Introduction to the Sakka, the Religious State of Brahmin according to Buddhaphumi's Philosophy
๑.บทนำ ประชากร ดินแดน รัฐบาล และอำนาจอธิปไตย
ในการศึกษาปัญหาความจริงทางพุทธปรัชญาและพระพุทธศาสนานั้น เป็นปัญหาที่น่าสนใจและควรศึกษาเป็นอย่างมาก เนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรงกับมนุษย์มีแหล่งความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมความรู้ทางอารมณ์ในจิตใจของมนุษย์ทั้งสองสาขาวิชา เมื่อมนุษย์วิเคราะห์หลักฐานจากประสบการณ์เหล่านั้นโดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่างๆเพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริงของคำตอบ แต่เมื่อหลักฐานยังไม่พอ คำตอบนั้นยังไม่ชัดเจน ทำให้จิตใจมนุษย์เกิดความสงสัย เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเมือได้สดับข้อเท็จจริงในเรื่องใด อย่าเชื่อทันทีว่าเป็นความจริงจนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานในเรื่องนั้น ๆ ให้เพียงพอเสียก่อนและนำหลักฐานนั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ ว่า จริงหรือเท็จ ถ้าเราไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริง พระพุทธเจ้าในฐานะนักปราชญ์ทรงถือว่าข้อเท็จจริงได้ยินจากประจักษ์พยานเพียงคนเดียวนั้น ไม่น่าเชื่อถือและยอมรับว่าข้อเท็จจริงนั้น เป็นความจริงอันเป็นที่สิ้นสุดได้เพราะมนุษย์มีอคติและมีอวัยวะอินทรีย์ ๖ ในร่างกายของตนเองมีข้อจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นได้ในอดีต หรือเหตุการณ์ทางสังคมที่อยู่ไกลออกไปในบ้าน, ถ้ำในป่า หรือในกลางทะเลลึก เป็นต้น
ปัญหาว่าอาณาจักรสักกะว่าเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์หรือไม่? ตามหลักการทั่วไปของอภิปรัชญา นักปรัชญาสนใจที่จะศึกษาความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเทพเจ้า เป็นต้น ในการศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับแคว้นสักกะว่าเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์หรือไม่ ? ถือเป็นปัญหาทางอภิปรัชญาที่น่าสนใจซึ่งเราควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับมนุษย์เนื่องจากการสถาปนาอาณาจักรสักกะ เป็นเหตุการณ์ทางสังคมของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับชุมชนการเมืองที่เกิดขึ้น เมื่อ ๓,๐๐๐ ปีก่อนในดินแดนของอนุทวีปดำรงอยู่เป็นรัฐเอกราชเป็นเวลาหลายปีแลัว จึงล่มสลายจากความเป็นรัฐไป เมื่อพระเจ้าวิทฑัพพะทรงยกทัพไปสังหารเพื่อฆ่าล้างเผ่าพันธ์วรรณะกษัตริย์แห่งราชวงศ์ศากยะ สิ้นพระชนม์เป็นล้านพระองค์จนอาณาจักรสักกะล่มสลายตามหลักปรัชญาพุทธภูมิ เมื่อผู้ใดแสดงความเห็นหรือความเชื่อเกี่ยวกับกับอาณาจักรสักกะในยุคอินเดียโบราณ จะต้องมีหลักฐานมาวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้เพื่อหาเหตุมาพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนี้ ถ้าไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริง ข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากผู้เห็นเหตุการณ์เพียงเพียงคนเดียวขาดความน่าเชื่อถือ และนักปรัชญาก็รับไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะธรรมชาติของมนุษย์มักจะมีอคติต่อกัน ซึ่งเกิดจากความรักใคร่ความเกลียดชัง, ความกลัว และความโง่เขลา นอกจากนี้มนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ในร่างกาย ๖ อย่าง และมีข้อจำกัดในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในที่ห่างไกล เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ ก็ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จเยี่ยมชาวกบิลพัสดุ์ และพระองค์ทรงเห็นปัญหาจัณฑาลซึ่งเป็นนักโทษในสังคม และถูกลงโทษข้อหาฐานละเมิดคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีดำเนินชีวิตเร่ร่อนในวัยชราเจ็บป่วย และตายข้างถนนในเขตพระนครกบิลพัสดุ์ เจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ เพราะจัณฑาลเป็นบุคคลต้องห้ามในสังคม เมื่อเสด็จกลับมายังพระราชวังกบิลพัสดุ์ พระองค์ทรงได้สอบถามเรื่องนี้จากปุโรหิตผู้เป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะในด้านกฎหมาย ขนบธรรมเนียม (Coustom) และประเพณี (Triandition) พระองค์ทรงได้ยินข้อเท็จจริงว่า พระพรหมทรงสร้างชาวสักกะและวรรณะสำหรับชาวสักกะทำหน้าที่ของตนตามวรรณะที่ตเกิดมาเท่านั้น แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามถึงประวัติความเป็นมาของพระพรหม แต่ไม่มีปุโรหิตคนใดสามารถตอบคำถามให้พระองค์เข้าใจได้
