The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บทนำ : ปรัชญาพุทธภูมิ



Introduction:  Buddhaphumi philosophy


๑.บทนำ            

      การศึกษาต่อต่างประเทศเป็นความฝันของผู้เขียนมาตั้งแต่เด็ก และตอนนี้ในวัยเกือบ ๔๓  ปี ความฝันของผู้เขียนก็ยังคงเลือนลางลงเรื่อย ๆ  ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ความฝันก็ยิ่งเลือนลางออกขึ้นเท่านั้น   อย่างไรก็ตาม
ผู้เขียนยังคงสนุกกับจินตนาการที่ไร้ขอบเขตหรือการสร้างภาพในใจอย่างต่อเนื่อง  และผู้เขียนไม่เคยละทิ้งความฝันนี้    ผู้เขียนเริ่มมองหาวิธีที่จะทำให้ความฝันนี้เป็นจริงด้วยสะสมทุนการศึกษาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีทุนการศึกษาเพียงพอแล้ว ผู้เขียนก็ยังไม่รู้ว่าจะสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยต่างประเทศอย่างไร  อย่างไรก็ตามในปีพ.ศ.๒๕๔๕ หลังจากปรึกษากับอาจารย์หลายท่าน และได้รับคำแนะเกี่ยวกับการศึกษาต่อต่างประเทศ ผู้เขียนจึงพบโอกาสมากมายในการเรียนรู้เกี่ยวกับทางเลือกต่าง ๆที่มีอยู่ สำหรับการศึกษาต่อต่างประเทศ  

      ในปี ค.ศ.๒๐๐๒ ผู้เขียนสำเร็จการศึกษาจากคณะพุทธศาสตร์ ภาควิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น และตัดสินใจศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขาปรัชญาและศาสนาที่ Banaras Hindu University สาธารณรัฐอินเดีย หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบานารัสฮินดูแล้ว ผู้เขียนตั้งใจที่จะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญสักแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนแสวงหาชีวิตที่สงบสุขด้วยการทำสมาธิและการพึ่งพาตนเอง ส่วนเหตุผลที่ผู้เขียนเลือกศึกษาต่อที่อินเดียก็เพราะค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัยในอินเดียนั้นต่ำกว่าในประเทศไทยมาก รัฐบาลไทยยังให้การรับรองคุณภาพการศึกษาที่มหาวิทยาลัยบาณารัสฮินดูด้วย

      ผู้เขียนได้ยื่นใบสมัครผ่านกองวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพมหานครถึงมหาวิทยาลัยบานารัสฮินดู ในเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๔๕     มหาวิทยาลัยบาณารัสฮินดูได้อนุมัติให้ผู้เขียนเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สมาคมนักศึกษาไทยแห่งเมืองพาราณสีได้จัดพิธีต้อนรับนักศึกษาใหม่ในโครงการ "ตามรอยพระพุทธบาท" ณ สังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง พิธีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกฝนนักศึกษาใหม่ให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และพัฒนาศักยภาพเพื่อชีวิตที่เข้มแข็ง ผ่านการสวดมนต์ การทำสมาธิ การฟังพระธรรมเทศนาและการบรรยายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ณ สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงเคยแสดงพระธรรมเทศนา เช่น พระไตรปิฎกเถรวาทและมหายาน อรรถกถา และงานเขียนของพระภิกษุจีน เป็นต้น
    
      ในขณะที่ยังเป็นนักศึกษาปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยบานารัสฮินดู ผู้เขียนได้รับคำเชิญให้ไปบรรยายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ณ สถานที่ต่าง ๆ  ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของผู้เขียน แม้จะมีภาระหน้าที่อันหนักหน่วง แต่ผู้เขียนก็มั่นใจในตนเองว่า จะประสบความสำเร็จทั้งในการปฏิบัติศาสนกิจและเป้าหมายทางการศึกษา ผู้เขียนจึงหมั่นศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง การเทศนา ณ สถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเคยแสดงธรรมเทศนาเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ เราต้องระลึกไว้เสมอว่า การเทศนา  ณ  สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงเคยธรรมเทศนานั้นหาได้ยากในฐานะนักเทศน์ ผู้สั่งสอนแก่ผู้แสวงบุญในต่างแดน ผู้เขียนจึงต้องเตรียมความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจมีความรู้และทักษะในการเทศนา และเข้าใจประวัติศาสตร์ของสถานที่เหล่านั้น 

        ด้วยโอกาสอันดีที่ได้เผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติธรรมตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘  ให้แก่ผู้แสวงบุญทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ณ เมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่ง เราจึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพของพวกเขา และปลูกฝังความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา ปลูกฝังความเชื่อมั่นในตนเองว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหนทางที่ดีที่สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของมนุษย์ นั่นคือการหลุดพ้นจากความทุกข์  การมีศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและเพียรพยายามเพื่อบรรลุความสำเร็จนั้นจำเป็นต้องอาศัยสติสัมปชัญญะและตระหนักรู้ก่อนเริ่มปฏิบัติธรรม  เราตระหนักดีว่าโอกาสในการปฏิบัติธรรมในเมืองศักดิ์สิทธินั้นหาได้ยาก เราต้องรักษาสมาธิให้มั่นคงระหว่างปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุถึงความสงบสุขทางจิตใจ หรือความจริงขั้นปรมัตถ์ เป็นต้น เมื่อจิตใจของเราบริสุทธิ์ปราศจากอคติ เราจะพัฒนาบุคลิกภาพที่อ่อนโยนและถ่อมตน    ทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ดีและดำรงชีวิตอย่างมั่นคงในอุดมคติ เรามุ่งมั่นในหน้าที่ต่อผู้อื่นและประเทศชาติ เมื่อเผชิญกับความท้าทาย เราต้องจดจำความรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายใน และสั่งสมไว้เป็นข้อมูลทางอารมณ์ในจิตใจ ความรู้นี้จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับปัญหาต่าง ๆ ของเราเองได้ 
      
