Introduction the Lord Buddha's Doubts in the Tripitaka
บทความวิเคราะห์นี้เขียนขึ้นเกี่ยวกับ ความสงสัยของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษาพระพุทธศาสนา สอดคล้องกับกระบวนการแสวงหาความจริงใน ปรัชญา ปรัชญาตะวันออก ปรัชญาตะวันตก วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์และวิทยาศาสตร์สมัยใหญ่ แม้ว่าวิชาเหล่านี้จะมีความแตกต่างกันในรายละเอียด แต่แนวทางของวิธีการพิจารณาความจริงนั้นเหมือนกัน เพราะปรัชญาเป็นมารดาของศาสตร์ทั้งปวง เนื่องจากพระพุทธศาสนา ปรัชญาตะวันตก ปรัชญาตะวันออกและวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์นั้น พระพุทธเจ้า นักปรัชญาตะวันตกและนักปรัชญาตะวันออกนั้น ล้วนแยกเนื้อหาออกจากปรัชญาอินเดียโบราณ นักศึกษา จึงสามารถเรียนรู้ และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย
เมื่อผู้คนทั่วโลกรวมเป็นเพียงหนึ่งเดียว นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และเผยแพร่ความรู้ของนักปรัชญา พระพุทธเจ้า และนักปราชญ์ในสาขาต่าง ๆ ในฐานะภูมิปัญญาระดับโลกไปทั่วโลก นักศึกษาจะสามารถเลือกศึกษา เรียนรู้ วิจัยและเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านทุกช่องทาง นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ และนักตรรกศาสตร์ในหลากหลายสาขา จะไม่สามารถพึ่งพาความรู้ของตนเองเพียงอย่างเดียว เพื่อโน้มน้าวผู้อื่นให้เชื่อคำบรรยายของตนเองได้ต่อไป พวกเขาต้องสอนให้พวกเขาฝึกฝนและแสวงหาความรู้เชิงประจักษ์มากขึ้น ผู้คนทั่วโลกสามารถพัฒนาศักยภาพชีวิตของตนเอง ผ่านความรู้ที่กระจายทั่วทุกหนทุกแห่ง โดยใช้โทรศัพท์มือเป็นเครื่องมือในการรับรู้ และถ่ายทอดความรู้กลับไปยังผู้คนทั่วโลก
ปรัชญาโดยทั่วไปคือความรู้ของมนุษย์บางกลุ่มที่เรียกว่า "นักปรัชญา" ซึ่งยึดถือคำสอนของพระพุทธเจ้าตามหลักฐานในพระไตร ปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยพบว่านักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญาได้ยินเรื่องราวที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น มนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น และหลักฐานการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร นักตรรกะและนักปรัชญา มักแสดงความเห็นของตนเองโดยใช้เหตุผลอธิบายความจริง หรือคาดคะเนความจริงในลักษณะนี้จากสิ่งทีได้ยินมา เช่น ตัวตน (อัตตา) โลกเที่ยง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเหล่านี้เป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในของตนเอง ซึ่งมีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต และมักมีอคติที่คิดเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ส่งผลให้ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือ เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หากนักปรัชญา นักตรรกศาสตร์ มักแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของสิ่งใดสิ่งหนึ่งบางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง บ้างครั้งก็ใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง บางครั้งใช้เหตุผลเป็นอย่างนั้น บางครั้งเป็นอย่างนี้ เป็นต้น
