The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

๔.ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุในการผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ

4. Facts about the reasons for Prince Siddhartha's ordination

๔.ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุในการผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ

              เมื่อผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานต่าง ๆ  คือพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย    ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า   เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จเยี่ยมราษฏร์ในเมืองกบิลพัสดุ์   พระองค์ทรงเห็นนิมิต   ๔ ประการ  คือ   คนชรา คนเจ็บ คนตายและนักบวช   ซึ่งทำให้พระองค์ทรงตัดสินพระทัยออกผนวชเพื่อแสวงหาสัจธรรมของชีวิต หลักฐานปรากฏในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕   ขุททกนิกายพุทธวงศ์ ๒๕.โคตมวงศ์ข้อ.๑๖ กล่าวว่าจึงทรงพระราชพาหนะคือม้าออกผนวชแล้ว ได้บำเพ็ญทุกกิริยาอยู่ ๖ ปี  จึงได้บรรลุโพธิญาณ"   

        เมื่อผู้เขียนได้รับรู้ข้อเท็จจริงเรื่อง"นิมิต"จากพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย   คำสอนของครูบาอาจารย์ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วโลก       พระธรรมเทศของพระสงฆ์เถรวาทและมหายานในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา  และบทความเว็บไซต์ต่าง ๆ  ผ่านอายตนะภายใน  และรวบรวมเรื่องราวของนิมิตทั้ง ๔  ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ อย่างไรก็ตามธรรมชาติของจิตใจมิได้เป็นเพียงแค่การรับรู้      และการรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น   ผู้เขียนจะใช้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจนั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้นั้น   เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ โดยใช้เหตุผล  ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงในเรื่องนิมิต ๔ นี้ อย่างไรก็ตาม  ผลการวิเคราะห์ยังไม่สามารถอธิบายความจริงของเรื่องราวของนิมิตทั้ง ๔    ได้อย่างชัดเจนเช่นประวัติความเป็นมาของนิมิตเหล่านี้ เนื่องจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยยังไม่เพียงพอที่จะยืนยันความจริงในเรื่องนี้ได้  
         
         ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเมื่อพราหมณ์บางคนในอนุทวีปอินเดีย   ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา ได้ยินความจริงเกี่ยวกับความจริงของ"นิมิต๔" นี้  พวกเขามักจะแสดงความคิดเห็นของตนเองตามหลักเหตุผล หรือคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้จากสิ่งที่ได้ยินมาเท่านั้นโดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงนั้น  บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลได้ถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น  เมื่อเหตุผลของคำตอบของนักตรรกะและนักปรัชญายังคลุมเครือและไม่ชัดเจนแล้ว วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะย่อมไม่รับความคิดเห็นนั้นว่าเป็นเรื่องจริง   ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ ถือว่าข้อเท็จจริงในเรื่อง"นิมิต ๔" ยังคงเป็นเรื่องที่น่าสงสัย ที่จำเป็นต้องสืบเสาะข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงกันต่อไป  


       อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเชื่อว่าความแก่ ความเจ็บไข้  และความตายเป็นความจริงที่มนุษย์ต้องเผชิญด้วยตนเอง  ไม่มีใครหนีพ้นความแก่  ความเจ็บไข้และความตายได้     เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระมารดาและข้าราชบริพาร ๔๐,๐๐๐ คน  พระองค์ทรงพลัดพรากจากคนที่รักอยู่เสมอเนื่องจากความตายอยู่แล้ว   ดังนั้นผู้เขียนจึงเห็นว่าความชรา ความเจ็บไข้   และความตายของชาวพระนครกบิลพัสดุ์เป็นปรากฏการณ์ปกติของสังคม   นี่ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงละทิ้งวรรณะกษัตริย์เพื่อผนวช  เพราะเป็นการให้เหตุผลที่ยังคลุมเครือและยังไม่ชัดเจน  นอกจากนี้ยังไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงตามกระบวนการพิจารณาของเจ้าชายสิทธัตถะ   ที่แสดงไว้ชัดเจนในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  เมื่อปัญหาที่แท้จริงของเหตุผลที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวชนั้น ยังคงเป็นประเด็นที่น่าสงสัย  ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไปจึงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง  และรวบรวมเอกสารหลักฐาน  พยานบุคคล พยานวัตถุและพยานเอกสารดิจิทัล เพื่อวิเคราะห์โดยอนุมานหรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องการเสด็จออกผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ  โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ใช้อธิบายความจริงอย่างสมเหตุสมผล ของคำตอบในเรื่องนี้กันต่อไป  

