The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บทนำ : สักกะเป็นรัฐศาสนาของพราหมณ์ในพระไตรปิฎก

  Introduction: Sakka, the Religious State  of Brahmins   in Tripitaka 


๑.บทนำ 

        ในยุคก่อนพุทธศาสนา   พราหมณ์บางกลุ่มในโลกเป็นนักตรรกศาสตร์  นักปรัชญา   พวกเขาสนใจศึกษาความจริงของมนุษย์   โลก      ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ   และหลักฐานการมีอยู่ของเทพเจ้า  เป็นต้น  ทั้งนี้เป็นเพราะ        ในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราชแห่งอาณาจักรโกลิยะ   ผู้คนทั่วทั้งอนุทวีปอินเดียต้องเผชิญกับการเลือกปฎิบัติทางสังคม  ทั้งในด้านการเมือง  การศึกษา     อาชีพ การงานและศาสนาของตนเอง   ดังนั้น        มนุษย์จึงต้องแสวงหาที่พึ่งสูงสุดของตน  นั่นคือผู้อำนาจเหนือผู้อื่น       เมื่อเผชิญกับความลำบาก ผู้คนจะเกิดสงสัยในปัญหาชีวิต   พวกเขาจะหันไปพึงพราหมณ์ผู้อาวุโสของประเทศเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา         เมื่อผู้คนตกอยู่ในความทุกข์ยากและมีข้อสงสัยในความจริงของชีวิต  เมื่อนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาได้ยินเรื่องราวเหล่านี้         พวกเขามักจะอธิบายธรรมะ (หรือที่เรียกว่าความจริง)ในหัวข้อนั้นโดยใช้เหตุผล และคาดคะเนความจริงนั้น โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงในเรื่องนั้น           

            อย่างไรก็ตาม     นักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์เป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ      ในชีวิต       และมีความลำเอียงต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง   ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน    พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่ถูกสมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์      จึงไม่สามารถใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา      เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบอย่างสมเหตุสมผลได้        ดังนั้น    เมื่อนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของชีวิตโดยใช้เหตุผล     หรือคาดคะเนความจริงในลักษณะนั้น     การใช้เหตุผลของพวกเขาเพื่ออธิบายความจริง  บางครั้งอาจอธิบายความจริงของคำตอบได้อย่างถูกต้อง และบางครั้งอาจอธิบายความจริงอย่างผิด ๆ       บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของคำตอบในลักษณะนี้    บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น       เมื่อนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาใช้เหตุผล         เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบในลักษณะคลุมเครือและไม่ชัดเจนว่าได้คำตอบมาอย่างไร      และคำตอบนั้นขาดความน่าเชื่อถือ     ดังนั้น วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะย่อมไม่สามารถยอมรับความคิดเห็นของคำตอบนั้นว่า   เป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้นได้ 
                  
                เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาประวัติศาสตร์พุทธศาสนา   โดยกล่าวถึงอาณาจักรสักกะในฐานะรัฐเล็ก ๆ ในอนุทวีปอินเดีย ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน   จากการศึกษาศาสนา (religious studies)    โรงเรียน (School) และมหาวิทยาลัย (University)    ทั่วโลก เราจะพบข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่ว่า อาณาจักรสักกะเป็นรัฐเอกราชที่มีอำนาจอธิปไตยปกครองประเทศ    แยกตัวออกจากอาณาจักรโกลิยะ  ในรัชสมัยของพระเจ้าโอกกากราช      อาณาจักรโกลิยะแห่งนี้มีระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญที่รู้จักกันในชื่อ "ราชอปริหานิยธรรม"  ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีหรือรัฐธรรมนูญไม่เป็นลายลักษณ์อักษร  และเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศ       มีระบบการปกครองแบบสามัคคีธรรมหรือความเป็นเอกภาพ ตามกฎหมายวรรณะธรรมเนียม และจารีตปฏิบัติ    ประชาชนในอาณาจักรสักกะแบ่งออกเป็น ๔  วรรณะ คือวรรณะพราหมณ์  วรรณะกษัตริย์  วรรณะแพศย์        และวรรณะศูทร เป็นต้น          ชาวอาณาจักรนี้นับถือในศาสนาพราหมณ์ และศรัทธาในเทพเจ้าหลายองค์ที่คุ้มครองประชาชน       แต่พระพรหมและพระอิศวรเป็นที่เคารพนับถือมากที่สุด        พวกเขาเชื่อว่าพระพรหมสร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์เอง       

