Introduction to The Study of Liberal Arts by Prince Siddhartha in The Tripitka
คำสำคัญ การศึกษา เจ้าชายสิทธัตถะ
๑.บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของการศึกษา
บทความนี้จะกล่าวถึงความเป็นมาและความสำคัญของการศึกษาศิลปศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนที่พระองค์จะผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ทรงใช้เวลาหลายปีในการศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาวิชาด้วยกัน ซึ่งเป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสของพระองค์ที่เรียกว่า "ความจริงโดยสมมติ" เท่านั้น ส่วนความจริงขั้นปรมัตถ์นั้น พระองค์ศึกษาแต่หลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์เท่านั้น ส่วนการศึกษาพิธีบูชายัญนั้นเพื่อสื่อสารกับเทพเจ้านั้น พระองค์ทรงไม่สามารถศึกษาได้ เพื่อการเป็นกระทำที่ผิดต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะ
การศึกษาศิลปศาสตร์ในช่วงแรกของพระองค์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านวิชาการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงศิลปะและการฝึกอบรมต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการพัฒนาองค์รวมเพื่อเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้พระองค์สามารถปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เพื่อบรรลุธรรมสูงสุดได้ โดยทั่วไป มนุษย์ในโลกนี้ มีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา และมักจะลำเอียงในการโต้แย้งเพื่อเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตของพวกเขาจึงมืดมน พวกเขาไม่สามารถใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาเพื่ออธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับบางสิ่งบางได้อย่างสมเหตุสมผล เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว พวกเขามักแสดงความคิดเห็นเรื่องนั้นตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผล หรือคาดคะเนความจริงตามที่ได้ยินมานั้น
เหตุผลของมนุษย์ในการอธิบายความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น อาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงที่ถูกต้องได้ บางครั้งอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงที่ไม่ถูกต้องได้ บางครั้งอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้ อาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น เมื่อเหตุผลที่ใช้ในการอธิบายความจริงของคำตอบของเรื่องนั้นไม่ชัดเจน คำตอบนั้นก็ขาดความน่าเชื่อถือและไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นความจริงได้ วิญญูชนย่อมไม่เชื่อว่ามันเป็นความรู้ที่แท้จริงได้
๒.ความเป็นมาของการศึกษาวิชาศิลปศาสตร์
เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ์ เราจะได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า พระนามเดิมของพระพุทธเจ้าคือ "เจ้าชายสิทธัตถะ" พระองค์ประสูติในราชวงศ์ศากยะหรือวรรณะกษัตริย์ (Royal caste) พระองค์ทรงเป็นพระโอรสองค์โตของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางมายาเทวี เมื่อพระองค์ประสูติในวรรณะกษัตริย์ พระองค์ทรงมีหน้าที่ในการปกครองตามกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งวรรณะ แต่เมื่อวรรณะกษัตริย์แห่งอาณาจักรสักกะ ยังเป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในของร่างกายจำกัดในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต และมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ ความกลัว ความชัง และความรัก เป็นต้น เมื่อได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และหลักฐานการมีอยู่ของเทพเจ้า ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน มนุษย์มักจะแสดงความคิดเห็นเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ตามปฏิภาณของตนเองตามโดยอาศัยเหตุผล หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยินมา โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงในเรื่องเหล่านี้
เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบคำทำนายของพราหมณ์เกี่ยวกับชะตากรรมของเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์ก็ทรงปรารถนาให้พระโอรส เป็นกษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักรสักกะ แทนที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ที่แสวงหาสัจธรรมของชีวิต เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์เป็นอย่างดี พระเจ้าสุทโธทนะทรงดูแลพระโอรสของพระองค์เป็นอย่างดีและปกป้องพระองค์จากความยากลำบากในชีวิตและอันตรายจากโลกภายนอกพระราชวังกบิลพัสดุ์ โดยพระราชบิดาทรงหวังว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นกษัตริย์ใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองอาณาจักรสักกะให้เจริญรุ่งเรือง พระเจ้าสุทโธทนะทรงส่งเจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขา ที่สถาบันวิศวามิตร ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษา ที่มีชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับจากมหาราชาในรัฐต่าง ๆ ทั่วอนุทวีปอินเดีย เพื่อเตรียมพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ของอาณาจักรสักกะ อย่างไรก็ตาม การศึกษาของเจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้จำกัดอยู่แค่วิชาการทั่วไปเท่านั้นแต่ยังได้รับการฝึกฝนอย่างครอบคลุมในสาขาต่าง ๆ อีกด้วย
๓.ความสำคัญของการศึกษาศิลปศาสตร์
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติในวรรณะกษัตริย์ พระองค์จึงทรงมีหน้าที่ปกครองอาณาจักรสักกะตามวรรณะกษัตริย์ ที่พระองค์ทรงประสูติมา เนื่องจากพระองค์ประสูติมาพร้อมกับความไม่รู้ การศึกษาศิลปศาสตร์ จึงมีความสำคัญต่อชีวิตของพระองค์มาก เพื่อพัฒนาชีวิตให้มีอำนาจในพระองค์เอง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่า "พละ ๕" ประการ กล่าวคือการศึกษา จะช่วยให้พระองค์ทรงมีความศรัทธาในพระองค์เองที่จะศึกษาวิชาศิลปศาสตร์ จะเป็นความรู้ที่จะช่วยให้พระองค์สามารถคิด และใช้ความรู้วิชาศิลปศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของประชาชนในอาณาจักรสักกะได้ พระองค์จึงทรงมีความขยันหมั่นเพียรในการศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้ใน ๑๘ สาขาวิชา เพื่อใช้ในการปกครองบ้านเมือง
การศึกษาจะช่วยให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีสติคือความสามารถจดจำความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อใช้เหตุผลอธิบายความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต มีสมาธิรักษาจิตให้สงบและเกิดปัญญาคือความรู้แจ้งเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นในชีวิตอย่างกว้าง ๆ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจและอารมณ์ด้วย การศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ วิชา ช่วยให้พระองค์ทรงมีสมาธิ ความอดทนและการควบคุมตนเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นในการปฏิบัติธรรมและบรรลุธรรมสูงสุด นอกจากนี้การเรียนศิลปศาสตร์ยังทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงเข้าใจโลกและมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อพระองค์ทรงเข้าใจปัญหาของชาวสักกะเป็นอย่างดี พระองค์จึงทรงคิดตัดสินพระทัยครั้งสำคัญที่ละทิ้งวรรณะกษัตริย์ แม้จะสูญเสียสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ในการปกครองประเทศตามวรรณะกษัตริย์ที่พระองค์ประสูติก็ตาม เพื่อแสวงหาหนทางสู่ความจริงสูงสุดของชีวิตคือเทพเจ้าตามคำสอนของพราหมณ์ เพื่อช่วยให้สรรพสัตว์ทั้งหลายพ้นจากความทุกข์
เมื่อเราศึกษาข้อเท็จจริงทางการเมืองในอาณาจักรสักกะและภูมิภาคอื่น ๆ ในอนุทวีปอินเดีย เราจะเห็นว่าอาณาจักรสักกะเป็นรัฐของงศาสนาพราหมณ์ เนื่องจากชาวสักกะเชื่อในคำสอนของพราหมณ์เกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์ พวกเขาจึงเต็มใจปฏิบัติตามคำสอนของพราหมณ์ในชีวิตประจำวัน โดยทำการบูชายัญเพื่อขอพรจากพระพรหมและพระอิศวร เพื่อช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในชีวิต เมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จในการบูชายัญแล้ว พวกเขาก็ไม่ต้องสงสัยในความมีอยู่ของเทพเจ้าอีกต่อไป ผลประโยชน์ของการบูชามีมูลค่ามหาศาลสร้างความร่ำรวยให้กับพราหมณ์ทุกนิกาย เมื่อพราหมณ์อารยันมีอำนาจทางการเมือง เมื่อพวกเขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของวรรณะกษัตริย์ พวกเขาได้เสนอต่อสมาชิกรัฐสภาของราชวงศ์ศากยะให้บัญญัตกฎหมายวรรณะ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาในการบูชายัญต่อเทพเจ้า และความมั่นคงทางการเมืองของพวกเขา เมื่อมีการบัญญัติกฎหมายวรรณะและประกาศบังคับใช้แล้ว ก็ได้แบ่งประชาชนของอาณาจักรสักกะออกเป็น ๔ วรรณะคือวรรณะกษัตริย์ วรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น โดยอ้างว่าเมื่อพระพรหมได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาจากพระวรกายของพระองค์แล้ว
ดังนั้น พระพรหมทรงสร้างวรรณะต่าง ๆ ขึ้น เพื่อให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นนั้น ได้ปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะที่พวกเขาเกิดมาได้ เมื่อกฎหมายวรรณะมีผลบังคับใช้ กฎหมายได้กำหนดหน้าที่ที่ประชาชนต้องปฏิบัติตาม นั่นคือห้ามแต่งงานนอกวรรณะและห้ามปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น หากใครฝ่าฝืนคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ เมื่อบุคคลนั้นประพฤติตนน่าสงสัย ประชาชนในสังคมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะ ที่จะสืบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอก็สามารถวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของการกระทำความผิดของบุคคลนั้นต่อหน้าสาธารณชน เมื่อผู้คนในสังคมตัดสินว่าบุคคลนั้นกระทำผิดอย่างร้ายแรง ฐานละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ ก็จะพิพากษาลงโทษบุคคลนั้นด้วยการลงพรหมทัณฑ์และต้องใช้ชีวิตคนไร้บ้านไปตลอดชีวิต เป็นต้น

เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าวิชาศิลปศาสตร์เป็นวิชาที่มาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลแล้ว โดยพราหมณ์บางคนในโลก ซึ่งเป็นนักตรรกะ นักปรัชญา ได้พัฒนาวิชาเหล่านี้ขึ้นมาเป็นทั้งความรู้ที่เป็นความจริงโดยสมมติ และความจริงขั้นปรมัตถ์ ที่จนเปิดเป็นสถานบันการศึกษาให้พระราชโอรสของพระกษัตริย์ได้ศึกษาเล่าเรียนเพื่อเตรียมความพร้อมเป็นกษัตริย์ มนุษย์บางคนในโลกพัฒนาความรู้วิชาศิลปศาสตร์ให้เจริญก้าวไปมาก นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เพื่อช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานได้เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็จะใช้หลักฐานนั้น เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากหลักฐานนั้น โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักตรรกะและปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์ โลก จักรวาลและพิสูจน์ความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้าตามหลักวิทยาศาสตร์ เมื่อเนื้อหาความรู้เพิ่มมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงแยกเนื้อหาวิทยาศาสตร์ออกจากปรัชญาตะวันตกเพื่อสร้างสาขาวิชาของตนเองที่เรียกว่า "วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์"
แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะแยกเนื้อหาวิทยาศาสตร์ออกจากปรัชญาตะวันตก แต่พวกเขาก็ยังคงนำแนวคิดทางปรัชญามาใช้กับวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ นักวิทยาศาสตร์ได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เมื่อนักวิทยาศาสตร์จะรับรู้ และจะเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้มีแค่รับรู้และรวบรวมหลักฐานเท่านั้น พวกเขายังเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อรับรู้บางสิ่งบางอย่าง พวกเขาจะคิดจากสิ่งนั้น โดยใช้เหตุผลและอธิบายความจริงของสิ่งต่าง ๆ การใช้เหตุผลของนักวิทยาศาสตร์ บางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้อย่างถูกต้องบ้าง บางครั้งก็ใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ผิดบ้าง ส่งผลให้วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์มีเนื้อหาเพิ่มมากขึ้น และเนื้อหาเหล่านี้ถูกแยกออกเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์อีกหลายสาขาวิชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต วิศวกรคอมพิวเตอร์สามารถสร้างแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต เป็นเครือข่ายสำหรับแบ่งปันความรู้และช่วยให้ผู้คนทั่วโลกเข้าถึงหัวข้อหลายร้อยล้านหัวข้อทุกวัน การวิจัยบนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตทั่วโลก สร้างความรู้ที่ฝังรากลึกในจิตใจของผู้คนและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ในด้านการทำงาน หัวหน้าหน่วยงานในภาครัฐและเอกชน สามารถติดตามการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของประชาชน เมื่อเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการงานของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ ความรู้เฉพาะทางในหลักสูตรมหาวิทยาลัยนั้น ไม่เพียงพอต่อการทำงานผ่านอินเตอร์เน็ต หรือการทำงานโดยไม่มีเอกสาร การจัดเก็บเอกสารในรูปแบบดิจิทัลช่วยลดภาระงานของแต่ละคน การศึกษาผ่านเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต สามารถนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจหรือระบบที่สร้างขึ้นโดยวิศวกรคอมพิวเตอร์ การสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เป็นเครือข่ายทั่วโลก ทำให้ผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนภูเขาสูง กลางมหาสมุทร หรือหมู่บ้านห่างไกลสามารถเรียนรู้และแบ่งปันข้อมูลบนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตได้
ดังนั้นเมื่อวิธีการสอนของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วโลกพัฒนาอย่างรวดเร็วโดยสร้างแนวทางพิจารณาความจริงของวิชาต่าง ๆ ถึงเวลาที่ปรัชญาและพระพุทธศาสนาของราชอาณาจักรไทยจะต้องพัฒานาตัวเอง และสามารถบูรณาการกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้อย่างสอดคล้องกัน เพราะปรัชญา พุทธศาสนา ปรัชญาตะวันตกวิทยาศาสตร์ ล้วนเป็นความรู้ของมนุษย์ ปัญหาที่เราต้องพิจารณาต่อไป นักปรัชญา พระพุทธเจ้าและนักวิทยาศาสตร์ นั้นสร้างองค์ความรู้ในวิชาเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร เมื่อเราศึกษาเรื่องชีวิตของมนุษย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงสอนว่าชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิต ทั้งสองปัจจัยต่างพึ่งพาอาศัยกันโดยจิตของมนุษย์อาศัยอายตนะภายในของร่างกายรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตและสั่งสมเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ แต่ธรรมชาติของมนุษย์มิใช่เพียงรับรู้และเก็บอารมณ์เท่านั้น ยังธรรมชาติของการเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อมนุษย์รู้สิ่งไหน ก็จะคิดจากสิ่งนั้น แต่เมื่อการคิดของมนุษย์เกิดขึ้น จากการรับรู้ผ่านอายตนะภายในที่มีข้อจำกัดในการรับรู้และมีอคติต่อผู้อื่น ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความมืดมนจึงไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างสมเหตุสมผล
เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องใดก็ตามที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาจนเป็นระบบ ข้อเท็จจริงจากตำราเรียนหรือคัมภีร์ศาสนา ถึงแม้ว่าเราจะยอมรับข้อเท็จจริงเหล่านั้นเป็นความจริงโดยปริยาย พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเราไม่ควรเชื่อในทันที เราควรสงสัยข้อเท็จจริงเหล่านั้นก่อน จนกว่าเราจะได้สืบเสาะข้อเท็จจริงได้และรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอหลักฐานเหล่านี้ จะถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลเพื่อยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น เป็นต้น
ปัจจุบันนักโบราณคดีได้ค้นพบหลักฐานสำคัญอื่น ๆ เช่น การค้นพบแหล่งโบราณคดีพุทธศาสนาที่สาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เนื้อหาของหลักสูตรพุทธศาสนาควรสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มากขึ้น การค้นหาอายุของแหล่งโบราณคดีพุทธศาสนา โดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา ที่เขียนโดยนักประวัติศาสตร์ และแผนที่โลกองกูเกิล ถือเป็นนวัตกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ในการค้นหาอาณาจักรโบราณในอินเดีย เช่น พระนครกบิลพัสดุ์ พระนครเทวทหะ พระนครสาวัตถี และพระนครราชคฤห์ หลักฐานเหล่านี้ช่วยให้เราวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบได้อย่างสมเหตุสมผล โดยไม่สงสัยข้อเท็จจริงที่ได้ยินมา