๒. พยานแวดล้อมถึงสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวช  

    เมื่อผู้เขียนเห็นว่าคนชรา คนป่วย  คนตายและนักบวชของชาวหรือนิมิต ๔ ประการนั้น ยังไม่เป็นสาเหตุที่แท้จริงในการออกผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ อาจมีเหตุผลอื่นที่ทำให้พระองค์ทรงตัดสินพระทัยออกผนวช เพราะพระองค์ประสูติในวรรณะของกษัตริย์ มีสิทธิและหน้าที่ในการปกครองอาณาจักรสักกะ และสามารถช่วยเหลือประชาชนตามหลักเมตตาธรรมได้อยู่แล้ว หรืออาจเกิดจากปัญหาการเมืองในระบบรัฐสภา เพราะราชอาณาจักรรัฐสักกะมีการปกครองระบอบสามัคคีธรรม เป็นรัฐทางศาสนาเพราะเอาหลักคำสอนของพราหมณ์มาบัญญัติเป็นกฎหมาย มีหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาๆว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับเจ้าชายเทวทัตแห่งราชวงศ์โกลิยะหลายครั้ง หรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่นที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยออกผนวช เป็นเรื่องที่ควรศึกษาค้นคว้าและสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเติมต่อไป   

        ๒.๑แคว้นสักกะเป็นรัฐทางศาสนาพราหมณ์ เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยออนไลน์ ที่https://84000.org/tipitaka / Tripitaka item/ โดยพิมพ์คำว่า "วรรณะ" ในแอพพริเคชั่นพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พบคำว่า "วรรณะ" ปรากฏในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ ในเล่มที่ ๓, ๕, ๗, ๘, ๙, ๑๐, ๑๑ และอีกหลายฉบับดังปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับที่ ๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑  [ฉบับมหาจุฬา ฯ]ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค  ๓. อัฏฐสูตรว่าด้วยชายหนุ่มชื่ออัมพัฏฐะ

        ข้อ.๒๖๗ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงพระดำริว่า"อัมพัฏฐมานพนี้ชอบเหยียดหยามพวกศากยะรุนแรงว่า เป็นคนรับใช้ทางที่ดีเราควรถามถึงตระกูลดูบ้าง"จึงตรัสถามว่าอัมพัฏฐะเธอมีตระกูล (โคตร) อย่างไร เขาทูลว่า "ท่านพระโคดมข้าพเจ้าคือกัณหายนตระกูล (กัณหายนโคตร)" พระผู้มีพระภาคตรัสว่าอัมพัฏฐะเมื่อเธอระลึกถึงตระกูลอันเก่าแก่ของบิดามารดาของเธอดู(จะรู้ว่า) พวกศากยะเป็นลูกเจ้าแต่เธอเป็นลูกของหญิงรับใช้ของพวกศากยะ ก็พวกศากยะพากันอ้างถึงพระเจ้าโอกกากราชว่าเป็นบรรพบุรุษแห่งตน" 

      ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกของมหาจุฬาฯ ข้างต้น ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราชทรงได้บัญญัติกฎหมายวรรณะตามจารีตประเพณี เพื่อบังคับใช้ในแคว้นโกลิยะ(koliya Country) ตามหลักฐานเอกสารข้างต้น บันทึกข้อเท็จจริงไว้ว่า  "พวกศากยเป็นบุตรของพระราชา(กษัตริย์) ส่วนกัณหายนโคตรเป็นข้ารับใช้ของพระราชาศากยะ"  ผู้เขียนวิเคราะห์ข้อเท็จจริงโดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงว่า เจ้าชายแห่งราชวงศ์ศากยวงศ์ประสูติในวรรณะกษัตริย์   ส่วนอัมพัฏฐะมานพเป็นบุตรของข้ารับใช้ของวรรณะกษัตริย์ซึ่งจัดอยู่ในวรรณะศูทร  ตามหลักฐานเอกสารในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้เขียนเชื่อว่า ในรัชสมัยพระเจ้าโอกกากราชได้มีการบัญญัติกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีขึ้น ประชาชนถูกแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะ ได้แก่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์  วรรณะแพศย์   และวรรณะศูทร เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงในหลักฐานเอกสารฟังได้ว่าเป็นความจริงและไม่มีหลักฐานจากคัมภีร์อื่นใด มาหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่จะเปลี่ยนข้อเท็จจริงของคำตอบเป็นอย่างอื่น ผู้เขียนจึงเชื่อว่าระบบวรรณะมีมาตั้งแต่สมัยพระโอกกากราชแห่งราชอาณาจักรโกลิยะ  เป็นต้น 

