Introduction: Buddhaphumi philosophy
การได้ไปเรียนต่อต่างประเทศเป็นความฝันของผู้เขียนมาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อเวลาผ่านไป จนตอนนี้ผู้เขียนอายุเกือบ ๔๓ ปี แต่ความฝันของผู้เขียนก็ยังไม่เป็นจริง ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ความฝันยิ่งห่างไกลออกไปเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยังชอบสนุกกับการเป็นนักคิด นั่นคือการจินตนาการหรือการสร้างภาพขึ้นในใจตลอดเวลาและไม่เคยคิดที่จะละทิ้งความฝันนี้ ผู้เขียนเริ่มหาหนทางสร้างความฝันด้วยสั่งสมทุนการศึกษามาหลายปี และมีทุนการศึกษาเพียงพอแล้ว ผู้เขียนก็ยังไม่รู้ว่าจะสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยต่างประเทศได้อย่างไร ? อย่างไรก็ตาม ในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ เมื่อผู้เขียนปรึกษากับอาจารย์หลายท่าน และได้รับคำแนะเกี่ยวกับการศึกษาต่อต่างประเทศ จึงทำให้ผู้เขียนมีโอกาสมากขึ้น เมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับช่องทางการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ
ในปี ค.ศ.๒๐๐๒ ผู้เขียนสำเร็จการศึกษาจากคณะพุทธศาสตร์ ภาควิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น และตัดสินใจศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขาปรัชญาและศาสนาที่ Banaras Hindu University สาธารณรัฐอินเดีย เป้าหมายของผู้เขียน คือหลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบานารัสฮินดูแล้ว ผู้เขียนตั้งใจที่จะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญสักแห่งหนึ่ง เพื่อที่จะมีชีวิตที่สงบสุขด้วยการทำสมาธิและพึ่งพาตนเองได้ ส่วนเหตุผลที่ผู้เขียนเลือกศึกษาต่อในประเทศอินเดีย เนื่องจากค่าเล่าเรียนของมหาวิทยาลัยในอินเดียต่ำกว่าในประเทศไทยมาก นอกจากนี้รัฐบาลไทยยังรับประกันการจัดการศึกษาที่มหาวิทยาลัยบาณารัสฮินดูด้วย
ผู้เขียนยื่นใบสมัครผ่าน กองวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพมหานครเพื่อติดต่อมหาวิทยาลัยบานารัสฮินดู ในเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๔๕ มหาวิทยาลัยบาณารัสฮินดูได้อนุมัติให้ผู้เขียนเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทแล้ว สมาคมนักศึกษาไทยแห่งเมืองพาราณสีได้จัดพิธีต้อนรับนักศึกษาใหม่ ในโครงการเดินตามรอยพระพุทธบาท ณ สังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง พิธีนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อฝึกฝนนักศึกษาใหม่ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และพัฒนาศักยภาพเพื่อชีวิตที่เข้มแข็งผ่านการสวดมนต์ การทำสมาธิ การฟังพระธรรมเทศนาและการบรรยายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ณ สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระสูตร ดังปรากฏในพระไตรปิฎกเถรวาทและมหายาน อรรถกถา และบันทึกของพระภิกษุจีน เป็นต้น
เมื่อผู้เขียนอุทิศตนรับใช้พระพุทธเจ้าและได้รับเชิญให้ไปบรรยายประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในสถานที่ต่าง ๆ ขณะที่ยังเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยบาณารัสฮินดู ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของผู้เขียน แม้จะมีภาระงานหนักแต่ผู้เขียนมั่นใจว่า จะประสบความสำเร็จทั้งในหน้าที่การงานและเป้าหมายของการศึกษาในชีวิต ผู้เขียนเพียงแต่ศึกษาและปฏิบัติหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง โดยเทศนาในสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงเคยเทศนาเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ เราต้องระลึกไว้เสมอว่าการเทศนาในสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงเคยเทศนานั้นหาได้ยาก ในฐานะผู้แสดงธรรมให้กับผู้แสวงบุญในต่างแดน ผู้เขียนต้องเตรียมความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ ต้องมีความรู้และทักษะในการเทศนา รวมถึงต้องมีความเข้าใจในประวัติศาสตร์ของสถานที่เหล่านั้นอีกด้วย
เมื่อได้รับโอกาสให้เผยแผ่พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ให้แก่ผู้แสวงบุญทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ณ เมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่ง เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพชีวิตและปลูกฝังศรัทธาในพระพุทธศาสนาปลูกฝังให้พวกเขาเชื่อว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นแนวทางที่ดีที่สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของมนุษย์ นั่นคือการหลุดพ้นจากความทุกข์ การมีศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และมุ่งมั่นทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อให้ประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นต้องอาศัยสติสัมปชัญญะและตระหนักรู้ก่อนลงมือปฏิบัติ เราตระหนักว่าโอกาสปฏิบัติธรรมในเมืองศักดิ์สิทธินั้นหาได้ยาก เราต้องรักษาสมาธิให้มั่นคงขณะปฏิบัติธรรม เพื่อบรรลุความสงบสุขทางจิตใจหรือบรรลุธรรมเป็นต้น เมื่อจิตใจของเราบริสุทธิ์ปราศจากอคติ เราจะพัฒนาบุคลิกภาพที่อ่อนโยนและถ่อมตน สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม และดำรงชีวิตอย่างมั่นคงบนพื้นฐานอุดมการณ์ เรายึดมั่นในหน้าที่ต่อผู้อื่นและประเทศชาติอย่างแน่วแน่ เมื่อเกิดปัญหา เราต้องจดจำความรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายใน และสั่งสมเป็นข้อมูลทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ ความรู้เหล่านั้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาของเราเองได้
