Introduction to The Study of Liberal Arts by Prince Siddhartha in The Tripitika
คำสำคัญ การศึกษา เจ้าชายสิทธัตถะ
๑.บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
บทความนี้จะวิเคราะห์ความเป็นมาและความสำคัญของการศึกษาศิลปศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนที่พระองค์จะทรงละทิ้งชีวิตอันสุขสบายในพระราชวังกบิลพัสดุ์ เพื่อผนวช (Ordain) เป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ทรงได้รับการศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขา ครอบคลุมทั้งความรู้ในระดับประสาทสัมผัสที่เรียกว่า "ความจริงที่สมมติขึ้น" และ"ความจริงขั้นปรมัตถ์"ซึ่งเป็นความรู้ที่เหนือการรับรู้ของมนุษย์ ในหลักสูตรศิลปศาสตร์ พระองค์ศึกษาคำสอนของศาสนาพราหมณ์เท่านั้น แต่ทรงถูกห้ามไม่ให้ประกอบพิธีบูชายัญเพื่อสื่อสารกับเทพเจ้า ซึ่งถือเป็นการละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะ เป็นต้น ดังนั้นความรู้ด้านศิลปศาสตร์จึงเป็นรากฐานสำคัญยิ่งในการบ่มเพาะพระปรีชาญาณของพระองค์ การศึกษาศิลปศาสตร์ที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาและการพัฒนาพระองค์เองของเจ้าชายสิทธัตถะ ในฐานะสมาชิกชั้นสูงของราชวงศ์ศากยะ และพระมหากษัตริย์องค์ต่อไปของอาณาจักรสักกะ
การศึกษาศิลปศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะ มิใช่เพียงการแสวงหาความรู้ทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีการฝึกฝนจิตใจ การพัฒนาสติปัญญา และเตรียมพร้อมสำหรับการแสวงหาการหลุดพ้นจากความทุกข์ การศึกษานี้ช่วยฝึกฝนการคิดวิเคราะห์ของพระองค์ เสริมสร้างความสามารถในการคิดวิเคราะห์ โดยอนุมาณความรู้หรือคาดคะเนตามหลักเหตุผล การสังเคราะห์หรือสร้างองค์ความรู้ขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ และประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ นี่เป็นรากฐานสำคัญสำหรับการตรัสรู้ของพระองค์ ทำให้พระองค์สามารถเข้าใจกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ พระองค์ทรงใช้เวลาหลายปีในการค้นพบแนวทางปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ เมื่อพระองค์ทรงนำไปปฏิบัติ พระองค์ก็ทรงบรรลุความจริงสูงสุดได้
โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนในโลกนี้มีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต และมักจะแสดงคิดเห็นเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยมืดมน พวกเขาไม่สามารถใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบอย่างสมเหตุสมผล เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ตามหลักเหตุผล หรือคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนั้น การใช้เหตุผลของมนุษย์ในการอธิบายความจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงอย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างไม่ถูกต้อง บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้ บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น เมื่อการใช้เหตุผลของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของคำตอบในลักษณะคลุมเครือและยังไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่เชื่อถือความคิดเห็นในเรื่องนั้นว่าเป็นความจริงและไม่ถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง
๒.ความเป็นมาของการศึกษาวิชาศิลปศาสตร์
เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา โดยอาศัยหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เราจะได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องนี้ในเบื้องต้นที่ว่า เดิมทีพระพุทธเจ้าทรงมีพระนามว่า"เจ้าชายสิทธัตถะ" พระองค์ประสูติในราชวงศ์ศากยะ เป็นพระราชโอรสองค์โตของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางมายาเทวี พระองค์ประสูติในวรรณะกษัตริย์(Royal caste) และมีหน้าที่ปกครองอาณาจักรสักกะตามกฎหมายวรรณะและจารีตประเพณี อย่างไรก็ตาม ราชวงศ์ศากยะประกอบด้วย ผู้ที่มีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต มนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ ความกลัว ความเกลียดชัง และความรัก เป็นต้น ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมน เมื่อได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและหลักฐานการมีอยู่ของเทพเจ้า ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน มนุษย์มักจะขาดปัญญาเข้าใจความจริงของเรื่องเหล่านี้เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา มักจะแสดงความคิดเห็นของคำตอบในเรื่องราวเหล่านี้ของตนเองตาม โดยอาศัยเหตุผล และคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงในเรื่องเหล่านี้
เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบคำทำนายของพราหมณ์เกี่ยวกับชะตากรรมของเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์ก็ทรงปรารถนาให้พระโอรสขึ้นครองราชย์ในฐานะกษัตริย์ ผู้ปกครองอาณาจักรสักกะมากกว่าที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้แสวงหาสัจธรรมของชีวิต เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระปรีชาสามารถ และศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์อย่างรวดเร็วไม่นานนักพระองค์ทรงสำเร็จการศึกษา พระเจ้าสุทโธทนะทรงดูแลพระโอรสของพระองค์เป็นอย่างดี โดยทรงสร้างที่ประทับส่วนพระองค์และคุ้มครองพระองค์จากอันตรายทั้งปวงนอกพระราชวังกบิลพัสดุ์โดยพระราชบิดาทรงหวังว่า เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงขึ้นครองราชย์ และใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองอาณาจักรสักกะจนเป็นมหาอำนาจของโลก พระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงส่งเจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาที่สถาบันวิศวามิตร ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับจากมหาราชาในหลายรัฐทั่วอนุทวีปอินเดีย เพื่อเตรียมความพร้อมให้พระองค์ขึ้นครองราชย์อย่างไรก็ตาม การศึกษาของเจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้จำกัดอยู่เพียงวิชาการทั่วไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฝึกฝนอย่างครอบคลุมในหลากหลายวิชาสาขาวิชา
๓.ความสำคัญของการศึกษาศิลปศาสตร์
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติในราชวงศ์ศากยะพระองค์ ทรงได้รับมอบหมายให้ปกครองอาณาจักรสักกะตามวรรณะที่พระองค์ประสูติ ชีวิตของพระองค์จึงเต็มไปด้วยความมิดมน เพราะพระองค์ทรงมีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้และมักมีอคติเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ชีวิตของพระองค์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน พระองค์จึงทรงขาดปัญญาเข้าใจความจริงของชีวิต ทั้งความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์จึงไม่สามารถใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงของชีวิตได้อย่างสมเหตุสมผล ดังนั้น เมื่อพระองค์ทรงแสดงความคิดเห็นในการแก้ปัญหาของประเทศแล้ว บางครั้งพระองค์อาจจะทรงใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้อย่างถูกต้อง บางครั้งพระองค์จะทรงใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้อย่างผิด ๆ บางครั้งพระองค์จะทรงใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนี้บ้าง บางครั้งพระองค์จะทรงใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนั้นบ้าง เมื่อวิญญูชนเช่นสมาชิกรัฐสภาแห่งราวงศ์ศากยะ ได้ยินความคิดเห็นเรื่องนั้น จะไม่เชื่อถือความคิดเห็นในเรื่องนั้น และไม่ยินยอมที่จะปฏิบัติตามหน้าที่ของตน
ดังนั้น การศึกษาศิลปศาสตร์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพระชนม์ชีพของเจ้าชายสิทธัตถะ ช่วยให้พระองค์ทรงพัฒนาพลังอำนาจของพระองค์เอง ตามคำสอนที่เรียกว่า"พละ๕" ประการของพระพุทธเจ้า การศึกษานี้จะช่วยให้พระองค์ทรงมีศรัทธาที่จะศึกษาศิลปศาสตร์เพื่อปกครองประเทศ ความรู้นี้จะช่วยให้พระองค์ทรงสามารถพิจารณาและประยุกต์ใช้ความรู้ด้านศิลปศาสตร์ เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ประชาชนในอาณาจักรสักกะกำลังเผชิญอยู่ได้ เมื่อพระองค์ทรงศึกษา ค้นคว้า และแสวงหาความรู้ ๑๘ สาขาวิชาอย่างขยันขันแข็ง เพื่อนำไปใช้ในการปกครองบ้านเมือง การศึกษาจะช่วยให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงพัฒนาสติคือ ความสามารถในการจดจำความรู้ในสาขาต่าง ๆ โดยใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ พระองค์ทรงมีสมาธิเพื่อความสงบและปัญญา สามารถความเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นในชีวิตอย่างรอบด้านทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์
การศึกษาวิชาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขา ช่วยให้พระองค์ทรงมีสมาธิ ความอดทนและการควบคุมตนเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นต่อการปฏิบัติธรรมและบรรลุธรรมสูงสุด นอกจากนี้ การศึกษาศิลปศาสตร์ยังทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงเข้าใจโลกและมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อพระองค์ทรงเข้าใจปัญหาของชาวสักกะเป็นอย่างดี พระองค์ก็ทรงคิดตัดสินพระทัยครั้งสำคัญที่ละทิ้งวรรณะกษัตริย์ แม้จะสูญเสียสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ในการปกครองประเทศ ตามวรรณะกษัตริย์ที่พระองค์ประสูติก็ตาม เพื่อแสวงหาหนทางสู่ความอันจริงสูงสุดของชีวิตซึ่งก็คือ เทพเจ้าตามคำสอนของพราหมณ์ เพื่อช่วยให้สรรพสัตว์ทั้งหลายพ้นจากความทุกข์
เมื่อเราศึกษาข้อเท็จจริงทางการเมืองในอาณาจักรสักกะและภูมิภาคอื่น ๆ ในอนุทวีปอินเดีย เราจะเห็นว่าอาณาจักรสักกะเป็นรัฐศาสนาของพราหมณ์ เนื่องจากชาวสักกะเชื่อในคำสอนของพราหมณ์เกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์ พวกเขาจึงเต็มใจปฏิบัติตามคำสอนของพราหมณ์ในชีวิตประจำวัน โดยการบูชายัญเพื่อขอพรจากพระพรหมและพระอิศวร เพื่อให้พวกเขาประสบความสำเร็จในชีวิต เมื่อประสบความสำเร็จในการบูชายัญแล้ว พวกเขาก็ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าอีกต่อไป ประโยชน์ของการบูชาจึงมีคุณค่ามหาศาล สร้างความมั่งคั่งให้กับพราหมณ์ทุกนิกาย
เมื่อพราหมณ์ชาวอารยันมีอำนาจทางการเมือง เมื่อพวกเขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของวรรณะกษัตริย์ พวกเขาได้เสนอต่อสมาชิกรัฐสภาของราชวงศ์ศากยะให้บัญญัตกฎหมายวรรณะ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาในการบูชายัญต่อเทพเจ้า และความมั่นคงทางการเมืองของพวกเขา เมื่อบัญญัติกฎหมายและประกาศบังคับใช้กฎหมายวรรณะ ได้แบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะคือวรรณะกษัตริย์ วรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น โดยอ้างว่า เมื่อพระพรหมสร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์แล้ว ดังนั้น พระพรหมจึงสร้างวรรณะต่าง ๆ ขึ้น เพื่อให้มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นนั้น สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา
เมื่อกฎหมายวรรณะมีผลบังคับใช้ กฎหมายได้กำหนดหน้าที่ที่ประชาชนต้องปฏิบัติตาม นั่นคือห้ามประชาชนแต่งงานข้ามวรรณะและห้ามประชาชนปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น หากผู้ใดฝ่าฝืนคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ เมื่อบุคคลนั้นประพฤติตนน่าสงสัย ประชาชนในสังคมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะ ที่จะสืบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ ก็สามารถวิเคราะห์หลักฐานโดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมา เพื่อพิสูจน์ความจริง โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงของความผิดของบุคคลนั้นต่อหน้าสาธารณชน เมื่อคนในสังคมพิพากษาว่าบุคคลนั้นกระทำผิดร้ายแรง โดยละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะพวกเขาจะตัดสินให้บุคคลนั้นได้รับการลงพรหมทัณฑ์ไปตลอดชีวิตไม่อาจกลับคืนสู่สถานะเดิมทางสังคมได้ เป็นต้น

แม้ว่าเราจะได้ยินมาว่าศิลปศาสตร์เป็นหลักสูตรที่เปิดสอนในสำนักพราหมณ์ต่าง ๆ มาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เมื่อพราหมณ์บางคนในโลกซึ่งเป็นนักตรรกะ นักปรัชญาได้พัฒนาความรู้ในวิชาเหล่านี้ จากความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ ซึ่งได้เปิดเป็นสถานบันการศึกษาให้พระราชโอรสของวรรณะกษัตริย์ทรงได้ศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นกษัตริย์ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาจากวิชาปรัชญาและศาสนาพราหมณ์ในหลักสูตรศิลปศาสตร์นั้น เนื่องจากในสมัยนั้น