The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2567

บทนำสู่การศึกษาศิลปศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะในพระไตรปิฎก ฯ

Introduction to The Prince Siddhartha's Liberal Arts  Education  in The  Tripitika

คำสำคัญ การศึกษา  เจ้าชายสิทธัตถะ พระไตรปิฎก

๑.บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

             
บทความนี้วิเคราะห์ความเป็นมาและความสำคัญของการศึกษาศิลปศาสตร์ ของเจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนที่พระองค์จะทรงละทิ้งชีวิตอันสุขสบายในพระราชวังกบิลพัสดุ์ เพื่อผนวช (Ordain)เป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อแสวงหาสัจธรรมชีวิต หลังจากสำเร็จการศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขา  พระองค์ทรงได้ศึกษาทั้งความรู้ทางประสาทสัมผัสที่เรียกว่า "ความจริงที่สมมติขึ้น"  และความรู้ที่อยู่เหนือการรับรู้ของมนุษย์ ซึ่งเรียกว่า "
ความจริงขั้นปรมัตถ์"   ในหลักสูตรศิลปศาสตร์ พระองค์ทรงศึกษาเฉพาะคำสอนของพราหมณ์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงถูกห้ามมิให้ประกอบพิธีบูชายัญเพื่อสื่อสารกับเทพเจ้า    เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดคำสอนของศาสนาและกฎหมายวรรณะ    ดังนั้นความรู้ด้านศิลปศาสตร์ จึงเป็นรากฐานสำคัญในการบ่มเพาะปัญญาของพระองค์ การศึกษาศิลปศาสตร์ดังที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษา และการพัฒนาพระองค์เอง ของเจ้าชายสิทธัตถะในฐานะสมาชิกชั้นสูงของราชวงศ์ศากยะ และพระมหากษัตริย์องค์ต่อไปของอาณาจักรสักกะ  

        การศึกษาศิลปศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะ ไม่เพียงแต่เป็นหนทางในการแสวงหาความรู้ทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังเป็นหนทางในการฝึกฝนจิตใจ   พัฒนาสติปัญญาและเตรียมพร้อมสำหรับการแสวงหาการหลุดพ้นจากความทุกข์    การศึกษานี้ช่วยปลูกฝังการคิดวิเคราะห์ของพระองค์      เสริมสร้างทักษะการใช้เหตุผล โดยอนุมาณความรู้หรือคาดคะเนอย่างมีเหตุผล  การสังเคราะห์หรือสร้างความรู้จากปัจจัยต่างๆ และประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ นี่คือรากฐานแห่งการตรัสรู้ของพระองค์ ทำให้พระองค์ทรงเข้าใจกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ พระองค์ทรงใช้เวลาหลายปีในการค้นพบแนวทางปฏิบัติของอริยมรรคมีองค์ ๘  เมื่อพระองค์ทรงได้นำแนวทางนี้ไปปฏิบัติ พระองค์ก็ทรงบรรลุความจริงสูงสุด  

               โดยทั่วไปแล้ว   มนุษย์ในโลกนี้มีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆในชีวิตและมักแสดงคิดเห็นที่ลำเอียงเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง  ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาไม่สามารถใช้เหตุผล    ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบได้อย่างมีเหตุผล  เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของบางสิ่ง พวกเขาก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลหรือสมมติฐาน    การใช้เหตุผลของมนุษย์ในการอธิบายความจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ     บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงอย่างถูกต้อง    บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างไม่ถูกต้อง  บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้   บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น  เมื่อการใช้เหตุผลของนักตรรกศาสตร์    และนักปรัชญาถูกใช้เป็นเครื่องมือ เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบในลักษณะที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน    วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่เชื่อถือความคิดเห็นในเรื่องนั้นเป็นความจริง และไม่ถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง 