       
     
การเขียนบทความเกี่ยวกับความจริงของปรัชญา และพุทธศาสนาลงในบล็อคของผู้เขียน ทำให้นักวิชาการอย่างผู้เขียน ยากที่จะแสดงความคิดเห็นในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งอย่างน่าสนใจ และมีคุณค่าทำให้เป็นบทความที่ผู้อ่าน ควรค่าแก่การอ่านทุกวัน โดยผู้เขียนใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญา ใช้ในการอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับปรัชญา และพระพุทธศาสนาด้วยภาษาที่สวยงาม สิ่งนี้กระตุ้นให้ผู้อ่านติดตามผลงานของผู้เขียน และมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความที่พวกเขาอ่านนั้น  สิ่งนี้ช่วยเอาชนะความมืดมนทางจิตใจ  ทำให้พวกเขาดื่มดำกับความสุขจากจินตนาการหรือสร้างภาพในจิตใจจากการอ่านบทความ  ความสุขที่เกิดขึ้นในจิตใจคือความสบายใจจากจินตนาการภาพเกิดขึ้นในจิตใจ และปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ของแต่ละเรื่องนั้น พวกเขาสามารถแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล และคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่พวกเขาอ่านในบทความ  โดยใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบในบทความ เกี่ยวกับปรัชญาและพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างของข้อเท็จจริงที่ยกมานั้น ทำให้ผู้อ่านเข้าใจความจริงในของบทความวิชาการได้ยาก ซึ่งแตกต่างจากการอ่านนวนิยายยอดนิยมหลาย ๆ เรื่องที่ผู้อ่านสามารถเข้าถึงเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายผ่านจินตนาการของตนเอง 

      เนื่องจากจุดประสงค์ของการเขียนบทความเชิงวิชาการคือ เมื่อนักวิชาการได้ยินความจริงเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  พวกเขาจะไม่เชื่อทันทีว่าเป็นความจริงในทันที  พวกเขาจะสงสัยไว้ก่อนจนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงของประเด็นที่น่าสงสัย และรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เช่น พยานเอกสาร พยานวัตถุ พยานบุคคล และพยานเอกสารดิจิทัล เป็นต้น  เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ นักวิชาการจะใช้หลักฐานเหล่านี้    เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เหตุการณ์ทางสังคมของมนุษย์ และการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า  พวกเขาจะใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น  ๆ  ซึ่งถือเป็นความรู้ที่สมเหตุสมผล และสามารถอธิบายความจริงได้อย่างตรงไปตรงมา  เมื่อบทความวิชาการไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ทางโลกให้กับผู้อ่าน  สร้างความประทับใจหรือความพึงพอใจขณะอ่านได้ พวกเขาก็ไม่สามารถสร้างความสุขและจินตนาการอันงดงามได้ นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ผู้อ่านไม่ชอบอ่านบทความวิชาการ  พวกเขารู้สึกว่าบทความวิชาการนั้นเข้าใจยาก และไม่สามารถประยุกต์ความรู้ที่ได้รับจากบทความวิชาการไปใช้ในชีวิตประจำวันได้  อย่างน้อยที่สุดบทความวิชาการควรสร้างความพึงพอใจให้กับผู้อ่าน ด้วยการเรียนรู้จากจินตนาการภายในบทความนั้น ๆ   
    
    ในปัจจุบันบทความวิชาการเกี่ยวกับปรัชญาและพระพุทธศาสนาที่เผยแพร่ทางออน ไลน์มักมีแนวคิดซ้ำซาก และขาดข้อเท็จจริงใหม่ ๆ  ที่จะนำเสนอต่อสังคมและความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น  แม้ว่านักวิชาการจะใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้  เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบของพวกเขา  แต่คนในแวดวิชาการเป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้และมีอคติต่อผู้อื่น แต่ชีวิตของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความมืดมน ขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์   ดังนั้น การใช้เหตุผลของนักวิชาการเพื่ออธิบายความจริงเกี่ยวกับปรัชญาและพระพุทธศาสนา  จึงบางครั้งถูกต้อง บางครั้งไม่ถูกต้อง บางครั้งก็ให้เหตุผลในลักษณะนี้หรือลักษณะนั้น  เมื่อเหตุผลของคำตอบยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจนวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ จึงทรงไม่เชื่อว่าความคิดเห็นดังกล่าวเป็นความจริง เนื่องจากนักวิชาการยกตัวอย่างมาแสดงมีน้อยเกินไปไม่เพียงพอ ที่จะให้ผู้อ่านเข้าใจความจริงทางปรัชญาและพระพุทธศาสนาอย่างครอบคลุม บทความวิชาการจึงขาดข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้สำหรับการอ่านเชิงปรัชญาในชีวิตประจำวัน ยิ่งไปกว่านั้น ตัวตนของผู้เขียนบทความยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวคิดทางปรัชญาของพวกเขา  พวกเขามีแนวคิดแบบนักอุดมคตินิยม นักเหตุผลนิยม นักปรัชญาสมัยใหม่ หรือนักปรัชญาการเมือง แนวคิดเหล่านี้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่าน ศึกษากระบวนการคิดของนักปรัชญาเหล่านี้และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ 

