The Real Problems of Prince Siddhartha : liberal Studies
บทนำ
โดยทั่วไปแล้วมนุษย์ทุกคนมีอายตนะภายในที่สามารถรับรู้เหตุการณ์ในชีวิตและเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของมนุษย์ไม่เพียงแต่รับรู้ และเก็บหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น แต่ยังมีลักษณะการเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งใด พวกเขามักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งนั้น เพื่อประเมินความจริง โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ
อย่างไรก็ตาม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พราหมณ์บางคนในโลกเป็นนักตรรกศาสตร์ และนักปรัชญา โดยธรรมชาติของชีวิตพวกเขามีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้สิ่งเหตุการณ์ในชีวิตได้และมีความลำเอียงต่อผู้อื่น โดยอธิบายความจริงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ และไม่สามารถใช้เหตุผลเพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของเรื่องใดได้อย่างสมเหตุสมผล เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นของตนเองโดยใช้เหตุผล และคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนั้น เมื่อนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้น บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลที่ถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลที่ผิด บางครั้งก็ใช้เหตุผลเป็นอย่างนี้ บางครั้งก็ให้เหตุผลเป็นอย่างนั้น ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงของคำตอบมีเหตุผลคลุมเครือและไม่ชัดเจน เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินความคิดเห็นของคำตอบนั้น พวกเขาจึงไม่เชื่อว่าเป็นความจริงได้ เป็นต้น
เนื่องจากความรู้ในสาขาต่าง ๆ ได้ถูกสั่งสมไว้ในจิตใจของมนุษย์มาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาล โดยได้มาจากการศึกษา ค้นคว้าและการปฏิบัติ แต่ความรู้ที่เก็บไว้ในจิตใจ มักจะสูญหายไปพร้อมกับความตายของมนุษย์ ดังนั้น มนุษย์จึงคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อรักษาความรู้เหล่านี้ไว้ไม่ให้สูญหายไปผ่านการถ่ายทอดทางปากเปล่าซึ่งรู้ในชื่อว่า "มุขปาฐะ" เช่น การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑ ซึ่งพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ท่องจำคำสอนของพระพุทธเจ้าและเผยแพร่ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อป้องกันไม่ให้ความรู้เหล่านี้สูญหายไปพร้อมกับการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
เมื่อชาวพุทธทั่วโลกรับรู้สิ่งนี้ผ่านอายตนะภายในและสั่งสมความรู้เกี่ยวกับการศึกษาศิลปศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ได้รับสืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน ก็ได้รวบรวมตำราความรู้ใน ๑๘ สาขาวิชาที่สอนกันมาก่อนสมัยพุทธกาล ความรู้เหล่านี้มาจากการเทศนาของพระภิกษุทั้งในนิกายเถรวาท และมหายานในวันสำคัญทางพุทธศาสนา เช่น วันพระวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา หรือจากการบรรยายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในห้องเรียนของโรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัยทั่วโลก
๒.ประเภทความรู้ของมนุษย์
