The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

วิธีพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า

The Buddha’s Process of Considering the Truth

              โดยทั่วไปแล้วความรู้ของมนุษย์ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์     และนักปรัชญามักจะแสวงหาความรู้ใน ๒ ระดับคือ     ความรู้ที่เป็นความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์           ความรู้เหล่านี้เป็นของนักตรรกศาสตร์         นักปรัชญา พระพุทธเจ้า              นักปรัชญาตะวันตก   และนักวิทยาศาสตร์      โดยพวกเขาใช้เหตุผล    ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา    เพื่ออธิบายความจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ       ที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์อย่างสมเหตุสมผล  อย่างไรก็ตามความรู้ทางปรัชญา  พระพุทธศาสนา      ปรัชญาตะวันตกและวิทยาศาสตร์ มักจะสูญหายไป เมื่อเจ้าของความรู้ในวิชานั้นตายไป เพื่อรักษาความรู้ในพระพุทธศาสนาไว้    พระอรหันต์ใสมัยพุทธกาล จึงสร้างนวัตกรรมใหม่ขึ้น   ด้วยการถ่ายทอดความรู้ในพระพุทธศาสนาไว้ให้ลูกศิษย์ท่องจำเรียกว่า ‘มุขปาฐะ”    หรือประดิษฐ์อักษรขึ้นมา    เพื่อบันทึกความรู้ไว้     เป็นหลักฐานให้อนุชนรุ่นหลักศึกษาหาความรู้ต่อไป  สืบสานความรู้เหล่านี้ไว้ เช่น         จัดการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘  ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า       ต่อเนื่องกันตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน   และต่อยอดความรู้เป็นสาขาวิชาใหม่      เช่น    สาขาพุทธจิต วิปัสสนากรรมฐาน  เป็นต้น 

                  เมื่อเราได้ยินความคิดเห็นของนักวิชาการเกี่ยวกับ     มนุษย์ โลก  จักรวาล    และข้อพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น  นักวิชาการเหล่านี้แสดงความคิดเห็นเรื่องเหล่านี้ตามโดยอาศัยเหตุผล     และคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนั้น          มนุษย์ทั่วไปเช่นเราไม่สามารถรู้ได้ว่า ใครแสดงความคิดเห็นถูกต้อง    หรือบางคนก็แสดงความคิดในลักษณะนี้ หรือบางคนก็แสดงความคิดเห็นในลักษณะนั้น   เมื่อนักวิชาการแสดงความคิดเห็นในเรื่องเดียวกันอย่างคลุมเครือ            และไม่ชัดเจนเช่นนี้ วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ  หรือพระพุทธเจ้าทรงได้ยินความคิดเห็นของนักวิชาการ       นักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์ หรือศาสดา ที่แสดงความคิดเห็นคลุมเครือและไม่ชัดเจน  ว่าเรื่องนั้นมีความเป็นมาอย่างไร พระองค์ย่อมไม่เชื่อว่าเป็นจริง  

              เมื่อเราได้ยินความเห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เรามักจะสันนิษฐานว่า  ความเห็นเหล่านี้นเชื่อถือได้  เพราะ   ได้รับการถ่ายทอดมาจากบุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ไว้วางใจจากสังคม      ครูบาอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงพร้อมคำอธิบายความจริงที่น่าเชื่อถือ        ตำราเรียนมหาวิทยาลัยหรือคัมภีร์ทางศาสนา       อย่างไรก็ตาม  ความคิดเห็นเหล่านี้    มักถูกถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการ          โดยโต้แย้งว่าความเห็นคิดเห็นของนักวิชาการนั้น          ตั้งบนพื้นฐานหลักเหตุผลของตนเองและคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมาเท่านั้น     โดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงเรื่องนั้น      การใช้เหตุผลของนักวิชาการเหล่านั้นเพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนั้น    ซึ่งอาจจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ได้    ทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์ทุกคนมีความสามารถในการรับรู้เหตุการณ์ได้จำกัดและมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ซึ่งทำให้ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน       ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าความจริงที่สมมติขึ้น         และความจริงขั้นปรมัตถ์        จึงไม่สามารถในการใช้เหตุผลและอธิบายความจริงอย่างมีเหตุผลได้  เป็นต้น

               ในสมัยศาสนาพราหมณ์    ประชาชนทุกวรรณะในอนุทวีปอินเดียต่างศึกษาศิลปศาสตร์ (Liberal  arts)  จากพราหมณ์ในสำนักต่าง ๆ ซึ่งที่เป็นนักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญา   ซึ่งประกาศตั้งตนเป็นศาสดาและครูบาอาจารย์ทำหน้าที่สอนคนทุกวรรณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวรรณะกษัตริย์     ผู้มีหน้าที่ปกครองประเทศตามวรรณะที่พระองค์ประสูติมา    พวกเขาแสวงความจริงของชีวิตทั้งที่เป็นความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ ทั้งนี้เนื่องจากชนวรรณะกษัตริย์  เป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในจำกัดในการรับรู้ความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์และมีอคติต่อผู้อื่น ชีวิตมนุษย์เช่นพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน    เนื่องจากขาดปัญญาเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต  พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ  ได้อย่างสมเหตุสมผล และจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ในหลักสูตรศิลปศาสตร์ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการปกครองประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนของพระองค์       