รัฐสักกะเป็นชุมชนการเมือง ที่ตั้งอยู่บนที่ราบใกล้เทือกเขาหิมาลัยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวสักกะที่มีเชื้อสายอารยันและดราวิเดียนมาช้านานและอยู่อย่างสงบสุข ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีชาวสักกะเชื้อสายอารยันบูชาเทพเจ้าหลายองค์ตามคำสอนของนิกายพราหมณ์ต่าง ๆ ชาวสักกะเชื้อสายอารยันส่วนใหญ่เชื่อว่าพระพรหมและพระอิศวรช่วยให้มนุษยชาติประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เพราะพระพรหมสร้างชาวสักกะจากพระวรกายของพระองค์ส่วนชาวมิลักขะถือว่า น้ำเป็นเทวดาและการทำพิธีบูชายัญเป็นหน้าที่ของพราหมณ์ทั้งสองนิกาย เพื่อดับทุกข์ที่อยู่ในใจของผู้คนในยุคนั้น เมื่อการทำพิธีบูชายัญเพื่อช่วยให้ผู้คนบรรลุความปรารถนาของตนมากยิ่งขึ้น พราหมณ์อารยันและดราวิเดียนจึงได้รับศรัทธาของประชาชนและสร้างความมั่งคั่งจากการบูชาด้วยของมีค่าต่างๆหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ขุททกนิกายชาดก ภาค๒ ๖.ภูริทัตตชาดกว่าด้วยพระเจ้าภูิริทัตข้อ.๙๒๘ความจริงคนบางพวกนับถือไฟเป็นเทวดาส่วนพวกมิลักขะนับถือน้ำเป็นเทวดา"
อาณาเขตของรัฐสักกะมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มทั้งรัฐสักกะทางตอนเหนือของรัฐสักกะมีพรมแดนติดกับเทือกเขาหิมาลัยที่ทอดยาวไปไกล บนยอดเขาสูงมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี น้ำจึงไหลลงมาจากเทือกเขาหิมาลัยตลอดเวลาด้วยฝนตกชุกและหิมะละลายในฤดูร้อนน้ำจึงไหลลงมาจากเทือกเขาหิมาลัยกลายเป็นแม่น้ำสำคัญหลายสายและเทือกเขานี้อุดมไปด้วยป่าดงดิบ สัตว์ป่านับล้านมีชีวิตอยู่และพืชผลเติบโตตามฤดูกาลพรมแดนทางทิศใต้และทิศตะวันตกของรัฐสักกะจดกับพรหมแดนของรัฐโกศลส่วนทิศตะวันออกของแคว้นสักกะจดกับรัฐโกลิยะ เป็นต้น
ประตูเขตพระราชวังกบิลพัสดุ์ทิศตะวันออก |
อำนาจอธิปไตย แคว้นสักกะเป็นรัฐที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง มีกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดที่ใช้บริหารประเทศเรียกว่า"หลักราชอปริหานิยธรรม" ซึ่งเทียบเท่ากับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร รัฐสักกะแยกตัวเป็นรัฐเอกราชจากรัฐโกลิยะนับตั้งแต่สมัยของพระเจ้าโอกกากราชทรงเป็นมหาราชาปกครองรัฐโกลิยะ โดยมีแม่น้ำโรหินีเป็นเส้นเขตแดนระหว่างรัฐโกลิยะกับรัฐสักกะ รัฐสักกะมีระบบการปกครองแบบสามัคคีธรรมโดยแบ่งคนในรัฐสักกะออกเป็น ๔ วรรณะคือวรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น โดยยึดหลักคำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งหลักคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และบัญญัติเป็นกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีโดยอ้างเหตุผลว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่พวกเขาเกิดมาเท่านั้น ไม่มีสิทธิและหน้าที่ในการประกอบอาชีพของคนวรรณะอื่น
รัฐบาลของรัฐสักกะ เมื่อผู้เขียนหลักฐานในพระไตรปิฎกฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เมื่อรัฐสักกะปกครองระบบสามัคคีธรรมโดยแบ่งประชาชนเป็น ๔ วรรณะกล่าวคือวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ วรรณะศูทร เป็นต้นวรรณะกษัตริย์มีหน้าที่การปกครองประเทศ ผู้เขียนตีความว่า สมาชิกรัฐสภาจากวรรณะกษัตริย์จึงมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง ๓ อำนาจ ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติสมาชิกรัฐสภามีส่วนร่วมในการบัญญัติกฎหมย อำนาจบริหารโดยสมาชิกรัฐสภามีสาวนร่วมในการบริหารและอำนาจตุลาการโดยสมาชิกรัฐสภามีส่วนร่วมในการพิจารณาอรรถคดีทั้งปวง ที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรสักกะ เป็นต้น