เมื่อความรู้ในสาขาต่าง ๆ นั้นเป็นความรู้ของมนุษย์ ซึ่งรู้จักกันในนาม "นักตรรกศาสตร์ นักปรัชญา ศาสดาในศาสนา และนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ต้นกำเนิดของความรู้ของนักวิชาการเหล่านี้ เกิดขึ้นจากจิตใจของพวกเขาใช้อายตนะภายในร่างกายในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต และรวบรวมข้อมูลเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์นั้นไม่ได้เพียงแค่การรับรู้สิ่งต่าง ๆ และการรวบรวมข้อมูลเป็นหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับจิตใจที่เป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง คนเราก็จะคิดโดยอาศัยหลักฐานทางอารมณ์นั้นในจิตใจ แต่เนื่องจากธรรมชาติของชีวิตมนุษย์มีอายตนะภายในของตนเองที่จำกัดในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ และมีอคติต่อผู้อื่น ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน มนุษย์ไม่สามารถคิดอย่างมีเหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงของสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างมีเหตุผล
ในการศึกษาปัญหาเชิงอภิปรัชญาเกี่ยวกับความเป็นจริงของมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น ตามแนวคิดเชิงอภิปรัชญานั้น ความรู้ของมนุษย์สามารถแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ
๒.๑ ความรู้ที่เป็นความจริงที่สมมติขึ้น (Knowledge that is a fictitious fact) โดยทั่วไป ความรู้ของมนุษย์ คือ สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษา การเรียนรู้ การค้นคว้า หรือประสบการณ์ ซึ่งรวมถึงความสามารถและทักษะเชิงปฏิบัติ เช่น ความรู้ด้านประวัติศาสตร์, สิ่งที่ได้การยิน, การคิดหรือการปฏิบัติ เช่นความรู้ด้านสุขภาพ, ความรู้เกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน เป็นต้น
กล่าวคือ เมื่อมนุษย์อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติรอบตัวเอง อาจเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือเหตุการณฺ์ทางสังคม และชุมชนการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็หายไปในอากาศ แต่ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะหายไปจากสายตาของมนุษย์ มนุษย์สามารถรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้ เช่น แผ่นดินไหวที่สหภาพเมียนมาร์และกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย พายุ น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายหรือเหตุการณฺ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น เช่น การที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีที่นำเข้า ๑๔๕ เปอร์เซ็นต์ การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ในพม่าหรือการประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีในอเมริกา เป็นต้น เนื่องจากธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้ คือ เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งแล้วก็หายไป จึงถือว่าเป็นความรู้ที่เป็นความจริงที่สมมติขึ้น
เมื่อธรรมชาติของชีวิตมนุษย์สามารถรับรู้ได้ผ่านอายตนะภายในร่างกาย เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งเหล่านี้ จิตใจของพวกเขาจะเก็บข้อมูลของเรื่องราวเหล่านี้ไว้ เป็นหลักฐานทางอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจอย่างไรก็ตาม จิตใจของมนุษย์ไม่ได้รับรู้และเก็บเรื่องราวของสิ่งเหล่านี้ ไว้เป็นอารมณ์ในจิตใจเท่านั้น แต่ชีวิตของมนุษย์ยังมีธรรมชาติของการเป็นนักคิด เมื่อมนุษย์รับรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง จิตใจของพวกเขาจะคิดจากสิ่งนั้น เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนได้รับรู้ว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาจบศิลปศาสตร์จากสำนักเรียนครูวิศวามิตร และเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจของตนเอง และใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เขียนมีอายตนะภายในจำกัดที่จะรับรู้เรื่องนี้ และอาจมีอคติต่อผู้อื่นด้วยไม่รู้ของตนเอง หากผู้เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการศึกษาด้านศิลปศาสตร์ของเจ้าชายสิทธัตถะ ตามปฏิภาณของตนเองตามหลักเหตุผล หรือคาดคะเนความจริงตามข้อเท็จจริงที่ได้ยินมานั้น การใช้เหตุผลของผู้เขียน เพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนี้ บางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ถูกต้องบ้าง บางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงที่ผิดบ้าง บางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนั้น บางครั้งอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนี้บ้าง เมื่อวิญญูชนได้ยินความเห็นของผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน พวกเขาจะสงสัยความจริงของคำตอบในเรื่องนี้ และไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริง
เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องการศึกษาของเจ้าชายสิทธัตถะยังคงน่าสงสัย ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงได้สืบเสาะข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ บทความต่าง ๆ ในเว็บไซต์และตำราเรียนพระพุทธศาสนา ผู้เขียนก็ได้ยินข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้สำเร็จหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาวิชา จากสำนักเรียนวิศวามิตรในเมืองกบิลพัสดุ์ ผู้เขียนไม่เชื่อทันทีและสงสัยว่าไม่เป็นความจริง จึงสืบค้นข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากเว็บไซต์http://www.geocities.ws /tmchote /tpd-mcu / เมื่อผู้เขียนสืบค้นคำว่า "วิศวามิตร" ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ ไม่พบหลักฐานยืนยันความจริงว่า ครูวิศวามิตรสอนวิาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาวิชาแก่เจ้าชายสิทธัตถะทำให้เรื่องราวของครูวิศวามิตรไม่ชัดเจน
เมื่อผู้เขียนไม่มีหลักฐานชัดเจนในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณที่ระบุว่า หลักสูตรศิลปศาสตร์ที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาครอบคลุมวิชาใดบ้างผู้เขียนจึงต้องการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องนี้ เมื่อผู้เขียนได้ค้นคว้าหลักฐานในอรรถกถา อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ๕.ปัตถนาสูตรที่ ๑ ก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าหลักสูตรศิลปศาสตร์มีเนื้อหาวิชาอะไรบ้าง ? แต่เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานในมิลินทปัญหา ตอนที่ ๑. เกี่ยวกับพระเจ้ามิลินท์แห่งเมืองสาคละ ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาเช่นเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะ แต่พระเจ้ามิลินท์ทรงศึกษาวิชาพระพุทธศาสนาเพิ่มอีก ๑ สาขาวิชา เป็น ๑๙ สาขาวิชา ได้แก่
๑. สูติ วิชาการฟังเสียงคนเสียงสัตว์ เพื่อให้รู้ว่าดีหรือร้าย
๒. สัมมุติ วิชาเกี่ยวกับกฎหมาย ธรรมเนียมและจารีตประเพณี
๓. สังขยา วิชาคำนวน
๔. โยคยันตร์ วิชาเกี่ยวกับการช่าง
๕. นิติ วิชาแบบแผนราชการ
๖. วิเสสิกา วิชาการค้าขาย
๗. คัมธัพพา การศึกษาเกี่ยวกับนาฏศิลป์
๘. คณิกา การศึกษาเกี่ยวกับกายบริหาร
๙. ธนุพเพธา การศึกษาเกี่ยวกับศิลปะการยิงธนู
๑๐. ปุราณ วิชาว่าด้วยโบราณคดี
๑๑. ติกิจฉา การศึกษาเกี่ยวกับการแพทย์
๑๒. อิติหาสา การศึกษาเกี่ยวกับตำนานหรือประวัติศาสตร์
๑๓. โชติ การศึกษาเกี่ยวกับดาราศาสตร์
๑๔. มายา การศึกษาเกี่ยวกับตำราพิชัยสงคราม
๑๕. ฉันทสา การศึกษาเกี่ยวกับการประพันธ์
๑๖. เกตุ การศึกษาเกี่ยวกับการพูด
๑๗. มันตา การศึกษาเกี่ยวกับการสวดมนต์
๑๘. สัททา การศึกษาเกี่ยวกับภาษาและไวยากรณ์ เป็นต้น
ดังนั้น การศึกษาศิลปศาสตร์จึงแบ่งความรู้ของมนุษย์ออกเป็น ๒ ประเภทคือ
๑.ความจริงที่สมมติขึ้น
๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์ เป็นต้น
จึงเราสามารถอธิบายขยายความรู้ให้เกิดความเข้าใจได้มากขึ้นดังนี้
๒.๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์ โดยทั่วไป ความรู้ที่เป็นความจริงขั้นปรมัตถ์นั้นได้แก่วิชาพระพุทธศาสนาที่มีเนื้อหาวิชาประกอบด้วยภาคทฤษฏี ที่เรียกว่า "ภาคปริยัติ ภาคปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ และภาคปฏิเวธ ซึ่งเป็นผลจากการปฏิบัติ ที่เรียกว่าความจริงขั้นปรมัตถ์ เป็นต้น