๒.ความเป็นมาของการศึกษาวิชาศิลปศาสตร์

                 เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา  โดยอาศัยหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย    เราจะได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องนี้ในเบื้องต้นที่ว่า เดิมทีพระพุทธเจ้าทรงมีพระนามว่า "เจ้าชายสิทธัตถะ" พระองค์ประสูติในราชวงศ์ศากยะ เป็นพระราชโอรสองค์โตของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางมายาเทวี พระองค์ประสูติในวรรณะกษัตริย์(Royal caste)  และมีหน้าที่ปกครองอาณาจักรสักกะตามกฎหมายวรรณะและจารีตประเพณี อย่างไรก็ตาม ราชวงศ์ศากยะประกอบด้วย ผู้ที่มีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ  ในชีวิต   มนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้  ความกลัว  ความเกลียดชัง  และความรัก    เป็นต้น   ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมน เมื่อได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์  โลก  ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและหลักฐานการมีอยู่ของเทพเจ้า ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน มนุษย์มักจะขาดปัญญาเข้าใจความจริงของเรื่องเหล่านี้เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา มักจะแสดงความคิดเห็นของคำตอบในเรื่องราวเหล่านี้ของตนเองตาม โดยอาศัยเหตุผล และคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงในเรื่องเหล่านี้ 

               เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบคำทำนายของพราหมณ์เกี่ยวกับชะตากรรมของเจ้าชายสิทธัตถะ      พระองค์ก็ทรงปรารถนาให้พระโอรสขึ้นครองราชย์ในฐานะกษัตริย์ ผู้ปกครองอาณาจักรสักกะมากกว่าที่จะเป็นพระโพธิสัตว์   ผู้แสวงหาสัจธรรมของชีวิต เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระปรีชาสามารถ และศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์อย่างรวดเร็วไม่นานนักพระองค์ทรงสำเร็จการศึกษา  พระเจ้าสุทโธทนะทรงดูแลพระโอรสของพระองค์เป็นอย่างดี โดยทรงสร้างที่ประทับส่วนพระองค์และคุ้มครองพระองค์จากอันตรายทั้งปวงนอกพระราชวังกบิลพัสดุ์โดยพระราชบิดาทรงหวังว่า เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงขึ้นครองราชย์ และใช้อำนาจอธิปไตยในการปกครองอาณาจักรสักกะจนเป็นมหาอำนาจของโลก  พระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงส่งเจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาที่สถาบันวิศวามิตร  ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับจากมหาราชาในหลายรัฐทั่วอนุทวีปอินเดีย   เพื่อเตรียมความพร้อมให้พระองค์ขึ้นครองราชย์อย่างไรก็ตาม การศึกษาของเจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้จำกัดอยู่เพียงวิชาการทั่วไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการฝึกฝนอย่างครอบคลุมในหลากหลายวิชาสาขาวิชา   

๓.ความสำคัญของการศึกษาศิลปศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะ  
 
          เจ้าชายสิทธัตถะประสูติในราชวงศ์ศากยะพระองค์ทรงมีสิทธิและหน้าที่ในการปกครองอาณาจักรสักกะโดยชอบธรรม ตามกฎหมาย ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ ในฐานะมนุษย์นั้น พระองค์ทรงมีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ   และมีแนวโน้มลำเอียงเพื่อแสดงความคิดเห็นเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตของพระองค์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน  พระองค์ทรงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์   ส่งผลให้พระองค์ทรงไม่สามารถใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ เพื่ออธิบายความจริงของชีวิตอย่างมีเหตุผล ดังนั้น เมื่อพระองค์ทรงแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นปัญหาระดับชาติ    บางครั้งก็ทรงให้เหตุผลถูกต้องบางครั้งก็ทรงให้เหตุผลไม่ถูกต้อง  บางครั้งก็ทรงใช้เหตุผลเช่นนี้บางครั้งก็ทรงให้เหตุผลเช่นนั้น     เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงแสดงความเห็นเกี่ยวกับความจริงที่สมมติขึ้น และความจริงขั้นปรมัตถ์อย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน  เมื่อวิญญูชนได้ฟังความเห็นของพระองค์ในเรื่องนั้น  พวกเขาจะไม่เชื่อว่าเป็นความจริง  เป็นต้น   
 