              หากชนวรรณะกษัตริย์ไม่ศึกษา ค้นคว้าและแสวงหาความรู้แล้ว เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นความจริงเรื่องใด  ๆ  โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงเรื่องนั้น บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างถูกต้อง    บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างผิด ๆ   บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้หรือลักษณะนั้น เมื่อเหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบคลุมเครือและคำตอบเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อวิญญูชนได้ยินความคิดเห็นในเรื่องนั้น พวกเขาก็ไม่เชื่อเหตุผลที่อธิบายความจริงและไม่ยอมรับว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น 

        ยกตัวอย่างเช่น  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเรื่อง "พระพรหมลงโทษคน" ในอาณาจักรสักกะ    พระองค์ทรงไม่เชื่อทันทีโดยไม่ไตร่ตรอง แต่พระองค์ทรงเน้นกระบวนการพิจารณาอย่างรอบคอบโดยเริ่มต้นจากความสงสัยในสิ่งที่ได้ยินมานั้น จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพรหมนั้น เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว   ก็ใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ของเรื่องนั้น  เพื่อพิสูจน์ความจริงโดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงของเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล    เป็นต้น    

๒.กระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า    
          

            ในปัจจุบัน แม้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปมาก และสามารถสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษยชาติทั่วโลกได้มากกว่าปรัชญาและพระพุทธศาสนาและสาขาอื่น ๆ     อย่างไรก็ตาม    นักวิทยาศาสตร์ ก็เป็นมนุษย์ที่เกิดมาด้วยความไม่รู้  เช่นเดียวกับมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย พวกเขามักมีเหตุผลในการกระทำของตนเอง    อย่างไรก็ตาม       เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอายตนะภายในที่มีข้อจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ     และมักมีความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ชีวิตมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยจึงยังคงเต็มไปด้วยความมืดมน ปัญหาเหล่านี้ ทำให้มนุษย์ขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์  เพื่อเอาชนะข้อจำกัดเหล่านี้นักวิทยาศาสตร์จึงได้สร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เพื่อช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมข้อมูล   เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงโดยเหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ๆ   
   
      หากไม่มีเครื่องมือเหล่านี้ช่วยเหลือในการหาข้อมูลแล้ว นักวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ต่างจากนักตรรกะศาสตร์และนักปรัชญาในสมัยพุทธกาล  มักจะแสดงทัศนะหรือความคิดเห็นในเรื่องมนุษย์และเรื่องอื่น ๆ ของตนเองตามหลักเหตุผล      และคาดคะความจริงเป็นอย่างนั้น  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมนุษย์ทุกคนมีเหตุผลในการกระทำโดยเจตนา และมักแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ โดยใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงในเรื่องเหล่านี้ บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้อย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้อย่างผิด   ๆ   างครั้งพวกเขาใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนี้บ้างหรือในลักษณะนั้บ้าง เมื่อเหตุผลของคำตอบของนักวิทยาศาสตร์ยังคลุมเครือและไม่ชัดเจน เมื่อวิญญูชนเช่นพระพุทธเจ้าทรงได้ยินเหตุผลของผู้อื่นในการกระทำดังกล่าว วิญญูชนย่อมสงสัยว่าความคิดเห็นของใครถูกต้องและเหตุผลของใครผิด เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้พระพุทธเจ้าทรงสร้างกระบวนสากลขึ้น เรียกว่า "วิธีพิจารณาความจริง" ไว้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินความจริงของชีวิตมนุษย์ กระบวนการพิจารณาโดยยึดหลักความจริงนี้ เปิดหว้างสำหรับผู้คนทั่วโลกและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเท่าเทียมกัน 

            กระบวนพิจารณาจะตัดสินตั้งแต่ต้นกำเนิดของความรู้เริ่มต้นจากความสงสัยในสิ่งที่ยินมา   องค์ประกอบของความรู้ของมนุษย์   วิธีพิจารณาความจริง         และความสมเหตุสมผลของความรู้ เป็นต้น ดังนั้น กระบวนการนี้ จึงเป็นกระบวนการแสวงหาความจริงสากลและทุกคนสามารถปฏิบัติได้อย่างเท่าเทียมกัน  กระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธศาสนามีมาตั้งสมัยพุทธกาลแล้ว เราสามารถสรุปขั้นตอนของกระบวนการแสวงหาความจริงของพระพุทธเจ้าได้ ดังนี้       

