The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ปัญหาความจริงเกี่ยวกับสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวช

The problem with the cause of Prince Siddhartha's ordination  

บทนำ ปัญหาเกี่ยวกับสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงผนวช เป็นปัญหาของอภิปรัชญา

ในการศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความจริงของสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชนั้น  ผู้เขียนเห็นว่าเป็นปัญหาทางอภิปรัชญาที่น่าสนใจ  และควรแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่งเพราะเกี่ยวข้องกับมนุษย์โดยตรง  ตามหลักวิชาการทางปรัชญานั้น  เมื่อผู้ใดกล่าวถึงข้อเท็จจริงในเรื่องใด    พระพุทธเจ้าทรงเป็นปราชญ์ที่ตรัสสอนว่า  อย่าเพิ่งเชื่อในทันทีว่าเป็นเรื่องจริง   จนกว่าจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอเสียก่อน เพื่อเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์หาเหตุผลเพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ ถ้าไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากประจักษ์พยานพียงคนเดียวนั้นไม่น่าเชื่อถือและไม่อาจยอมรับได้ว่าเป็นความจริงได้ เพราะมนุษย์มักจะเห็นแก่ตัว และมักมีอคติต่อกัน  มีสาเหตุจากความโง่เขลา, ความกลัว,  ความเกลียดชัง  และความชอบพอซึ่งกันและกัน เป็นต้น นอกจากนี้ อวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในร่างกายมนุษย์  ยังมีข้อจำกัดในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  หรือเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นแล้วในสมัยรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์หรือเหตุการณ์อื่น ๆ เป็นต้น ในสมัยก่อนพุทธกาล  พราหมณ์อารยันสอนว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะให้ทำหน้าที่ตามวรรณะของตน  เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสดับข้อเท็จจริงในเรื่องนี้  พระองค์ก็มิได้ทรงเชื่อในทันทีว่าเป็นความจริง เพราะพระองค์ทรงไม่ได้มีความรู้ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของพระองค์ ทรงลงมือตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมประจักษ์พยานที่น่าเชื่อถือ รวมทั้งนักบวชพราหมณ์  และพราหมณ์ปุโรหิตที่ปรึกษาของพระเจ้าสุทโธทนะในด้านกฎหมาย ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี   พระองค์ทรงได้ยินข้อเท็จจริงจากคำให้การของพราหมณ์ปุโรหิตที่ยืนยันว่า พระพรหมและพระอิศวรมีอยู่จริงและพระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์จากกายของพระองค์ และทรงสร้างวรรณะให้มนุษย์ทำหน้าที่ของตน และในกาลก่อน พราหมณ์ปุโรหิตก็เคยเห็นพระพรหมและพระอิศวรปรากฏกายในแคว้นสักกะมาก่อน    แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงตรัสถามถึงที่มาของพระพรหมและพระอิศวร แต่ไม่มีพราหมณ์ปุโรหิตคนใดตอบพระองค์ได้จากข้อเท็จจริงข้างต้น  การที่พราหมณ์ปุโรหิตไม่มีความรู้เกี่ยวกับประวัติของพระพรหมและพระอิศวร แสดงว่าพราหมณ์ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวรนี้ อาจได้ข้อเท็จจริงที่เล่าให้ฟังติดต่อกันมา    ซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ที่จะรับรู้ได้ด้วยตนเองได้ เพื่อให้การศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความจริงของสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวชให้เกิดความรู้ความเข้าใจได้ง่ายขึ้น  นักปรัชญาแบ่งปัญหาของความจริงได้ ๒ ประเภทคือ 
          ๑. ความจริงที่สมมติขึ้น  (appearance) 
          ๒. สัจธรรม (absolute truth
          ซึ่งเราสามารถอธิบายความจริงทั้งสองประเภท เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจได้ดังนี้
      