เมื่อพุทธศาสนิกชนทั่วโลกได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงสำเร็จหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาวิชาของสำนักวิศวามิตร จากการเทศน์ของพระภิกษุสงฆ์ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานในวันธรรมสวนะ หรือจากการศึกษาตามหลักสูตรในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยทั่วโลก แม้ว่าพุทธศาสนิกชนทั่วโลกจะเชื่อข้อเท็จจริงจริงโดยปริยายว่าเป็นความจริง
เมื่อข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน ผู้เขียนจึงได้ค้นหาข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณทั้ง ๔๕ เล่มในเว็บไซต์http://www. geocities.ws /tmchote /tpd-mcu/ แต่เมื่อผู้เขียนใส่คำว่า "วิศวามิตร" ลงในแอปพลิเคชั่น เพื่อค้นหาข้อความในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณทั้ง ๔๕ เล่ม แต่ผู้เขียนก็ไม่พบคำนั้น เมื่อหลักฐานในพระไตรปิฎกไม่ชัดเจนในเรื่องนี้ ผู้เขียนจึงสงสัยว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงเคยศึกษาที่สำนักวิศวามิตรหรือไม่ จากการศึกษาโครงการสัมมนาวิชาการพระพุทธศาสนาของผู้เขียน และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในกระทู้ถาม - ตอบในพันทิป พบว่าในพระไตรปิฎกหลายฉบับนั้น ไม่มีการกล่าวถึงการศึกษาของพระพุทธเจ้าอย่างชัดเจน เนื้อหาเกี่ยวกับพุทธประวัติของพระพุทธเจ้ามักปรากฎในหลักฐานชั้นรอง เช่น คัมภีร์วิมธุรัตถวิลาสินี ซึ่งแต่งขึ้นเพื่ออธิบายคัมภีร์ขุททกนิกายพุทธวงศ์หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๖๐๐ ปี
เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการศึกษาศิลปศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน หากผู้เขียนแสดงความคิดเห็นเรื่องวิชาศิลปศาสตร์นี้ตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผล หรือคาดคะเนความจริงตามที่ได้ยินมานั้น แต่การใช้เหตุผลของผู้เขียนเพื่อธิบายความจริงของเรื่องการศึกษาวิชาศิลปศาสตร์นั้น บางครั้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ถูกต้อง บางคร้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงที่ไม่ถูกต้อง บางคร้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะเป็นอย่างนี้ บางคร้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะเป็นอย่างนั้น เมื่อข้อเท็จจริงของคำตอบไม่ชัดเจนว่าวิชาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขามีความเป็นมาอย่างไรแล้ว วิญญูชนย่อมสงสัยในข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ และไม่เชื่อถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น
อย่างไรก็ตาม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราไม่ควรเชื่อในข้อเท็จจริงที่สืบทอดกันมา อย่าเชื่อเพราะเป็นคัมภีร์ เราควรสงสัยเสียก่อน ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการศึกษาศิลปศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะ ยังเป็นที่น่าสงสัย อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องนี้ จึงได้ค้นคว้าข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับการศึกษาของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว ผู้เขียนจะนำไปใช้เป็นข้อมูล ในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เช่น พระไตรปิฎก อรรถกถา และเอกสารทางพระพุทธศาสนาอื่น ๆ เป็นต้น
คำตอบในบทความนี้ จะเป็นประโยชน์แก่คณะธรรมทูตแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่งในสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลเพื่อให้เนื้อหาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนกระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้านั้น จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาศักยภาพของประชาชนในราชอาณาจักรไทย ในการศึกษาเชิงวิเคราะห์และสามารถปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อเข้าถึงสัจธรรมของชีวิตในระดับอภิญญา ๖ ได้ ส่วนกระบวนการวิเคราะห์นี้จะมีประโยชน์ต่อนักศึกษาปริญญาเอกในการทำวิทยานิพนธ์ ด้านปรัชญาและพระพุทธศาสนา เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น