   ประเด็นต่อไปที่ต้องพิจารณาคือประชาชนทั้ง ๔  วรรณะ มีหน้าที่อะไรบ้าง ?เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๐๕  มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ [๔.ราชวรรค]๑๐.กัณณถลสูตร[ข้อ ๓๗๘]........วรรณะ ๔ จำพวกคือ (๑) กษัตริย์ (๒) พราหมณ์ (๓) แพศย์(๔) ศูทร และพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐  ขุททกนิกายชาดกภาค๒[๒๒.มหานิบาต]๖.ภูริทัตตชาดกข้อ[๙๓๒]......พวกพราหมณ์ถือสาธยายมนต์ พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการเกษตรกรรม และพวกศูทรยึดการรับใช้วรรณะทั้ง ๔ นี้เข้าถึงการงานตามที่อ้าง  แต่ละอย่างกล่าวกันว่า มหาพรหมผู้มีอำนาจได้สร้างขึ้นไว้"   

       ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงว่า  เมื่อรัฐสภาศากยวงศ์นำหลักคำสอนของพราหมณ์อารยัน มาบัญญัติกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีเพื่อบังคับใช้ในอาณาจักรสักกะ  โดยอ้างว่าพระพรหมทรงบัญญัติไว้ให้ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเองเกิดมา      พระพรหมทรงแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะโดยพระองค์ทรงกำหนดสิทธิและหน้าที่ของแต่ละวรรณะ ได้แก่ วรรณะพราหมณ์มีสิทธิและหน้าที่ในการท่องพระเวทและบูชายัญ       วรรณะกษัตริย์มีสิทธิและหน้าที่ปกครองอาณาจักรสักกะ วรรณะแพศย์มีสิทธิและหน้าที่ทำไร่ไถนาและค้าขาย และส่วนวรรณะศูทรมีสิทธิและหน้าที่ในการรับใช้ชนทั้ง ๔ วรรณะวรรณะเหล่าถูกสร้างขึ้นโดยพระพรหมสร้างวรรณะ เพื่อกำหนดสิทธิและหน้าที่ประชาชนที่พระพรหมทรงสร้างขึ้นมานั้น  

      ๒.๒ ชีวประวัติของเจ้าชายสิทธัตถะ  เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๓ พระสุตตปิฎกเล่มที่ ๒๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ ] ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์ ๒๕ โคตมพุทธวงศ์ว่าด้วยพระประวัติของโคตมพุทธวงศ์ [ข้อ.๑๔] เราครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี มีปราสาทอันอุดมอยู่ ๓ หลัง คือ สุจันทปราสาท  โกกนุทปราสาท โกญจปราสาท  เป็นต้น และข้อที่ ๑๕ พระองค์ทรงมีนางสนม ๔๐,๐๐๐ นาง ล้วนประดับประดาสวยงาม   พระมเหสีของเราชื่อว่ายโธรา   พระโอรสของเราชื่อว่าราหุล"

       เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในอรรถกถาขุททกนิกายพุทธวงศ์ข้อ. ๒๕ โคตมพุทธวงศ์ กล่าวว่า วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ทรงประสงค์จะเสด็จไปยังพระอุทยานหลวง พระองค์จึงทรงเรียกสารถีมาแล้วและทรงสั่งว่า จงเทียมรถไว้เพื่อเราจะได้ชมสวน...พระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นแล้ว พระองค์เสด็จไปยังพระอุทยานหลวงลำดับนั้น  เทวดาทรงดำริว่า เราจักแสดงบุพนิมิตให้พระองค์ทรงเห็นในวันแรก  เทวดาปรากฏกายขึ้นในรูปเทพพระบุตรองค์หนึ่ง  มีร่างกายทรุดโทรมเพราะวัยชรา ฟันหัก  ผมขาว ร่างกายคดงอสั่นเทา...พระองค์ทรงพบชายชราคนหนึ่ง
....วันรุ่งขึ้น(วันที่สอง).......พระองค์ทรงได้เห็นคนเจ็บไข้
....วันรุ่งขึ้น(วันที่สาม).......พระองค์ทรงเห็นคนตายคนหนึ่ง
....วันรุ่งขึ้น(วันที่สี่) .......พระองค์ทรงเห็นนักบวชผู้แสวงหาสัจธรรมของชีวิต......
    
         ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯและอรรถกถานั้น  ผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงประทับอยู่ในปราสาท ๓ หลัง ซึ่งเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ และทรงมีนางสนม ๔๐,๐๐๐ คนคอยรับใช้พระองค์ตลอดเวลา พระองค์ทรงใช้ชีวิตอย่างมัวเมาด้วย  รูป  รส  กลิ่น เสียงดนตรีไพเราะ  กลิ่นดอกไม้ รสชาดของอาหารที่อร่อย และการเสียดสีร่างกายของมนุษย์ด้วยกัน เป็นอารมณ์ที่น่ารื่นรมย์ทุกคืน ตั้งแต่พระชนมายุได้ ๑๖ พรรษาจนถึง ๒๙ พรรษาเมื่อพระองค์ทรงได้สั่งสมอารมณ์แห่งความมัวเมาเข้าในชีวิตแล้ว ในความสุขที่ยิ่งใหญ่ก็ถึงจุดสิ้นสุด เมื่อพระทัยของเจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดอาการความเบื่อหน่ายในความมัวของชีวิตมาหลายปีพระทัยของพระองค์ก็ทรงไม่ปรารถนาจะมัวเมาอยู่กับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสและธัมมารมย์อีกต่อไป พระองค์ทรงตัดสินพระทัยออกไปเยี่ยมราษฎรและเที่ยวชมสวนหลวงในพระนครกบิลพัสดุ์   แต่ในเส้นทางเสด็จพระดำเนินนั้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นความทุกข์ยากของชาวพระนครกบิลพัสดุ์ ที่อาศัยอยู่ตามท้องถนนแม้ในวัยชรา  เจ็บป่วยไข้ และนอนตายข้างถนน สิ่งนี้ทำให้พระทัยของเจ้าชายสิทธัตถะรู้สึกเศร้าโศกและหดหู่เป็นอย่างยิ่งส่วนเจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยอย่างไร ? เพื่อช่วยเหลือประชาชนเป็นเรื่องที่น่าศึกษาค้นคว้าอย่างยิ่ง ผู้เขียนชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป จึงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ เป็นข้อมูลมาวิเคราะห์หาเหตุผลพิสูจน์ความจริงของคำตอบกันต่อไป 

        ๒.๓ปัญหาที่ผู้เขียนสงสัยคือนิมิตทั้ง ๔ เป็นวรรณะใด ?    เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกออนไลน์อีกครั้งผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงว่า ไม่มีหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ และอรรถกถา ที่ยืนยันข้อเท็จจริงว่าคนเหล่านั้นถูกจัดอยู่ในวรรณะใดแต่ในรัชสมัยของพระเจ้าสุทโธทนะมีกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะได้ตราขึ้นในแคว้นสักกะ  เมื่อผู้เขียนค้นหาข้อมูลด้วยการป้อนคำว่า"วรรณะ"ในแอพพริเคชั่นของพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ นั้น  มีผลของการค้นหาข้อความพบคำว่า "วรรณะ" ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯในเล่มที่ ๓, ๕, ๗, ๘, ๙, ๑๐, ๑๑ เป็นต้น   

  ๒.๔  ปัญหาคนจัณฑาล การแบ่งวรรณะ ๔ ในสังคมแคว้นต่างๆ นั้น โดยพวกพราหมณ์อ้างเป็นความประสงค์ของพระพรหมได้สร้างวรรณะทั้ง ๔ แก่ประชาชนที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นและได้สร้างสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามวรรณะที่ตนเกิดมาเท่านั้น ส่วนวรรณะกษัตริย์ นำแนวคิดทางปรัชญาศาสนาพราหมณ์มาบัญญัติกฎหมายโดยอ้างพระประสงค์แห่งพระพรหม ให้มีสภาพบังคับตามกฎหมายจารีตโดยให้ชุมชน หรือสังคมเป็นผู้ลงโทษทางสังคมเรียกว่า การลงพรหมทัณฑ์ ด้วยการขับไล่ออกจากสังคมนั้น เช่น ชนวรรณะพราหมณ์สมสู่กับหญิงวรรณะศูทรชนวรรณะพราหมณ์นั้น ต้องสละวรรณะตนกลายเป็นคนจัณฑาลลูกที่เกิดมาก็กลายเป็นคนจัณฑาล ดังปรากฏหลักฐานที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกายปัญจก ฉักกนิบาต [๔.จตุตถปัณณาสก์]๕.พราหมณวรรค ๒.โทณพราหมสูตร.......สมสู่กับนางพราหมณีบ้าง สตรีชั้นนางกษัตริย์บ้าง  แพศย์บ้าง ศูทรบ้าง จัณฑาลบ้าง......ด้วยเหตุดั่งนี้แลชาวโลกเรียกว่า "พราหมณ์ผู้เป็นจัณฑาล"    