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหลักสูตรศิลปศาสตร์
เมื่อผู้เขียนสืบสวนข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับหลักสูตรศิลปศาสตร์ที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษา ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ และฉบับอื่น ๆ อรรถกถาและเอกสารทางวิชาการอื่น ๆเป็นต้นฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นพระโอรสองค์โต ของพระเจ้าสุทโธทนะและพระราชินีมายาเทวี พระเจ้าสุทโธทนะทรงกำหนดให้พระราชโอรสของพระองค์ ทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นมหาราชาทรงให้มีหน้าที่ปกครองแคว้นสักกะในอนาคต พระองค์ทรงโปรดให้พระโอรสองค์โต ได้รับการศึกษาที่ดีในหลักสูตรศิลปศาสตร์จำนวน ๑๘ วิชา จากสำนักการศึกษาครูวิศวามิตร เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาจบแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะทรงสร้างปราสาทสามฤดู เป็นที่ประทับของพระองค์มีข้าราชบริพารและนางสนม ๔๐,๐๐๐ คนที่คอยรับใช้พระองค์ในแต่ละวัน ทรงโปรดให้เจ้าชายสิทธัตถะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงพิมพาแห่งราชวงศ์โกลิยะ และทรงมีพระราชโอรส ๑ องค์คือเจ้าชายราหุล เป็นต้น
ปัญหาว่า "เราจะอย่างไรว่าเจ้าชายสิทธัตถะสำเร็จการศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์นั้นเป็นความจริง เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงดำริให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของแคว้นสักกะ พระองค์ทรงก็บัญชาให้เจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษาด้านศิลปศาสตร์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ทุกพระองค์จะต้องมีความรู้ในด้านศิลปศาสตร์นี้ ดังปรากฎหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๔๕ เล่มที่ ๒๒ พระสุตันตปิฎกเล่มที่๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ๕. ปฐมปัตถนาสูตรว่าด้วยความปราถนาสูตร ข้อ [๑๓๕] ภิกษุทั้งหลายพระราชโอรสองค์ใหญ่ของกษัตราธิราชผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว ทรงประกอบด้วยองค์๕ ประการย่อมปรารถนาราชสมบัติ องค์ ๕ ประการ อะไรบ้างคือ คือพระราชโอรสองค์ใหญ่ของกษัตราธิราชผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้วในโลกนี้
(๑) เป็นผู้มีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายพระมารดาและฝ่ายพระบิดาถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ตลอดเจ็ดชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใครจะคัดค้านตำหน้เพราะอ้างถึงชาติตระกูล
(๒) เป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส มีฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก
(๓) เป็นที่รัก เป็นที่พอพระทัยของพระมารดาและพระบิดา
(๔) เป็นที่รักที่พอใจของชาวนิคมและชาวชนบท
(๕) เป็นผู้ได้รับการศึกษาดีในศิลปศาสตร์แห่งกษัตราธิราช ผู้ได้รับมูธราภิเษกแล้ว เช่นศิลปศาสตร์เรื่องช้างม้า รถ ธนูหรือดาบ พระราชโอรสองค์ใหญ่นั้น ทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า "เรามีชาติกำเนิดดีทั้งฝ่ายพระมารดาและฝ่ายบิดา ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ดีตลอดจนเจ็ดชั่วโคตรบรรพบุรุษไม่มีใครจะคัดค้านตำหนิได้"
จากข้อเท็จจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ ได้กล่าวไว้ว่าถึงคุณสมบัติของพระโอรสองค์โต ที่ทรงประสงค์จะทรงขึ้นครองราชย์ต้องมีคุณสมบัติ ๕ ประการ กล่าวคือ ต้องมีชาติกำเนิดดี มีรูปร่างหน้าตาดีเป็นที่เลื่อมใส เป็นที่รักพอพระทัยของพระบิดาและพระมารดา เป็นที่รักของประชาชน และทรงได้รับการศึกษาดีในด้านศิลปศาสตร์ เป็นต้น เมื่อข้อเท็จจริงรับเป็นที่ยอมรับกันแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นพระโอรสองค์โตของพระเจ้าสุทโธทนะและพระราชินีมายาเทวี พระองค์ทรงมีรูปร่างหน้าตาดี เพราะทรงมีมหาบุรุษ (มหาปุริลักษณะ) พระบิดาทรงปรารถนาให้พระโอรสขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากพระองค์ โดยมีสิทธิและหน้าที่ในการปกครองราษฎรแห่งแคว้นสักกะ พระองค์จึงทรงให้การศึกษาในด้านศิลปศาสตร์แก่เจ้าชายสิทธัตถะเป็นอย่างดี เพื่อเตรียมความพร้อมเป็นกษัตริย์ในอนาคต
