The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บทนำ: พุทธคยา, สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในปรัชญาแดนพุทธภูมิ

Introduction: the Bodhgaya,  Buddha's Enlightenment Place in Buddhaphumi 's philosophy


สารบาญ
๑. บทนำ
๒. ที่มาของความรู้ : สถานที่ตรัสรู้
๓. วิธีปฎิบัติบูชาในสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

๑.บทนำ
      
               ผู้เขียนนับถือพระพุทธศาสนาโดยกำเนิด  เนื่องจากพ่อแม่นับถือพระพุทธศาสนา ตามประเพณีที่บรรพบุรุษปฎิบัติต่อ ๆ กันมา บทเรียนแรก คือ การเรียนรู้เรื่อง "บุญกิริยาวัตถุ" ๓ ประการคือ การให้ทาน การรักษาศีล และการภาวนา  โดยการทำบุญโดยการใส่บาตรพระสงฆ์เป็นประจำทุกวันที่หน้าบ้าน            เมื่อเติบโตขึ้นได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่วัดในหมู่บ้าน และศึกษาพระพุทธศาสนาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เมื่อผู้เขียนอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสศึกษาพระพุทธศาสนาจากสำนักของนักธรรมสนามหลวง      ที่ตั้งอยู่ในวัดแห่งหนึ่งที่ผู้เขียนจำพรรษาในเวลานั้น  

       เมื่อผู้เขียนศึกษาวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยจากตำราเรียนและพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ   ผู้เขียนได้รับรู้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในสมัยก่อนพุทธกาลนั้น "อุรุเวลาเสนานิคม" ตั้งอยู่ที่แคว้นมคธ (Magadha)   ซึ่งปัจจุบัน ก็คือ เมืองพุทธคยา อำเภอคยา รัฐพิหาร          ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงค้นพบมรรคมีองค์ ๘   อันเป็นหนทางในการปฎิบัติธรรมให้บรรลุธรรมเหนือวิสัยของมนุษย์หรือที่เราเรียกว่า "การตรัสรู้" กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ ที่ระบุว่าชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยร่างกายและจิตใจในครรภ์มารดาเป็นเวลา ๙ เดือน เมื่อทารกเกิดมาเติบโตเป็นมนุษย์  พ่อแม่ก็จะตั้งชื่อให้เป็นมนุษย์คนใหม่           
 
          แคว้นสักกะเป็นรัฐของศาสนาพราหมณ์ เพราะสมาชิกรัฐสภาแห่งแคว้นสักกะ ได้บัญญัติคำสอนของพราหมณ์อารยันนั้นเป็นทั้งคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี โดยแบ่งชาวแคว้นสักกะออกเป็น ๔ วรรณะคือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร เป็นต้น  เมื่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์เป็นกฎหมายจารีตประเพณี ย่อมมีสภาพบังคับตามกฎหมายคือห้ามมิให้ร่วมประเวณีกับคนต่างวรรณะและปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น บทลงโทษผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายวรรณะคือการลงพรหมทัณฑ์จากสังคมส่วนคนจัณฑาลเป็นนักโทษที่ถูกสังคมลงโทษ เพราะพวกเขาได้กระทำความผิดฐานละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์          และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีอย่างร้ายแรงด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับคนต่างวรรณะหรือปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น  พวกเขาจึงถูกคนในสังคมตรวจสอบข้อเท็จจริง           และรวบรวมพยานหลักฐานได้อย่างเพียงแล้ว    เพื่อเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ   เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นว่า จริงหรือเท็จตามข้อกล่าวหานั้น  หากข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหามีความสมเหตุสมผล ก็จะถูกคนในสังคมลงโทษโดยขับไล่ออกจากสังคมที่เคยพำนักอาศัยไปตลอดชีวิต ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนไปตามถนนในพระนครใหญ่ แม้จะแก่  ป่วย และนอนตายอยู่ข้างทางและต้องเสียสิทธิและหน้าที่ตามวรรณะเดิม เป็นต้น 

               เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จเยี่ยมราษฎรในพระนครกบิลพัสดุ์ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นปัญหาความทุกข์ยากในหมู่จัณฑาล ซึ่งถูกคนในสังคมลงโทษ             ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนไปตามถนนในพระนครกบิลพัสดุ์ และพระนครใหญ่อื่น ๆ ไปตลอดชีวิต    เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเมตตากรุณาธิคุณต่อจัณฑาลเพื่อช่วยจัณฑาลให้พ้นทุกข์ พระองค์ทรงสืบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้      และรวบรวมหลักฐานจากคำให้การของปุโรหิตที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะ พระบิดา เป็นต้น   พระองค์ทรงได้ฟังข้อเท็จจริงได้เบื้องต้นว่า       คำสอนของพราหมณ์นั้นพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา 

             แม้บรรดาปุโรหิตจะยืนยันความจริงว่า พระพรหมและพระอิศวร  เป็นผู้สร้างมนุษย์และโลกก็ตาม     แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงถามถึงประวัติความเป็นมาของพระพรหมและพระอิศวรแล้ว     แต่ปุโรหิตคนใดไม่สามารถตอบพระองค์ได้     เมื่อคำให้การของปุโรหิตเป็นที่สงสัย      เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยถึงการมีอยู่ของเหล่าทวยเทพเจ้า และพระองค์จึงทรงพิจารณาดูแล้วเห็นว่า พระองค์ทรงไม่เชื่อในความมีอยู่ของเทพเจ้าตามคำสอนของพราหมณ์ปุโรหิตแล้ว    พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัย ที่จะเสนอกฎหมายเพื่อยกเลิกระบบวรรณะในแคว้นสักกะต่อรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ โดยมีพระเจ้าสุทโธทนะทรงเป็นประธานรัฐสภาศากยวงศ์ 

             แต่สมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะได้พิจารณาและลงมติเป็นเอกฉันทฺ์ ไม่เห็นชอบด้วยกับกฎหมายยกเลิกวรรณะ ตามที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสนอ  เนื่องจากเห็นว่า กฎหมายยกเลิกวรรณะขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งแคว้นสักกะ ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ เรียกว่า "ธรรมะของกษัตริย์"หรือ "หลักนิติศาสตร์" ที่ใช้ในการปกครองประเทศที่เรียกว่า "หลักอปริหานิยธรรม" ซึ่งเทียบเท่ากับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ที่เขียนขึ้นในยุคปัจจุบัน  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงดำริถึงปัญหาจัณฑาล ซึ่งสูญเสียสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะและยังไม่ได้รับการแก้ไขให้กลับคืนสู่สถานะเดิมในสังคมได้  พระองค์ทรงเห็นว่าในอนาคต   แม้พระองค์จะทรงยังคงมีสิทธิและหน้าที่ปกครองประเทศตามวรรณะกษัตริย์ที่พระองค์ประสูติ ทรงดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยต่อจากพระบิดาก็ตาม 

           แต่พระองค์ก็ทรงไม่สามารถเสนอกฏหมายปฏิรูปสังคมให้ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกันในอาชีพการงานได้ ปัญหาวรรณะก็ไม่สามารถแก้ไขได้หมดสิ้น เพราะขัดต่อหลักการปกครองประเทศของพระมหากษัตริย์   พระองค์จะปฏิรูปสังคม โดยให้ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่เท่าเทียมกันในอาชีพการงาน  เมื่อพระองค์ทรงระลึกถึงสาเหตุของปัญหา ถ้าพระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้วตายแล้วสูญ   มีชีวิตอมตะโดยไม่ต้องเป็นคนแก่ชรา คนเจ็บป่วยไข้และคนต้องตายเช่นพวกจัณฑาล ที่พระองค์ทรงเห็นสองข้างถนนในพระนครกบิลพัสดุ์ 