       เมื่อผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ ดังกล่าวข้างต้นรับฟังข้อเท็จจริงได้ข้อยุติว่าชนวรรณะพราหมณ์ เมื่อสมสู่กับหญิงต่างวรรณะนั้น ต้องสละวรรณะเดิมของตนกลายเป็นพวกจัณฑาลและ ลูกที่เกิดมาก็ต้องกลายเป็นจัณฑาลเช่นกัน เมื่อถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคมที่ตนเคยอยู่อาศัยก็จะถูกขับไล่ออกจากสังคมนั้ มาอาศัยข้างถนนในเมืองใหญ่ ๆ เช่นพระนครกบิลพัสดุ์ ดำรงชีวิตด้วยทำงานที่ชนวรรระสูงไม่ทำเช่นเทขยะ ถากไม้  เทอุจจาระ  เป็นต้น ดังนั้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บและคนตายนั้นใช้ชีวิตสองข้างทางเสด็จพระดำเนินนั้น ผู้เขียนเห็นว่าเป็นชนไร้วรรณะเรียกว่า "จัณทาล" เป็นชนที่เกิดจากพ่อแม่แต่งงานข้ามวรรณะสายเลือดที่เกิดมาไม่บริสุทธิ์พวกนี้ขาดสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามกฎหมายจารีตประเพณี จึงมีฐานะยากจนไม่มีที่ทำกินเป็นของตนเอง จึงต้องใช้ชีวิตในพระนครใหญ่ๆทำงานรับจ้างที่ชนวรรณะอื่นไม่ทำส่วนชนวรรณะอื่นมีฐานะทางเศรษฐกิจดี ประกอบอาชีพถูกต้องตามกฎหมายคงไม่มีใครออกมาใช้ชีวิตตามท้องถนนอย่างไรบ้านเหมือนคนไร้วรรณะแต่อย่างใดเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตระหนักรู้ถึงปัญหาของประชาชนไร้วรรณะที่เรียกว่า "พวกจัณฑาล" แล้วทรงพิจารณาตัดสินพระทัยอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาค้นคว้าหาเหตุผลกันต่อไป 

    ๒.๕  พระราชวังกบิลพัสดุ์ การวิเคราะห์ข้อมูลพระราชวังกบิลพัสดุ์ จากที่มาของความรู้ในพระราชวังกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่สร้างขึ้นสมัยก่อนพุทธกาล ข้อมูลเบื้องต้นตามทฤษฎีความรู้ "หากมีอยู่จริงต้องรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสของผู้เขียนได้ ตามความหมายของทฤษฎีความรู้ประจักษ์นิยมว่าด้วยบ่อเกิดความของมนุษย์มีแนวคิดว่า มนุษย์คนใดคนหนึ่งรับรู้จากประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียวเท่านั้นในความรู้และความเป็นจริงของสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากทฤษฎีความรู้ดังกล่าวผู้เขียนตีความได้ว่า ความมีอยู่ของพระราชวังกบิลพัสดุ์นั้น ผู้เขียนต้องรับรู้ได้ประสาทสัมผัสเองเท่านั้นจึงจะถือว่า ความรู้เป็นความจริงปัญหาว่า พระราชวังกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่นั้น ตั้งอยู่ที่ไหนในยุคสมัยปัจจุบันนั้น เมื่อนักโบราณคดีของเนปาลได้ศึกษาค้นหาเหตุผลของคำตอบจากพยานวัตถุเสาหินอโศก และได้อ่านจารึกอักษรพราหมีแล้วได้ความว่า สวนลุมพินีเป็นสถานที่ประสูติ ของเจ้าชายสิทธัตถะนั้น จึงใช้เสาหินพระเจ้าอโศกเป็นจุดศูนย์กลางเริ่มต้นค้นหาพระราชวังกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่แห่งนี้ ในข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกนั้นรับฟังได้เป็นข้อยุติว่าพระราชวังกบิลพัสดุ์ เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของเจ้าชายสิทธัตถะนั้นน่าจะตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวนลุมพินีมากนัก แต่เมืองลงมือค้นหาชาวบ้านที่อาศัยในหมู่บ้านเตาริหวา (Taurihawa) นั้น ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่โบราณคดีทราบว่ามีเมืองโบราณสถานแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้าน"เตาลิหวา" ห่างจากสวนลุมพินีสถานที่ประสูติ และที่ตั้งของเสาหินพระเจ้าอโศกไม่ไกลมากนักความมีอยู่ของโบราณสถานแห่งนี้ เมื่อนักโบราณคดีของเนปาลและประเทศอื่น ๆ ในยุโรปได้เข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลจากพยานหลักฐานเพื่อหาเหตุผลของคำตอบแล้ว มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ยืนยันว่าซากโบราณสถานแห่งนี้คือ พระราชวังกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่เคยเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของเจ้าชายสิทธัตถะ ที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงโปรดสร้างปราสาท ๓ ฤดูไว้ ในเขตพระราชฐาน เจ้าชายสิทธัตถะทรงใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ถึง ๒๙ ปี  แม้สภาพของพระราชวังอันเก่าแก่แห่งพระนครกบิลพัสดุ์ จะเหลือเพียงแต่ซากกำแพงกว้างเกือบ ๓ เมตรตั้งตรงประตูเข้าออกพระราชวังทางด้านทิศตะวันออก และทิศตะวันตกทำให้ผู้เขียนอนุมานได้ว่าพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบปัญหาแล้วแต่แรกแล้วว่าสักวันหนึ่งวันใดเจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยออกผนวชแน่นอนและสิ่งพระองค์ทรงคาดคะเนไว้เป็นความจริง เมื่อรัฐสภาศากยวงศ์ ไม่อนุมัติการออกกฎหมายยกเลิกวรรณะในแคว้นสักกะ เพื่อความมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองของชนวรรณะสูงในแคว้นสักกะเพียงฝ่ายเดียว พระองค์ทรงโปรดให้สร้างกำแพงขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อป้องกันมิให้พระราชโอรสเสด็จหนีออกบวช