          ดังนั้น  การศึกษาศิลปศาสตร์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งช่วยให้พระองค์ทรงพัฒนาอำนาจของพระองค์เอง ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเกี่ยวกับ "พละ ๕" ประการ   การศึกษานี้จะช่วยให้พระองค์ทรงมีความมั่นใจในการศึกษาศิลปศาสตร์ เพื่อปกครองประเทศชาติ         ความรู้นี้จะช่วยให้พระองค์ทรงสามารถพิจารณาและประยุกต์ใช้ความรู้ด้านศิลปศาสตร์ เพื่อรับรู้กับความท้าทายที่ประชาชนในอาณาจักรสักกะกำลังเผชิญอยู่  พระองค์ก็ทรงแสวงหาความรู้เหล่านี้ อย่างขยันขันแข็ง เพื่อนำมาประยุกต์ไปใช้ในการปกครองและปฏิบัติหน้าที่    เจ้าชายสิทธัตถะทรงพัฒนาสติสัมปชัญญะ ทำให้พระองค์ทรงสามารถระลึกรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ และนำเหตุผลอธิบายความจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต พระองค์ทรงมีสมาธิเพื่อความสงบและปัญญาทรงสามารถความเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ  เกิดขึ้นในชีวิตทุกแง่ทุกมุมทั้งร่างกาย  จิตใจ และอารมณ์  เป็นต้น 

           การศึกษาศิลปศาสตร์  ๑๘ สาขา พัฒนาสมาธิ ความอดทนและการควบคุมตนเอง  ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญต่อการปฏิบัติธรรมและบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาศิลปศาสตร์ยังทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงเข้าใจโลกและมนุษยชาติอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น พระองค์ทรงเข้าใจปัญหาของชาวสักกะเป็นอย่างดี  จึงทรงตัดสินพระทัยละทิ้งวรรณะกษัตริย์    แม้ว่าพระองค์จะทรงสูญเสียสิทธิ  เสรีภาพ และหน้าที่ในการปกครองประเทศตามวรรณะกษัตริย์ที่พระองค์ประสูติก็ตาม เพื่อแสวงหาสัจธรรมสูงสุดของชีวิต นั่นคือเทพเจ้าตามที่พราหมณ์อารยันสั่งสอน  ซึ่งจะช่วยให้สรรพสัตว์พ้นจากความทุกข์

      เมื่อเราพิจารณาข้อเท็จจริงทางการเมืองในอาณาจักรสักกะและภูมิภาคอื่น ๆ ในอนุทวีปอินเดีย        เราจะเห็นว่าอาณาจักรสักกะเป็นรัฐของศาสนาพราหมณ์ เนื่องจากชาวสักกะเชื่อในคำสอนของพราหมณ์เกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์   พวกเขาจึงเต็มใจปฏิบัติตามคำสอนนั้นในชีวิตประจำวัน   ประกอบพิธีบูชายัญเพื่อขอพรจากพระพรหมและพระอิศวรเพื่อความสำเร็จในชีวิต  เมื่อการบูชายัญแล้วประสบความสำเร็จ  พวกเขาก็ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าอีกต่อไป ประโยชน์ของการบูชายัญเหล่านี้จึงมีมากมายมหาศาล ก่อให้เกิดความมั่งคั่งแก่พราหมณ์ทุกนิกาย 