บางครั้งผลการวิเคราะห์ข้อมูลให้คำตอบที่คลุมเครือและไม่ชัดเจนว่าเรื่องนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร ? เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงฟังความคิดเห็นของนักตรรกะ และนักปรัชญาแล้ว พระองค์ทรงไม่เชื่อว่าคำตอบนั้นเป็นความจริง และทรงสงสัยความจริงของเรื่องนั้น เช่น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จไปเยี่ยมราษฎร และเสด็จพระราชดำเนินไปในอุทยานหลวงในเมืองกบิลพัสดุ์ พระองค์ทรงเห็นคนชรา คนป่วย คนตายและนักบวชอาศัยอยู่ริมทาง ทำให้พระองค์ทรงสงสัยเกี่ยวกับภูมิหลังของคนเหล่านี้ และพระองค์ทรงกระตือรือล้นที่จะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับนิมิตทั้ง ๔ พระองค์จึงทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์เหล่านี้ และรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เมื่อได้หลักฐานเพียงพอ พระองค์จึงทรงใช้หลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริง และโดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของคำตอบได้อย่างมีเหตุผลและชัดเจน ไม่มีเหตุผลใดที่ข้อเท็จจริงจะเปลี่ยนแปลงไป
เมื่อผู้เขียนศึกษาเหตุการณ์ทางสังคมในสมัยอินเดียโบราณจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและอรรถกถา ผู้เขียนได้ทราบข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่าในยุคทองของศาสนาพราหมณ์ ชาวอารยันเชื่อในคำสอนของศาสนาพราหมณ์เกี่ยวกับเทพเจ้าที่จะช่วยมนุษย์ให้ประสบความสำเร็จในชีวิต โดยบูชายัญด้วยวัตถุมีค่าต่าง ๆ หลังจากพิธีบูชาเสร็จสิ้นแล้วเครื่องบูชาเหล่านั้น จะเป็นของพราหมณ์ผู้ประกอบพิธี การถวายเครื่องบูชาต่อเทพเจ้านำมาซึ่งความมั่งคั่งมหาศาลแก่พราหมณ์นิกายต่าง ๆ รวมถึงพราหมณ์ดราวิเดียนด้วย ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศมีความเจริญรุ่งเรือง เมื่อการบูชาเทพเจ้าของพราหมณ์อารยัน กลายเป็นเรื่องศรัทธาของมหาราชาผู้ปกครองแคว้นนั้น พระองค์จึงทรงแต่งตั้งพราหมณ์อารยันเป็นปุโรหิต มีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่มหาราชาในเรื่องกฎหมาย ประเพณี และขนบธรรมเนียม พวกเขาถูกมองว่า เป็นพยานที่เชื่อถือได้ สามารถยืนยันการมีอยู่ของเทพเจ้าและเทวดาได้ เพราะพวกเขาอ้างว่ามีความรู้เหนือการรับรู้ของมนุษย์ทั่วไป และอ้างว่าเคยเห็นเทพเจ้าหรือเทวดาในแคว้นนี้มาก่อน เมื่อพราหมณ์อารยันต้องการรักษาความมั่งคั่งจากการบูชายัญเทพเจ้า และด้วยความกลัวว่าในอนาคตพราหมณ์ดราวิเดียนจะได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการบูชา และอิทธิพลทางการเมืองเช่นเดียวกับของพวกเขา ชาวอารยันจะประสบความลำบากและเป็นเรื่องยากที่จะมีความเจริญรุ่งเรืองเพียงฝ่ายเดียว
ด้วยข้อเท็จจริงนี้ พราหมณ์ที่ปรึกษาจึงได้แนะนำให้สมาชิกรัฐสภาแห่งอาณาจักรสักกะ รับเอาคำสอนของศาสนาพราหมณ์ซึ่งสอนว่า พระพรหมสร้างมนุษย์และวรรรณะเพื่อกำหนดสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของประชาชนในอาณาจักรสักกะ โดยบัญญัติเป็นกฎหมาย ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ เพื่อให้ประชาชนทำงานตามวรรณะที่เกิดมา เหตุการณ์นี้นำไปสู่การบัญญัติกฎหมาย ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี ซึ่งแบ่งพลเมืองออกเป็น ๔ วรรณะคือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์และศูทร เป็นต้น หากผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมายวรรณะ พระพรหมจะลงโทษผู้นั้นด้วยการขับไล่ออกจากบ้านเรือนตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของมนุษย์ถูกขับเคลื่อนด้วยตัณหา พวกเขาจึงขาดการควบคุมตนเอง พวกเขาอยู่กินฉันสามีภริยากันอย่างเต็มใจ โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังละเมิดกฎหมายวรรณะโทษทัณฑ์ผู้กระทำความผิด คือ การถูกขับออกจากสังคม สำหรับผู้คงฝ่าฝืนจะถูกเฆี่ยนตีจนตายหรือถูกแขวนคอต่อหน้าสาธารณชน พวกเขายังสูญเสียสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะไปโดยปริยาย พวกเขาถูกบังคับให้ใช้ชีวิตเร่ร่อนตามท้องถนนในเมืองใหญ่ ๆ