              เมือการบูชาพระพรหมด้วยการถวายทรัพย์สินอันล้ำค่าต่าง ๆ ซึ่งมีมูลค่าหลายแสนล้านโกฏต่อปี      พราหมณ์อารยันจึงมีจุดประสงค์ที่จะปกป้องผลประโยชน์ทางศาสนา        และความมั่นคงของประเทศ  กษัตริย์อารยันจึงบัญญัติกฎหมายวรรณะเพื่อจำกัดสิทธิ เสรีภาพ   และหน้าที่ของชาวดราวิเดียน       ซึ่งเป็นเจ้าของอาณาจักรเดิม และเคยมีอำนาจทางการเมือง   เศรษฐกิจ  ศาสนาและสังคมในภูมิภาคนี้มาก่อน  หลักฐานของเรื่องนี้ พบได้ในคัมภีรฺหลายเล่ม  

            ในการเขียนบล็อคนี้ ผู้เขียนจะยึดถือข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ        ซึ่งระบุว่าชาวอารยันมีอิทธิพลสำคัญต่อสังคมในอนุทวีปอินเดียและต่อความคิดของมนุษย์ในสมัยพุทธกาล       ประเด็นนี้น่าสนใจที่เราควรศึกษาและแสวงหาความรู้  เพราะเป็นความรู้ที่สัมพันโดยตรงกับมนุษย์               เป็นความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในร่างกาย      และสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจมนุษย์   นักตรรกะและนักปรัชญาจึงใช้หลักฐานทางอารมณ์นี้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผลเพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น  ๆ          โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ                    

                 อย่างไรก็ตาม คำตอบยังคงไม่ชัดเจน เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ    เช่น เมื่อผู้เขียนศึกษาพระพุทธศาสนา จากตำราเรียนในสำนักธรรมสนามหลวง  โรงเรียนและมหาวิทยาลัย ผู้เขียนได้ยินความจริงว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นนิมิต ๔  ประการ คือ คนแก่ คนเจ็บ  คนตายและนักบวช เป็นต้น     ภาพนิมิตเหล่านี้ทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อแสวงหาสัจธรรมของชีวิต  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมนุษย์มีความสามารถจำกัดในการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตและมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน    เนื่องจากขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงในเรื่องนี้  เมื่อผู้เขียนเป็นมนุษย์จึงไม่อาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงในเรื่องนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง    ด้วยเหตุผลดังนี้ ผู้เขียนจึงมีข้อสงสัยว่า เหตุใดที่เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์  เพราะหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณและพระไตรปิฎกฉบับหลวง มิได้แสดงรายละเอียดของข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

         อย่างไรก็ตาม   เมื่อข้อเท็จจริงเรื่องนี้ยังคงเป็นที่สงสัยและผู้เขียนชอบที่จะแสวงหาความจริงเพิ่มเติม  โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ  หลักฐานเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ๆต่อไป      ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ จะบันทึกการเสด็จออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ของเจ้าชายสิทธัตถ เพื่อแสวงหาสัจธรรม    แต่ตามข้อเท็จจริงเหล่านั้น ไม่ได้ระบุรายละเอียดของความจริงนี้ ทำให้ผู้เขียนไม่ทราบถึง แรงจูงใจในการผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ  เนื่องจากอายตนะภายในของผู้เขียนมีข้อจำกัดในการรับรู้เจตนาของพระองค์ 

          ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงจากเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน  ไม่ควรเชื่อทันทีว่าเป็นความจริง เราควรตั้งข้อสงสัยเสียก่อน จนกว่าจะได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานมาสนับสนุนการพิจารณา  เมื่อได้หลักฐานเพียงพอแล้ว  ก็สามารถนำหลักฐานนั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องเล่านั้น     โดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของคำตอบของเรื่องนั้น   ๆ      ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จก็ตาม หากเราไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความจริง พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า  ข้อเท็จจริงได้ยินจากพยานเพียงคนเดียวนั้นไม่น่าเชื่อถือ และไม่อาจยอมรับว่าเป็นความจริงที่สมมติขึ้นหรือความจริงขั้นปรมัตถ์ได้      เนื่องจากมนุษย์มีอคติและอายตนะภายในจำกัดความสามารถในการรับรู้เหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น เมื่อกว่า ๒,๕๐๐ ปีหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่ห่างไกล  เช่นในบ้าน   ถ้ำ ป่าเขา และทะเลลึก เป็นต้น

๒.ปัญหา : อาณาจักรสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์หรือไม่?
           
