The Buddha’s Process of Considering the Truth
บทนำ : กระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า
โดยทั่วไปแล้ว ปรัชญาถือเป็นความรู้ของมนุษย์ ซึ่งเรียกว่า "นักปรัชญา" มักจะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับความจริงใน ๒ ระดับคือ ความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ ความรู้เหล่านี้เป็นของ นักตรรกศาสตร์ นักปรัชญา พระพุทธเจ้า นักปรัชญาตะวันตกและนักวิทยาศาสตร์ โดยพวกเขาใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือ ที่นักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์อย่างสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตามความรู้ทางปรัชญา พระพุทธศาสนา ปรัชญาตะวันตกและวิทยาศาสตร์ มักจะสูญหายไป เมื่อเจ้าของความรู้ในวิชานั้นตายไป เพื่อรักษาความรู้ในพระพุทธศาสนาไว้ พระอรหันต์ใสมัยพุทธกาล จึงสร้างนวัตกรรมใหม่ขึ้น ด้วยการถ่ายทอดความรู้ในพระพุทธศาสนาไว้ให้ลูกศิษย์ท่องจำเรียกว่า ‘มุขปาฐะ” หรือประดิษฐ์อักษรขึ้นมา เพื่อบันทึกความรู้ไว้ เป็นหลักฐานให้อนุชนรุ่นหลักศึกษาหาความรู้ต่อไป สืบสานความรู้เหล่านี้ไว้ เช่น จัดการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ต่อเนื่องกันตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน และต่อยอดความรู้เป็นสาขาวิชาใหม่ เช่น สาขาพุทธจิต วิปัสสนากรรมฐาน เป็นต้น
เมื่อเราได้ยินความคิดเห็นของนักวิชาการเกี่ยวกับ มนุษย์ โลก จักรวาล และข้อพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น นักวิชาการเหล่านี้แสดงความคิดเห็นเรื่องเหล่านี้ตามโดยอาศัยเหตุผล และคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนั้น มนุษย์ทั่วไปเช่นเราไม่สามารถรู้ได้ว่า ใครแสดงความคิดเห็นถูกต้อง หรือบางคนก็แสดงความคิดในลักษณะนี้ หรือบางคนก็แสดงความคิดเห็นในลักษณะนั้น เมื่อนักวิชาการแสดงความคิดเห็นในเรื่องเดียวกันอย่างคลุมเครือ และไม่ชัดเจนเช่นนี้ วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้าทรงได้ยินความคิดเห็นของนักวิชาการ นักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์ หรือศาสดา ที่แสดงความคิดเห็นคลุมเครือและไม่ชัดเจน ว่าเรื่องนั้นมีความเป็นมาอย่างไร พระองค์ย่อมไม่เชื่อว่าเป็นจริง
เมื่อเราได้ยินความเห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เรามักจะสันนิษฐานว่า ความเห็นเหล่านี้นเชื่อถือได้ เพราะ ได้รับการถ่ายทอดมาจากบุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ไว้วางใจจากสังคม ครูบาอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงพร้อมคำอธิบายความจริงที่น่าเชื่อถือ ตำราเรียนมหาวิทยาลัยหรือคัมภีร์ทางศาสนา อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นเหล่านี้ มักถูกถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการ โดยโต้แย้งว่าความเห็นคิดเห็นของนักวิชาการนั้น ตั้งบนพื้นฐานหลักเหตุผลของตนเองและคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมาเท่านั้น โดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงเรื่องนั้น การใช้เหตุผลของนักวิชาการเหล่านั้นเพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนั้น ซึ่งอาจจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ได้ ทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์ทุกคนมีความสามารถในการรับรู้เหตุการณ์ได้จำกัดและมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ซึ่งทำให้ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ จึงไม่สามารถในการใช้เหตุผลและอธิบายความจริงอย่างมีเหตุผลได้ เป็นต้น
ในยุคของศาสนาพราหมณ์ ประชาชนในอนุทวีปอินเดียต่างศึกษาศิลปศาสตร์ (Liberal arts) จากสำนักพราหมณ์ต่าง ๆ พราหมณ์ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเหล่านี้ ซึ่งประกาศตั้งตนเป็นศาสดาและครูบาอาจารย์ทำหน้าที่สอนทุกวรรณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวรรณะกษัตริย์ ผู้ปกครองประเทศตามวรรณะที่พระองค์ประสูติมา พวกเขาแสวงความจริงของชีวิตที่เป็นทั้งความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ อย่างไรก็ตามเมื่อชนวรรณะกษัตริย์ เป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในจำกัดในการรับรู้ความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์และมีอคติต่อผู้อื่น ชีวิตมนุษย์เช่นพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน เนื่องจากขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ในชีวิต พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างสมเหตุสมผล พวกเขาจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ในหลักสูตรศิลปศาสตร์ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปกครองประเทศและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน
หากชนวรรณะกษัตริย์มิได้ศึกษา ค้นคว้าและแสวงหาความรู้แล้ว เมื่อแสดงความคิดเห็น โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงเรื่องนั้น บางครั้งพวกเขาก็จะใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลอธิบายไม่ถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลอธิบายในลักษณะนี้หรือใช้เหตุผลอธิบายในลักษณะนั้น เมื่อเหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบคลุมเครือและไม่ชัดเจน เมื่อวิญญูชนได้ยินความคิดเห็นในเรื่องนั้น พวกเขาก็ยอ่มไม่เชื่อถือว่าเป็นความจริงและสงสัยว่าความคิดเห็นของนักปรัชญา และนักตรรกะคนใดถูกต้องหรือให้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างผิด ๆ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเรื่อง "พระพรหมลงโทษมนุษย์" ในอาณาจักรสักกะ พระองค์มิได้ทรงเชื่อในทันทีโดยไม่ไตร่ตรองอย่างรอบ แต่พระองค์ทรงเน้นกระบวนการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ โดยเริ่มจากความสงสัยในสิ่งที่พระองค์ได้ยินนั้น จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพรหมนั้น เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว พระองค์ก็ทรงใช้หลักฐานนั้น เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริง โดยพระองค์ทรงใช้เหตุผลอธิบายความจริงของเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล เป็นต้น
๒.กระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า
ในปัจจุบัน แม้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปมาก และสามารถสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษยชาติทั่วโลกได้เกินกว่าปรัชญา พระพุทธศาสนา ปรัชญาตะวันตก และสาขาอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ก็เป็นมนุษย์ที่เกิดมาด้วยความไม่รู้ เช่นเดียวกับมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย พวกเขามักมีเหตุผลในการกระทำของตน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ และมักมีความคิดที่ลำเอียงเพื่อเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ชีวิตมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยจึงยังคงเต็มไปด้วยความมืดมน ปัญหาเหล่านี้ทำให้มนุษย์ขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เพื่อเอาชนะข้อจำกัดของอายตนะภายในเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์จึงได้พัฒนาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เพื่อช่วยในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมข้อมูลสำหรับวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงโดยเหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ๆ
หากปราศจากเครื่องมือเหล่านี้ที่ช่วยในการรวบรวมข้อมูล นักวิทยาศาสตร์ ก็คงไม่ต่างจากนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาในสมัยพุทธกาล พวกเขามักจะแสดงทัศนะหรือความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์และเรื่องอื่น ๆ ของตนเองโดยใช้เหตุผลอธิบายและคาดคะความจริงในลักษณะนั้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมนุษย์ทุกคนมีเหตุผลในการกระทำโดยเจตนา และมักแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ โดยใช้เหตุผลในการอธิบายความจริง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้อย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลอย่างผิด ๆ เพื่ออธิบายความจริง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น เมื่อเหตุผลของนักวิทยาศาสตร์อธิบายคำตอบยังคลุมเครือและไม่ชัดเจน
เมื่อวิญญูชนเช่นพระพุทธเจ้าทรงได้ยินความคิดเห็นดังกล่าว วิญญูชนย่อมสงสัยว่าความคิดเห็นของใครถูก และเหตุผลของใครผิด เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงกระบวนสากลที่เรียกว่า "วิธีพิจารณาความจริง" เพื่อเป็นเกณฑ์ในการตัดสินความจริงของชีวิตมนุษย์ เป็นกระบวนการแสวงหาความจริงที่เปิดกว้างให้กับผู้คนทั่วโลกและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ
กระบวนการนี้เริ่มต้นจากต้นกำเนิดของความรู้ของมนุษย์ เริ่มจากความสงสัยในสิ่งที่ยินมา หัวข้อวิจัยหรือประเด็นที่สงสัยหรือได้ยินมานั้น องค์ประกอบของความรู้ของมนุษย์ วิธีพิจารณาความจริง และความสมเหตุสมผลของความรู้ ดังนั้น กระบวนการนี้จึงเป็นกระบวนการแสวงหาความจริงสากล ที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้อย่างเท่าเทียมกัน กระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธศาสนานั้น มีมาตั้งสมัยพุทธกาลแล้ว เราสามารถสรุปขั้นตอนของกระบวนการแสวงหาความจริงของพระพุทธเจ้าได้ ดังนี้