           เมื่อพราหมณ์ชาวอารยันมีอำนาจทางการเมือง  ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของวรรณะกษัตริย์    พวกเขาจึงเสนอต่อสมาชิกรัฐสภาของราชวงศ์ศากยะได้ตรากฎหมายวรรณะ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาในการบูชายัญต่อเทพเจ้า และความมั่นคงทางการเมือง เมื่อมีการตรากฎหมาย และบังคับใช้กฎหมายวรรณะ โดยประชาชนถูกแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะ คือ วรรณะกษัตริย์  วรณะพราหมณ์  วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เป็นต้น  โดยอ้างสาเหตุของการบัญญัติกฎหมายว่าเนื่องจากพระพรหมสร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์เอง ดังนั้นพระพรหมจึงทรงสร้างวรรณะต่าง ๆ ขึ้นเพื่อให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นนั้น    สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะของตนได้

             เมื่อกฎหมายวรรณะมีผลบังคับใช้     ย่อมมีสภาพบังคับตามกฎหมายโดยกำหนดให้พลเมืองต้องปฏิบัติตามคำสอนทางศาสนาและกฎหมายวรรณะ ซึ่งรวมถึงการห้ามมิให้บุคคลใดแต่งงานกับคนนอกวรรณะของตน และปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น หากบุคคลใดฝ่าฝืนคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ หรือบุคคลใดประพฤติตนอย่างมีพิรุธ  ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะที่จะสืบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน      เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ ประชาชนสามารถวิเคราะห์พยานหลักฐานโดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริง โดยพวกเขาใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงของความผิดของบุคคลนั้นต่อหน้าสาธารณชน เมื่อคนในสังคมตัดสินว่าบุคคลใดได้กระทำผิดร้ายแรง จากการละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ  เมื่อพวกเขาจะตัดสินลงพรหมทัณฑ์บุคคลนั้นตลอดชีวิต และไม่อาจกลับคืนสู่สถานะเดิมทางสังคมได้ เป็นต้น 

         แม้ว่าเราจะได้ยินมาว่าศิลปศาสตร์เป็นหลักสูตรที่เปิดสอนในสำนักพราหมณ์ต่าง ๆ มาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนกระทั่งปัจจุบัน  สมัยที่พราหมณ์บางรูปในโลกที่เป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา ได้พัฒนาความรู้ในวิชาเหล่านี้ จากความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์     ซึ่งได้เปิดเป็นสถานบันการศึกษา เพื่อให้พระราชโอรสของวรรณะกษัตริย์ทรงได้ศึกษา แต่ในเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาของปรัชญาและศาสนาพราหมณ์ในหลักสูตรศิลปศาสตร์นั้น ก็เพราะในสมัยนั้น พราหมณ์บางรูปในโลกเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา ใช้เหตุผลเป็นเครื่องมืออธิบายความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้า แต่การใช้เหตุผลของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา ไม่สามารถช่วยให้ผู้คนในอนุทวีปอินเดียเข้าถึงความจริงขั้นปรมัตถ์ได้ นั่นคือการมีอยู่ของเทพเจ้าได้  เพราะการบูชายัญเพื่อสื่อสารกับเทพเจ้าเป็นสิทธิและหน้าที่ของวรรณะพราหมณ์เท่านั้น ส่วนวรรณะอื่น ๆ  ถูกจำกัดสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะ  

            ดังนั้น   เมื่อพราหมณ์บางพวกในโลกที่เป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา    เช่น เจ้าชายสิทธัตถะซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา     ทรงไม่สามารถตัดสินได้ว่าแนวคิดของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาคนใดที่ใช้เหตุผลอธิบายความจริงนั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้องพระองค์จึงทรงคิดค้นกระบวนการพิจารณาความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริง กล่าวคือ  เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าพระพรหมลงโทษชาวสักกะ  เพราะมีเพศสัมพันธ์กับผู้คนต่างวรรณะ หรือปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น  พระองค์ก็มิได้ทรงเชื่อเรื่องราวนั้นในทันที  พระองค์ทรงสงสัยในความจริงนั้น    จนกว่าจะได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน  เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ    พระองค์จึงทรงใช้หลักฐานนั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของการที่พระพรหมทรงลงโทษชาวสักกะ   