    แม้ว่านักวิชาการส่วนใหญ่จะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและมีข้อมูลอ้างอิงที่ดี แต่เมื่อพวกเขาไม่มีข้อเท็จจริงใหม่ ๆ เพื่อนำเสนอต่อสาธารณชน เพื่อเป็นตัวอย่างหรือข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้เชิงตรรกะหรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น    พวกเขาใช้เหตุผล  ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบในประเด็นต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล สิ่งนี้ทำให้เนื้อหาของบทความเชิงปรัชญาเหล่านั้น กลายเป็นเรื่องของการคาดการณ์ความจริงของเหตุการณ์ในอนาคต นักวิชาการเหล่านั้นอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ได้ บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น เมื่อเหตุผลของคำตอบยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจนวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถยอมรับได้ และผู้อ่านไม่สนใจที่จะอ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีกต่อไป     
    

    แต่ในฐานะอาจารย์ด้านปรัชญา ผู้เขียนได้พิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปรัชญา พุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ วิชาเหล่านี้ถือเป็นความรู้ของมนุษย์ซึ่งเราเรียกว่า นักปรัชญา เจ้าชายสิทธัตถะ และนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น มนุษย์ทุกคนมีองค์ประกอบชีวิตที่เหมือนกัน คือร่างกายและจิตใจ     ความรู้ของนักปรัชญา พระพุทธเจ้า และนักวิทยาศาสตร์ ล้วนเกิดจากอายตนะภายในร่างกายซึ่งทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างจิตใจกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วหายไปจากการรับรู้ของอายตนะภายในของมนุษย์ 

      อย่างไรก็ตาม นี่คือธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ เมื่อจิตใจของมนุษย์รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านอายตนะภายในร่างกาย จิตใจจะรวบรวมเหตุการณ์เหล่านั้นไว้ เป็นหลักฐานทางอารมณ์และสั่งสมไว้ในจิตใจ   เมื่อจิตใจรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง  มันจะคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้นโดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงของสิ่งนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงอย่างไรก็ตาม  บางคนเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญามักแสดงธรรมะของตนเองตามหลักเหตุผล และคาดคะเนความจริงในลักษณะนี้ บุคคลเหล่านี้มักใช้เหตุผลอธิบายความจริง  บางครั้งใช้เหตุผลที่ถูกต้อง  บางครั้งใช้เหตุผลผิด  บางครั้งใช้เหตุผลในลักษณะนั้น บางครั้งใช้เหตุผลในลักษณะนี้บ้าง เมื่อเหตุผลของคำตอบยังคลุมเครือและไม่ชัดเจนว่าความจริงเกิดขึ้นได้อย่างไร? วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าทรงไม่เชื่อว่า เหตุผลของความคิดเห็นเหล่านั้นเป็นความจริง  อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องเหล่านี้ พระองค์จะทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว พระองค์ทรงใช้หลักฐานนั้น เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงโดยอาศัยเหตุผลเพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นต่อไป   
   
         ยกตัวอย่างเช่น ตามคำสอนของพระพุทธศาสนานั้นเมื่อพราหมณ์บางคนในโลกเป็นนักตรรกศาสตร์นักปรัชญาเชื่อว่าพระพรหม และ พระอิศวรสร้างมนุษย์จากร่างกายของพระองค์เอง และสร้างวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากคำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะ  ซึ่งมีสภาพบังค้บตามกฎหมายวรรณะให้ประชาชนในแคว้นสักกะต้องปฏิบัติตามคือ ประชาชนถูกห้ามมิให้มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างวรรณะ และห้ามประชาชนปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นของวรรณะอื่นอย่างไรก็ตาม มนุษย์เกิดมาด้วยความไม่รู้ เมื่อไม่ได้ศึกษาหาความรู้และไม่สามารถควบคุมกิเลสของตนได้ พวกเขาก็ยังกระทำความผิดร้ายแรง โดยละเมิดคำสอนทางศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ ได้กำหนดบทลงโทษไว้ด้วยการลง "พรหมทัณฑ์" ซึ่งหมายถึงการขับไล่ออกจากสังคมตลอดชีวิต และไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะเดิมได้ดังนั้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเรื่อง"พระพรหม"ทรงลงโทษชาวเมืองสักกะ ที่เรียกว่า "พรหมทัณฑ์" พระองค์ทรงไม่เชื่อความจริงในเรื่องนี้ทันที แต่พระองค์ทรงยังคงสงสัยไว้ก่อน จนกว่าพระองค์จะทรงได้สอบสวนข้อเท็จจริง  และรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว พระองค์ทรงใช้หลักฐานดังกล่าวเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น โดยการใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น 

