Introduction: the Bodhgaya, Buddha's Enlightenment Place in Buddhaphumi 's philosophy
สารบาญ
๑. บทนำ
๒. ที่มาของความรู้ : สถานที่ตรัสรู้
๓. วิธีปฎิบัติบูชาในสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ผู้เขียนเป็นชาวพุทธโดยกำเนิด เนื่องจากพ่อแม่เป็นชาวพุทธโดยยึดถือประเพณีที่บรรพบุรุษได้ปฎิบัติตาม ๆ กันมา บทเรียนแรก คือ การเรียนรู้เกี่ยวกับ "บุญกิริยาวัตถุ" ๓ ประการคือ การให้ทาน การรักษาศีลและการภาวนา โดยทำบุญด้วยยการตักบาตรพระสงฆ์ที่หน้าบ้านทุกวัน เมื่อเติบโตขึ้นได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาในวันสำคัญทางพุทธศาสนาที่วัดในหมู่บ้าน และศึกษาพระพุทธศาสนาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เมื่อผู้เขียนอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้มีโอกาสศึกษาพระพุทธศาสนาจากสำนักธรรมสนามหลวง ที่ตั้งอยู่ในวัดแห่งหนึ่งที่ผู้เขียนจำพรรษาอยู่ในขณะนั้น
เมื่อผู้เขียนศึกษาพระพุทธศาสนาจากตำราเรียนของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยและพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ ผู้เขียนได้รับรู้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะเสด็จมาเพื่อแสวงหาสัจธรรมของชีวิตที่ "อุรุเวลาเสนานิคม" ตั้งอยู่ที่แคว้นมคธหรือประเทศมคธ (Magadha country) ซึ่งปัจจุบันคือตำบลพุทธคยา อำเภอคยา รัฐพิหาร ซึ่งเป็นที่ที่พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงค้นพบมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นหนทางในการปฎิบัติธรรม เพื่อบรรลุธรรมเหนือวิสัยของมนุษย์หรือที่เราเรียกว่า "การตรัสรู้" กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ที่ระบุว่า ชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยร่างกายและจิตใจในครรภ์มารดาเป็นเวลา ๙ เดือน เมื่อทารกเกิดมาและเติบโตเป็นมนุษย์ พ่อแม่จะตั้งชื่อของลูกให้เป็นมนุษย์คนใหม่
การเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ของแคว้นสักกะหรือประเทศสักกะ (Sakka country) เนื่องจากรัฐสภาแห่งชาติสักกะได้ตราคำสอนของพราหมณ์อารยัน เป็นทั้งคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ กฎหมายฉบับนี้ได้แบ่งประชาชนในแคว้นสักกะ ออกเป็น ๔ วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร เป็นต้น เมื่อเป็นกฎหมายวรรณะย่อมมีสภาพบังคับให้ประชาชนในประเทศต้องปฏิบัติตามกฎหมาย คือห้ามร่วมประเวณีกับคนวรรณะอื่นและปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายวรรณะคือ การลงพรหมทัณฑ์จากผู้คนในสังคมตลอดชีวิต ต้องใช้ชีวิตอย่างคนเร่ร่อนไปตามถนนในพระนครใหญ่ แม้ว่าจะเป็นคนแก่ เจ็บป่วย และเสียชีวิตอยู่ข้างถนนสูญเสียสิทธิและหน้าที่ในวรรณะเดิม เป็นต้น
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จเยี่ยมราษฎรในพระนครกบิลพัสดุ์ พระองค์ทรงเห็นปัญหาความทุกข์ยากของชนจัณฑาล ที่ถูกคนในสังคมลงโทษ และต้องเร่ร่อนไปตามถนนในเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองใหญ่อื่น ๆ ตลอดชีวิต เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเมตตากรุณาธิคุณต่อจัณฑาลเพื่อช่วยให้พวกเขาพ้นจากความทุกข์ยาก พระองค์ทรงสืบหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ และรวบรวมหลักฐานจากคำให้การของปุโรหิตที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะ พระบิดา เป็นต้น พระองค์ทรงได้ฟังข้อเท็จจริงได้เบื้องต้นว่า คำสอนของพราหมณ์นั้นพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา

แม้บรรดาปุโรหิตจะยืนยันความจริงว่า พระพรหมและพระอิศวร เป็นผู้สร้างมนุษย์และโลกก็ตาม แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงถามถึงประวัติความเป็นมาของพระพรหม และพระอิศวรแล้ว แต่ปุโรหิตคนใดไม่สามารถตอบพระองค์ได้ เมื่อคำให้การของปุโรหิตเป็นที่สงสัยเจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยถึงการมีอยู่ของเหล่าทวยเทพเจ้า และพระองค์จึงทรงพิจารณาดูแล้ว เห็นว่า พระองค์ทรงไม่เชื่อในความมีอยู่ของเทพเจ้าตามคำสอนของพราหมณ์ปุโรหิตแล้วพระองค์จึงทรงตัดสินพระทัย ที่จะเสนอกฎหมายเพื่อยกเลิกระบบวรรณะในแคว้นสักกะต่อรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ โดยมีพระเจ้าสุทโธทนะทรงเป็นประธานรัฐสภาศากยวงศ์