๒.๑.เริ่มต้นจากความสงสัย    

           ในยุคก่อนพุทธกาล   เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเรื่อง "พระพรหมลงโทษมนุษย์" มาตั้งแต่ยุคก่อนพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน จากพวกพราหมณ์ซึ่งเป็นนักตรรกะและนักปรัชญา   พวกเขามักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของเรื่อง “พระพรหมลงโทษมนุษย์” โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงเรื่องนี้ว่า     พระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากพระวรกายของพระองค์ และสร้างวรรณะให้ประชาชนปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา เป็นต้น    บางครั้งนักตรรกศาสตร์ นักปรัชญาอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างถูกบ้าง  บางครั้งนักตรรกะ  นักปรัชญาอาจใช้เหตุผลไม่ถูกต้องบ้าง  บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้บ้าง   บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลในลักษณะนั้น เมื่อวิญญูชนได้ยินความคิดเห็นของเรื่องเหล่านั้นยังไม่ชัดเจน ย่อมไม่เชื่อในความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น    

                 ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า     มีกระบวนการพิจารณาความจริงขึ้นเพื่อแสวงหาความจริงที่ถูกต้องและแม่นยำ  ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจแก้ปัญหาหรือ การทำความเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง    ๆได้อย่างเหมาะสม   เช่น  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสำเร็จการศึกษาด้านศิลปศาสตร์ที่สำนักวิศวามิตรนั้น แต่ความรู้ด้านศิลปศาสตร์ของพระองค์ยังไม่เพียงพอ ที่จะใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้า ที่จะใช้แก้ปัญหาความทุกข์ของประชาชนในอาณาจักรสักกะได้ ที่เกิดจากความเชื่อเรื่องราวของชีวิตเกี่ยวกับความจริงของชีวิตที่มีอยู่ในยุคสมัยของตน เช่น ความจริงที่มนุษย์เกิดมาเพราะพระพรหมเป็นผู้สร้างเมื่อตายแล้วสูญ โลก และการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า  เป็นต้น 

๒.๒.การวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริง       

                  เมื่อมนุษย์มีข้อจำกัดของอายตนะภายในร่างกายในการรับรู้และอคติของผู้อื่น   ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความมืดมน  มนุษย์จึงขาดความสามารถในการคิดโดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่สมมติขึ้น หรือความจริงขั้นปรมัตถ์ได้อย่างสมเหตุสมผล   เพื่อแก้ปัญหาความน่าเชื่อถือของประจักษ์พยานที่รับรู้ความจริงของเรื่องต่าง ๆ          พระพุทธเจ้าจึงทรงสร้างกระบวนการพิจารณาความจริงขึ้นมา      เพื่อเป็นหลักสากลที่มนุษย์ทุกคนสามารถใช้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริงที่สมมติขึ้น     และความจริงขั้นปรมัตถ์ได้อย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ         เช่นกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะ      ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล ที่แบ่งประชาชนออกเป็น   ๔ วรรณะ คือวรรณะพราหมณ์  วรรณะกษัตริย์    วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร   เป็นต้น  

               ส่วนจัณฑาลเป็นคนไร้วรรณะ เพราะุกระทำความผิดต่อคำสอนของศาสนาและกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งแยกวรรณะ เป็นต้น  พระพุทธเจ้าทรงสร้างกระบวนการพิจารณาความจริง เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเรื่อง"พระพรหมลงโทษผู้คน"   ในอาณาจักรสักกะ ต้องถูกขับออกจากสังคมไปตลอดชีวิต เสียสิทธิ  เสรีภาพ และหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมาไปตลอดชีวิต    ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนแม้จะอยู่ในวัยชรา  เจ็บป่วยและนอนตายอยู่บนถนน  เป็นต้น    พระองค์ทรงไม่เชื่อข้อเท็จจริงเรื่อง "พระพรหม"ลงโทษประชาชนในอาณาจักรสักกะทันที พระองค์ทรงสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ในกระบวนการพิจารณาความจริงพยานหลักฐานมีหลายประเภท  คือ

         ๒.๒.๑  พยานบุคคล(witness)ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔   ให้ความหมายว่า บุคคลซึ่งรู้ข้อเท็จจริงอันเดี่ยวกับคดี ไม่จะรู้โดยวิธีใดซึ่งอาจเป็นประจักษ์หรือพยานบอกเล่า เป็นต้น   ยกตัวอย่างเช่น  เมื่อเราสงสัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า ต้องการพยานบุคคลซึ่งรู้ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ หรือรับรู้บริบทสังคมในสมัยอินเดียโบราณผ่านอายตนะภายในของตนเอง และเก็บเรื่องราวที่เกิดขึ้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจของตน     ตัวอย่างเช่นพระอานนท์    พระสารีบุตรเป็นประจักษ์พยานยืนยันการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า  ตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน 