         โดยทั่วไปแล้ว นักปรัชญาสนใจศึกษาความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น คำถามที่ว่าอาณาจักรสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์หรือไม่ เป็นคำถามเชิงปรัชญาที่น่าสนใจ และควรค่าแก่ศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากมีเกี่ยวข้องโดยตรงกับมนุษยชาติ การสถาปนาอาณาจักรสักกะเป็นรัฐเอกราช เป็นเหตุการณ์ทางสังคมของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับชุมชนทางการเมืองที่เกิดขึ้น เมื่อ ๓,๐๐๐ ปีก่อนในอนุทวีปอินเดีย  อาณาจักรสักกะ ยังเป็นรัฐเอกราชอยู่หลายร้อยปี ก่อนที่จะล่มสลาย เมื่อพระเจ้าวิทฑัพพะทรงนำกองทัพไปสังหารหมู่ราชวงศ์ศากยะ มีผู้คนหลายล้านเสียชีวิต  จนกระทั่งอาณาจักรล่มสลายอย่างชัดเจนในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นต้น  

             ตามหลักปรัชญาพุทธภูมิ    เมื่อเราได้ยินความคิดเห็นเกี่ยวกับอาณาจักรสักกะโบราณของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาแล้ว   เราไม่ควรเชื่อทันทีว่าเป็นความจริง แต่ควรตั้งข้อสงสัยเสียก่อน        เพราะนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา  เป็นมนุษย์ที่มีธรรมชาติของมนุษย์มักมีอคติต่อกันอันเกิดจากความรัก  ความเกลียด ความกลัวและความไม่รู้  ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ยังมีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  และเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในดินแดนอันห่างไกล  เป็นต้น     ซึ่งทำให้ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมน  ส่งผลให้พวกเขาขาดปัญญาเข้าใจความจริงในเรื่องนี้ และขาดเหตุผลในการอธิบายความจริงว่า อาณาจักรสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์อย่างสมเหตุสมผล   ดังนั้น  เมื่อนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของอาณาจักรสักกะเป็นศาสนาแล้ว  การใช้เหตุผลของพวกเขาในการอธิบายความจริงของอาณาจักรสักกะ   บางครั้งพวกเขามักจะใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงได้ถูกต้องบ้าง   บางครั้งพวกเขามักจะใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงได้อย่างผิด ๆ     

              เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย        ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จไปเยี่ยมชาวกรุงกบิลพัสดุ์     และทรงเห็นปัญหาคนจัณฑาลที่ถูก "พระพรหมลงโทษ"        เนื่องจากละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์  และกฎหมายวรรณะและจารีตประเพณี     พวกเขาถูกขับออกจากสังคม ต้องเร่ร่อน  แม้ในวัยชรา ล้มป่วย  และเสียชีวิตบนถนนในกรุงกบิลพัสดุ์  เจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้    เพราะจัณฑาลคือบคคลที่ไม่สามารถแตะต้องได้    หรือคนที่ไม่ควรคบค้าสมาคมด้วย  เมื่อเสด็จกลับถึงพระราชวังกบิลพัสดุ์    พระองค์ทรงได้สอบถามเรื่องนี้กับปุโรหิต   ผู้เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายขนบธรรมเนียม และประเพณีของพระเจ้าสุทโธทนะ    พระองค์ทรงได้ยินความจริงว่าพระพรหมทรงสร้างมนุษย์  และมนุษย์ถูกกำหนดปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่เกิดมา  
              