ผู้เขียนมีความเห็นว่าระบบการศึกษาก่อนสมัยพุทธกาล ไม่มีหลักสูตรที่ชัดเจน และไม่มีการประกาศกฎหมายบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรมเหมือนปัจจุบัน จึงไม่มีอาคารเรียนและสำนักงานใหญ่โตที่เรียกว่าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย เมื่อไม่มีกฎหมายรองรับเหมือนปัจจุบันนั้น สถาบันการศึกษาเป็นเพียงสถาบันขนาดเล็กและไม่มีการพัฒนานวัตรกรรมสมัยใหม่ เช่น ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมาและเขียนเป็นตำราเรียน เพื่อเผยแผ่ความรู้เกี่ยวกับวิชาต่าง ๆ ครูจึงสอนโดยใช้วิธีการแบบปากเปล่า (หรือมุขปาฐะ) ดังนั้น ความรู้ที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ศึกษาเล่าเรียนมานั้น ยังคงเป็นความจำที่สั่งสมอยู่ในพระทัย (จิตใจ) และติดตามชีวิตของพระองค์ไปทุกหนทุกแห่ง แม้หลังจากพระองค์ผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ก็ทรงนำความรู้ทางโลกที่ติดตัวของพระองค์ทรงมาบูรณาการกับหลักธรรมแห่งการตรัสรู้ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปในประเทศต่าง ๆ ด้วยอธิบายอธิบายและเผยแพร่ ทำให้เข้าใจง่าย จึงเป็นที่ศรัทธาของผู้คนจำนวนมาก หลังจากพระองค์ปรินิพพาน คณะสงฆ์ได้จัดตั้งสภาสังคายนาพระไตรปิฎกหลายครั้ง เพื่อรวบรวมหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ในพระไตรปิฎกหลายฉบับ เป็นต้น ในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรศิลปศาสตร์ ผู้เขียนศึกษาข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยฉบับปกสีฟ้า ๔๕ เล่มว่า มีเนื้อหาสาระวิชาศิลปศาสตร์หรือไม่เพียงใด ?
๑. หลักสูตรภาษาสัตว์
เป็นวิชาว่าด้วยเสียงสัตว์ร้องเป็นวิชาศิลปศาสตร์อีกวิชาหนึ่งที่ชนวรรณะกษัตริย์ (Royal caste) ต้องศึกษา ในเวลาต่อมา มีการค้นพบหลักฐานว่า กษัตริย์มิลินท์เคยศึกษาหลักสูตรภาษาสัตว์มาก่อน ปัญหาว่าหลักสูตรศิลปศาสตร์ มีหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ หรือไม่ เมื่อผู้เขียนใส่คำว่า "เสียงสัตว์" ในแอพพลิเคชั่นของพระไตรปิฎกออนไลน์ผลการสืบค้นได้พบหลักฐานในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกที่ ๑ ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๔๕ เล่ม ฑีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๒.สามัญญผลสูตร เป็นการสนทนาธรรมระหว่างพระเจ้าอชาตศัตรูกับศากยมุนีพระพุทธเจ้า ข้อ ๒๐๕ ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชา เช่น ที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวกฉันโภชนาหาร ที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้วยังเลี้ยงชีพผิดทางด้วยเดรัจฉานวิชาอย่างนี้ คือการทำนายอวัยวะ ทำนายตำหนิ ทำนายดวงชะตา(โชคลาง) ทำนายความฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายผ้าหนูกัด การทำพิธีบูชาไฟ พิธีเบิกแว่นเวียนเทียน พิธีซัดแกรบบูชาไฟ พิธีซัดรำบูชาไฟ พิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ พิธีเติมเนยบูชาไฟ พิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ พิธีพ่นไฟเครื่องบูชาไฟ พิธีพลีกรรมด้วยเลือด วิชาดูอวัยวะ วิชาดูพื้นที่ วิชาการปกครอง วิชาทำเสน่ห์เวทมนตร์ไล่ผี วิชาตั้งศาลพระภูมิ วิชาหมองู วิชาว่าด้วยพิษ วิชาว่าด้วยแมลงป่อง วิชาว่าด้วยหนู วิชาว่าด้วยเสียงนก วิชาว่าด้วยเสียงกา วิชาทายอายุ วิชาป้องกันลูกศร วิชาว่าด้วยเสียงสัตว์ร้อง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น