            ในสมัยอินเดียโบราณ มีนักตรรกะศาสตร์และนักปรัชญาจำนวนมากถือกำเนิดขึ้น ก่อตั้งสำนักของตนเองเพื่อประกอบพิธีบูชายัญและใช้เหตุผล เป็นเครื่องมืออธิบายความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้า เพื่อครอบงำชีวิตผู้คน ปลูกฝังศรัทธาในเทพเจ้าและแสวงหาผลประโยชน์จากการบูชา   ผู้คนบางกลุ่มในโลกได้พัฒนาความรู้ทางศิลปศาสตร์ขึ้นอย่างมาก  นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานได้     เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ  นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงจากหลักฐานได้  โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเพื่ออธิบายความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์  โลก จักรวาลและพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า โดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เมื่อความรู้มีเนื้อหาเพิ่มมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้แยกวิทยาศาสตร์ออกจากปรัชญาตะวันตก เพื่อสร้างสาขาการศึกษาของตนเองที่เรียกว่า "วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์" 

          แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะแยกวิทยาศาสตร์ออกจากปรัชญาตะวันตก     แต่พวกเขาก็ยังคงนำแนวคิดทางปรัชญามาประยุกต์ใช้กับวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในชีวิต  เมื่อพวกเขารับรู้   พวกเขาก็เก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ        อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นเพียงการรับรู้และรวบรวมหลักฐานเท่านั้น พวกเขายังเป็นนักคิดอีกด้วย  เมื่อพวกเขารับรู้สิ่งใด พวกเขาก็จะคิดจากสิ่งนั้น โดยใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของสิ่งนั้น   การใช้เหตุผลของนักวิทยาศาสตร์ บางครั้งอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง  บางครั้งก็ใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง   สิ่งนี้นำไปสู่การขยายตัวของวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์วิทยาศาสตร์ประยุกต์ในวงกว้างมากขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต วิศวกรคอมพิวเตอร์สามารถสร้างแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต    เป็นเครือข่ายสำหรับแบ่งปันความรู้และช่วยให้ผู้คนทั่วโลกเข้าถึงหัวข้อต่าง ๆ  หลายร้อยล้านหัวข้อในแต่ละวัน   การวิจัยบนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตทั่วโลกสร้างความรู้ที่ฝังรากลึกในจิตใจของผู้คนและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ 

             ในด้านการทำงาน หัวหน้าหน่วยงานภาครัฐและเอกชน  สามารถติดตามการทำงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของประชาชน  เมื่อเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต กำลังเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ  ความรู้เฉพาะทางในหลักสูตรมหาวิทยาลัยนั้น จึงไม่เพียงพอสำหรับการทำงานผ่านอินเตอร์เน็ต หรือการทำงานแบบไร้เอกสารอีกต่อไป การจัดเก็บเอกสารดิจิทัลช่วยลดภาระงานของแต่ละบุคคล การเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต สามารถนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจ หรือระบบที่วิศวกรคอมพิวเตอร์สร้างขึ้น การสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตให้เป็นเครือข่ายระดับโลก ช่วยให้ผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนภูเขาสูง กลางทะเลหรือในหมู่บ้านห่างไกล สามารถเรียนรู้และแบ่งปันข้อมูลบนแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตได้ 
 