๒.๑.เริ่มต้นด้วยความสงสัย
ในยุคก่อนพุทธกาล เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเรื่องราว "พระพรหมลงโทษมนุษย์" พระองค์ทรงไม่เชื่อทันที เพราะพระองค์ทรงไม่เคยสื่อสารกับเทพเจ้า ผ่านพิธีกรรมบูชายัญเช่นเดียวกับวรรณะพราหมณ์ ในตอนแรกพระองค์ทรงสงสัยพราหมณ์ซึ่งเป็นนักตรรกวิทยา และนักปรัชญา โดยมักแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของ “พระพรหมลงโทษมนุษย์” โดยใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือที่นักปรัชญา ใช้เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนี้ว่าพระพรหมสร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์เอง และสร้างวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อนักปรัชญาเป็นมนุษย์ มีข้อจำกัดในการรับรู้และมีอคติต่อผู้อื่น ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความมืดมน จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริง ที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ บางครั้งนักตรรกศาสตร์ นักปรัชญาอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างถูกบ้าง บางครั้งนักตรรกะ นักปรัชญาอาจใช้เหตุผลไม่ถูกต้องบ้าง บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้บ้าง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลในลักษณะนั้น เมื่อพราหมณ์ดังกล่าวใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้อย่างคลุมเครือ และไม่ชัดเจนแล้ว เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินความคิดเห็นดังกล่าวยังไม่ชัดเจน ย่อมไม่เชื่อในความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า มีกระบวนการพิจารณาความจริงขึ้นเพื่อแสวงหาความจริงที่ถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจแก้ปัญหาหรือ การทำความเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆได้อย่างเหมาะสม เช่น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสำเร็จการศึกษาด้านศิลปศาสตร์ที่สำนักวิศวามิตรนั้นแต่ความรู้ด้านศิลปศาสตร์ของพระองค์ยังไม่เพียงพอ ที่จะใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้า ที่จะใช้แก้ปัญหาความทุกข์ของประชาชนในอาณาจักรสักกะได้ ที่เกิดจากความเชื่อเรื่องราวของชีวิตเกี่ยวกับความจริงของชีวิตที่มีอยู่ในยุคสมัยของตน เช่น ความจริงที่มนุษย์เกิดมาเพราะพระพรหมเป็นผู้สร้างเมื่อตายแล้วสูญ โลก และการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น
๒.๒.การวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริง
เมื่อมนุษย์มีข้อจำกัดของอายตนะภายในร่างกายในการรับรู้และอคติของผู้อื่น ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความมืดมน มนุษย์จึงขาดความสามารถในการคิดโดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่สมมติขึ้น หรือความจริงขั้นปรมัตถ์ได้อย่างสมเหตุสมผล เพื่อแก้ปัญหาความน่าเชื่อถือของประจักษ์พยานที่รับรู้ความจริงของเรื่องต่าง ๆ พระพุทธเจ้าจึงทรงสร้างกระบวนการพิจารณาความจริงขึ้นมา เพื่อเป็นหลักสากลที่มนุษย์ทุกคนสามารถใช้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์ได้อย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ เช่นกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล ที่แบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ คือวรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น
ส่วนจัณฑาลเป็นคนไร้วรรณะ เพราะุกระทำความผิดต่อคำสอนของศาสนาและกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งแยกวรรณะ เป็นต้น พระพุทธเจ้าทรงสร้างกระบวนการพิจารณาความจริง เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเรื่อง"พระพรหมลงโทษผู้คน" ในอาณาจักรสักกะ ต้องถูกขับออกจากสังคมไปตลอดชีวิต เสียสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมาไปตลอดชีวิต ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนแม้จะอยู่ในวัยชรา เจ็บป่วยและนอนตายอยู่บนถนน เป็นต้น พระองค์ทรงไม่เชื่อข้อเท็จจริงเรื่อง "พระพรหม"ลงโทษประชาชนในอาณาจักรสักกะทันที พระองค์ทรงสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ในกระบวนการพิจารณาความจริงพยานหลักฐานมีหลายประเภท คือ