       หากปราศจากการค้นหาข้อเท็จจริงและการรวบรวมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริง ข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากคำให้การของพยานเพียงคนเดียวนั้น ก็จะขาดความน่าเชื่อถือเนื่องจากมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นอันเนื่องจากความเกลียดชัง ความรัก ความกลัว และความไม่รู้ เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ยังมีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้สถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่น่าเชื่อถือของพยาน  นักปรัชญาจึงแสวงหาทางแก้ไขข้อจำกัดของมนุษย์ โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเพื่อวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงนั้นโดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น หากปราศจากหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริง ข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากพยานเพียงคนเดียว ก็จะมีน้ำหนักน้อยและไม่น่าเชื่อถือ วิญญูชนจะไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าเป็นความจริงได้
          
       
พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา  
       ในฐานะที่เราอาสารับใช้พระพุทธเจ้า ผู้เขียนต้องพัฒนาศักยภาพชีวิตของตนเองผ่านการศึกษา วิจัย และแสวงหาความรู้ และนำความรู้นั้นมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติธรรมของผู้แสวงบุญใน ๔ ิเมืองศักดิ์สิทธิ์ เราไม่ควรประมาทในการทำงานของตนเอง เพราะผู้แสวงบุญ (pilgrims) หลายท่านที่ฟังการบรรยายของเรานั้น อาจเป็นนักวิชาการทางประวัติศาสตร์ ปรัชญา ศาสนาและวิทยาศาสตร์ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ หรือพระภิกษุที่มีชื่อเสียงผู้เขียนต้องจัดสรรเวลาศึกษา ค้นคว้า พระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการเทศนาแก่ผู้แสวงบุญ ผู้เขียนยังใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันในการอ่านหนังสือ เพื่อสั่งสมความรู้สำหรับการสอบปลายภาคปริญญาโทหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว ผู้เขียนยังมีโอกาสศึกษาต่อระดับปริญญาเอก และทำการวิจัยในหัวข้อที่น่าที่สนใจ ผู้เขียนต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เช่น หลักฐานที่พบในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อรรถกถาและเอกสารทางวิชาการต่าง ๆ เมื่อรวบรวมหลักฐานได้เพียงพอแล้ว  ผู้เขียนจะใช้ข้อมูลเหล่านี้ สำหรับการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงนั้น   โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริง 

     ผู้เขียนเชื่อว่าการบรรยายประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ๘ วัน ณ ๔ นครศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้าในสาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลควบคู่ไปกับการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่มหาวิทยาลัยบานารัสฮินดูเป็นรูปแบบหนึ่งของการปฏิบัติธรรมที่ต้องใช้ศรัทธา  และความเพียรพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งในเชิงวิชาชีพและวิชาการ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหนทางในการพัฒนาศักยภาพชีวิต ที่จะความเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัต์อันเป็นหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ ที่ผู้เขียนได้ศึกษาคำสอนเหล่านี้มาเป็นเวลาหลายปี ระลึกถึงความรู้ทางประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา  ณ  สถานที่ทางพุทธศาสนาแต่ละแห่งอย่างมีสติและถ่ายทอดความรู้นี้ให้แก่ผู้แสวงบุญ นอกจากนี้ ผู้เขียนยังฝึกฝนผู้แสวงบุญให้ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ  พัฒนาสมาธิและปัญญาให้แน่วแน่ที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัติถ์ได้อย่างชัดเจน 
      
   
   
แม้ว่าคำบรรยายประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาของผู้เขียน จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเลือนหายไปในอากาศ อย่างไรก็ตามก่อนที่เรื่องราวการอธิบายประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา และการฝึกฝนผู้แสวงบุญให้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ จะเลือนหายไปในอากาศนั้น แต่เมื่อจิตใจของผู้เขียนรับรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว เรื่องราวเหล่านี้จะถูกเป็นข้อมูลทางอารมณ์ ที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของผู้เขียน และกลายเป็นความรู้ที่ผู้เขียนนำติดตัวกลับคืนสู่ราชอาณาจักรไทย  เมื่อผู้เขียนรับผิดชอบการสอนปรัชญา ผู้เขียนได้นำความรู้นี้มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนนักศึกษาหลักสูตรพระพุทธ ศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาปรัชญาและพระพุทธศาสนา ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครราชสีมาจนถึงปัจจุบัน 

     เมื่อผู้เขียนในฐานะเป็นอาจารย์ประจำในหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาปรัชญา ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและเห็นว่าสถาบันการศึกษาทั่วโลก จัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลักวิทยาศาสตร์ คนส่วนใหญ่ทั่วโลกจึงเชื่อว่าปรัชญา พุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์  มีระบบการศึกษาที่แตกต่างกันมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถจัดกระบวนการเรียนการสอนและการเรียนรู้เพื่อบรรลุถึงความจริงไปในทิศทางเดียวกันได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อศึกษาระบบการศึกษาต่าง ๆ ทั้งในราชอาณาจักรไทยและทั่วโลก พบว่าเป็นความรู้ของมนุษย์ ต้นกำเนิดความรู้มาจากมนุษย์โดยธรรมชาติ  โครงสร้างของความรู้ของมนุษย์ วิธีการแสวงหาความรู้ และความสมเหตุสมผลของความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ ล้วนเกี่ยวข้องกับการแสวงหาความจริงของสิ่งต่าง ๆ และล้วนเป็นความรู้ของมนุษย์ทั้งสิ้น  