การเขียนบทความเกี่ยวกับความจริงของปรัชญาและพุทธศาสนาลงในบล็อคของผู้เขียน เป็นเรื่องยากสำหรับนักวิชาการอย่างผู้เขียน ที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งในลักษณะน่าสนใจและคุ้มค่าแก่การติดตาม และอ่านเป็นประจำทุกวัน โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ใช้ในการอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับปรัชญา และพระพุทธศาสนาด้วยภาษาที่งดงาม สิ่งนี้กระตุ้นให้ผู้อ่านติดตามผลงานของผู้เขียนตลอดไป และมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อบทความที่อ่านนั้น สิ่งนี้ช่วยเอาชนะความมืดมนในจิตใจ ดื่มดำไปกับความสุขแห่งจินตนาการหรือสร้างภาพขึ้นในจิตใจจากการอ่านบทความ ความสุขที่เกิดขึ้นในจิตใจคือความสบายใจจากการเห็นภาพในจิตใจ และปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ของเรื่องนั้น ๆ พวกเขาสามารถแสดงความคิดเห็นของตนเองอย่างมีเหตุผล และคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนั้นจากสิ่งที่อ่านในบทความ โดยใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบในบทความเกี่ยวกับปรัชญาและพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างของข้อเท็จจริงที่ยกมานั้น ทำให้ผู้อ่านเข้าใจความจริงในของบทความวิชาการได้ยาก ซึ่งแตกต่างจากการอ่านนวนิยายยอดนิยมหลาย ๆ เล่ม ที่ผู้อ่านสามารถเข้าถึงเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายผ่านจินตนาการของตนเอง
เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการเขียนเชิงวิชาการคือ เมื่อนักวิชาการได้ยินความจริงเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง พวกเขาจะไม่เชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงในทันที พวกเขาจะสงสัยในสิ่งนั้น จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงของประเด็นที่น่าสงสัยและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เช่น พยานเอกสาร พยานวัตถุ พยานบุคคล และพยานเอกสารดิจิทัล เป็นต้น เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ นักวิชาการจะใช้หลักฐานเหล่านี้เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนั้น เพื่อพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ โลก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เหตุการณ์ทางสังคมของมนุษย์ที่เกิดขึ้น และการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น พวกเขาจะใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาเพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้น ๆ ซึ่งถือเป็นความรู้ที่สมเหตุสมผล และสามารถอธิบายความจริงได้อย่างตรงไปตรงมา เมื่อบทความวิชาการไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ทางโลกให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ หรือรู้สึกพอใจในขณะอ่านบทความนั้น เพราะไม่สามารถสร้างความสุขและจินตนาการอันงดงามให้กับผู้อ่านได้ นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้อ่านไม่ชอบอ่านบทความวิชาการ เพราะรู้สึกว่าบทความวิชาการเข้าใจยากและไม่สามารถประยุกต์ความรู้จากบทความวิชาการมาใช้ในชีวิตประจำวันได้หรืออย่างน้อยที่สุด บทความวิชาการควรสร้างความพึงพอใจให้กับผู้อ่านด้วยการเรียนรู้จากจินตนาการในบทความนั้น ๆ
ในปัจจุบัน บทความวิชาการเกี่ยวกับปรัชญาและพระพุทธศาสนา ที่เผยแพร่ทางออนไลน์มักมีแนวคิดซ้ำซากและขาดข้อเท็จจริงใหม่ที่เป็นประเด็นใหม่ ๆ ที่จะนำเสนอปัญหาต่อสาธารณชน แม้ว่านักวิชาการจะใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบในลักษณะที่สอดคล้องกับหลักการทางปรัชญา แต่ข้อเท็จจริงของเนื้อหาปรัชญาและพระพุทธศาสนากลับไม่ชัดเจนและมีตัวอย่างน้อยเกินไป ไม่เพียงพอที่จะให้ผู้อ่านเข้าใจความจริง และติดตามอ่านบทความวิชาการในประเด็นเหล่านี้อย่างต่อเนื่องทุกวัน นอกจากนี้ ตัวตนของผู้เขียนบทความยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวคิดทางปรัชญาของพวกเขา อาจเป็นนักอุดมคตินิยม นักเหตุผลนิยม นักปรัชญาสมัยใหม่ หรือนักปรัชญาการเมือง สิ่งเหล่านี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านศึกษากระบวนการคิดของนักปรัชญาเหล่านั้นและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