การปฏิรูปสังคมของเจ้าชายสิทธัตถะจากการศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า รัฐสักกะเป็นบ้านเกิดของเจ้าชายสิทธัตถะทรงประทับอยู่อย่างมีความสุขในปราสาท ๓ หลังซึ่งเป็นที่ประทับส่วนพระองค์มาหลายปีแล้วเจ้าชายสิทธัตถะทรงรู้สึกเบื่อหน่ายกับอารมณ์หมกมุ่นอยู่กับนางสนม ๔๐,๐๐๐ คนที่บรรเลงเสียงดนตรีถวายพระองค์และขับกล่อมพระทัยอย่างมีความสุขทั้งกลางวันกลางคืน กลิ่นของดอกไม้นานาพันธ์ุ เสวยพระกระยาหารที่เลิศรส การสัมผัสทางกายและความพึงพอใจทางอารมณ์ เป็นต้น พระองค์ทรงตัดสินพระทัยไปเสด็จเยี่ยมชาวพระนครกบิลพัสดุ์ และทรงเห็นปัญหาเกี่ยวกับความจริงของจัณฑาลไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายจารีตประเพณีอย่างเท่าเทียมกับวรรณะอื่น ๆ ในการทำงาน การศึกษา การมีส่วนร่วมในปกครองรัฐการทำพิธีบูชาในศาสนาพราหมณ์นิกายของตน และการแต่งงานข้ามวรรณะและยังถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคม ต้องใช้ชีวิตข้างถนนในพระนครกบิลพัสดุ์ในวัยชรา เจ็บป่วยไข้ และนอนตาย เป็นต้น ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคม โดยการเสนอกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการยกเลิกวรรณะต่อรัฐสภาศากยวงศ์ แต่สมาชิกรัฐสภาศากยวงศ์ได้ร่วมกันพิจารณากฎหมายยกเลิกวรรณะจารีตประเพณี ของพระองค์เห็นว่าข้อขัดต่อหลักอปริหานิยธรรม ซึ่งเป็นกฎหมายจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองประเทศ เพราะห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายจารีตประเพณีที่บัญญัติไว้ดีแล้ว
ancient Kapilavastu |
เมื่อผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงข้างต้นแล้วเราก็เกิดความสงสัยว่า"เราจะรู้ความจริงได้อย่างไรว่าสักกะเป็นรัฐของศาสนาพราหมณ์ในพระไตรปิฎก?" ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ๕.เกสปุตติสูตรว่า เมื่อเราได้ยินความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่เล่าสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน, โดยปฏิบัติตามประเพณีที่สืบทอด กันมา, ตามข่าวลือ, โดยอ้างถึงตำราเรียนหรือคัมภีร์ทางศาสนา, ด้วยเหตุผลเชิงตรรกะ(การคิดหาเหตุผลเอาเอง), ก็เพราะเป็นการอนุมาน เพราะคิดตรองตามแนวเหตุผล, เพราะมันสอดคล้องกับทฤษฎีที่ได้พิจารณาไว้แล้ว เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา เป็นต้น
แต่ผู้เขียนรักในการแสวงหาความรู้ในเรื่องแคว้นสักกะเป็นรัฐของศาสนาพราหมณ์ในพระไตรปิฎกต่อไป โดยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากแหล่งความรู้ในพระไตรปิฎก อรรถกถาคัมภีร์ต่าง ๆ และบันทึกของสมณะชาวจีนอีก ๒ รูป พยานวัตถุได้แก่พุทธสถานที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พยานเอกสารดิจิทัลได้แก่แผนที่โลกกูเกิล เป็นต้น เพื่อเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องแคว้นสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ในพระไตรปิฎก บทความที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลนี้จะเป็นความรู้ผ่านการตัดสินอย่างสมเหตุสมผล โดยปราศจากข้อสงสัยเหตุผลของคำตอบเรื่องรัฐสักกะในพระไตรปิฎกอีกต่อไป บทความเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อพระวิทยากรนำไปใช้ในการบรรยายธรรมแก่ผู้แสวงบุญชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางไปปฏิบัติบูชาในสังเวชนียสถานทั้ง ๔ มีเนื้อหาของความรู้ไปในแนวทางเดียวกันกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลจากพยานหลักฐานจากแหล่งความรู้จะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาระดับปริญญาเอกด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญา ใช้เป็นแนวทางในการเขียนวิทยานิพนธ์ทางพระพุทธศาสนาและปรัชญา เป็นความรู้ที่เป็นไปตามเกณฑ์การตัดสินที่สมเหตุสมผลและไม่สงสัยในความจริงของชีวิตอีกต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น