                     อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงซักถามถึงประวัติของพระพรหม   แต่ไม่มีปุโรหิตคนใดสามารถให้ตอบคำถามแก่พระองค์ได้ อาณาจักรสักกะเป็นชุมชนการเมือง      ที่ตั้งอยู่บนที่ราบใกล้เทือกเขาหิมาลัย เป็นที่พำนักของชาวสักกะซึ่งมีเชื้อสายอารยันและดราวิเดียนอาศัยอยู่มาช้านาน    พวกเขาดำรงชีวิตอย่างสงบสุขตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์     และกฎหมายวรรณะและจารีตประเพณี      ชาวสักกะนับถือเทพเจ้าหลายองค์      ตามคำสอนของนิกายพราหมณ์ต่าง ๆ ชาวสักกะอารยันเชื่อว่า    พระพรหม   และพระอิศวรสามารถช่วยให้มนุษย์ประสบความสำเร็จในชีวิตได้             เพราะพระพรหมทรงสร้างชาวสักกะจากพระวรกายของพระองค์เอง      ส่วนชาวมิลักขะนับถือน้ำในฐานะเทวดาและการบูชายัญเป็นหน้าที่ของพราหมณ์ทั้งสองนิกาย       เพื่อดับทุกข์ทรมานของประชาชนในยุคนั้น    ด้วยการบูชายัญเพื่อช่วยให้ผู้คนบรรลุความปรารถนาของตน        พราหมณ์ทั้งอารยันและดราวิเดียนจึงได้รับศรัทธาจากประชาชน     และสร้างความมั่งคั่งด้วยการบูชาด้วยของมีค่าต่าง  ๆ             ดังปรากฏในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ   เล่มที่ ๒๘  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ขุททกนิกายชาดก ภาค๒  ๖.ภูริทัตตชาดกว่าด้วยพระเจ้าภูิริทัต       ข้อ.๙๒๘  ความจริงคนบางพวกนับถือไฟเป็นเทวดา ส่วนพวกมิลักขะนับถือน้ำเป็นเทวดา" 

                 อาณาเขตของอาณาจักรสักกะ โดยทั่วไป  อาณาจักรสักกะมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่ม   ทางตอนเหนือของอาณาจักรสักกะมีเทือกเขาหิมาลัยเป็นพรหมแดน         ยอดเขาสูงปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปี  มีน้ำตกไหลมาจากเทือกเขาหิมาลัยอย่างต่อเนื่อง       ในฤดูมรสุมจะมีฝนตกหนัก   ในฤดูร้อนหิมะจะละลาย และกลายเป็นลำธารที่ไหลลงมาจากเทือกเขาหิมาลัยก่อตัวเป็นแม่น้ำสายสำคัญหลายสาย     เทือกเขาหิมาลัยอุดมไปด้วยป่าฝน       ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านับล้านตัว  และพืชผลตามฤดูกาลอีกหลายล้านตัน      ดินแดนทางใต้และตะวันตกของอาณาจักรสักกะมีพรหมแดนติดกับอาณาจักรโกศล     ส่วนดินแดนทางทิศตะวันออกของอาณาจักรสักกะมีพรหมแดนติดกับอาณาจักรโกลิยะ  เป็นต้น  

อำนาจอธิปไตย      

               อาณาจักรสักกะเป็นรัฐที่มีอำนาจอธิปไตยของตนเอง  โดยมีรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ปกครองอาณาจักรสักกะเรียกว่า"ราชอปริหานิยธรรม"ซึ่งเทียบเท่ากับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่เป็นลายลักษณ์อักษร    อาณาจักรสักกะแยกตัวจากอาณาจักรโกลิยะและกลายเป็นรัฐอธิปไตย        ในสมัยของพระเจ้าโอกกากราชทรงเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรโกลิยะโดยมีแม่น้ำโรหิณีเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างอาณาจักรโกลิยะกับอาณาจักรสักกะ               ภายใต้การปกครองแบบสามัคคีธรรม  ตามกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี        ประชาชนถูกแบ่งออกเป็น  ๔ วรรณะ คือ วรรณะพราหมณ์  วรรณะกษัตริย์  วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น      เพื่อจำกัดสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ชาวดราวิเดียนในการปกครองประเทศ  อาชีพ   การศึกษาและการทำพิธีบูชายัญตามเชื่อศาสนาพราหมณ์       โดยอ้างเหตุผลคือเมื่อพระพรหมสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากร่างกายของพระองค์เอง    จึงทรงสร้างวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมาเท่านั้น  ไม่มีสิทธิและหน้าที่ในการประกอบอาชีพของคนวรรณะอื่น เป็นต้น