พราหมณ์บางคนในโลกเป็นนักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญา ใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้า แต่การให้เหตุผลเหล่านั้นของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา ผู้คนในอนุทวีปอินเดียนั้นไม่สามารถเข้าถึงความจริงขั้นปรมัตถ์คือการเข้าถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าได้ เพราะถูกจำกัดสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะ เจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่อาจรู้ได้ว่าแนวคิดของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา ผู้ใดใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงได้อย่างถูกต้องหรืออย่างไม่ถูกต้อง
พระองค์จึงทรงสร้างกระบวนการพิจารณาความจริงพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ กล่าวคือ เมื่อพระองค์ทรงได้ยินมาว่า พระพรหมลงโทษชาวอาณาจักรสักกะ ที่สมสู่กับคนต่างวรรณะและปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น พระองค์ทรงสร้างกระบวนการพิจารณาความจริงขึ้นมา พระองค์ทรงมิเชื่อเรื่องนี้ทันที่ พระองค์ทรงสงสัยไว้ก่อนว่าไม่เป็นความจริง จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ก็ทรงใช้หลักฐานเป็นข้อมูลสำรับการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงเรื่องพระพรหมลงโทษประชาชนชาวสักกะ
เมื่อในสมัยอินเดียโบราณ มีนักตรรกะศาสตร์และนักปรัชญาเกิดขึ้นมากมาย เปิดสำนักของตนเองทำพิธีบูชายัญและใช้เหตุผลอธิบายความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้าเพื่อครอบงำชีวิตผู้คน เพื่อรักษาผลประโยชน์จากการบูชา มนุษย์บางคนในโลกพัฒนาความรู้วิชาศิลปศาสตร์ให้เจริญก้าวไปมาก นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เพื่อช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานได้เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็จะใช้หลักฐานนั้น เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากหลักฐานนั้น โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักตรรกะและปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์ โลก จักรวาล และพิสูจน์ความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้าตามหลักวิทยาศาสตร์ เมื่อเนื้อหาความรู้เพิ่มมากขึ้นนักวิทยาศาสตร์จึงแยกเนื้อหาวิทยาศาสตร์ออกจากปรัชญาตะวันตกเพื่อสร้างสาขาวิชาของตนเองที่เรียกว่า"วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์"
แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะแยกเนื้อหาวิทยาศาสตร์ออกจากปรัชญาตะวันตก แต่พวกเขาก็ยังคงนำแนวคิดทางปรัชญามาใช้กับวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ นักวิทยาศาสตร์ได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เมื่อนักวิทยาศาสตร์จะรับรู้ และจะเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้มีแค่รับรู้และรวบรวมหลักฐานเท่านั้น พวกเขายังเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อรับรู้บางสิ่งบางอย่าง พวกเขาจะคิดจากสิ่งนั้น โดยใช้เหตุผลและอธิบายความจริงของสิ่งต่าง ๆ การใช้เหตุผลของนักวิทยาศาสตร์ บางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้อย่างถูกต้องบ้าง บางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ผิดบ้าง ส่งผลให้วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์มีเนื้อหาเพิ่มมากขึ้น และเนื้อหาเหล่านี้ถูกแยกออกเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์อีกหลายสาขาวิชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต วิศวกรคอมพิวเตอร์สามารถสร้างแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต เป็นเครือข่ายสำหรับแบ่งปันความรู้และช่วยให้ผู้คนทั่วโลกเข้าถึงหัวข้อหลายร้อยล้านหัวข้อทุกวัน การวิจัยบนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตทั่วโลก สร้างความรู้ที่ฝังรากลึกในจิตใจของผู้คนและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ในด้านการทำงาน หัวหน้าหน่วยงานในภาครัฐและเอกชน สามารถติดตามการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของประชาชน เมื่อเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการงานของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ ความรู้เฉพาะทางในหลักสูตรมหาวิทยาลัยนั้น ไม่เพียงพอต่อการทำงานผ่านอินเตอร์เน็ต หรือการทำงานโดยไม่มีเอกสาร การจัดเก็บเอกสารในรูปแบบดิจิทัลช่วยลดภาระงานของแต่ละคน การศึกษาผ่านเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต สามารถนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจหรือระบบที่สร้างขึ้นโดยวิศวกรคอมพิวเตอร์ การสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เป็นเครือข่ายทั่วโลก ทำให้ผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนภูเขาสูง กลางมหาสมุทร หรือหมู่บ้านห่างไกลสามารถเรียนรู้และแบ่งปันข้อมูลบนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตได้
ดังนั้น เมื่อมหาวิทยาลัยทั่วโลกจัดการเรียนการสอนเชิงวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อแสวงหาความจริงของคำตอบในศาสตร์ต่าง ๆ มีทฤษฎีทางวิชาการเกิดขึ้นมากมายหลายสาขาวิชาและมีการสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ช่วยในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่าง ๆ เมื่อพยานหลักฐานเพียงพอนักวิชาการก็จะใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริง โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงในเรื่องเหล่านี้ ขั้นตอนเหล่านี้ เรียกว่ากระบวนการพิจารณาความจริงในสาขาวิชาต่าง ๆ
ถึงเวลาแล้ว การสอนปรัชญาและพระพุทธศาสนาในระบบการศึกษาของไทย จะต้องสร้างวิธีพิจารณาความจริงของวิชาตัวเองเช่นกัน และสามารถบูรณาการกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้อย่างสอดคล้องกันเพราะปรัชญา พุทธศาสนา ปรัชญาตะวันตกวิทยาศาสตร์ ล้วนเป็นความรู้ของมนุษย์ ปัญหาที่เราต้องพิจารณาต่อไป นักปรัชญา พระพุทธเจ้าและนักวิทยาศาสตร์ นั้นสร้างองค์ความรู้ในวิชาเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร เมื่อเราศึกษาเรื่องชีวิตของมนุษย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงสอนว่าชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิต ทั้งสองปัจจัยต่างพึ่งพาอาศัยกันโดยจิตของมนุษย์อาศัยอายตนะภายในของร่างกายรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตและสั่งสมเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ แต่ธรรมชาติของมนุษย์มิใช่เพียงรับรู้และเก็บอารมณ์เท่านั้น ยังธรรมชาติของการเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อมนุษย์รู้สิ่งไหน ก็จะคิดจากสิ่งนั้น แต่เมื่อการคิดของมนุษย์เกิดขึ้น จากการรับรู้ผ่านอายตนะภายในที่มีข้อจำกัดในการรับรู้และมีอคติต่อผู้อื่น ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความมืดมนจึงไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างสมเหตุสมผล
เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องใดก็ตามที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาจนเป็นระบบ ข้อเท็จจริงจากตำราเรียนหรือคัมภีร์ศาสนา ถึงแม้ว่าเราจะยอมรับข้อเท็จจริงเหล่านั้นเป็นความจริงโดยปริยาย พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเราไม่ควรเชื่อในทันที เราควรสงสัยข้อเท็จจริงเหล่านั้นก่อน จนกว่าเราจะได้สืบเสาะข้อเท็จจริงได้และรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอหลักฐานเหล่านี้ จะถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลเพื่อยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น เป็นต้น
ปัจจุบันนักโบราณคดีได้ค้นพบหลักฐานสำคัญอื่น ๆ เช่น การค้นพบแหล่งโบราณคดีพุทธศาสนาที่สาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เนื้อหาของหลักสูตรพุทธศาสนาควรสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มากขึ้น การค้นหาอายุของแหล่งโบราณคดีพุทธศาสนา โดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา ที่เขียนโดยนักประวัติศาสตร์ และแผนที่โลกองกูเกิล ถือเป็นนวัตกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ในการค้นหาอาณาจักรโบราณในอินเดีย เช่น พระนครกบิลพัสดุ์ พระนครเทวทหะ พระนครสาวัตถี และพระนครราชคฤห์ หลักฐานเหล่านี้ช่วยให้เราวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบได้อย่างสมเหตุสมผล โดยไม่สงสัยข้อเท็จจริงที่ได้ยินมา