       เนื่องจากปรัชญา พุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ล้วนเป็นความรู้ของมนุษย์ และวิชาเหล่านี้ถูกแยกเนื้อหาออกจากปรัชญาเพื่อสร้างหลักสูตรใหม่ นักปรัชญาตะวันตกจึงยกย่อง"ปรัชญา"ว่าเป็น "มารดาแห่งศาสตร์ทั้งปวง" ต้นกำเนิดของความรู้นี้มาจากจิตใจของมนุษย์ที่รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านอายตนะภายในและสั่งสมเหตุการณ์เหล่านี้ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีเพียงแค่รับรู้และรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น ชีวิตมนุษย์ยังเป็นธรรมชาติของนักคิดอีกด้วย เมื่อชีวิตมนุษย์รับรู้สิ่งใด พวกเขาก็จะคิดถึงสิ่งนั้นด้วย โดยใช้หลักฐานทางอารมณ์นั้นเป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของสิ่งนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงของสิ่งนั้น 


     เนื่องจากชีวิตมนุษย์โดยธรรมชาติแล้วเป็นนักคิดที่ใช้เหตุผลอธิบายความจริง ของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต  เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้า ทรงได้ฟังความคิดเห็นของพราหมณ์ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์ โลก และการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์แล้ว พระองค์ก็ทรงสงสัยว่านักตรรกะคนใดใช้เหตุผลได้ถูกต้อง นักปรัชญาคนใดใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง หรือนักตรรกะศาสตร์คนใดใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือลักษณะนั้นเป็นต้น เมื่อเหตุผลของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญายังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน เพื่อแก้ไขความไม่น่าเชื่อถือของความคิดเห็นของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาในสมัยพุทธกาล เจ้าชายสิทธัตถะทรงสร้างกระบวนการพิจารณาความจริง เพื่อปฏิรูปการศึกษาในสมัยพุทธกาล เป็นต้น 

     กระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์จะทรงผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสดับฟังเรื่องราวของพระพรหมลงโทษชาวเมืองสักกะ พระองค์มิได้ทรงเชื่อข้อเท็จจริงในทันที พระองค์ทรงสงสัยในเรื่องราวนั้นไว้ก่อน จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อทรงมีพยานหลักฐานเพียงพอแล้ว พระองค์จึงทรงใช้หลักฐานนั้นวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยินนั้น โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น  

       เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาความจริงของปรัชญา ในสมัยพุทธกาล   พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า พราหมณ์ในอนุทวีปอินเดียซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงที่สืบทอดกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น การมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร  นักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์มักแสดงความคิดเห็นตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงจากสิ่งได้ยินมาทันที โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริง บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลถูกต้อง บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลผิด  เป็นต้น   เพราะนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในที่ถูกจำกัดความสามารถในการรับรู้และมักมีความลำเอียงเข้าข้างใดฝ่ายหนึ่ง  ชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมนและขาดปัญญาเข้าใจที่จะความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์   

      ในพระพุทธศาสนา  เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพรหม   พระองค์ทรงสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติตามคำสอนของพราหมณ์ มนุษย์สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้ผ่านพิธีกรรมของพราหมณ์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ได้ทรงเชื่อในข้อเท็จจริงดังกล่าวในทันที  พระองค์ทรงมีความสงสัยก่อนที่จะทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ เจ้าชายสิทธัตถะทรงใช้หลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้า โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงอย่างมีเหตุผล  

      ในทางวิทยาศาสตร์นั้น เมื่อนักวิทยาศาสตร์รับรู้ความจริงเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ทางสังคมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นผ่านอาตนะภายใน และสั่งสมหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ จากนั้นจึงใช้หลักฐานทางอารมณ์เหล่านี้ เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้  อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังคงไม่สามารถหาสาเหตุของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมได้เนื่องมาจากข้อจำกัดในการรับรู้ผ่านอายตนะภายใน พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะอคติเพื่อเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง   ซึ่งนำไปสู่ชีวิตที่มืดมน ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงขาดปัญญาในการทำความเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ จึงไม่สามารถใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงจากประสบการณ์เหล่านี้ได้ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์สนใจที่จะศึกษาประเด็นนี้เพิ่มเติม นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นวิธีแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยการสร้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์เพื่อช่วยแก้ปัญหาการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลให้แม่นยำยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนสุดท้ายในการตีความข้อมูลที่วิเคราะห์แล้วนั้นอยู่ที่นักปรัชญา พระพุทธเจ้า และนักวิทยาศาสตร์ในการตีความข้อมูลเหล่านั้นทั้ง ๓ หัวข้อ 

       เมื่อได้ฟังข้อเท็จจริงเหล่านี้   ผู้เขียนจึงต้องตั้งคำถามว่าเราจะสามารถสอนพระพุทธศาสนา  โดยใช้กระบวนการพิจารณาความจริงเช่นเดียวกับนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยการอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงได้  โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้หรือไม่   หลังจากศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อได้ยินเรื่องราวของที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หรือประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หรือการค้นคว้าคัมภีร์หรือตำราเรียน เราไม่ควรเชื่อสิ่งใดในทันที เราควรสงสัยเสียก่อน จนกว่าเราจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เช่น หลักฐานเอกสาร หลักฐานวัตถุ พยานบุคคลและหลักฐานดิจิทัล ฯลฯ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ   เราสามารถใช้หลักฐานเหล่านั้น เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบ  โดยใช้เหตุผล  ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริง ดังนั้น กระบวนการแสวงหาความรู้ในพระพุทธศาสนา จึงสอดคล้องกับกระบวนการแสวงหาความรู้ในปรัชญาและวิทยาศาสตร์ เพราะทั้งสองอย่างเริ่มต้นจากความสงสัยเช่นเดียวกัน เป็นต้น