                   ๒.๒.๒ พยานเอกสาร  (Documentary Evidenceตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า พยานเอกสาร คือเอกสารที่อ้างเป็นพยานหลักฐาน  เช่น พระไตรปิฎก  คัมภีร์ศาสนา   อรรถกถา    ฎีกา    อนุฎีกาหรือเอกสารอื่น   ๆ    ที่มีความสำคัญ  เช่น  แผนที่โลกสมัยโบราณ  เป็นต้น 
  
                   ๒.๒.๓  พยานวัตถุ  (Material Evidence)ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมายว่า "พยานวัตถคือวัตถุที่อ้างเป็นพยานหลักฐาน  ยกตัวอย่างเช่น เสาหินอโศกที่สวนลุมพินี สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และบันทึกเรื่องราวการเสด็จพระราชดำเนินทรงมาค้นหาสวนลุมพินี ซึ่งสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าของพระเจ้าอโศกมหาราช ดังนั้น เสาอโศกจึงถือเป็นพยานวัตถุและเป็นพยานหลักฐานน่าเชื่อถือ ซึ่งพิสูจน์การมีอยู่ของพระพุทธเจ้าได้ เป็นต้น วัดมหาโพธิ ตำบลพุทธคยา   อำเภอคยา รัฐพิหาร   เป็นพยานวัตถุยืนยันสถานที่การตรัสรู้

                  ๒.๒.๔  พยานเอกสารแบบออนไลน์ (Digital   Documents)    ในสมัยพุทธกาล ไม่มีเพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่เกิดขึ้น

๒.๓.การวิเคราะห์พยานหลักฐาน

               เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว  เจ้าชายสิทธัตถะทรงใช้หลักฐานนั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงเรื่องนั้น     โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล    ยกตัวอย่างเช่นสวนลุมพินี  ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้านั้น หลังจากสมัยพุทธกาล พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเดินทางมาแสวงบุญและค้นหาสถานที่ประสูติ และทรงสร้างวิหารมายาเทวีเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแด่พระพุทธเจ้า   ยุคต่อมา  วิหารแห่งนี้กลายเป็นร้าง เพราะไม่มีภิกษุจำพรรษาและดูแลสถานที่ประสูติอีกต่อไป  เหล่านักบวชฮินดูจึงเข้ามาครอบครองวิหารแห่งนี้ และใช้เป็นที่ประกอบพิธีบูชาน้ำและบูชาไฟ   อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางโบราณคดีนั้น บ่งชี้ว่าเคยเป็นวัดในพุทธศาสนามาก่อน คือเสาอโศกและจารึกบนเสาอโศกนั้น บ่งบอกว่าเป็นสถานที่ประสูติของเจ้าสิทธัตถะมาก่อน   ในปีพ.ศ. ๒๕๓๘  กองโบราณคดีของประเทศเนปาลได้ยึดวัดมายาเทวีปจากนักบวชฮินดู มาเป็นของรัฐบาล   เมื่อทำการขุดโบราณสถานแห่งนี้พบรอยเท้าสลักหินของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อวิเคราะห์พยานเอกสารและพยานวัตถุแล้ว โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล ผู้เขียนจึงเชื่อว่ารอยเท้าสลักหินนั้นได้สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชอาณาจักรโมริยะ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า เป็นต้น        

๒.๔. การประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลและพยานหลักฐานที่ใช้อ้างอิง เพื่อยืนความจริงเรื่องอาณาจักรสักกะ อาณาจักรโกลิยะ หรือเรื่องอื่น ๆ   ยกตัวอย่างเช่น 

          พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีที่มีการแปลเป็นพระไตรปิฎกภาษาไทยหลายฉบับเช่น พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและพระไตรปิฎกฉบับหลวง เป็นต้น  ถือว่าพระไตรปิฎกนั้นเป็นคัมภีร์พระพุทธศาสนา เป็นพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพราะมีประวัติความเป็นมาของการสังคายนาพระไตรปิฎกเหล่านี้อย่างชัดเจน  

       พยานวัตถุ เช่นเสาอโศกที่วัดมายาเทวี เป็นเสาหินทีมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างชัดเจน เพราะมีการแกะสลักด้วยอักษรพราหมีไว้อย่างชัดเจนซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช    กล่าวถึงพระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จมาค้นหาสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า  เป็นต้น  

๒.๕.สรุปเหตุผล  สรุปผลการพิจารณาความจริงโดยอ้างอิงหลักฐานและเหตุผล  

๒.๖.การนำไป นำผลลัพท์จากการพิจารณาความจริงไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจและแก้ปัญหา    
                              








ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