        ดังนั้น เมื่อผู้เขียนได้เดินทางมาผัสสะทางประสาทสัมผัสเพียงเดียวในพระราชวังกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่แห่งนี้ผู้เขียนจึงวิเคราะห์ได้ว่าสถานที่แห่งนี้ เป็นเขตพระราชฐานของพระราชวังกบิลพัสดุ์อันเก่าแก่ที่เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงใช้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์และทรงใช้ชีวิตในพระราชวังกบิลพัสดุ์แห่งนี้จนมีพระชนมายุได้ ๒๙ ปี ในความมัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ และธัมมารมย์ที่พระทัยทรงชื่นชอบและโปรดปราณ มูลเหตุที่ผู้เขียนมีความเชื่อเช่นนั้นเพราะเห็นว่าเมืองโบราณแห่งนี้นั้น ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวนลุมพินีมากนักเป็นต้นบริเวณรายรอบล้อมพระราชวังกบิลพัสดุ์เป็นทุ่งนาของชาวบ้านเตาลิหะวาสอดคล้องที่กล่าวในพระไตรปิฎกว่า พวกเจ้าศากยวงศ์นั้นมีอาชีพทำนาและที่สำคัญพระราชวังแห่งนี้ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเชิงเขาหิมาลัยมากนัก พระราชวังอันเก่าแก่แห่งนี้จึงเป็นเหตุปัจจัยของเหตุผลของคำตอบข้อหนึ่งในการออกผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะถ้าเจ้าชายสิทธัตถะทรงไม่ใช้ชีวิตมัวเมามาต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายปีแล้ว จิตวิญญาณของเจ้าชายสิทธัตถะคงไม่เกิดนิพพิทา คือ ความเบื่อหน่าย ในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ และธัมมารมย์ที่จรเข้ามาผัสสะชีวิตของพระองค์ เป็นเหตุให้พระองค์ จึงตัดสินพระทัยออกเยี่ยมประชาชนตัดสินพระทัยออกบวชเพื่อแก่ทุกข์ให้แก่ประชาชน 

๒.๖ รัฐศาสนา  เดิมอาณาเขตของแคว้นสักกะนั้นเป็นที่พำนักของชาวสักกะที่มีเชื้อสายมิลักขะ มาก่อนชาวสักกะที่มีเชื้อสายอริยกะจะอพยพมาตั้งถิ่นฐานในแถบนี้  เป็นดินแดนที่สมบูรณ์เพราะมีน้ำไหลจากเทือกเขาหิมาลัย ทำให้มีน้ำเพียงพอในการปลูกข้าวได้ผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์ ชาวมิลักขะจึงบูชาน้ำเป็นเทวดาดังปรากฎหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ขุทททกนิกายชาดกภาค ๒ [๒๒.มหาชาดก] ๖.ภูริทัตตชาดก [๙๒๘] กล่าวว่า "ความจริงคนบางพวกนับถือไฟเป็นเทวดา ส่วนพวกมิลักขะนับถือน้ำเป็นเทวดา..ข้อเท็จจริงจากพยานเอกสารพระไตรปิฎกออนไลน์รับฟังเป็นข้อยุติได้ว่าในสมัยก่อนพุทธกาล พวกมิลักขะนับถือน้ำเป็นเทวดา และคนบางพวกนับถือไฟเป็นเทวดา เมื่อไม่พยานหลักฐานอื่นใดมาหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกผู้เขียนเห็นว่า ชาวมิลักขะนับถือน้ำเป็นเทวดาจริง เป็นความรู้ที่สมเหตุสมผลปราศจากข้อสงสัยในความจริงที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกปัญหาต้องพิจารณาต่อไปอีกชาวมิลักขะบูชาน้ำเป็นเทวดาอย่างไร  เมือผู้เขียนศึกษาข้อมูลจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกทำให้ชาวแคว้นสักกะมีข้าวใช้บริโภคได้ตลอดทั้งปีและสามารถส่งข้าวออกไปขายต่างประเทศมีรายได้ จำนวนมหาศาลเข้าประเทศ ทำให้ประชาชนในแคว้นนี้มีฐานะร่ำรวยและมั่งคั่งที่สุดในยุคนั้น จนชนวรรณะกษัตริย์สั่งซื้อสิ้นค้าจากต่างประเทศมาใช้ในสมาชิกราชวงศ์ศากยะ เมื่อชีวิตประชาชนชาวแคว้นสักกะมีความเจริญรุ่งเรืองเพราะมีความอุดมสมบูรณ์ และมั่งคั่งแล้วพวกเขายังดำเนินชีวิตตามแนวคิดของความเชื่อในปรัชญาศาสนาพราหมณ์ว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้าสูงสุดที่ควรเคารพบูชาเพราะพระองค์ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมาจากจากพระวรกายของพระองค์เองในแต่ละปี พวกเขาประกอบพิธีกรรมมหาบูชายัญแด่พระพรหมโดยใช้ด้วยสัตว์อย่างละ๗๐๐ตัว ดังปรากฏหลักฐานในพยานเอกสารพระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๕.กูฏทันตสูตร [๒๐๐] ก็สมัยนั้นพราหมณ์กูฏทันตะได้เตรียมมหายัญโคผู้ ๗๐๐ ลูกโคผู้ ๗๐๐ ลูกโคเมีย ๗๐๐ แพะ ๗๐๐ และแกะ ๗๐๐ ถูกนำไปผูกไว้ที่หลักเพื่อบูชายัญ       