รัฐบาลของรัฐสักกะ 

               เมื่อผู้เขียนศึกษาเรื่อง "รัฐบาลของอาณาจักรสักกะ"     จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯแล้ว  เราได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เมื่อรัฐสักกะปกครองภายใต้ระบบสามัคคีธรรม     โดยประชาชนถูกแบ่งเป็น ๔ วรรณะ  กล่าวคือ วรรณะกษัตริย์  วรรณะพราหมณ์    วรรณะแพศย์  วรรณะศูทร            วรรณะกษัตริย์มีหน้าที่ปกครองประเทศโดยสมาชิกรัฐสภาจากวรรณะกษัตริย์           เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง ๓ ประการ    กล่าวคือ อำนาจนิติบัญญัตินั้น    ซึ่งสมาชิกรัฐสภามีส่วนร่วมในการตรากฎหมายจารีตประเพณี       อำนาจบริหาร ซึ่งสมาชิกรัฐสภามีส่วนร่วมในการบริหาร     และอำนาจตุลาการ  ซึ่งสมาชิกรัฐสภามีส่วนร่วมในการพิจารณาอรรถคดีทั้งปวง     ที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรสักกะ เป็นต้น

การปฏิรูปสังคมของเจ้าชายสิทธัตถะ      

              เมื่อผู้เขียนได้ศึกษา "การปฏิรูปสังคม"  ของเจ้าชายสิทธัตถะจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ      ผู้เขียนได้ทราบความจริงในเบื้องต้นว่า      อาณาจักรสักกะเป็นบ้านเกิดของเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์ทรงประทับอย่างมีความสุขอยู่ในปราสาท (Castle)     ๓ หลัง  ซึ่งเป็นคฤหาสน์          ตั้งอยู่ในตรงกลางพระราชวังกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่ซึ่งเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ เป็นเวลานานหลายปี     เจ้าชายสิทธัตถะทรงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับนางสนมกว่า ๔๐,๐๐๐  คน     ซึ่งบรรเลงดนตรีให้พระองค์ทรงฟังอย่างมีความสุขทั้งกลางวันและกลางคืน      อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิด    พระองค์เสวยพระกระยาหารอันโอชะ  พระองค์ทรงสัมผัสทางกายและทางใจเป็นต้น   ในที่สุดพระองค์ทรงเบื่อหน่ายชีวิตในปราสาท ๓ หลัง      พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยเสด็จไปเยี่ยมประชาชนชาวกบิลพัสดุ์      พระองค์ทรงเห็นความจริงว่าจัณฑาลไม่มีสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่เช่นเดียวกับชนชั้นอื่น  รวมถึงการงาน     การศึกษา        การมีส่วนร่วมในปกครองประเทศ  พิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์   การแต่งงาน           เมื่อได้รับการลงโทษโดยคนในสังคมแล้ว ไม่อาจกลับคืนสู่สถานะเดิมตามวรรณะที่เกิดมาได้  พวกเขาต้องอยู่บนท้องถนนในพระนครกบิลพัสดุ์     เมื่อชราภาพ ล้มป่วย   และเสียชีวิตบนท้องถนน เป็นต้น  ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยที่จะปฏิรูปสังคม         โดยการเสนอกฎหมายเลิกวรรณะต่อรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะ   อย่างไรก็ตาม   เมื่อสมาชิกรัฐสภาศากยวงศ์ได้ร่วมกันพิจารณากฎหมายยกเลิกวรรณะของเจ้าชายสิทธัตถะแล้ว   และสมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะลงมติเป็นเอกฉันท์        และเห็นว่ากฎหมายยกเลิกวรรณะขัดต่อหลักการอปริหานิยธรรม    ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองประเทศ  เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญห้ามยกเลิกกฎหมายจารีตประเพณีที่บัญญัติไว้แล้ว 