๒.๒.๑ พยานบุคคล(witness)ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า บุคคลซึ่งรู้ข้อเท็จจริงอันเดี่ยวกับคดี ไม่จะรู้โดยวิธีใดซึ่งอาจเป็นประจักษ์หรือพยานบอกเล่า เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราสงสัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า ต้องการพยานบุคคลซึ่งรู้ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ หรือรับรู้บริบทสังคมในสมัยอินเดียโบราณผ่านอายตนะภายในของตนเอง และเก็บเรื่องราวที่เกิดขึ้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจของตน ตัวอย่างเช่นพระอานนท์ พระสารีบุตรเป็นประจักษ์พยานยืนยันการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน
๒.๒.๒ พยานเอกสาร (Documentary Evidence) ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า พยานเอกสาร คือเอกสารที่อ้างเป็นพยานหลักฐาน เช่น พระไตรปิฎก คัมภีร์ศาสนา อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกาหรือเอกสารอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ เช่น แผนที่โลกสมัยโบราณ เป็นต้น
๒.๒.๓ พยานวัตถุ (Material Evidence)ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า "พยานวัตถคือวัตถุที่อ้างเป็นพยานหลักฐาน ยกตัวอย่างเช่น เสาหินอโศกที่สวนลุมพินี สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และบันทึกเรื่องราวการเสด็จพระราชดำเนินทรงมาค้นหาสวนลุมพินี ซึ่งสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าของพระเจ้าอโศกมหาราช ดังนั้นเสาอโศกจึงถือเป็นพยานวัตถุ และเป็นพยานหลักฐานน่าเชื่อถือ ซึ่งพิสูจน์การมีอยู่ของพระพุทธเจ้าได้ เป็นต้น วัดมหาโพธิ ตำบลพุทธคยา อำเภอคยา รัฐพิหาร เป็นพยานวัตถุยืนยันสถานที่การตรัสรู้
๒.๒.๔ พยานเอกสารแบบออนไลน์ (Digital Documents) ในสมัยพุทธกาล ไม่มีเพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่เกิดขึ้น
๒.๓.การวิเคราะห์พยานหลักฐาน
เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะทรงใช้หลักฐานนั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล ยกตัวอย่างเช่นสวนลุมพินี ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้านั้น หลังจากสมัยพุทธกาล พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเดินทางมาแสวงบุญและค้นหาสถานที่ประสูติ และทรงสร้างวิหารมายาเทวีเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแด่พระพุทธเจ้า ยุคต่อมา วิหารแห่งนี้กลายเป็นร้าง เพราะไม่มีภิกษุจำพรรษาและดูแลสถานที่ประสูติอีกต่อไป เหล่านักบวชฮินดูจึงเข้ามาครอบครองวิหารแห่งนี้ และใช้เป็นที่ประกอบพิธีบูชาน้ำและบูชาไฟ อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางโบราณคดีนั้น บ่งชี้ว่าเคยเป็นวัดในพุทธศาสนามาก่อน คือเสาอโศกและจารึกบนเสาอโศกนั้น บ่งบอกว่าเป็นสถานที่ประสูติของเจ้าสิทธัตถะมาก่อน ในปีพ.ศ. ๒๕๓๘ กองโบราณคดีของประเทศเนปาลได้ยึดวัดมายาเทวีปจากนักบวชฮินดู มาเป็นของรัฐบาล เมื่อทำการขุดโบราณสถานแห่งนี้พบรอยเท้าสลักหินของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อวิเคราะห์พยานเอกสารและพยานวัตถุแล้ว โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล ผู้เขียนจึงเชื่อว่ารอยเท้าสลักหินนั้นได้สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชอาณาจักรโมริยะ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า เป็นต้น
๒.๔. การประเมินความน่าเชื่อถือ : ของแหล่งข้อมูลและพยานหลักฐานที่ใช้อ้างอิง เพื่อยืนความจริงเรื่องอาณาจักรสักกะ อาณาจักรโกลิยะ หรือเรื่องอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีที่มีการแปลเป็นพระไตรปิฎกภาษาไทยหลายฉบับเช่น พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและพระไตรปิฎกฉบับหลวง เป็นต้น ถือว่าพระไตรปิฎกนั้นเป็นคัมภีร์พระพุทธศาสนา เป็นพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพราะมีประวัติความเป็นมาของการสังคายนาพระไตรปิฎกเหล่านี้อย่างชัดเจน
พยานวัตถุ เช่นเสาอโศกที่วัดมายาเทวี เป็นเสาหินทีมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างชัดเจน เพราะมีการแกะสลักด้วยอักษรพราหมีไว้อย่างชัดเจนซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กล่าวถึงพระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จมาค้นหาสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า เป็นต้น
๒.๕.สรุปเหตุผล
สรุปผลการพิจารณาความจริงโดยอ้างอิงหลักฐานและเหตุผล
๒.๖.การนำไป
นำผลลัพท์จากการพิจารณาความจริงไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจและแก้ปัญหา

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น