แม้ว่านักวิชาการส่วนใหญ่จะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและมีข้อมูลอ้างอิงที่ดี แต่เมื่อพวกเขาไม่มีข้อเท็จจริงใหม่ ๆ ที่จะเป็นเด็นนำเสนอต่อสาธารณชนเพื่อเป็นตัวอย่าง หรือข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้เชิงตรรกะหรือคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนั้น เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของคำตอบในประเด็นต่าง ๆ อย่างสมเหตุสมผล สิ่งนี้ทำให้เนื้อหาของบทความเชิงปรัชญาเหล่านั้น กลายเป็นเรื่องของการคาดคะเนความจริงของเหตุการณ์ในอนาคต นักวิชาการเหล่านั้นอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงอย่างถูกต้องหรืออย่างผิด ๆ ก็ได้ บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้ บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนั้น เมื่อเหตุผลของคำตอบยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถยอมรับได้และไม่สนใจที่จะอ่านบทความในประเด็นนั้นอีกต่อไป
แต่ในฐานะอาจารย์ด้านปรัชญา ผู้เขียนได้พิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปรัชญา พุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ วิชาเหล่านี้ถือเป็นความรู้ของมนุษย์ซึ่งเราเรียกว่า นักปรัชญา เจ้าชายสิทธัตถะ และนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น มนุษย์ทุกคน มีองค์ประกอบชีวิตที่เหมือนกัน คือร่างกายและจิตใจ ความรู้ของนักปรัชญา พระพุทธเจ้า และนักวิทยาศาสตร์ ล้วนเกิดจากอายตนะภายในร่างกายซึ่งทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างจิตใจกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วหายไปจากการรับรู้ของอายตนะภายในของมนุษย์
อย่างไรก็ตาม นี่คือธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ เมื่อจิตใจมนุษย์รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านอายตนะภายในร่างกาย พวกเขาจะรวบรวมเหตุการณ์เหล่านั้นไว้ เป็นหลักฐานทางอารมณ์และสั่งสมไว้ในจิตใจ เมื่อจิตใจรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะคิดจากสิ่งนั้นโดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนั้น เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อมนุษย์บางคนเป็นนักตรรกะ นักปรัชญา มักแสดงธรรมะของตนเองตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้ บุคคลเหล่านี้มักมีการใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริง ที่บางครั้งใช้เหตุผลที่ถูกต้อง บางครั้งใช้เหตุผลอย่างผิด ๆ บางครั้งใช้เหตุผลเป็นอย่างนั้น บางครั้งใช้เหตุผลเป็นอย่างนี้บ้าง เมื่อเหตุผลของคำตอบยังคลุมเครือและไม่ชัดเจนว่าความจริงเรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ? วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้าทรงไม่เชื่อเหตุผลของความคิดเห็นนั้นว่าเป็นความจริง พระองค์ทรงชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องเหล่านี้ พระองค์จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อพระองค์ทรงมีหลักฐานเพียงพอแล้ว พระองค์ทรงใช้หลักฐานเหล่านั้น เป็นข้อมูลเพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผลเพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นต่อไป
ยกตัวอย่างเช่น ตามคำสอนของศาสนาพระพุทธศาสนานั้น เมื่อพราหมณ์บางคนในโลกเป็นนักตรรกศาสตร์ นักปรัชญาเชื่อว่า พระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์จากร่างกายของพระองค์เอง และสร้างวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคำสอนของพราหมณ์เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ ซึ่งมีสภาพบังค้บตามกฎหมายวรรณะให้ประชาชนในแคว้นสักกะต้องปฏิบัติตามดังต่อไปนี้ ประชาชนถูกห้ามมิให้มีเพศสัมพันธ์กับคนต่างวรรณะ และห้ามประชาชนปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นของวรรณะอื่น อย่างไรก็ตาม มนุษย์เกิดมาด้วยความไม่รู้ เมื่อไม่ได้ศึกษาหาความรู้และไม่สามารถควบคุมกิเลสของตนได้ พวกเขาก็ยังกระทำความผิดร้ายแรงโดยละเมิดคำสอนทางศาสนาพราหมณ์ กฎหมายวรรณะ ได้กำหนดบทลงโทษไว้ด้วยการลง "พรหมทัณฑ์" ซึ่งหมายถึงการขับไล่ออกจากสังคมตลอดชีวิตและไม่สามารถกลับคืนสู่สถานะเดิมได้ ดังนั้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเรื่อง "พระพรหม" ทรงลงโทษชาวเมืองสักกะที่เรียกว่า "พรหมทัณฑ์" พระองค์ทรงไม่เชื่อความจริงในเรื่องนี้ทันที แต่พระองค์ยังคงสงสัยไว้ก่อน จนกว่าพระองค์จะได้สอบสวนข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอแล้ว พระองค์ทรงใช้หลักฐานดังกล่าวเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น โดยการใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น