       ต่อมาพวกอารยันเห็นว่าแม้มีชัยชนะเหนือพวกมิลักขะก็ตาม แต่การปกครองดินแดนพื้นที่ราบเชิงเขาหิมาลัยนั้น มิได้เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้โดยง่ายเพราะพวกมิลักขะเจ้าของดินแดนสวรรค์แห่งนี้ยังไม่ยินยอมอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองชนอารยันแต่อย่างใด เพราะพวกเขาเชื่ออย่างมั่นคงและไม่หวั่นไหวว่า เมื่อพระพรหมทรงสร้างพวกเขาขึ้นมาแล้วจากพระวรกายของพระองค์ พระพรหมจะปกป้องคุ้มครองให้รอดปลอดภัยจากการใช้อำนาจอธิปไตยตามอำเภอใจของพวกอารยันในแต่ละปีพวกมิลักขะ ได้ประกอบพิธีมหายัญด้วยเครื่องพลีจากการฆ่าสัตว์ ๕ อย่างเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า ๓,๕๐๐ ตัวและยังมีความมั่งคั่งและร่ำรวยจากการขายข้าวและเครื่องเทศไปยังต่างประเทศ เมื่อพวกอารยันตั้งระลึกถึงปรากฏการณ์ทางสังคมได้เช่นนี้พวกอารยันวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบว่าในภายภาคหน้าเป็นเรื่องยาก ที่พวกเขาจะมีความเจริญรุ่งเรืองเพียงฝ่ายเดียว พวกมิลักขะมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจอาจให้อำนาจทางเศรษฐกิจต่อรองทางการเมืองได้ และสร้างความสามัคคีในกลุ่มชนมิลักขะ ด้วยการประกอบพิธีมหายัญเป็นประจำทุกปี  เมื่ออำนาจอธิปไตยยังเป็นของพวกอารยันอยู่ควรหาทางจำกัดสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพ เพื่อลดบทบาทอำนาจทางเศรษฐกิจมิให้แข็งแกร่ง ลดบทบาททางการศึกษาในปรัชญาทางศาสนา เพื่อมิให้รู้จักคิดหาเหตุผลของคำตอบมาโต้แย้งสิทธิหน้าที่ในการถูกเลือกปฏิบัติในสังคม สร้างสภาพบังคับทางกฎหมายจารีตประเพณีด้วยการให้สังคม หรือชุมชนลงพรหมทัณฑ์แก่พวกจัณฑาลที่แต่งงานข้ามวรรณะ ทำให้ระบบวรรณะในสังคมเข้มแข็งและเข้มงวดมากยิ่งขึ้น การแบ่งวรรณะทำให้เกิดความสามัคคีในชนแต่ละวรรณะเพราะเป็นการอ้างความประสงค์ของพระพรหมณ์ ขณะเดียวกันเห็นว่าเมื่ออำนาจทางเศรษฐกิจ ยังเป็นของพวกดราวิเดียน จึงคิดหาเหตุผลที่ จะจำกัดสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชนวรรณะสูงเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น รัฐสภาศากยวงศ์จึงได้ออกกฎหมายแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ ให้พวกดราวิเดียนเป็นพวกผิวดำ อยู่ในวรรณะต่ำสุด โดยอ้างว่าพระพรหมเป็นสร้างมนุษย์ขึ้นมาและแบ่งสิทธิหน้าที่ของประชาชน ที่พระพรหมสร้างไว้แล้วให้ประกอบอาชีพตามวรรณะของตนเอง เมื่อรัฐสภาออกกฏหมายแบ่งวรรณะแล้ว และยังได้ออกธรรมะของกษัตริย์ในการปกครองประเทศด้วยห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติแล้วดังนั้นกฎหมายแบ่งวรรณะเมื่อรัฐสภาของแคว้นต่างๆ ออกกฎหมายไว้แล้วจึงต้องห้ามมิให้ยกเลิกวรรณะแต่อย่างใด ตามแนวคิดของปรัชญาศาสนาพราหมณ์ถือว่ารัฐสภาของแคว้นต่างๆ ยอมรับความมีอยู่ของพระพรหมว่ามีอยู่จริงเพราะเชื่อว่าพระองค์สร้างมนุษย์ขึ้นมาจากพระองค์เอง เท่ากับรัฐเหล่านั้นรัฐศาสนาตามที่กล่าวในพระไตรปิฎก 


