The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

ปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับสาเหตุการผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ(ตอน๔)

 เอกสารหลักฐานในพระไตรปิฎกของสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวช


     เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ  เล่มที่๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ ฉบับมหาจุฬา ฯ   ขุททกนิกายพุทธวงศ์๒๕.โคตมวงศ์ ข้อ.๑๖ กล่าวว่าเราเห็นนิมิต ๔ ประการ  จึงทรงพระราชพาหนะคือม้าออกผนวชแล้ว  ได้บำเพ็ญทุกกิริยาอยู่ ๖ ปีจึงได้บรรลุโพธิญาณ" ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า   เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จเยี่ยมราษฏร์ในเขตพระนครกบิลพัสดุ์พระองค์ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ ได้แก่ คนชรา คนเจ็บ คนตายและนักบวช จึงเป็นเหตุผลให้พระองค์ทรงตัดสินพระทัยออกบวช      เพื่อค้นหาความสัจธรรมของชีวิตว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ตามคำสอนของพราหมณ์อารยันหรือไม่?  เมื่อไม่มีหลักฐานจากคัมภีร์อื่นใด       มาพิสูจน์หักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ    ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะสงสัยข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ อีกต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับความคิดเห็นของนักปรัชญาศาสนาหลายคนที่มีความเห็นเหมือนกันว่า คนชรา คนเจ็บไข้คนตายและสมณะเป็นเหตุผลที่แท้จริงสำหรับการตัดสินพระทัยของเจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวช  แต่ผู้เขียนเห็นว่าความแก่ ความเจ็บป่วย   และความตายของมนุษย์เป็นความจริงที่มนุษย์ต้องเผชิญด้วยตนเอง  ไม่มีใครหลีกเลี่ยง ความแก่ ความเจ็บป่วยและความตายได้เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระมารดาและบริวาร๔๐,๐๐๐ คนพระองค์ทรงพลัดพรากจากคนที่รักเป็นประจำเพราะความตายอยู่แล้ว ดังนั้นผู้เขียนจึงเห็นว่าความชรา ความเจ็บไข้     และความตายของชาวพระนครกบิลพัสดุ์เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในสังคมยังไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวช  เพราะการให้เหตุผลที่อ่อนและไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนี้ อะไรคือปัญหาที่แท้จริงของสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวช ?    ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไปจึงตรวจสอบข้อเท็จจริง   และรวบรวมเอกสารหลักฐานพยานบุคคลพยานวัตถุกัน  และพยานเอกสารดิจิทัลเพิ่มเติม เพื่อวิเคราะห์หาเหตุผลยืนยันข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนี้   

๒. พยานแวดล้อมถึงสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวช  

    เมื่อผู้เขียนเห็นว่าความชรา ความเจ็บป่วย  และความตายของชาวกบิลพัสดุ์นั้น ยังไม่เป็นสาเหตุที่แท้จริงในการออกผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ อาจมีเหตุผลอื่นที่ทำให้พระองค์ทรงตัดสินพระทัยออกผนวช เพราะพระองค์ประสูติในวรรณะของกษัตริย์ มีสิทธิและหน้าที่ในการปกครองรัฐสักกะ และสามารถช่วยเหลือประชาชนตามหลักเมตตาธรรม ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาการเมืองในระบบรัฐสภา เพราะราชอาณาจักรรัฐสักกะมีการปกครองระบอบสามัคคีธรรม เป็นรัฐทางศาสนาเพราะเอาหลักคำสอนของพราหมณ์มาบัญญัติเป็นกฎหมาย มีหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาๆว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีความขัดแย้งกับเจ้าชายเทวทัตแห่งราชวงศ์โกลิยะหลายครั้งหรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่นที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยออกผนวชเป็นเรื่องที่ควรศึกษาค้นคว้าและสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเติมต่อไป   

๒.๑แคว้นสักกะเป็นรัฐศาสนา     เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ที่https://84000.org/tipitaka / Tripitaka item/       โดยพิมพ์คำว่า"วรรณะ" ในแอพพริเคชั่น พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ นั้น มีผลการค้นหาคำว่า "วรรณะ" ปรากฏในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ ในเล่มที่ ๓, ๕, ๗, ๘, ๙, ๑๐, ๑๑และฉบับอื่นๆ อีกมาก  ดังปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับที่ ๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑  [ฉบับมหาจุฬา ฯ]ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค  ๓. อัฏฐสูตรว่าด้วยชายหนุ่มชื่ออัมพัฏฐะ