                ดังนั้นในขณะที่มหาวิทยาลัยทั่วโลกเปิดสอนการศึกษาเชิงวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้ เพื่อแสวงหาความจริงในศาสตร์ต่าง ๆ       มีทฤษฎีทางวิชาการมากมาย จึงเกิดขึ้นในหลากหลายสาขาและเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตได้รับการพัฒนาขึ้น  เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน   เมื่อมีพยานหลักฐานเพียงพอ    นักวิชาการจะใช้หลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์        โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริง            โดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของเรื่องเหล่านั้น กระบวนการเหล่านี้เรียกว่า "กระบวนการพิจารณาความจริงในศาสตร์ต่าง ๆ"     ถึงเวลาแล้ว  ที่การสอนปรัชญาและพระพุทธศาสนาในระบบการศึกษาของไทย     จะต้องพัฒนาวิธีการพิจารณาความจริงในศาสตร์ของตนเองเช่นกัน  และบูรณาการเข้ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้อย่างสอดคล้องกันเพราะปรัชญา พุทธศาสนา ปรัชญาตะวันตกวิทยาศาสตร์  ล้วนเป็นความรู้ของมนุษย์ ปัญหาที่เราต้องพิจารณาต่อไปว่านักปรัชญาพระพุทธเจ้า           และนักวิทยาศาสตร์นั้นมีต้นกำเนิดความรู้อย่างไร  โครงสร้างความรู้ของมนุษย์        วิธีการแสวงหาความรู้ของมนุษย์และความสมเหตุสมผลของมนุษย์   เป็นต้น

               เมื่อเราศึกษาชีวิตของมนุษย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงสอนว่าชีวิตมนุษย์ เกิดจากปัจจัยทางร่างกายและจิตปัจจัยทั้งสองนี้ พึ่งพาอาศัยกัน      จิตใจของมนุษย์อาศัยอายตนะภายในของร่างกาย     เพื่อรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ  ในชีวิตและสั่งสมเรื่องราวต่าง ๆไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ    อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของมนุษย์ไม่เพียงแต่รับรู้และเก็บหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้นแต่ยังเป็นธรรมชาติของนักคิดด้วย            เมื่อมนุษย์รู้สิ่งใด พวกเขาจะใคร่ครวญถึงสิ่งนั้น  อย่างไรก็ตาม   ความคิดของมนุษย์เกิดจากการรับรู้ผ่านอายตนะภายในซึ่งมีข้อจำกัดในการรับรู้และมีอคติเข้าข้างผู้อื่น      ส่งผลให้ชีวิตเต็มไปด้วยความมืดมน          พวกเขาขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติและความจริงขั้นปรมัตถ์  พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผล   เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องใด   ๆ    ได้อย่างมีเหตุผล

                    เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องราวที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน       ไม่ว่าจะเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายและเป็นแบบแผน   ขนบธรรมเนียมหรือจารีตประเพณี ข้อเท็จจริงจากตำราเรียนหรือคัมภีร์ทางศาสนา        แม้ว่าเราจะยอมรับข้อเท็จจริงเหล่านั้นโดยปริยายว่าเป็นความจริง        พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเราไม่ควรเชื่อโดยทันที        เราควรสงสัยในข้อเท็จจริงเหล่านั้นก่อน จนกว่าเราจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน        เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ            หลักฐานเหล่านี้สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น    โดยใช้เหตุผล  เป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้   เพื่อยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น  เป็นต้น   

              ปัจจุบัน นักโบราณคดีได้ค้นพบหลักฐานสำคัญอื่น    ๆ   เช่น  การค้นพบแหล่งโบราณคดีทางพุทธศาสนาในสาธารณรัฐอินเดีย   และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล          เนื้อหาในหลักสูตรพุทธศาสนาควรมีความสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มากขึ้น        การกำหนดอายุของแหล่งโบราณคดีพุทธศาสนา       โดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์    เพื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาต่าง   ๆ ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาตามที่นักประวัติศาสตร์             และการใช้แผนที่โลกกูเกิลเป็นนวัตกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น   ซึ่งสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ในการค้นหาเมืองโบราณในอินเดีย   เช่น พระนครกบิลพัสดุ์    พระนครเทวทหะ    พระนครสาวัตถี   และพระนครราชคฤห์ หลักฐานเหล่านี้ช่วยให้เราวิเคราะห์ข้อมูล          โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบได้อย่างสมเหตุสมผล   โดยไม่ต้องสงสัยข้อเท็จจริงที่เราได้ยินมา 