หากปราศจากการค้นหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงแล้ว ข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากคำให้การของพยานเพียงคนเดียวนั้นก็จะขาดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นอันเนื่องจากความเกลียดชัง ความรัก ความกลัวและความไม่รู้ เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ยังมีอายตนะภายในที่มีข้อจำกัดในการรับรู้สถานการณ์ต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อแก้ปัญหาความไม่น่าเชื่อถือของพยาน นักปรัชญาจึงแสวงหาทางแก้ไขข้อจำกัดของมนุษย์ โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานมาเป็นข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงนั้น โดยใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น หากปราศจากหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ความจริง ข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากพยานเพียงคนเดียว ก็จะมีน้ำหนักน้อยและไม่น่าเชื่อถือ วิญญูชนจะไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าเป็นความจริงได้
![]() |
พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา |
ผู้เขียนเชื่อว่าการบรรยายประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาเป็นเวลา ๘ วัน ณ ๔ นครศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้าในสาธารณรัฐอินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ควบคู่ไปกับการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในมหาวิทยาลัยบานารัสฮินดูนั้น ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการปฏิบัติธรรม ที่ต้องใช้ศรัทธาและความเพียรพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งในเชิงวิชาชีพและวิชาการ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นหนทางในการพัฒนาศักยภาพชีวิตและความเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัต์ อันเป็นหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่อยู่เหนือขอบเขตของคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ที่ผู้เขียนได้ศึกษาคำสอนเหล่านี้มาเป็นเวลาหลายปี และระลึกถึงความรู้ในประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ณ พุทธสถานแต่ละแห่งอย่างมีสติ และถ่ายทอดความรู้นี้แก่ผู้แสวงบุญ และฝึกฝนผู้ให้ผู้แสวงบุญในการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ให้เกิดสมาธิอย่างแน่วแน่ และเกิดปัญญารู้แจ้งความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัติถ์ได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าคำบรรยายประวัติศาสตร์พุทธศาสนาของผู้เขียนจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว มีอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและหายไปในอากาศ อย่างไรก็ตามก่อนที่เรื่องราวการอธิบายประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาและอบรมผู้แสวงบุญปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ จะเลือนหายไปในอากาศนั้น เมื่อจิตของผู้เขียนได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว ก็จะบันทึกเรื่องราวเหล่านี้เป็นข้อมูลทางอารมณ์ ที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของผู้เขียนและกลายเป็นความรู้ติดตัวของผู้เขียนกลับสู่ราชอาณาจักรไทย เมื่อผู้เขียนมีหน้าที่รับผิดชอบสอนวิชาปรัชญา ผู้เขียนได้ประยุกต์ความรู้นี้มาสอนนักศึกษาในหลักสูตรพระพุทธศาสตร์มหาบัณฑิต สาขา ปรัชญา และพระพุทธศาสนา ณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครราชสีมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อผู้เขียนในฐานะเป็นอาจารย์ประจำในหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาปรัชญา ได้สังเกตเห็นว่า สถาบันการศึกษาทั่วโลก จัดการเรียนการสอนตามหลักวิทยาศาสตร์ คนส่วนใหญ่ทั่วโลกเชื่อว่าปรัชญา พุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ มีระบบการศึกษาที่แตกต่างกันมาก ดังนั้น จึงเป็นไม่ได้ที่จะสอนให้สอดคล้องกันได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อศึกษาระบบการศึกษาต่าง ๆ ทั้งในราชอาณาจักรไทยและทั่วโลก ความรู้ย่อมมีต้นกำเนิดมาจากมนุษย์โดยธรรมชาติ โครงสร้างของความรู้ วิธีการแสวงหาความรู้ และความสมเหตุสมผลของความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ ล้วนเกี่ยวข้องกับการแสวงหาความจริงของสรรพสิ่งและเป็นความรู้ของมนุษย์ทั้งสิ้น
เมื่อปรัชญา พุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ล้วนเป็นความรู้ของมนุษย์และเนื้อหาวิชาเหล่านี้ก็แยกออกจากปรัชญา เพื่อสร้างหลักสูตรใหม่ นักปรัชญาตะวันตกจึงยกย่อง"ปรัชญา"ว่าเป็น "มารดา ของศาสตร์ทั้งปวง" ต้นกำเนิดของความรู้นี้เกิดจากจิตใจของมนุษย์รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านอายตนะภายในและสั่งสมเหตุการณ์นั้นเป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ อย่างไรก็ตามโดยธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ไม่ได้เพียงแค่รับรู้และรวบรวมเหตุการณ์เหล่านี้เป็นหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น ชีวิตมนุษย์ยังธรรมชาติของนักคิด เมื่อชีวิตมนุษย์รับรู้สิ่งใด ก็จะคิดจากสิ่งนั้นอีกด้วย โดยใช้หลักฐานทางอารมณ์เหล่านี้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงเรื่องนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงเรื่องเหล่านั้น