ปรัชญา&แดนพุทธภูมิ
Sengupta International  Hostel  

     สมัยที่ผู้เขียนยังเป็นนักศึกษาต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่เมืองพาราณสี รัฐอุตตรประเทศ  ซึ่งเป็น ๑ ใน ๔ เมืองสังเวชนียสถาน  (The four Buddhist Holy places) ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งนี้เป็นประจำทุกปี  และฟังพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ความรู้นี้ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของผู้เขียน  และผู้เขียนได้แบ่งปันความรู้นี้กับผู้แสวงบุญชาวไทย ระหว่างการเดินทางแสวงบุญไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งนี้  ผู้เขียนจึงได้รับนิมนต์ไปบรรยายเกี่ยวกับพุทธประวัติเป็นประจำ แม้ว่าจะเป็นงานที่ยากลำบาก ต้องใช้ศิลปะในการถ่ายทอดความรู้ทั้งเชิงทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตของผู้แสวงบุญผ่านการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘  ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

        อย่างไรก็ตาม   การแสวงบุญไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นยิ่งท้าทายกว่านั้น แม้ว่าเราจะศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ไม่มีเวลาผู้แสวงบุญก็ไม่สามารถเดินทางไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งนี้ ได้ แม้ว่าเรามีความศรัทธาและเวลาเดินทาง แต่สุขภาพไม่ดี เราก็ไม่สามารถเดินทางไปได้ แม้เราจะมีศรัทธา    เวลา  และสุขภาพที่ดีแต่ขาดเงินค่าเดินทางพวกเขาก็ไม่สามารถเดินทางได้  อย่างไรก็ตาม แม้เราจะมีศรัทธา เวลา   สุขภาพที่ดีและมีเงินค่าเดินทางแล้วก็ตาม แต่หากขาดผู้นำทางจิตวิญญาณ    ผู้รอบรู้ทั้งความจริงที่สมมติและความจริงขั้นปรมัตถ์  การพัฒนาศรัทธา  ความเพียรในการปฏิบัติธรรม เพื่อบรรลุธรรมนั้นก็เป็นเรื่องยากเช่นเดียวกัน 

        เนื่องจากนครศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔  แห่งของพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์กลางการบูชา(worship)  ของชาวพุทธทั่วโลก ทั้งนิกายเถรวาทและมหายาน   แม้ทั้งสองนิกายจะมีวิธีการบูชาที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังคงยึดมั่นในคำสอนของพระอาจารย์ ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน   พวกเขายังคงปฏิบัติบูชาด้วยความศรัทธาอันแน่วแน่ด้วยความเชื่อว่า     นี่คือ หนทางเดียวที่จะขจัดความทุกข์นอกจากนี้  การแสวงบุญไปยังประเทศอินเดียและเนปาล ยังเป็นช่องทางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา  โดยสอนให้ผู้แสวงบุญปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘   อันได้แก่ การแสวงหาความรู้ผ่านประสบการณ์ชีวิต ผ่านอายตนะภายในร่างกายและการสั่งสมความรู้ไว้ในจิตใจ การปฏิบัติเช่นนี้หาได้ยาก เนื่องจากคัมภีร์ทางพุทธศาสนานั้น ขาดหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์  โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น   

        หากชาวพุทธไม่เคยเดินทางไปแสวงบุญที่อินเดีย   และเนปาล พวกเขาคงไม่รู้จักวิถีชีวิตแบบพหุเทวนิยม  ซึ่งผู้คนยังคงยึดมั่นในกฎหมาย ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางทางสังคมที่พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมอินเดีย ทุกปีมีรายงานข่าวออนไลน์ว่า  การแต่งงานข้ามวรรณะกลายเป็นอาชญา กรรมในครอบครัว โดยพ่อเป็นผู้ฆ่าลูกสาวของตนเอง แม้ว่ากฎหมายขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะจะถูกยกเลิกไปโดยปริยายแล้ว  เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐอินเดียไม่ได้รับรองการแบ่งวรรณะไว้เพื่อเลือกปฏิบัติผู้คนในสังคมอีกต่อไปแต่รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐอินเดียได้กำหนดสิทธิเสรีภาพ เสรีภาพและหน้าที่ไว้เท่าเทียมกัน  สิ่งนี้ทำให้ผู้คนทั่วโลกยกย่องสาธารณรัฐอินเดียว่าเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามสิทธิ  เสรีภาพและหน้าที่ที่เท่าเทียมกันภายใต้รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรนั้นไม่สามารถทำลายความเชื่อของชาวอินเดียที่ว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะที่พระพรหมสร้างขึ้นต้องปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา คำสอนนี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของชาวอินเดียมาจนถึงทุกวันนี้    