        ข้อ.๒๖๗ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงพระดำริว่า"อัมพัฏฐมานพนี้ชอบเหยียดหยามพวกศากยะรุนแรงว่า เป็นคนรับใช้ทางที่ดีเราควรถามถึงตระกูลดูบ้าง"จึงตรัสถามว่าอัมพัฏฐะเธอมีตระกูล (โคตร) อย่างไร เขาทูลว่า "ท่านพระโคดมข้าพเจ้าคือกัณหายนตระกูล (กัณหายนโคตร)" พระผู้มีพระภาคตรัสว่าอัมพัฏฐะเมื่อเธอระลึกถึงตระกูลอันเก่าแก่ของบิดามารดาของเธอดู(จะรู้ว่า) พวกศากยะเป็นลูกเจ้าแต่เธอเป็นลูกของหญิงรับใช้ของพวกศากยะ ก็พวกศากยะพากันอ้างถึงพระเจ้าโอกกากราชว่าเป็นบรรพบุรุษแห่งตน" 

      ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกของมหาจุฬาฯ ข้างต้นนั้น  ผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราชทรงบัญญัติกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะเพื่อประกาศใช้บังคับใช้ในแคว้นโกลิยะ(koliya Country) ดังที่ปรากฎหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ ยังมีข้อความสังเกตอีกว่า  "พวกศากยเป็นบุตรของเจ้า(กษัตริย์) ส่วนกัณหายนโคตรเป็นคนรับใช้ของเจ้าศากยะ"จากข้อความนั้นผู้เขียนตีความว่าเจ้าชายแห่งศากยวงศ์ประสูติในวรรณะกษัตริย์ ส่วนอัมพัฏฐะมานพเป็นบุตรของหญิงรับใช้ในวรรณะกษัตริย์ซึ่งจัดอยู่ในวรรณะศูทรเป็นต้นหลักฐานของคำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า"ในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราชทรงตรากฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ ประชาชนถูกแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะได้แก่วรรณะพราหมณ์  วรรณะกษัตริย์  วรรณะแพศย์และวรรณะศูทร เป็นต้น  ดังนั้นเมื่อไม่มีหลักฐานจากคัมภีร์อื่นใด นำข้อความมาหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาอีกต่อไปที่จะทำให้ข้อเท็จจริงของคำตอบเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นอีก ผู้เขียนเห็นว่าการแบ่งวรรณะเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพระโอกกากราช  เป็นต้น 

 ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปว่าประชาชนทั้ง๔  วรรณะมีหน้าที่อะไร?  เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๐๕  มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [๔.ราชวรรค]๑๐.กัณณถลสูตร[ข้อ ๓๗๘]........วรรณะ ๔ จำพวกคือ (๑) กษัตริย์ (๒) พราหมณ์ (๓) แพศย์(๔) ศูทร และพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐  ขุททกนิกายชาดกภาค๒[๒๒.มหานิบาต]๖.ภูริทัตตชาดกข้อ.[๙๓๒]......พวกพราหมณ์ถือสาธยายมนต์พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดินพวกแพศย์ยึดการเกษตรกรรม  และพวกศูทรยึดการรับใช้วรรณะทั้ง ๔ นี้เข้าถึงการงานตามที่อ้างแต่ละอย่างกล่าวกันว่ามหาพรหมผู้มีอำนาจได้สร้างขึ้นไว้"   

        ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ  ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงว่าเมื่อรัฐสภาศากยวงศ์นำหลักคำสอนของพราหมณ์อารยันมาบัญญัติกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะในอาณาจักรสักกะ โดยแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะและกำหนดสิทธิและหน้าที่ของวรรณะต่าง ๆ ได้แก่ วรรณะพราหมณ์มีสิทธิและหน้าที่สาธยายมนต์พระเวท วรรณะกษัตริย์มีสิทธิและหน้าที่ปกครองอาณาจักรสักกะ,  วรรณะแพศย์มีสิทธิและหน้าที่ทำเกษตรกรรมและค้าขายและส่วนวรรณะศูทรมีสิทธิและหน้าที่รับใช้ชนทั้ง ๔ วรรณะโดยพระพรหมสร้างวรรณะไว้   เพื่อให้สิทธิและหน้าที่แก่ประชาชนที่พระพรหมทรงสร้างขึ้นมานั้น  