เนื่องจากชีวิตมนุษย์มีธรรมชาติของนักคิดโดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้า ทรงได้ฟังความคิดเห็นของพวกพราหมณ์ ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์ โลก และการมีอยู่ของเทพเจ้าหลายองค์แล้ว พระองค์ก็ทรงสงสัยว่านักตรรกะคนใดคิดใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างถูกต้อง นักปรัชญาคนใดใช้เหตุผลอธิบายความจริงไม่ถูกต้อง หรือนักตรรกะศาสตร์คนใดใช้เหตุผลอธิบายความจริงเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ เป็นต้น เพื่อแก้ไขความไม่น่าเชื่อถือของความคิดเห็นของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาในสมัยพุทธกาล เจ้าชายสิทธัตถะทรงสร้างกระบวนการพิจารณาความจริงขึ้นเพื่อปฏิรูปการศึกษาในสมัยพุทธกาล เป็นต้น
กระบวนการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า ก่อนออกผนวชเป็นพระโพธิสัตว์ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสดับฟังเรื่องราวที่พระพรหมลงโทษประชาชนในแคว้นสักกะ พระองค์มิได้ทรงเชื่อข้อเท็จจริงในทันที พระองค์ทรงสงสัยในเรื่องราวนั้น จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อได้พยานหลักฐานเพียงพอแล้ว พระองค์จึงทรงใช้หลักฐานนั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยินนั้น โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น
เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาความจริงในปรัชญา ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าพราหมณ์ในอนุทวีปอินเดียซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์ นักปรัชญา เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงที่สืบทอดกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น การมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร นักปรัชญาและนักตรรกศาสตร์มักจะแสดงความคิดเห็นตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงจากสิ่งได้ยินมาทันที โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้น บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลอย่างผิด ๆ เป็นต้น ทั้งนี้เป็นเพราะนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเป็นมนุษย์ที่มีอายตนะภายในที่ถูกจำกัดความสามารถในการรับรู้ และมักมีความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมนและขาดปัญญาเข้าใจที่จะความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์
ในพระพุทธศาสนา เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพรหม พระองค์ทรงสร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติตามคำสอนของพราหมณ์ มนุษย์สามารถสื่อสารกับเหล่าทวยเทพเจ้าได้เฉพาะผ่านพิธีกรรมของพราหมณ์เท่านั้น อย่างไรก็ตามพระองค์มิได้ทรงเชื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวในทันที พระองค์ทรงมีความสงสัยก่อนที่จะทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ เจ้าชายสิทธัตถะทรงใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้านั้น โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงอย่างสมเหตุสมผล
ตามหลักวิทยาศาสตร์นั้น เมื่อนักวิทยาศาสตร์รับรู้ความจริงเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ทางสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้นผ่านอาตนะภายใน และสั่งสมเรื่องราวเหล่านั้น ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในใจจากนั้นก็ใช้หลักฐานทางอารมณ์เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงไม่สามารถหาสาเหตุของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากข้อจำกัดในการรับรู้ผ่านอายตนะภายในร่างกาย และมักมีความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งนำชีวิตไปสู่ชีวิตที่มืดมน ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงจากประสบการณ์เหล่านั้นได้ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์สนใจที่จะศึกษาเรื่องนี้อีกต่อไป นักวิทยาศาสตร์จึงได้คิดค้นวิธีไขปัญหาเหล่านี้ด้วยการสร้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยแก้ปัญหาการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลให้แม่นยำยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนสุดท้ายในการตีความข้อมูลที่วิเคราะห์แล้วก็ต้องเป็นหน้าที่ของนักปรัชญา พระพุทธเจ้า และนักวิทยาศาสตร์ในการตีความข้อมูลทั้ง ๓ หัวข้อ
เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงเหล่านี้ ผู้เขียนจึงต้องตั้งคำถามว่าเราจะสามารถสอนพระพุทธศาสนา โดยอาศัยกระบวนการพิจารณาความจริงของนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยการอนุมานความรู้ และการใช้เหตุผล เพื่อพิสูจน์ความจริงได้หรือไม่ หลังจากศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแล้ว ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้น ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อได้ยินเรื่องราวของที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หรือสิ่งยึดถือเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หรือค้นคว้าจากคัมภีร์หรือตำราเรียน เราไม่ควรเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งทันที เราควรตั้งข้อสงสัยก่อนว่าสิ่งนั้นจริงหรือไม่ จนกว่าเราจะได้ศึกษาข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เช่น หลักฐานเอกสาร หลักฐานวัตถุ พยานบุคคลและหลักฐานดิจิทัลฯลฯ เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ ก็สามารถนำหลักฐานไปใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาเพื่ออธิบายความจริง ดังนั้น กระบวนการแสวงหาความรู้ในพระพุทธศาสนาจึงสอดคล้องกับกระบวนการแสวงหาความรู้ในปรัชญา และวิทยาศาสตร์ เพราะทั้งสองอย่างเริ่มต้นด้วยความสงสัยเหมือนกัน เป็นต้น
Sengupta International Hostel |
ในสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นนักศึกษาต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่เมืองพาราณสี รัฐอุตตรประเทศ ซึ่งเป็นเมือง ๑ ใน ๔ เมืองสังเวชนียสถาน (The four Buddhist Holy places) ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งนี้และฟังพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับพุทธประวัติทุกปี ความรู้นี้ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของผู้เขียน และสามารถแบ่งปันความรู้นี้ให้กับผู้แสวงบุญชาวไทยระหว่างเดินทางไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งนี้ผู้เขียนจึงได้รับนิมนต์ให้บรรยายเกี่ยวกับพุทธประวัติเป็นประจำ แม้ว่าจะเป็นงานที่ยากลำบาก ต้องใช้ศิลปะในการถ่ายทอดความรู้ทั้งทางทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตของผู้แสวงบุญผ่านการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน
แต่การแสวงบุญไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นยากยิ่งกว่า แม้จะมีศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่ไม่มีเวลา ผู้แสวงบุญก็ไม่สามารถเดินทางไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ ได้ แม้จะมีศรัทธาและมีเวลาเดินทางไปได้ แต่สุขภาพของตนเองไม่ดี ก็ไม่สามารถเดินทางไปได้ แม้จะมีศรัทธา เวลาและสุขภาพดี แต่ไม่มีเงินค่าเดินทางก็ไม่สามารถเดินทางไปได้เช่นดียวกัน แม้ว่าจะมีศรัทธา เวลา สุขภาพ ที่และมีเงินแล้วก็ตาม แต่ขาดผู้นำจิตวิญญาณที่รอบรู้ในความจริงที่สมมติและความจริงขั้นปรมัตถ์ ก็ยากที่จะเกิดศรัทธา มีวิริยะในการปฏิบัติบูชา เพื่อบรรลุธรรมก็เป็นเรื่องยาก
เนื่องจากนครศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งของพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์กลางการบูชา(worship) ของชาวพุทธทั่วโลกทั้งนิกายเถรวาทและมหายาน แม้ทั้งสองนิกายจะมีวิธีการบูชาที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองนิกาย ก็ยังคงยึดมั่นในคำสอนของอาจารย์ ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พวกเขายังคงปฏิบัติบูชาด้วยความศรัทธาอันแน่แน่ มั่นคงไม่หวั่นไหวต่อความเห็นที่แตกต่างจากนิกายอื่น ๆโดยเชื่อว่า นี่เป็นหนทางเดียวที่จะดับความทุกข์ได้ นอกจากนี้การแสวงบุญไปยังประเทศอินเดียและเนปาลยังเป็นช่องทางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยสอนให้ผู้แสวงบุญปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแสวงหาความรู้ผ่านประสบการณ์ชีวิต ผ่านอายตนะภายในร่างกายและสั่งสมความรู้ไว้ในจิตใจ การทำเช่นนี้หาได้ยาก เนื่องจากคัมภีร์ทางพุทธศาสนานั้น ยังขาดหลักฐานเชิงข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริงของประเด็นใดประเด็นหนึ่ง
หากชาวพุทธที่ไม่เคยเดินทางไปแสวงบุญที่อินเดีย และเนปาล พวกเขาก็จะไม่รู้จักวิถีชีวิตแบบพหุเทวนิยมซึ่งผู้คนยังคงยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณี (Tradition) เกี่ยวกับวรรณะ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ทางสังคมที่พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมอินเดีย ทุกปีมีรายงานข่าวบนโซเชียลมีเดียว่าการแต่งงานข้ามวรรณะกลายเป็นอาชญากรรมในครอบครัว โดยพ่อฆ่าลูกสาวของตนเอง แม้ว่ากฎหมายวรรณะขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี จะถูกยกเลิกไปแล้วโดยปริยายแล้ว เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐอินเดียไม่ได้ระบุวรรณะไว้อย่างชัดเจน แต่รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐอินเดียระบุว่าชาวอินเดียมีสิทธิทางการเมือง เสรีภาพ หน้าที่ การศึกษา อาชีพ และพิธีกรรมทางศาสนาเท่าเทียมกัน สิ่งนี้ทำให้ผู้คนทั่วโลกยกย่องสาธารณรัฐอินเดียว่าเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ที่เท่าเทียมกันภายใต้รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรนั้น ไม่สามารถทำลายความเชื่อของชาวอินเดียที่ว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะที่พระพรหมสร้างขึ้น ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา คำสอนนี้ยังคงฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของชาวอินเดียมาจนถึงทุกวันนี้