          ด้วยข้อเท็จจริง (facts) ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงสงสัยว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้าที่ไม่มีอยู่จริง แม้ว่าคำสอนของศาสนาพราหมณ์จะมีการปฏิบัติในการบูชายัญ เพื่อเข้าถึงความจริงของการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวรก็ตาม หากเจ้าชายสิทธัตถะจะทรงบูชายัญด้วยพระองค์เอง ก็ทรงไม่สามารถทำได้เพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น เมื่อนึกถึงข้อเท็จจริงได้เช่นนี้แล้ว พระองค์ตัดสินพระทัยออกผนวชเพื่อแสวงหาเหตุผลของคำตอบในสัจธรรมของชีวิตด้วยพระองค์เอง   

         เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงศึกษาหาความรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เป็นเวลาถึง ๖ ปี    ทรงบรรลุความจริงของชีวิตมนุษย์ตามกฎธรรมชาติที่เรียกว่า"อภิญญา๖" ทรงตรัสรู้ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ว่า      ความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์นั้นมีจิตวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริง และตกอยู่ภายใต้ในกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏของมนุษย์ ทิพยจักษุของพระองค์ทรงเห็นจิตวิญญาณมนุษย์ไปเกิดใหม่ในโลกอื่น ๆ ตามกรรมของตัวเอง ทำให้พระองค์เกิดนิพพิทา (ความเบื่อหน่าย) ของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏไม่รู้จักจบสิ้นทรงชำระกิเลสที่สั่งสมในจิตวิญญาณมายาวนานด้วยความรู้ที่เรียกว่า "อาสวักขยญาณ" 

        ผลของการตรัสรู้แจ้งของพระพุทธเจ้า ทำให้มนุษย์มีความรู้ว่ามนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ให้บรรลุถึงอุดมคติสูงสุด ที่มนุษย์ควรเป็นในชาตินี้ได้ ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นทำให้ผู้เขียนสงสัยว่าเราจะรู้ความจริงได้อย่างไรว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าใช้ปฏิบัติธรรม จนกระทั่งตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์นั้นตั้งริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ เมื่อ ๒,๖๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้น  

       ในยุคปัจจุบันนั้นสถานที่ตรัสรู้นั้นตั้งอยู่ที่ไหนในสาธารณรัฐอินเดียผู้เขียนจึงตัดสินใจศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ Buddha's Enlightenment  Place (สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า)   โดยสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ ได้แก่ พระไตรปิฎก   อรรถกถา  บทความวิชาการต่าง ๆ  บันทึกของนักแสวงบุญชาวจีน ๒ ท่านคือ สมณะฟาเหียนและพระถัมซั่ม  พยานวัตถุได้แก่ เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช และสถานโบราณอีกหลายแห่ง สร้างขึ้นมาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นต้น เพื่อเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้  เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบเรื่องพุทธคยา, สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ว่าเป็นความจริงที่มีความสมเหตุสมผล เป็นต้น  

          ผู้เขียนจะเขียนคำตอบในรูปบทความ เชิงวิเคราะห์ เนื้อหาของบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่พระนักเทศน์ใช้บรรยายแก่ผู้แสวงบุญในแดนพุทธภูมิ ให้เป็นความรู้ และความเข้าใจในความจริงเป็นไปในแนวทางเดียวกัน นอกจากนี้กระบวนการพิจารณาความจริง จะเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยของนิสิตระดับปริญญาเอกสาขาพระพุทธศาสนา ใช้เป็นแนวทางวิเคราะห์ความรู้ ที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินที่สมเหตุสมผล ปราศจากข้อสงสัย ในเหตุผลของความเป็นจริงในพระพุทธศาสนาอีกต่อไป. 

1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

สาธุครับ กว่าอาจารย์จะมาถึงจุดปัจจุบัน อนุโมทนาบุญด้วยครับ

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