      ๒.๒ ชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะ  เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๓๓ พระสุตตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ ] ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์ ๒๕ โคตมพุทธวงศ์ว่าด้วยพระประวัติของโคตมพุทธวงศ์ [ข้อ.๑๔] เราครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี มีปราสาทอันอุดมอยู่ ๓ หลัง คือ สุจันทปราสาท  โกกนุทปราสาท โกญจปราสาท  เป็นต้นข้อที่ ๑๕ มีนางสนมกำนัล ๔๐,๐๐๐ นาง ล้วนประดับประดาสวยงามพระมเหสีของเราชื่อว่ายโธราพระโอรสของเราชื่อว่าราหุล"

       เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในอรรถกถาขุททกนิกาย พุทธวงศ์ข้อ. ๒๕ โคตมพุทธวงศ์  กล่าวว่าต่อมาวันหนึ่งพระโพธิสัตว์  มีความประสงค์จะเสด็จไปสู่ภาคพื้นที่พระอุทยานทรงเรียกสารถีมาแล้วตรัสสั่งว่า จงเทียมรถไว้เราจะชมสวน...พระโพธิสัตว์    เสด็จขึ้นทรงรถม้าพระที่นั่งคันนั้น...  เสด็จบ่ายหน้าพระพัตร์ไปสู่พระอุทยานลำดับนั้นเทวดาเราจักแสดงบุพนิมิตแด่พระองค์ในวันแรก (วันที่๑)  เทวดาแสดงเป็นเทพพระบุตรองค์หนึ่งมีสรีระคร่ำคราเพราะชรา ฟันหัก ฟมหงอก ตัวค้อมลง สั่นเทา...ทรงพบคนแก่....
....วันรุ่งขึ้นอีกวัน(วันที่ ๒).........ทรงเห็นคนเจ็บ
....วันรุ่งขึ้นอีกวัน(วันที่ ๓).........ทรงเห็นคนตาย
....วันรุ่งขึ้นอีกวัน(วันที่ ๔) ........ทรงเห็นนักบวช......
    
         ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯและอรรถกถานั้น  ผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงประทับอยู่ในปราสาท ๓ หลัง ซึ่งเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ และทรงมีนางสนม ๔๐,๐๐๐ คนคอยรับใช้พระองค์ตลอดเวลา พระองค์ทรงใช้ชีวิตอย่างมัวเมาด้วย  รูป  รส  กลิ่น เสียงดนตรีไพเราะ  กลิ่นดอกไม้ รสชาดของอาหารที่อร่อย และการเสียดสีร่างกายของมนุษย์ด้วยกัน เป็นอารมณ์ที่น่ารื่นรมย์ทุกคืน ตั้งแต่พระชนมายุได้ ๑๖ พรรษาจนถึง ๒๙ พรรษาเมื่อพระองค์ทรงได้สั่งสมอารมณ์แห่งความมัวเมาเข้าในชีวิตแล้ว ในความสุขที่ยิ่งใหญ่ก็ถึงจุดสิ้นสุด เมื่อพระทัยของเจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดอาการความเบื่อหน่ายในความมัวของชีวิตมาหลายปีพระทัยของพระองค์ก็ทรงไม่ปรารถนาจะมัวเมาอยู่กับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสและธัมมารมย์อีกต่อไป  พระองค์ทรงตัดสินพระทัยออกไปเยี่ยมราษฎรและเที่ยวชมสวนหลวงในพระนครกบิลพัสดุ์แต่ในเส้นทางเสด็จพระดำเนินนั้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นความทุกข์ยากของชาวพระนครกบิลพัสดุ์ ที่อาศัยอยู่ตามท้องถนนแม้ในวัยชรา  เจ็บป่วยไข้ และนอนตายข้างถนน สิ่งนี้ทำให้พระทัยของเจ้าชายสิทธัตถะรู้สึกเศร้าโศกและหดหู่เป็นอย่างยิ่งส่วนเจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยอย่างไร ? เพื่อช่วยเหลือประชาชนเป็นเรื่องที่น่าศึกษาค้นคว้าอย่างยิ่ง ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป จึงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ เป็นข้อมูลมาวิเคราะห์หาเหตุผลพิสูจน์ความจริงของคำตอบกันต่อไป 