ในขณะที่ชาวพุทธทั่วโลกเดินทางไปแสวงบุญที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งเป็นประจำทุกปี สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่แสดงธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับพระพุทธเจ้า อาจารย์ชาวตะวันตกบางท่านได้ช่วยเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า ไปยังชาวพุทธทั่วโลก การตัดสินใจศึกษาปรัชญาและศาสนาที่มหาวิทยาลัยบาณารัสฮินดู ทำให้ผู้เขียนได้เข้าใจสถานที่จริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ระหว่างการแสวงบุญที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ ๔ แห่งนี้ ผู้เขียนได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระธรรมทูตต่างประเทศจากราชอาณาจักรไทย ซึ่งอุทิศตนรับใช้พระพุทธเจ้า บนเส้นทางแสวงบุญระยะทาง ๑,๒๐๐กิโลเมตรเป็นเวลา ๘ วัน ผู้เขียนได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่แตกต่างจากเคยศึกษาในตำราเรียนมาก่อน
ในการเขียนปรัชญาในดินแดนกำเนิดพระพุทธศาสนานั้นแม้ว่าสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง จะเป็นพยานวัตถุ(Physical Evidence)ที่ยืนยันการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า แต่พยานเอกสารเช่นพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาราชวิทยาลัย๔๕เล่ม(ปกสีฟ้า)มีความสำคัญอย่างยิ่งใน การตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ควรเชื่อข่าวลืออย่าพึ่งเชื่อข้อมูลอ้างอิงในหนังสือ อย่าเชื่อการคาดคะเนความจริง ไม่ควรเชื่อในคำทำนาย ไม่ควรเชื่อในคำตัดสินที่อิงตามความเชื่อของตนเอง ไม่ควรเชื่อในคำพูดน่าเชื่อถือไม่ควรเชื่อความเห็นเพราะว่าสมณะนี้เป็นครูบาอาจารย์ของเรา เป็นต้น
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นำไปสู่การสร้างแผนที่โลกดิจิทัลขึ้น ซึ่งทำให้ชาวพุทธสามารถเข้าถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งได้ โดยปราศจากสงสัยและยังสามารถค้นหาพยานเอกสาร เพื่อพิสูจน์ความจริงของการมีอยู่ของพระพุทธเจ้าได้
บทความเกี่ยวกับปรัชญาพุทธภูมิของผู้เขียน ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การศึกษาแนวคิดของนักปรัชญาคนใดคนหนึ่งอีกต่อไปเหมือนในอดีต ซึ่งเป็นวิธีการสอนปรัชญาที่ล้าสมัยที่เน้นท่องจำแนวคิดของนักปรัชญา และไม่ใช่กระบวนการคิดวิเคราะห์ที่จะตัดสินว่านักปรัชญาคนใดคนหนึ่งใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างผิด ๆ บางครั้งเหตุผลก็ถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายความจริงในลักษณะนี้หรือ บางครั้งนักปรัชญาก็อธิบายความจริงในลักษณะนั้น เป็นต้น
เมื่อวิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงฟังความเห็นของนักปรัชญาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงในลักษณะที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน พระองค์จะทรงไม่เชื่อว่าความเห็นของนักปรัชญาเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น อย่างไรก็ตาม การศึกษาเฉพาะแนวคิดของนักปรัชญาแต่ละคน เมื่อเกิดความคิดเห็นที่ขัดแย้งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เป็นการยากที่จะวิเคราะห์แนวคิดของนักปรัชญาคนใดเป็นผู้ใช้เหตุผลอย่างถูกต้องหรือให้เหตุผลไม่ถูกต้อง บางครั้งพวกเขาอาจให้เหตุผลในลักษณะนี้หรือบางครั้งอาจให้เหตุผลในลักษณะนั้น เมื่อนักปรัชญาใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน นักศึกษาปรัชญาอาจได้รับประโยชน์เพียงเล็กน้อยจากการศึกษาปรัชญา ดังนั้นเจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงสร้างวิธีพิจารณาความจริงตามหลักพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นเกณฑ์ในการตัดสินปัญหาของความจริงในชีวิตประจำวัน
การเขียนบทความนี้บนบล็อคปรัชญาพุทธภูมินั้น ผู้เขียนเชื่อว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ในระดับบัณฑิต โดยสอน ทั้งทฤษฏี(คำสอน)และการปฏิบัติ(อริยมรรคมีองค์ ๘) ไปพร้อม ๆ กัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความจริงในพระพุทธศาสนามีทั้งความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ จึงมีวิธีปฏิบัติหลายอย่างที่จะบรรลุความจริงนั้น กล่าวคือ ๑.กระบวนการพิจารณาความจริงที่สมมติขึ้น ๒.กระบวนการพิจารณาความจริงขั้นปรมัติ
อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของผู้เขียนในการเขียนปรัชญาพุทธภูมิ คือ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่าพระพุทธศาสนา ปรัชญา และวิทยาศาสตร์ ล้วนเป็นความรู้ของมนุษย์ ต้นกำเนิดความรู้นี้มาจากกระบวนการพิจารณาความจริงของเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งพระองค์ถือว่าพิจารณาว่าเป็นการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า ขั้นตอนในกระบวนการนี้มีดังนี้ เมื่อผู้คนได้ยินความจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราไม่ควรเชื่อทันที พวกเขาควรตั้งข้อสงสัยเรื่องนั้นไว้ก่อน จนกว่าจะได้พิสูจน์ความจริงและรวบรวมหลักฐาน เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ พวกเขาจะใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยการใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาเพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้น เมื่อเห็นว่าคำตอบนั้นสมเหตุสมผล เราจะเผยแผ่ความรู้นั้นเพื่อให้ผู้อื่นได้ศึกษาและค้นคว้าเพิ่มเติม
แม้ว่าพระไตรปิฎกทั้งฝ่ายเถรวาท และมหายานจะเก็บรักษาคำสอน และข้อเท็จจริงของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนและระหว่างสมัยพุทธกาลไว้แต่พระไตรปิฎกเหล่านี้ก็พร้อมสำหรับการศึกษาและค้นคว้าในภายหลัง พระไตรปิฎกเหล่านี้สามารถอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาได้สืบสานการปฏิบัติธรรม เพื่อบรรลุธรรม โดยปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าจนถึงปัจจุบันในยุคหลัง ๆ นักปรัชญาได้พัฒนาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นความรู้ในหลากหลายแขนงแต่นักปรัชญาไม่ได้อ้างอิงแหล่งที่มาของความรู้ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อเราศึกษาพระไตรปิฎกอย่างสม่ำเสมอ เราจะตระหนักว่าทฤษฎีทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์ของชาวตะวันตกหลายทฤษฎี มีคล้ายคลึงกับคำสอนของพระพุทธศาสนา ที่พบในพระไตรปิฎกเถรวาทและมหายานในเวลาต่อมานักปรัชญาตะวันตกจึงได้สืบสานคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยพัฒนาหลักทฤษฎีเหล่านั้น มาสู่ปรัชญาตะวันตกและขยายไปสู่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เช่น จิตวิทยา นิติศาสตร์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม จุดมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าคือการเผยแผ่คำสอนเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ไปทั่วโลก เพื่อให้ผู้คนสามารถปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ เพื่อหลัดพ้นจากวัฏจักรแห่งความตายและการเกิดใหม่ในวัฏสงสาร ปัจจุบันแม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะได้ยอมรับทั่วโลกในด้านความเฉลียวฉลาด แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถชำระล้างกิเลสและตัณหาออกจากจิตใจมนุษย์และบรรลุความจริงขั้นปรวัตถ์ ซึ่งเป็นความรู้ที่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ที่เรียกว่า"อภิญญา๖" ซึ่งสามารถทำได้ โดยปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ด้วยตนเองเท่านั้น เป้าหมายคือการพัฒนาศักยภาพชีวิตให้แข็งแกร่งผ่านการทำสมาธิ ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์และหลุดพ้นจากความทุกข์ พัฒนาบุคลิกภาพที่อ่อนโยนเหมาะสมกับการเข้าสังคม ยึดมั่นในเป้าหมายชีวิตและมุ่งมั่นในการรับผิดชอบต่อผู้อื่นและนำความรู้ที่สั่งสมจากประสบการณ์ชีวิต มาประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหาของตนเองได้
อย่างไรก็ตาม มนุษย์ในยุคใหม่ซึ่งดำรงชีวิตอย่างสุขสบายด้วยปัจจัย ๔ แห่งชีวิต กลับดำเนินชีวิตด้วยความประมาท ล้มเหลวในการพัฒนาศักยภาพชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘ ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในความมืดมนจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจ "อภิญญา๖" หลงระเริงในอบายมุข และชอบแสวงหาความสุขจากการดื่มสุราและเสพยาเสพติดโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพ ไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของกรรมของตนเอง พวกเขามักทำกรรมชั่ว ที่ทำให้เกิดเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ละเมิดต่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดีของประชาชนและกฎหมายดังนั้น รัฐบาลทั่วโลกจึงบรรจุหลักศีลธรรมของพระพุทธศาสนาไว้ในประมวลกฎหมายอาญา เพื่อบังคับใช้กฎหมายอาญาและลงโทษผู้กระทำผิด จัดตั้งหน่วยงานยุติธรรมเพื่อใช้อำนาจทางกฎหมาย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม ให้สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธศาสนาและประมวลกฎหมายอาญา เป็นต้น
4 ความคิดเห็น:
สาธุครับ
สาธุค่ะ
สาธุครับ
หลังจากอ่านจบแล้วมีความรู้ความเข้าใจในแดนพุทธธรรมมากขื้ มีความคิดอยากไปแดนพุทธภูมิเพื่อศึกษาแดนพุทธภูมิและสักการะพระะทธเจ้า สาธุ
แสดงความคิดเห็น