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาที่จัณฑาลถูกพระพรหมลงโทษตลอดชีวิต ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในวัยชราภาพ เจ็บป่วยไข้และตายอยู่บนท้องถนน เป็นต้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่เชื่อทันทีว่าเป็นความจริง พระองค์ทรงสงสัยความจริงของเรื่องนี้เสียก่อนจนกว่าพระองค์จะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานจากบุคคลที่เชื่อถือได้ เช่น ปุโรหิต เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพระพรหมและพระอิศวร อย่างไรก็ตามพราหมณ์ปุโรหิตคนใด ไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพระพรหมและพระอิศวรได้อย่างเข้าใจ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เช่นนี้พระองค์ทรงไม่เชื่อว่าเทพเจ้ามีอยู่จริง และทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมในอาณาจักรสักกะโดยเสนอให้ยกเลิกกฎหมาย ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะเพื่อปฏิรูปสังคม อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงไม่สามารถถูกยกเลิกวรรณะได้ เพราะละเมิดต่อรัฐธรรมนูญสูงสุดในการปกครองประเทศ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ"หลักอปริหานิยธรรม"
เมื่อผู้เขียนได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ "ความสงสัยของพระพุทธเจ้า" ซึ่งสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน หากผู้เขียนแสดงความคิดเห็นโดยอาศัยเหตุผล และคาดคะเนความจริงในสิ่งที่ได้ยิน เมื่อผู้เขียนใช้เหตุผลอธิบายความจริงของความสงสัยของพระพุทธเจ้า บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลถูกต้อง บางครั้งไม่ถูกต้อง บางครั้งอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น เมื่อเหตุผลของผู้เขียนคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนได้ยินความคิดเห็นดังกล่าว ย่อมไม่เชื่อว่าเป็นความจริง เพื่อแก้ปัญหาความคิดเห็นที่ไม่ชัดเจนของพยานบุคคล ประจักษ์พยานผู้ยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงของเรื่องราวที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแล้ว ไม่ควรเชื่อทันที เราควรสงสัยไว้ก่อน จนกว่าจะได้ข้อเท็จจริงจากหลักฐาน ซึ่งเป็นพยานเพียงปากเดียว เหตุผลในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบมีน้อย ยังไม่ชัดเจนพอที่จะยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องข้อสงสัยของพระพุทธเจ้าได้ว่า เป็นอย่างไร ผู้เขียนชอบศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องนี้ต่อไป จึงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ อรรถกถาและเอกสารทางวิชาการทางพระพุทธศาสนา เป็นต้น เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ต่อไป บทความเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อพระสงฆ์ในแดนพุทธภูมิในการสั่งสอนพุทธศาสนิกชน ให้เนื้อหาของพระพุทธศาสนาเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ส่วนกระบวนการวิเคราะห์หลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในประเด็นที่น่าสงสัยนั้น จะเป็นประโยชน์ ต่อการศึกษาในระดับปริญญาเอกสาขาพระพุทธศาสนา ปรัชญาและสาขานิติศาสตร์ ในงานวิจัยในระดับปริญญาเอก สามารถอธิบายเหตุผลของคำตอบ ที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินความรู้อย่างสมเหตุสมผล ปราศจากข้อสงสัยในข้อเท็จจริงอีกต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น