยภาพชีวิตได้ ส่วนวรรณะกษัตริย์เป็นผู้ที่ใช้อำนาจอธิปไตยในการบัญญัติกฎหมาย การบริหารประเทศและอำนาจตุลาการ ก็มีกำลังทหารเพียงเล็กน้อย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนได้ ส่วนวรรณะศูทร (shudra) แม้ว่าพวกเขาจะพัฒนาศักยภาพชีวิตและทักษะการทำงานแล้วก็ตาม ก็ไม่มีสิทธิปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่นได้เพราะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยวรรณะ จึงเป็นเพียงคนรับใช้ของวรรณะสูงเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อระบบการเมืองของแคว้นสักกะเป็นรัฐศาสนา และมหาราชาแห่งแคว้นสักกะอาศัยความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ เป็นหลักการปกครองประเทศ โดยอ้างว่า พระพรหมเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของประชาชน เพราะเทพเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์ และสร้างวรรณะให้ประชาชนปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเองเกิดมา เนื่องจากคำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายว่าด้วยวรรณะ จึงถือเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนอย่างร้ายแรง การแก้ปัญหาจัณฑาลในแคว้นสักกะเป็นเรื่องยาก เพราะการยกเลิกกฎหมายว่าด้วยวรรณะ ถูกห้ามโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีของแคว้นสักกะ เป็นต้นการศึกษาเพื่อพัฒนาโลก ในวันที่ ๔ ของการเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนในพระนครกบิลพัสดุ์ เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้พบกับพระภิกษุผู้ละทิ้งวรรณะและออกจากเรือนไม่เกี่ยวข้องกับสังคม ครอบครัวและหมู่บ้านอีกต่อไปเพื่อแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิต การเป็นพระโพธิสัตว์จึงเป็นหนทางเดียว ที่พระองค์จะทรงศึกษาสัจธรรมแห่งชีวิตได้อย่างเต็มที่ และพระองค์ทรงทำพิธีบูชาเทพเจ้า เพื่อขอให้พระพรหมทรงยกเลิกวรรณะของพระองค์ได้ โดยไม่ละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายว่าด้วยวรรณะอีกต่อไป เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นพระโพธิสัตว์และตรัสรู้ (ค้นพบ) กฎธรรมชาติแห่งความจริงของชีวิตมนุษย์ด้วยญาณทิพย์ของพระองค์เหนือมนุษย์ทั้งปวง ชีวิตมนุษย์ทุกคนมีความเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน ใครทำกุศลด้วยการสุจริต วจีสุจริตและมโนสุจริต ก็จะไปเกิดในสุคติภูมิ และผู้ใดทำอกุศลด้วยกายทุจริต วจีทุจริต พระองค์ทรงได้ค้นพบความจริงของมนุษย์ที่ว่ามนุษย์มีจิตวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริง เมื่อชีวิตมนุษย์ดับสูญ ร่างกายจะสลายไปตามธรรมชาติ แต่จิตวิญญาณจะเวียนว่ายเกิดใหม่ในโลกหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ชีวิตมนุษย์จึงเกิดขึ้นจากปัจจัยทางร่างกายและจิตใจก่อให้เกิดชีวิตใหม่ขึ้น มันเป็นกฎธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษย์ที่ไม่มีใครหลีกหนีได้ เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงไม่ได้เกิดมาจากร่างของพระพรหมตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน เมื่อจิตวิญญาณของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการเวียนว่ายเกิดใหม่ในวัฏสงสาร พระองค์ก็ทรงพบว่าสาเหตุแห่งกรรมของมนุษย์คือเจตนาแห่งกรรมดีและกรรมชั่ว มีหนทางเดียว ที่จะหยุดวัฏจักรแห่งความตายและการเกิดใหม่ของวิญญาณได้ มนุษย์ต้องพัฒนาศักยภาพในชีวิต เพื่อชำระล้างกรรมชั่วที่สั่งสมอยู่ในจิตใจทั้งหมดโดยการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์๘ อันประเสริฐ ซึ่งจะนำไปสู่อุดมคติสูงสุดของชีวิตคือ นิพพาน ได้เมื่อพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ พระองค์ทรงตรัสรู้ (enlightened) กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ว่า ชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกาย และจิตใจในครรภ์มารดาที่รวมกันเป็นมนุษย์ เมื่อเกิดมาจากครรภ์มารดาและดำรงอยู่เป็นมนุษย์ใหม่ ก็มีชื่อตามนี้และนามสุกลของเชื้อสายนั้น การเกิดขึ้นของมนุษย์นั้น ดำรงชีวิตอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก้ดับไปเอง
ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นเพียงความจริงที่สมมติขึ้นมา พระพุทธเจ้าทรงมีญาณทิพย์อันสูงส่งกว่ามนุษย์ธรรมดา และทรงเห็นว่ามนุษย์มีวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงอยู่ในร่างกาย เมื่อชีวิตมนุษย์ดับสูญ วิญญาณจะออกจากร่างไปเกิดในสังสารวัฏ แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ใหญ่อีกครั้ง เพราะฉะนั้น มนุษย์ไม่ได้เกิดมาจากร่างของพระพรหม และพระอิศวรตามคำสอนของนิกายพราหมณ์ต่าง ๆ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทดสอบผลการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นเวลา ๗ สัปดาห์หรือ ๔๙ วัน พระองค์ก็ทรงได้รับผลการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ คือความรู้ในระดับ"อภิญญา ๖" ทั้ง ๗ ครั้ง
ด้วยเหตุผลของคำตอบที่วิเคราะห์โดยอนุมานความจากพยานหลักฐานต่าง ๆ มูลเหตุที่ประชาชนในดินแดนปัจจันตชนบท ชีวิตมีแต่ความมืดมน เพราะความเชื่อการมีอยู่เทพเจ้าหลายองค์ที่พวกเขายอมรับความจริงโดยปริยายที่ได้สั่งสมกันมายาวนาน จนพวกเขาคิดว่าไม่มีพึ่งพาอันประเสริฐกว่านี้อีกแล้ว ในยามที่พวกเขามีความทุกข์ทรมานก็พากันเข้าสำนักพราหมณ์เพื่อทำพิธีบูชาพระพรหมเป็นเทพเจ้ามีอยู่จริง ทรงมีคุณต่อมนุษย์ เพราะทรงสร้างมนุษย์ขึ้นจากพระวรกายของพระองค์ และทรงกำหนดโชคชะตาของมนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นมานั้น ด้วยสร้างสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพแก่คน ๔ วรรณะเท่านั้น ในยามที่มนุษย์มีความทุกข์เพราะปรารถนาสิ่งใดมิได้สิ่งนั้น ก็จะเดินทางไปสู่สำนักของเจ้าลัทธิต่าง เพื่อประกอบพิธีบูชายัญด้วยการฆ่าโคให้เทพเจ้าดลบันดาลให้สิ่งที่ตนปรารถนา นำมาซึ่งความร่ำรวย แก้วแหวน เงินทอง ทรัพย์สิน และพืชพันธ์ุธัญญาหารเป็นจำนวนมากแก่ของเจ้าลัทธิซึ่งเป็นพวกพราหมณ์ประกอบพิธีบูชายัญนั้นเป็นต้นการแบ่งวรรณะทำให้เกิดปัญหาสังคมของการฆ่าคนครอบครัวเพื่อรักษาเกียรติยศ การเกิดการเหยียดสีผิว ชนชั้นวรรณะในสังคม และปัญหาของการแต่งงานข้ามวรรณะ ทำให้เกิดประชาชนไร้วรรณะที่เรียกว่า "พวกจัณฑาล" เป็นพวกขาดสิทธิหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา จึงมีฐานะยากจนไม่มีสิทธิในที่ดินทำกินได้ ไม่มีสิทธิได้รับการศึกษาจากรัฐและไม่มีสิทธิสาธยายมนต์ พระเวทและถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคมด้วยการถูกขับไล่ออกจากคามหมู่บ้านที่ตนเคยบำพักอาศัยมาใช้ชีวิตข้างถนนในพระนครใหญ่เช่นพระนครกบิลพัสดุ์ พระนครราชคฤห์ พระนครเวสาลี และพระนครสาวัตถี เป็นต้น
การที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงพบปัญหาสังคมเรื่องชนชั้นวรรณะนั้น ทรงต้องการปฏิรูปสังคมให้มนุษย์มีสิทธิหน้าที่เท่าเทียมกันแต่พระองค์ไม่อาจปฏิรูปสังคมได้ เพราะมนุษย์มีความเชื่อเพราะถูกสอนกันอย่างผิด ๆ ว่า ชีวิตของมนุษย์ตายแล้วสูญ ทุกชีวิตถูกกำหนดโชคชะตาไว้แล้วด้วยอำนาจของพระพรหม ซึ่งเป็นเทพสูงสุดมนุษย์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขชีวิตตนเองได้ และขัดต่อธรรมของกษัตริย์ อันเป็นหลักนิติศาสตร์ในการปกครองประเทศในยุคนั้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะรับรู้ข้อมูลจากประสาทสัมผัสของพระองค์ ปัญหาทางสังคมในแคว้นสักกะแล้ว เมื่อทรงศึกษาข้อมูลว่าระบบการเมืองการปกครองแบบสามัคคีธรรมให้สมาชิกรัฐสภาศากยวงศ์มาจากวรรณะกษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ทั้งนิติบัญญัติออกกฎหมายอำนาจบริหารปกครองประเทศและอำนาจตุลาการและหลักอปริหานิยธรรม ล้วนแต่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาวรรณะในชมพูทวีปให้สำเร็จได้ พระองค์ตัดสินพระทัยออกแสวงหาความรู้และความจริงของชีวิตที่เรียกว่า "กฎธรรมชาติ" ของชีวิตมนุษย์ด้วยวิธีการทรงออกผนวชเพื่อสละวรรณะกษัตริย์ เดินทางออกสู่โลกกว้างผ่านแคว้นมัลละ แคว้นกาสี และแคว้นมคธเพื่อเรียนรู้วิธีการค้นหาความจริงแห่งมนุษย์ที่สร้างความมืดมิดให้กับการเดินทางของจิตวิญญาณมาแล้วไม่รู้กี่อสงไขยและกี่แสนกัปป์
บรรณานุกรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น