เมื่อพุทธศาสนิกชนทั่วโลกได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงสำเร็จหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาวิชาของสำนักวิศวามิตร จากการเทศน์ของพระภิกษุสงฆ์ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานในวันธรรมสวนะ หรือจากการศึกษาตามหลักสูตรในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยทั่วโลก แม้ว่าพุทธศาสนิกชนทั่วโลกจะเชื่อข้อเท็จจริงจริงโดยปริยายว่าเป็นความจริง
เมื่อข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน ผู้เขียนจึงได้ค้นหาข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณทั้ง ๔๕ เล่มในเว็บไซต์http://www. geocities.ws /tmchote /tpd-mcu/ แต่เมื่อผู้เขียนใส่คำว่า "วิศวามิตร" ลงในแอปพลิเคชั่น เพื่อค้นหาข้อความในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณทั้ง ๔๕ เล่ม แต่ผู้เขียนก็ไม่พบคำนั้น เมื่อหลักฐานในพระไตรปิฎกไม่ชัดเจนในเรื่องนี้ ผู้เขียนจึงสงสัยว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงเคยศึกษาที่สำนักวิศวามิตรหรือไม่ จากการศึกษาโครงการสัมมนาวิชาการพระพุทธศาสนาของผู้เขียน และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในกระทู้ถาม - ตอบในพันทิป พบว่าในพระไตรปิฎกหลายฉบับนั้น ไม่มีการกล่าวถึงการศึกษาของพระพุทธเจ้าอย่างชัดเจน เนื้อหาเกี่ยวกับพุทธประวัติของพระพุทธเจ้ามักปรากฎในหลักฐานชั้นรอง เช่น คัมภีร์วิมธุรัตถวิลาสินี ซึ่งแต่งขึ้นเพื่ออธิบายคัมภีร์ขุททกนิกายพุทธวงศ์หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๖๐๐ ปี
เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการศึกษาศิลปศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน หากผู้เขียนแสดงความคิดเห็นเรื่องวิชาศิลปศาสตร์นี้ตามหลักเหตุผลหรือคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้ การใช้เหตุผลของผู้เขียนเพื่อธิบายความจริงของเรื่องการศึกษาวิชาศิลปศาสตร์นั้น บางครั้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ถูกต้อง บางคร้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงที่ไม่ถูกต้อง บางคร้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะเป็นอย่างนี้ บางคร้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะเป็นอย่างนั้น เมื่อข้อเท็จจริงของคำตอบยังคลุมเครือและไม่ชัดเจนว่าวิชาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขามีความเป็นมาอย่างไรแล้ว วิญญูชนย่อมสงสัยในข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ และไม่เชื่อถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น
อย่างไรก็ตาม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราไม่ควรเชื่อในข้อเท็จจริงที่สืบทอดกันมา อย่าเชื่อเพราะเป็นคัมภีร์ เราควรสงสัยเสียก่อน ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการศึกษาศิลปศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะ ยังเป็นที่น่าสงสัย อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องนี้ จึงได้ค้นคว้าข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับการศึกษาของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ผู้เขียนจะนำไปใช้เป็นข้อมูล ในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เช่น พระไตรปิฎก อรรถกถา และเอกสารทางพระพุทธศาสนาอื่น ๆ เป็นต้น
คำตอบในบทความนี้ จะเป็นประโยชน์แก่คณะธรรมทูตแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่งในสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลเพื่อให้เนื้อหาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนกระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้านั้น จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาศักยภาพของประชาชนในราชอาณาจักรไทย ในการศึกษาเชิงวิเคราะห์และสามารถปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อเข้าถึงสัจธรรมของชีวิตในระดับอภิญญา ๖ ได้ ส่วนกระบวนการวิเคราะห์นี้จะมีประโยชน์ต่อนักศึกษาปริญญาเอกในการทำวิทยานิพนธ์ ด้านปรัชญาและพระพุทธศาสนา เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น