        ๒.๓ปัญหาที่ผู้เขียนสงสัยคือนิมิตทั้ง ๔ เป็นวรรณะใด ?    เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกออนไลน์อีกครั้งผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงว่า ไม่มีหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ และอรรถกถา ที่ยืนยันข้อเท็จจริงว่าคนเหล่านั้นถูกจัดอยู่ในวรรณะใดแต่ในรัชสมัยของพระเจ้าสุทโธทนะมีกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะได้ตราขึ้นในแคว้นสักกะ        เมื่อผู้เขียนค้นหาข้อมูลด้วยการป้อนคำว่า"วรรณะ"ในแอพพริเคชั่นของพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ นั้น  มีผลของการค้นหาข้อความพบคำว่า "วรรณะ" ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯในเล่มที่ ๓, ๕, ๗, ๘, ๙, ๑๐, ๑๑ เป็นต้น   

  ๒.๔  ปัญหาคนจัณฑาล การแบ่งวรรณะ ๔ ในสังคมแคว้นต่างๆ นั้น โดยพวกพราหมณ์อ้างเป็นความประสงค์ของพระพรหมได้สร้างวรรณะทั้ง ๔ แก่ประชาชนที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นและได้สร้างสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามวรรณะที่ตนเกิดมาเท่านั้น ส่วนวรรณะกษัตริย์ นำแนวคิดทางปรัชญาศาสนาพราหมณ์มาบัญญัติกฎหมายโดยอ้างพระประสงค์แห่งพระพรหม ให้มีสภาพบังคับตามกฎหมายจารีตโดยให้ชุมชน หรือสังคมเป็นผู้ลงโทษทางสังคมเรียกว่า การลงพรหมทัณฑ์ ด้วยการขับไล่ออกจากสังคมนั้น เช่น ชนวรรณะพราหมณ์สมสู่กับหญิงวรรณะศูทรชนวรรณะพราหมณ์นั้น ต้องสละวรรณะตนกลายเป็นคนจัณฑาลลูกที่เกิดมาก็กลายเป็นคนจัณฑาล ดังปรากฏหลักฐานที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกายปัญจก ฉักกนิบาต [๔.จตุตถปัณณาสก์]๕.พราหมณวรรค ๒.โทณพราหมสูตร.......สมสู่กับนางพราหมณีบ้าง สตรีชั้นนางกษัตริย์บ้าง  แพศย์บ้าง ศูทรบ้าง จัณฑาลบ้าง......ด้วยเหตุดั่งนี้แลชาวโลกเรียกว่า "พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาล"    

       เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ ดังกล่าวข้างต้นรับฟังข้อเท็จจริงได้ข้อยุติว่าชนวรรณะพราหมณ์ เมื่อสมสู่กับหญิงต่างวรรณะนั้น ต้องสละวรรณะเดิมของตนกลายเป็นพวกจัณฑาลและ ลูกที่เกิดมาก็ต้องกลายเป็นจัณฑาลเช่นกัน เมื่อถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคมที่ตนเคยอยู่อาศัยก็จะถูกขับไล่ออกจากสังคมนั้ มาอาศัยข้างถนนในเมืองใหญ่ ๆ เช่นพระนครกบิลพัสดุ์ ดำรงชีวิตด้วยทำงานที่ชนวรรระสูงไม่ทำเช่นเทขยะ ถากไม้  เทอุจจาระ  เป็นต้น ดังนั้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บและคนตายนั้นใช้ชีวิตสองข้างทางเสด็จพระดำเนินนั้น ผู้เขียนเห็นว่าเป็นชนไร้วรรณะเรียกว่า "จัณทาล" เป็นชนที่เกิดจากพ่อแม่แต่งงานข้ามวรรณะสายเลือดที่เกิดมาไม่บริสุทธิ์พวกนี้ขาดสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามกฎหมายจารีตประเพณี จึงมีฐานะยากจนไม่มีที่ทำกินเป็นของตนเอง จึงต้องใช้ชีวิตในพระนครใหญ่ๆทำงานรับจ้างที่ชนวรรณะอื่นไม่ทำส่วนชนวรรณะอื่นมีฐานะทางเศรษฐกิจดี ประกอบอาชีพถูกต้องตามกฎหมายคงไม่มีใครออกมาใช้ชีวิตตามท้องถนนอย่างไรบ้านเหมือนคนไร้วรรณะแต่อย่างใดเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตระหนักรู้ถึงปัญหาของประชาชนไร้วรรณะที่เรียกว่า "พวกจัณฑาล" แล้วทรงพิจารณาตัดสินพระทัยอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาค้นคว้าหาเหตุผลกันต่อไป 