           ในขณะที่ชาวพุทธทั่วโลกเดินทางไปแสวงบุญที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งเป็นประจำทุกปี    สถานที่เหล่านี้ได้กลายเป็นสถานที่สั่งสอนพระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก   ครูบาอาจารย์ชาวตะวันตกบางท่านได้ช่วยเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้าไปยังชาวพุทธทั่วโลก   การตัดสินใจศึกษาปรัชญาและศาสนาที่มหาวิทยาลัยบาณารัสฮินดู   ทำให้ผู้เขียนได้เข้าใจลึกซึ้งถึงสถานที่ต่าง ๆ   ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนา    ระหว่างการแสวงบุญที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ ทั้ง ๔ แห่งนี้ ผู้เขียนได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระธรรมทูตแห่งราชอาณาจักรไทย   ผู้อุทิศตนรับใช้พระพุทธเจ้าในการเดินทางแสวงบุญระยะทาง ๑,๒๐๐ กิโลเมตร เป็นเวลา ๘ วัน ผู้เขียนได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่แตกต่างจากเคยศึกษาในตำราเรียนมาก่อน  
  
         ในการเขียนปรัชญาในดินแดนต้นกำเนิดพระพุทธศาสนานั้นแม้ว่าสถานที่แสวงบุญทั้ง ๔ แห่งจะเป็นพยานวัตถุ(Physical  Evidence)ที่ยืนยันการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า พยานเอกสารเช่นพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาราชวิทยาลัย ๔๕  เล่ม(ปกสีฟ้า)มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  ประเพณีที่ปฏิบัติที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การไม่เชื่อข่าวลือ  การไม่ควรพึ่งเชื่อข้อมูลอ้างอิงในหนังสือ อย่าเชื่อการคาดคะเนความจริง  การไม่ควรเชื่อในคำทำนาย  การไม่ควรเชื่อในคำตัดสินที่อิงตามความเชื่อของตนเอง ไม่ควรเชื่อในคำพูดน่าเชื่อถือ    ไม่ควรเชื่อความเห็นเพราะว่าสมณะนี้เป็นครูบาอาจารย์ของเรา เป็นต้น    ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นำไปสู่การสร้างแผนที่โลกดิจิทัล ซึ่งช่วยให้ชาวพุทธสามารถเข้าถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งได้   โดยปราศจากข้อสงสัยและสามารถค้นหาพยานเอกสาร เพื่อพิสูจน์ความจริงของการมีอยู่ของพระพุทธเจ้าได้                  
       บทความเกี่ยวกับปรัชญาพุทธภูมิของผู้เขียนไม่ได้มุ่งเน้นการศึกษาแนวคิดของนักปรัชญาคนใดคนหนึ่งอีกต่อไปเหมือนในอดีตซึ่งเป็นวิธีการสอนปรัชญาที่ล้าสมัย  ที่เน้นท่องจำแนวคิดของนักปรัชญา   ไม่ใช่กระบวนการคิดวิเคราะห์ เพื่อตัดสินว่านักปรัชญาคนใดคนหนึ่งใช้เหตุผลอย่างถูกต้องหรือไม่    ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงหรือใช้เหตุผลอธิบายความจริงผิด     บางครั้งเหตุผลก็ถูกใช้เพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้หรือบางครั้งนักปรัชญาก็อธิบายความจริงในลักษณะนั้น  เป็นต้น  เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงรับฟังความเห็นของนักปรัชญาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  โดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน พระองค์จะทรงไม่เชื่อว่าความคิดเห็นของนักปรัชญานั้นเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น   

       อย่างไรก็ตาม การศึกษาเพียงแนวคิดของนักปรัชญาแต่ละคน    เมื่อเกิดความคิดเห็นที่ขัดแย้งในชีวิตประจำวัน  เป็นการยาก ที่จะวิเคราะห์ว่าแนวคิดของนักปรัชญาคนใดถูกหรือผิด     บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลแบบนี้และบางครั้งก็ใช้เหตุผลแบบนั้น    เมื่อนักปรัชญาใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบอย่างคลุมเครือ และไม่ชัดเจน   นักศึกษาปรัชญาอาจได้รับประโยชน์เพียงเล็กน้อยจากการศึกษาปรัชญา  ดังนั้น เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงสร้างวิธีพิจารณาความจริงตามหลักพระพุทธศาสนาขึ้น เพื่อเป็นเกณฑ์ในการตัดสินความจริงในชีวิตประจำวัน 

         การเขียนบทความนี้บนบล็อคปรัชญาพุทธภูมิ   ผู้เขียนเชื่อว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า    คือความรู้ในระดับบัณฑิตโดยสอน ทั้งทฤษฏี(คำสอน) และการปฏิบัติ(อริยมรรคมีองค์ ๘)ไปพร้อม ๆ กัน  อย่างไรก็ตาม   เนื่องจากความจริงในพระพุทธศาสนาประกอบด้วยความจริงที่สมมติขึ้น  และความจริงขั้นปรมัตถ์จึงมีวิธีปฏิบัติหลายอย่างเพื่อบรรลุความจริงนั้น  ได้แก่ ๑.กระบวนการพิจารณาความจริงที่สมมติขึ้น ๒.กระบวนการพิจารณาความจริงขั้นปรมัติ   

        อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของผู้เขียนในการเขียนปรัชญาพุทธภูมิ  คือ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่าพระพุทธศาสนา ปรัชญา  และวิทยาศาสตร์ล้วนเป็นความรู้ของมนุษย์    ต้นกำเนิดความรู้นี้มาจากกระบวนการพิจารณาความจริงของเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งพระองค์ถือว่าวิธีพิจารณาว่าเป็นการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า   โดยมีขั้นตอนในกระบวนการนี้ มีดังนี้เมื่อเราได้ยินความจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราไม่ควรเชื่อทันที  เราควรตั้งข้อสงสัยเรื่องนั้นไว้ก่อน จนกว่าจะได้พิสูจน์ความจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ พวกเขาจะใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น    โดยการใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาเพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้น เมื่อเห็นว่าคำตอบนั้นสมเหตุสมผล เราจะเผยแผ่ความรู้นั้นเพื่อให้ผู้อื่นได้ศึกษาและค้นคว้าเพิ่มเติม  

       แม้ว่าพระไตรปิฎกทั้งฝ่ายเถรวาท และมหายานจะเก็บรักษาคำสอนและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและระหว่างสมัยพุทธกาลไว้   ข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกนั้นก็พร้อมสำหรับการศึกษาและค้นคว้าในภายหลัง    พยานหลักฐานเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์      โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงโดยใช้เหตุผล   ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ พระภิกษุสงฆ์สามารถศึกษาพระพุทธศาสนาซึ่งเก็บรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้พระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ   พระสงฆ์สืบสานการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘  เพื่อบรรลุธรรมตั้งแต่สมัยพระพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน ในยุคหลังนักปรัชญาได้พัฒนาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ แต่นักปรัชญาไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มาของความรู้ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า   เมื่อเราศึกษาพระไตรปิฎกอย่างสม่ำเสมอ  เราตระหนักว่าทฤษฎีทางปรัชญา และวิทยาศาสตร์ของชาวตะวันตกหลายทฤษฎี  คล้ายคลึงกับคำสอนของพระพุทธศาสนา    ที่พบในพระไตรปิฎกเถรวาทและมหายาน ต่อมานักปรัชญาชาวตะวันตกจึงได้ต่อยอดคำสอนของพระพุทธเจ้า   โดยพัฒนาทฤษฎีเหล่านี้เข้าสู่ปรัชญาตะวันตกและขยายไปสู่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เช่น จิตวิทยา นิติศาสตร์  เป็นต้น

        อย่างไรก็ตาม จุดมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าคือการเผยแผ่คำสอนเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ไปทั่วโลก  เพื่อให้ผู้คนสามารถปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘    เพื่อหลัดพ้นจากวัฏจักรแห่งความตายและการเกิดใหม่ในวัฏสงสาร    แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะได้รับการยอมรับทั่วโลกในด้านความเฉลียวฉลาด  แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์  ที่สามารถชำระล้างกิเลสและตัณหาออกจากจิตใจมนุษย์ และบรรลุความจริงขั้นปรวัตถ์ซึ่งเป็นความรู้ที่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ที่เรียกว่า"อภิญญา๖"      ความรู้นี้จะบรรลุได้ด้วยการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ด้วยตนเองเท่านั้น เป้าหมายคือการพัฒนาศักยภาพชีวิตที่แข็งแกร่งผ่านการทำสมาธิ  ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์และหลุดพ้นจากความทุกข์   และพัฒนาบุคลิกภาพที่อ่อนโยนเข้าสังคม พวกเขายึดมั่นในเป้าหมายชีวิต     มุ่งมั่นรับผิดชอบต่อผู้อื่นและนำความรู้จากประสบการณ์ชีวิตมาประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหาของตนเอง   

       อย่างไรก็ตาม มนุษย์ในยุคใหม่ซึ่งดำรงชีวิตอย่างสุขสบายด้วยปัจจัย ๔ แห่งชีวิต กลับดำเนินชีวิตอย่างไม่ระมัดระวัง ล้มเหลวในการพัฒนาศักยภาพตามมรรคมีองค์ ๘  ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาแปดเปื้อนในความมืดมน  จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์  พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับอบายมุขและชอบแสวงหาความสุขจากการดื่มสุราและเสพยาเสพติด   โดยไม่คำนึงถึงสุขภาพ  พวกเขาไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าว่ามนุษย์ทุกคนล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของกรรมของตนเอง   พวกเขามักทำกรรมชั่วที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น    ละเมิดความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดีของประชาชนและกฎหมาย ดังนั้น  รัฐบาลทั่วโลกจึงนำหลักศีลธรรมของพระพุทธศาสนาบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา เพื่อบังคับใช้กฎหมายอาญาและลงโทษผู้กระทำผิด   นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งหน่วยงานยุติธรรมในการใช้อำนาจทางกฎหมาย  เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม  ให้สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธศาสนาและประมวลกฎหมายอาญา เป็นต้น 


4 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

สาธุครับ

Unknown กล่าวว่า...

สาธุค่ะ

Unknown กล่าวว่า...

สาธุครับ

Unknown กล่าวว่า...

หลังจากอ่านจบแล้วมีความรู้ความเข้าใจในแดนพุทธธรรมมากขื้ มีความคิดอยากไปแดนพุทธภูมิเพื่อศึกษาแดนพุทธภูมิและสักการะพระะทธเจ้า สาธุ

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