แต่สมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะได้พิจารณาและลงมติเป็นเอกฉันทฺ์ ไม่เห็นชอบด้วยกับกฎหมายยกเลิกวรรณะ ตามที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสนอ เนื่องจากเห็นว่า กฎหมายยกเลิกวรรณะขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งแคว้นสักกะ ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณเรียกว่า "ธรรมะของกษัตริย์" หรือ "หลักนิติศาสตร์" ที่ใช้ในการปกครองประเทศที่เรียกว่า "หลักอปริหานิยธรรม" ซึ่งเทียบเท่ากับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ที่เขียนขึ้นในยุคปัจจุบัน เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงดำริถึงปัญหาจัณฑาล ซึ่งสูญเสียสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะ และยังไม่ได้รับการแก้ไขให้กลับคืนสู่สถานะเดิมในสังคมได้ พระองค์ทรงเห็นว่าในอนาคต แม้พระองค์จะทรงยังคงมีสิทธิและหน้าที่ปกครองประเทศตามวรรณะกษัตริย์ที่พระองค์ประสูติ ทรงดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยต่อจากพระบิดาก็ตาม
แต่พระองค์ก็ทรงไม่สามารถเสนอกฏหมายปฏิรูปสังคมให้ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกันในอาชีพการงานได้ ปัญหาวรรณะก็ไม่สามารถแก้ไขได้หมดสิ้น เพราะขัดต่อหลักการปกครองประเทศของพระมหากษัตริย์ พระองค์จะปฏิรูปสังคม โดยให้ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่เท่าเทียมกันในอาชีพการงาน เมื่อพระองค์ทรงระลึกถึงสาเหตุของปัญหา ถ้าพระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้วตายแล้วสูญ มีชีวิตอมตะโดยไม่ต้องเป็นคนแก่ชรา คนเจ็บป่วยไข้และคนต้องตายเช่นพวกจัณฑาล ที่พระองค์ทรงเห็นสองข้างถนนในพระนครกบิลพัสดุ์
ด้วยข้อเท็จจริง (facts) ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงสงสัยว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้าที่ไม่มีอยู่จริง แม้ว่าคำสอนของศาสนาพราหมณ์จะมีการปฏิบัติในการบูชายัญ เพื่อเข้าถึงความจริงของการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวรก็ตาม หากเจ้าชายสิทธัตถะจะทรงบูชายัญด้วยพระองค์เอง ก็ทรงไม่สามารถทำได้เพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น เมื่อนึกถึงข้อเท็จจริงได้เช่นนี้แล้ว พระองค์ตัดสินพระทัยออกผนวช เพื่อแสวงหาเหตุผลของคำตอบในสัจธรรมของชีวิตด้วยพระองค์เอง
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงศึกษาหาความรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เป็นเวลาถึง ๖ ปี ทรงบรรลุความจริงของชีวิตมนุษย์ตามกฎธรรมชาติที่เรียกว่า"อภิญญา๖" ทรงตรัสรู้ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ว่า ความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์นั้นมีจิตวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริง และตกอยู่ภายใต้ในกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏของมนุษย์ ทิพยจักษุของพระองค์ทรงเห็นจิตวิญญาณมนุษย์ไปเกิดใหม่ในโลกอื่น ๆ ตามกรรมของตัวเอง ทำให้พระองค์เกิดนิพพิทา (ความเบื่อหน่าย) ของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏไม่รู้จักจบสิ้น ทรงชำระกิเลสที่สั่งสมในจิตวิญญาณมายาวนานด้วยความรู้ที่เรียกว่า "อาสวักขยญาณ" ผลของการตรัสรู้แจ้งของพระพุทธเจ้า ทำให้มนุษย์มีความรู้ว่า มนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ให้บรรลุถึงอุดมคติสูงสุด ที่มนุษย์ควรเป็นในชาตินี้ได้

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ทำให้ผู้เขียนสงสัยว่าเราจะรู้ความจริงได้อย่างไรว่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าใช้ปฏิบัติธรรม จนกระทั่งตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์นั้นตั้งริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ เมื่อ ๒,๖๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้น
ในยุคปัจจุบันนั้นสถานที่ตรัสรู้นั้นตั้งอยู่ที่ไหนในสาธารณรัฐอินเดีย ผู้เขียนจึงตัดสินใจศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (Buddha's Enlightenment Place) โดยสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ ได้แก่ พระไตรปิฎก อรรถกถา บทความวิชาการต่าง ๆ บันทึกของนักแสวงบุญชาวจีน ๒ ท่านคือ สมณะฟาเหียนและพระถัมซั่ม พยานวัตถุได้แก่ เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชและสถานโบราณอีกหลายแห่ง สร้างขึ้นมาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นต้น เพื่อเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบเรื่องพุทธคยา, สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่าเป็นความจริงที่มีความสมเหตุสมผล เป็นต้น
ผู้เขียนจะเขียนคำตอบในรูปบทความ เชิงวิเคราะห์ เนื้อหาของบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่พระนักเทศน์ใช้บรรยายแก่ผู้แสวงบุญในแดนพุทธภูมิ ให้เป็นความรู้ และความเข้าใจในความจริงเป็นไปในแนวทางเดียวกัน นอกจากนี้กระบวนการพิจารณาความจริง จะเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยของนิสิตระดับปริญญาเอกสาขาพระพุทธศาสนา ใช้เป็นแนวทางวิเคราะห์ความรู้ ที่ผ่านเกณฑ์การตัดสินที่สมเหตุสมผล ปราศจากข้อสงสัย ในเหตุผลของความเป็นจริงในพระพุทธศาสนาอีกต่อไป.
1 ความคิดเห็น:
สาธุครับ กว่าอาจารย์จะมาถึงจุดปัจจุบัน อนุโมทนาบุญด้วยครับ
แสดงความคิดเห็น