    ๒.๕  พระราชวังกบิลพัสดุ์ การวิเคราะห์ข้อมูลพระราชวังกบิลพัสดุ์ จากที่มาของความรู้ในพระราชวังกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่สร้างขึ้นสมัยก่อนพุทธกาล ข้อมูลเบื้องต้นตามทฤษฎีความรู้ "หากมีอยู่จริงต้องรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสของผู้เขียนได้ ตามความหมายของทฤษฎีความรู้ประจักษ์นิยมว่าด้วยบ่อเกิดความของมนุษย์มีแนวคิดว่า มนุษย์คนใดคนหนึ่งรับรู้จากประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียวเท่านั้นในความรู้และความเป็นจริงของสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากทฤษฎีความรู้ดังกล่าวผู้เขียนตีความได้ว่า ความมีอยู่ของพระราชวังกบิลพัสดุ์นั้น ผู้เขียนต้องรับรู้ได้ประสาทสัมผัสเองเท่านั้นจึงจะถือว่า ความรู้เป็นความจริงปัญหาว่า พระราชวังกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่นั้น ตั้งอยู่ที่ไหนในยุคสมัยปัจจุบันนั้น เมื่อนักโบราณคดีของเนปาลได้ศึกษาค้นหาเหตุผลของคำตอบจากพยานวัตถุเสาหินอโศก และได้อ่านจารึกอักษรพราหมีแล้วได้ความว่า สวนลุมพินีเป็นสถานที่ประสูติ ของเจ้าชายสิทธัตถะนั้น จึงใช้เสาหินพระเจ้าอโศกเป็นจุดศูนย์กลางเริ่มต้นค้นหาพระราชวังกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่แห่งนี้ ในข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกนั้นรับฟังได้เป็นข้อยุติว่าพระราชวังกบิลพัสดุ์ เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของเจ้าชายสิทธัตถะนั้นน่าจะตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวนลุมพินีมากนัก แต่เมืองลงมือค้นหาชาวบ้านที่อาศัยในหมู่บ้านเตาริหวา (Taurihawa) นั้น ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่โบราณคดีทราบว่ามีเมืองโบราณสถานแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้าน"เตาลิหวา" ห่างจากสวนลุมพินีสถานที่ประสูติ และที่ตั้งของเสาหินพระเจ้าอโศกไม่ไกลมากนักความมีอยู่ของโบราณสถานแห่งนี้ เมื่อนักโบราณคดีของเนปาลและประเทศอื่น ๆ ในยุโรปได้เข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลจากพยานหลักฐานเพื่อหาเหตุผลของคำตอบแล้ว มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ยืนยันว่าซากโบราณสถานแห่งนี้คือ พระราชวังกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่เคยเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของเจ้าชายสิทธัตถะ ที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงโปรดสร้างปราสาท ๓ ฤดูไว้ ในเขตพระราชฐาน เจ้าชายสิทธัตถะทรงใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ถึง ๒๙ ปี  แม้สภาพของพระราชวังอันเก่าแก่แห่งพระนครกบิลพัสดุ์ จะเหลือเพียงแต่ซากกำแพงกว้างเกือบ ๓ เมตรตั้งตรงประตูเข้าออกพระราชวังทางด้านทิศตะวันออก และทิศตะวันตกทำให้ผู้เขียนอนุมานได้ว่าพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบปัญหาแล้วแต่แรกแล้วว่าสักวันหนึ่งวันใดเจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยออกผนวชแน่นอนและสิ่งพระองค์ทรงคาดคะเนไว้เป็นความจริง เมื่อรัฐสภาศากยวงศ์ ไม่อนุมัติการออกกฎหมายยกเลิกวรรณะในแคว้นสักกะ เพื่อความมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองของชนวรรณะสูงในแคว้นสักกะเพียงฝ่ายเดียว พระองค์ทรงโปรดให้สร้างกำแพงขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อป้องกันมิให้พระราชโอรสเสด็จหนีออกบวช