๒.๗ หลักอปริหานิยธรรม  

           ในสมัยพุทธกาลนั้นแคว้น (country) ต่าง ๆ  มีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นพื้นฐานในการบริหารปกครองประเทศหรือไม่ เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฟังข้อเท็จจริงได้ว่า คำว่า "แคว้น" นักวิชาการหลายคนทางด้านภาษาอังกฤษแปลความหมายว่า "ประเทศ" ในสมัยปัจจุบันทุกประเทศจะมีกฎหมายรัฐธรมนูญนักวิชาการทางพุทธปรัชญาหลายท่านวิเคราะห์ว่าหลักอปริหานิยธรรมนั้นเป็นธรรมของกษัตริย์ต้องปฏิบัติในการบริหารปกครองประเทศ โดยเฉพาะรัฐที่มีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรมเช่น รัฐสักกะ รัฐวัชชี เป็นต้น เป็นกฎหมายสูงสุดควรพิจารณาในการแสวงหาคำตอบทางปรัชญาในการศึกษาเชิงวิเคราะห์นั้น การทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ จะถือว่าเป็นมูลเหตุให้เจ้าชายสิทธัตถะออกผนวชนั้น เป็นการตีความถ้อยคำตามตัวอักษรไม่กี่บรรทัดในพระไตรปิฎกนั้น ยังมีน้ำหนักในเหตุผลของคำตอบยังไม่เพียงพอที่รับฟังแล้วให้เชื่อว่าเป็นความจริงอย่างนั้น ทำให้ผู้เขียนสิ้นความสงสัยในเหตุผลของการออกบวชเจ้าชายสิทธ้ตถะได้เราจำเป็นต้องหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เป็นแนวคิดเกี่ยวกับปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นยุคเดียวกันนั้น มาวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบเพื่อสนับสนุนคำตอบของการออกผนวชให้ได้หลักความรู้และความจริงนั้น  เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นข้อยุติของผู้เขียนว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงทอดพระเนตรเห็นคนแก่ชรา คนเจ็บป่วย และคนตายบนสองข้างเสด็จพระราชดำเนินไปสู่พระราชอุทยานนั้น ทรงสนพระทัยไต่ถามนายฉันนะว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นใคร เมื่อได้คำตอบแล้ว คงไม่ปล่อยปัญหาความยากจนของประชาชนโดยไม่ใจอย่างแน่นอน แม้ในข้อความอื่นในพระไตรปิฎกนั้นจะม่มีรายละเอียดเขียนไว้อย่างแน่ชัดก็ตาม

๒.๘ เจ้าชายสิทธัตถะทรงปฏิรูปสังคมในชมพูทวีป เมื่อข้อเท็จจริงได้รับฟังว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงออกประพาสพระนครกบิลพัสดุ์ ทรงเห็นปัญหาของประชาชนไร้วรรณะที่เรียกกันว่า "พวกจัณฑาล" ไม่มีสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามกฎหมายจารีตประเพณี เพราะทุกอาชีพนั้น  ได้สงวนไว้ เพื่อชนวรรณะอื่นไปจนหมดสิ้นแล้วต้องใช้ชีวิตอย่างคนไร้บ้านข้างถนนในพระนครกบิลพัสดุ์ ต้องทำงานเทขยะ เทอุจจาระ เป็นต้น เมื่อทรงตั้งสติระลึกถึงปัญหาของพวกจัณฑาลเป็นเวลาหลายวันแล้วพระองค์มองเห็นวิธีการเดียวเท่านั้น ที่แก้ไขปัญหาของประเทศได้คือ การเสนอบัญญัติกฎหมายยกเลิกประเพณีการแบ่งชนชั้นวรรณะประชาชนในแคว้นสักกะ มิให้มีอีกต่อไปต่อรัฐสภาศากยวงศ์ตามหลักธรรมะของกษัตริย์เรียกว่า"ราชอปริหานิยธรรม"เป็นหลักนิติศาสตร์ในการปกครองประเทศมีลักษณะเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศเทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ เมื่อผู้บริหารประเทศนำหลักอปริหานิยธรรมไปใช้ปฏิบัติแล้วรัฐอิสระนั้น      จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองของชนวรรณะสูงเพียงฝ่ายเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