           เมื่อชาวพุทธทั่วโลกได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงสำเร็จการศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘  สาขาจากสำนักวิศวามิตร โดยอ้างอิงจากคำเทศนาของพระภิกษุในนิกายเถรวาท  และมหายานในวันธรรมสวนะ หรือจากหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยทั่วโลก     พวกเขาก็เชื่อโดยปริยายว่าเป็นความจริง อย่างไรก็ตาม   เนื่องจากข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน   ผู้เขียนจึงค้นหาข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยทั้ง ๔๕ เล่ม ในเว็บไซต์http://www. geocities.ws /tmchote /tpd-mcu/             แต่เมื่อผู้เขียนป้อนคำว่า "วิศวามิตร" ลงในแอปพลิเคชั่นเพื่อค้นหาข้อความในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยทั้ง ๔๕ เล่ม        แต่ผู้เขียนก็ไม่พบคำนั้นเมื่อหลักฐานในพระไตรปิฎกไม่ชัดเจนในเรื่องนี้   ผู้เขียนจึงสงสัยว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงเคยศึกษาที่สำนักวิศวามิตรหรือไม่ จากการศึกษาโครงการสัมมนาทางวิชาการด้านพระพุทธศาสนา และการสนทนาในกระทู้ถามตอบบนเว็บไซต์Pantip (เว็บบอร์ดออนไลน์ของไทย) พบว่าในพระไตรปิฎกหลายฉบับนั้น ไม่มีการกล่าวถึงการศึกษาของพระพุทธเจ้าอย่างชัดเจน    เนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของพระพุทธเจ้าประวัติมักปรากฎในแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ เช่น คัมภีร์วิมธุรัตถวิลาสินี ซึ่งเป็นอรรถกถาเกี่ยวกับพุทธนิกายพุทธวงศ์ ที่เขียนขึ้น ๖๐๐ ปีหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้  
 
              เมื่อได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการศึกษาศิลปศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะ  ซึ่งสืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลจนถึงปัจจุบันหากผู้เขียนจะแสดงความคิดเห็นในเรื่องหลักสูตรศิลปศาสตร์นี้ ตามหลักเหตุผลของตนเองหรือคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้  เหตุผลของผู้เขียนใช้ในการอธิบายความจริงของเรื่อง การศึกษาศิลปศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะนั้น  บางครั้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างถูกต้อง  บางคร้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง บางคร้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลในลักษณะเป็นอย่างนี้   บางคร้งผู้เขียนอาจใช้เหตุผลในลักษณะเป็นอย่างนั้น เมื่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของศิลปศาสตร์ทั้ง ๑๘ สาขายังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน  วิญญูชนย่อมไม่เชื่อความคิดเห็นของผู้เขียนและไม่ถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น  

                 อย่างไรก็ตาม    ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า  เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราไม่ควรเชื่อข้อเท็จจริงเรื่องนั้นในทันที       เราควรข้อสงสัยเสียก่อน  จนกว่าเราจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการศึกษาศิลปศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะและรวบรวมหลักฐาน   เมื่อรวบรวมหลักฐานได้เพียงพอแล้ว  ผู้เขียนจะนำมาใช้เป็นข้อมูล  ในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น  คำตอบในบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่คณะธรรมทูตแห่งราชอาณาจักรไทย ที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังสังเวชนียสถานทั้ง ๔  แห่งในสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เพื่อให้เนื้อหาสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน   นอกจากนี้ กระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้านั้น จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาศักยภาพของประชาชนในราชอาณาจักรไทย  ในการทำการศึกษาเชิงวิเคราะห์ และปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อบรรลุสัจธรรมของชีวิตในระดับอภิญญา ๖ ได้ กระบวนการวิเคราะห์นี้ยังจะมีประโยชน์ต่อนักศึกษาปริญญาเอกในการทำวิทยานิพนธ์ในสาขาปรัชญาและพระพุทธศาสนา เป็นต้น 

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