        ดังนั้น เมื่อผู้เขียนได้เดินทางมาผัสสะทางประสาทสัมผัสเพียงเดียวในพระราชวังกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่แห่งนี้ผู้เขียนจึงวิเคราะห์ได้ว่าสถานที่แห่งนี้ เป็นเขตพระราชฐานของพระราชวังกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่ที่เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงใช้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์และทรงใช้ชีวิตในพระราชวังกบิลพัสดุ์แห่งนี้จนมีพระชนมายุได้ ๒๙ ปี ในความมัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ และธัมมารมย์ที่พระทัยทรงชื่นชอบและโปรดปราณ มูลเหตุที่ผู้เขียนมีความเชื่อเช่นนั้นเพราะเห็นว่าเมืองโบราณแห่งนี้นั้น ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวนลุมพินีมากนักเป็นต้นบริเวณรายรอบล้อมพระราชวังกบิลพัสดุ์เป็นทุ่งนาของชาวบ้านเตาลิหะวาสอดคล้องที่กล่าวในพระไตรปิฎกว่า พวกเจ้าศากยวงศ์นั้นมีอาชีพทำนาและที่สำคัญพระราชวังแห่งนี้ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเชิงเขาหิมาลัยมากนัก พระราชวังอันเก่าแก่แห่งนี้จึงเป็นเหตุปัจจัยของเหตุผลของคำตอบข้อหนึ่งในการออกผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะถ้าเจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่ใช้ชีวิตมัวเมามาต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายปีแล้ว จิตวิญญาณของเจ้าชายสิทธัตถะคงไม่เกิดนิพพิทา คือ ความเบื่อหน่าย ในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ และธัมมารมย์ที่จรเข้ามาผัสสะชีวิตของพระองค์ เป็นเหตุให้พระองค์ จึงตัดสินพระทัยออกเยี่ยมประชาชนตัดสินพระทัยออกบวชเพื่อแก่ทุกข์ให้แก่ประชาชน 

๒.๖ รัฐศาสนา  เดิมอาณาเขตของแคว้นสักกะนั้นเป็นที่พำนักของชาวสักกะที่มีเชื้อสายมิลักขะ มาก่อนชาวสักกะที่มีเชื้อสายอริยกะจะอพยพมาตั้งถิ่นฐานในแถบนี้  เป็นดินแดนที่สมบูรณ์เพราะมีน้ำไหลจากเทือกเขาหิมาลัย ทำให้มีน้ำเพียงพอในการปลูกข้าวได้ผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์ ชาวมิลักขะจึงบูชาน้ำเป็นเทวดาดังปรากฎหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ขุทททกนิกายชาดกภาค ๒ [๒๒.มหาชาดก] ๖.ภูริทัตตชาดก [๙๒๘] กล่าวว่า "ความจริงคนบางพวกนับถือไฟเป็นเทวดา ส่วนพวกมิลักขะนับถือน้ำเป็นเทวดา..ข้อเท็จจริงจากพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์รับฟังเป็นข้อยุติได้ว่าในสมัยก่อนพุทธกาล พวกมิลักขะนับถือน้ำเป็นเทวดา และคนบางพวกนับถือไฟเป็นเทวดา เมื่อไม่พยานหลักฐานอื่นใดมาหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกผู้เขียนเห็นว่า ชาวมิลักขะนับถือน้ำเป็นเทวดาจริง เป็นความรู้ที่สมเหตุสมผลปราศจากข้อสงสัยในความจริงที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกปัญหาต้องพิจารณาต่อไปอีกชาวมิลักขะบูชาน้ำเป็นเทวดาอย่างไร  เมือผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกทำให้ชาวแคว้นสักกะมีข้าวใช้บริโภคได้ตลอดทั้งปีและสามารถส่งข้าวออกไปขายต่างประเทศมีรายได้ จำนวนมหาศาลเข้าประเทศ ทำให้ประชาชนในแคว้นนี้มีฐานะร่ำรวยและมั่งคั่งที่สุดในยุคนั้น จนชนวรรณะกษัตริย์สั่งซื้อสิ้นค้าจากต่างประเทศมาใช้ในสมาชิกราชวงศ์ศากยะ เมื่อชีวิตประชาชนชาวแคว้นสักกะมีความเจริญรุ่งเรืองเพราะมีความอุดมสมบูรณ์ และมั่งคั่งแล้วพวกเขายังดำเนินชีวิตตามแนวคิดของความเชื่อในปรัชญาศาสนาพราหมณ์ว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้าสูงสุดที่ควรเคารพบูชาเพราะพระองค์ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมาจากจากพระวรกายของพระองค์เองในแต่ละปี พวกเขาประกอบพิธีกรรมมหาบูชายัญแด่พระพรหมโดยใช้ด้วยสัตว์อย่างละ๗๐๐ตัว ดังปรากฏหลักฐานในพยานเอกสารพระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๕.กูฏทันตสูตร [๒๐๐] ก็สมัยนั้นพราหมณ์กูฏทันตะได้เตรียมมหายัญโคผู้ ๗๐๐ ลูกโคผู้ ๗๐๐ ลูกโคเมีย ๗๐๐ แพะ ๗๐๐ และแกะ ๗๐๐ ถูกนำไปผูกไว้ที่หลักเพื่อบูชายัญ       