ปรัชญา&พุทธภูมิ
ancient Kapilavastu 
                    โดยทั่วไปแล้ว ผู้เขียนเป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้          และมีความลำเอียงผู้อื่นในทางที่ผิดเนื่องจากความไม่รู้    ความกลัว     ความเกลียดชัง  และความรัก  เป็นต้น     สิ่งนี้ส่งผลให้ชีวิตมนุษย์ทุกคนตกอยู่ในความมืดมน  พวกเขาขาดปัญญาในการเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นคือ      อาณาจักรสักกะซึ่งเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์      เมื่อแสดงความคิดเห็นในเรื่องเหล่านี้  ซึ่งได้ยินเรื่องราวที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน   โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญา     ใช้ในการอธิบายความจริงของ รัฐสักกะ        บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างถูกต้อง  บางครั้งอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างผิด ๆ     บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้    บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลอธิบายความจริงในลักษณะนั้น    เป็นต้น     เมื่อเหตุผลของคำตอบในเรื่องนั้นยังคลุมเครือและไม่ชัดเจน  เมื่อวิญญูชนเช่น      เจ้าชายสิทธัตถะ  หรือพระพุทธเจ้า ได้ยินคำตอบ พวกเขาก็จะไม่เชื่อคำตอบนั้นเป็นความจริง 

            ในการแก้ปัญหาความมืดมนในชีวิตมนุษย์  ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า      มีหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ  ๕.เกสปุตติสูตร กล่าวว่า  เมื่อเราได้ยินความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน     สิ่งยึดถือตามประเพณีที่สืบทอดกันมา โดยอาศัยข่าวลือ        โดยอาศัยการอ้างอิงตำราหรือคัมภีร์ทางศาสนา โดยใช้เหตุผลเชิงตรรกะ (การคิดหาเหตุผลเอง)  นั่น     เป็นการอนุมานเพราะเราคิดตามเหตุผล         เพราะสอดคล้องกับทฤษฎีที่ถูกพิจารณา เพราะเราเห็นลักษณะที่ปรากฏว่าเป็นไปได้   เพราะเคารพนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา เป็นต้น   เราไม่ควรเชื่อทันที ควรสงสัยเสียก่อน

               อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้เกี่ยวกับอาณาจักรสักกะในฐานะรัฐศาสนาพราหมณ์ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก       โดยกระบวนการพิจารณาความจริงดังนี้              เมื่อผู้เขียนได้ยินความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้  ผู้เขียนก็ไม่เชื่อทันทีว่าเป็นความจริง       ผู้เขียนตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน  จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง  และรวบรวมหลักฐานเช่น  พระไตรปิฎก   อรรถกถา  คัมภีร์ต่าง ๆ    และบันทึกของสมณะจีน ๒ รูป        พยานวัตถุได้แก่       พุทธสถานที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชไว้เป็นอนุสรณ์สถาน     เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า     พยานเอกสารดิจิทัลประกอบด้วยแผนที่โลกกูเกิล  แผนที่อินเดียโบราณ  เป็นต้น      เมื่อได้หลักฐานเพียงพอแล้ว    หลักฐานเหล่านั้นจะถูกนำใช้ในการวิเคราะห์           โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริง           เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้  ซึ่งทำโดยใช้เหตุผล    ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบของเรื่องสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ในพระไตรปิฎกอย่างสมเหตุสมผล

               บทความที่ได้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลนี้จะถูกนำเสนอเป็นความรู้ที่ผ่านการพิจารณาอย่างสมเหตุสมผล    โดยไม่สงสัยถึงเหตุผลของคำตอบเรื่องอาณาจักรสักกะในพระไตรปิฎกอีกต่อไป       บทความเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์           สำหรับพระธรรมทูตต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย ในการสอนแก่ผู้แสวงบุญทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางไปปฏิบัติบูชา   ณ     สังเวชนียสถานทั้ง  ๔ แห่งเพื่อให้ความรู้ทางพระพุทธศาสนาป็นไปในทิศทางเดียวกัน      กระบวนการพิจารณาความจริงของเรื่องนี้     โดยวิเคราะห์ข้อมูลโดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากหลักฐานนี้       จะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาปริญญาเอกด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญา    เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเขียนวิทยานิพนธ์ในด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญา   ความรู้ในวิทยานิพนธ์เรื่องนี้            จะเป็นความจริงที่ผ่านเกณฑ์ของการตัดสินอย่างสมเหตุสมผลและไม่สงสัยในข้อเท็จจริงของเรื่องนี้อีกต่อไป 

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