       ต่อมาพวกอารยันเห็นว่าแม้มีชัยชนะเหนือพวกมิลักขะก็ตาม แต่การปกครองดินแดนพื้นที่ราบเชิงเขาหิมาลัยนั้น มิได้เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้โดยง่ายเพราะพวกมิลักขะเจ้าของดินแดนสวรรค์แห่งนี้ยังไม่ยินยอมอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองชนอารยันแต่อย่างใด เพราะพวกเขาเชื่ออย่างมั่นคงและไม่หวั่นไหวว่า เมื่อพระพรหมทรงสร้างพวกเขาขึ้นมาแล้วจากพระวรกายของพระองค์ พระพรหมจะปกป้องคุ้มครองให้รอดปลอดภัยจากการใช้อำนาจอธิปไตยตามอำเภอใจของพวกอารยันในแต่ละปีพวกมิลักขะ ได้ประกอบพิธีมหายัญด้วยเครื่องพลีจากการฆ่าสัตว์ ๕ อย่างเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า ๓,๕๐๐ ตัวและยังมีความมั่งคั่งและร่ำรวยจากการขายข้าวและเครื่องเทศไปยังต่างประเทศ เมื่อพวกอารยันตั้งระลึกถึงปรากฏการณ์ทางสังคมได้เช่นนี้พวกอารยันวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบว่าในภายภาคหน้าเป็นเรื่องยาก ที่พวกเขาจะมีความเจริญรุ่งเรืองเพียงฝ่ายเดียว พวกมิลักขะมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจอาจให้อำนาจทางเศรษฐกิจต่อรองทางการเมืองได้ และสร้างความสามัคคีในกลุ่มชนมิลักขะ ด้วยการประกอบพิธีมหายัญเป็นประจำทุกปี  เมื่ออำนาจอธิปไตยยังเป็นของพวกอารยันอยู่ควรหาทางจำกัดสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพ เพื่อลดบทบาทอำนาจทางเศรษฐกิจมิให้แข็งแกร่ง ลดบทบาททางการศึกษาในปรัชญาทางศาสนา เพื่อมิให้รู้จักคิดหาเหตุผลของคำตอบมาโต้แย้งสิทธิหน้าที่ในการถูกเลือกปฏิบัติในสังคม สร้างสภาพบังคับทางกฎหมายจารีตประเพณีด้วยการให้สังคม หรือชุมชนลงพรหมทัณฑ์แก่พวกจัณฑาลที่แต่งงานข้ามวรรณะ ทำให้ระบบวรรณะในสังคมเข้มแข็งและเข้มงวดมากยิ่งขึ้น การแบ่งวรรณะทำให้เกิดความสามัคคีในชนแต่ละวรรณะเพราะเป็นการอ้างความประสงค์ของพระพรหมณ์ ขณะเดียวกันเห็นว่าเมื่ออำนาจทางเศรษฐกิจ ยังเป็นของพวกดราวิเดียน จึงคิดหาเหตุผลที่ จะจำกัดสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชนวรรณะสูงเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น รัฐสภาศากยวงศ์จึงได้ออกกฎหมายแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ ให้พวกดราวิเดียนเป็นพวกผิวดำ อยู่ในวรรณะต่ำสุด โดยอ้างว่าพระพรหมเป็นสร้างมนุษย์ขึ้นมาและแบ่งสิทธิหน้าที่ของประชาชน ที่พระพรหมสร้างไว้แล้วให้ประกอบอาชีพตามวรรณะของตนเอง เมื่อรัฐสภาออกกฏหมายแบ่งวรรณะแล้ว และยังได้ออกธรรมะของกษัตริย์ในการปกครองประเทศด้วยห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติแล้วดังนั้นกฎหมายแบ่งวรรณะเมื่อรัฐสภาของแคว้นต่างๆ ออกกฎหมายไว้แล้วจึงต้องห้ามมิให้ยกเลิกวรรณะแต่อย่างใด ตามแนวคิดของปรัชญาศาสนาพราหมณ์ถือว่ารัฐสภาของแคว้นต่างๆ ยอมรับความมีอยู่ของพระพรหมว่ามีอยู่จริงเพราะเชื่อว่าพระองค์สร้างมนุษย์ขึ้นมาจากพระองค์เอง เท่ากับรัฐเหล่านั้นรัฐศาสนาตามที่กล่าวในพระไตรปิฎก 


๒.๗ หลักอปริหานิยธรรม  

           ในสมัยพุทธกาลนั้นแคว้น (country) ต่าง ๆ  มีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นพื้นฐานในการบริหารปกครองประเทศหรือไม่ เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฟังข้อเท็จจริงได้ว่า คำว่า "แคว้น" นักวิชาการหลายคนทางด้านภาษาอังกฤษแปลความหมายว่า "ประเทศ" ในสมัยปัจจุบันทุกประเทศจะมีกฎหมายรัฐธรมนูญนักวิชาการทางพุทธปรัชญาหลายท่านวิเคราะห์ว่าหลักอปริหานิยธรรมนั้นเป็นธรรมของกษัตริย์ต้องปฏิบัติในการบริหารปกครองประเทศ โดยเฉพาะรัฐที่มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรมเช่น รัฐสักกะ รัฐวัชชี เป็นต้น เป็นกฎหมายสูงสุดควรพิจารณาในการแสวงหาคำตอบทางปรัชญาในการศึกษาเชิงวิเคราะห์นั้น การทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ จะถือว่าเป็นมูลเหตุให้เจ้าชายสิทธัตถะออกผนวชนั้น เป็นการตีความถ้อยคำตามตัวอักษรไม่กี่บรรทัดในพระไตรปิฎกนั้น ยังมีน้ำหนักในเหตุผลของคำตอบยังไม่เพียงพอที่รับฟังแล้วให้เชื่อว่าเป็นความจริงอย่างนั้น ทำให้ผู้เขียนสิ้นความสงสัยในเหตุผลของการออกบวชเจ้าชายสิทธ้ตถะได้เราจำเป็นต้องหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เป็นแนวคิดเกี่ยวกับปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นยุคเดียวกันนั้น มาวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบเพื่อสนับสนุนคำตอบของการออกผนวชให้ได้หลักความรู้และความจริงนั้น  เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นข้อยุติของผู้เขียนว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงทอดพระเนตรเห็นคนแก่ชรา คนเจ็บป่วย และคนตายบนสองข้างเสด็จพระราชดำเนินไปสู่พระราชอุทยานนั้น ทรงสนพระทัยไต่ถามนายฉันนะว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นใคร เมื่อได้คำตอบแล้ว คงไม่ปล่อยปัญหาความยากจนของประชาชนโดยไม่ใจอย่างแน่นอน แม้ในข้อความอื่นในพระไตรปิฎกนั้นจะม่มีรายละเอียดเขียนไว้อย่างแน่ชัดก็ตาม

๒.๘ เจ้าชายสิทธัตถะทรงปฏิรูปสังคมในชมพูทวีป เมื่อข้อเท็จจริงได้รับฟังว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงออกประพาสพระนครกบิลพัสดุ์ ทรงเห็นปัญหาของประชาชนไร้วรรณะที่เรียกกันว่า "พวกจัณฑาล" ไม่มีสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามกฎหมายจารีตประเพณี เพราะทุกอาชีพนั้น  ได้สงวนไว้ เพื่อชนวรรณะอื่นไปจนหมดสิ้นแล้วต้องใช้ชีวิตอย่างคนไร้บ้านข้างถนนในพระนครกบิลพัสดุ์ ต้องทำงานเทขยะ เทอุจจาระ เป็นต้น เมื่อทรงตั้งสติระลึกถึงปัญหาของพวกจัณฑาลเป็นเวลาหลายวันแล้วพระองค์มองเห็นวิธีการเดียวเท่านั้น ที่แก้ไขปัญหาของประเทศได้คือ การเสนอบัญญัติกฎหมายยกเลิกประเพณีการแบ่งชนชั้นวรรณะประชาชนในแคว้นสักกะ มิให้มีอีกต่อไปต่อรัฐสภาศากยวงศ์ตามหลักธรรมะของกษัตริย์เรียกว่า"ราชอปริหานิยธรรม"เป็นหลักนิติศาสตร์ในการปกครองประเทศมีลักษณะเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศเทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ เมื่อผู้บริหารประเทศนำหลักอปริหานิยธรรมไปใช้ปฏิบัติแล้วรัฐอิสระนั้น      จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองของชนวรรณะสูงเพียงฝ่ายเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