 ๑.ความจริงที่สมมติขึ้น(appearance) คือข้อเท็จจริงที่ตกลงยอมรับกันโดยปริยายโดยไม่นึกถึงสภาพที่แท้ โดยธรรมชาติทั่วไปของชีวิตมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ ๖ เป็นสะพานเชื่อมต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้น ตั้งเป็นสภาวะอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและสภาวะนั้นเสื่อมสลายไปตามกฎธรรมชาติ แต่ก่อนสภาวะนั้นจะเสื่อมสลายนั้นไป มนุษย์สามารถใช้อวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของร่างกายรับรู้อารมณ์เหล่านั้นแล้วจิตใจของมนุษย์ก็จะดึงดูดอารมณ์เหล่านั้นมาสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์นั้นไว้ในจิตใจของตนเอง  แต่ธรรมชาติของจิตมนุษย์นั้น เมื่อรับรู้สิ่งใด ก็จะคิดจากสิ่งนั้น ก็จะวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นเพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ และก็สมมติชื่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นนั้นนี้ ตัวอย่างเช่นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่อยู่รอบตัวมนุษย์ได้แก่ น้ำท่าม ลมพายุในทะเล แผ่นดินไหว เมื่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้น  ย่อมตั้งเป็นสภาวะอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเสื่อมสลายไป  ส่วนปรากฏการณ์ทางสังคมมนุษย์ เช่นการเหยียบกันตายในสนามบอล จราจลแย่งชิงอาหารเลี้ยงกัน  ยกพวกเขาทำร้ายกัน   การลักขโมย  การประพฤติผิดจริยธรรมในทางเพศ การโฆษณาชวนเชื่อ  การจัดงานปาร์ตี้ดื่มสุรายาเมา หรือมนุษย์ทุกคนเกิดมา  ดำรงชีวิตอยู่ชั่วระยะหนึ่งก็ต้องตาย ชีวิตมนุษย์จึงเป็นความจริงโดยสมมติ เพราะพวกเขาเกิดขึ้นในครรภ์มารดา คลอดออกมาจากครรภ์มารดา มีชีวิตรอดอยู่ชัวระยะเวลาหนึ่ง เสื่อมสลายเพราะตายไป ตามกฎไตรลักษณ์ เป็นต้น เป็นต้น  เป็นปรากฎการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และเสื่อมสลายไปจากการรับรู้ของประสาทสัมผัสของมนุษย์  แต่เมื่อมนุษย์รับรู้แล้ว  จิตมนุษย์ก็จะดึงดูดอารมณ์อารมณ์เหล่านี้ เป็นหลักฐานทางอารมณ์เป็นข้อมูลอยู่ในจิตใจได้เพียงพอแล้ว จิตใจก็จะวิเคราะห์ข้อมูลในปรากฏการณ์เหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ๆ เมื่อความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นความจริงในระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์เท่านั้น  นั่นคือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสังคมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็หายไปจากประสาทสัมผัสของมนุษย์

       ๒. สัจธรรม(absolute truth)  เป็นความจริงที่อยู่เหนือขอบเขตของการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของมนุษย์ โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ไม่สามารถรับรู้สัจธรรมได้ด้วยตนเอง เพราะการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์มีข้อจำกัดและมนุษย์ชอบมีอคติต่อกัน  เว้นแต่หลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ที่พระโพธิสัตว์ทรงพัฒนาศักยภาพชีวิตของพระองค์เองด้วยการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้นถึงจะบรรลุถึงความรู้ในระดับอภิญญา ๖ ได้แก่ ญาณทิพย์เหนือมนุษย์ได้ เป็นความจริงแท้ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้  เช่น สภาวะนิพพานของพระพุทธเจ้าป็นต้น ความรู้ในเรื่องนี้ถือว่าเป็นความรู้ที่เป็นความจริงที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของมนุษย์ บุคคลที่จะรับรู้ความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนี้ได้จะต้องเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์เป็นต้นเท่านั้น แม้ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์จะสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อค้นหาสัจธรรมในเรื่องนี้ก็ตามแต่ไม่มีหลักฐานการค้นพบความรู้ที่แท้จริงขั้นสัจธรรมได้ ด้วยเตรื่องมือทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด การที่นักวิทยาศาสตรสร้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ในการค้นหาความจริงของสิ่งต่างๆโดยตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานและวิเคราะห์ข้อมูลจากหลักฐานต่าง ๆ นั้น แต่สุดท้ายผู้ตีค่าข้อมูลของคำตอบก็ต้องใช้จิตของมนุษย์เท่านั้นเป็นผู้เลือกใช้ข้อมูลของคำตอบในเรื่องที่สงสัยนั้น 

          ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวช เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ และได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นสภาวะของกฎธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ ๘๐ ปีก่อนพุทธกาล ที่พระองค์ทรงประสูติ  ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนาและเสด็จดับขันธปรินิพพาน แสดงว่าชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะทรงเกิดขึ้น(ประสูติ) ดำรงชีวิตอยู่ชั่าระยะเวลา ๘๐ ปี และเสื่อมสลายไปตามกฎของธรรมชาติ (เสด็จดับขันธปรินิพพานได้)ดังนั้น ตัวตนของชีวิตเจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงเป็นความจริงที่สมมติขึ้น เพราะเป็นสภาวะของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป  ในระหว่าดำรงชีวิตอยู่ในชมพูืวีปนั้น พระองค์ทรงเสด็จเยี่ยมราษฏรในเขตพระนครกบิลพัสดุ์ทรงเห็นนิมิต ๔ แล้ว พระองค์ตัดสินพระทัยออกผนวช แต่เมื่อผู้เขียนรับรู้ข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ และตำราพระพุทธศาสนาหลายเล่มในเรื่องนี้แล้ว ได้ฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระชนมายุ ๒๙ พรรษา พระองค์เสด็จเยี่ยมราษฏรและอุทยานในพระนครกบิลพัสดุ์  ในระหว่างเสด็จ ฯ นั้น เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นนิมิต ๔  ประการคือ คนชรา คนเจ็บป่วย คนตายและ นักบวช ในพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นเหตุให้พระองค์ทรงผนวช ดังมีหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๓๓ พระสุตันตปิฎกเล่มที่๒๕ ขุททกอปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์ ๒๕.โคตมพุทธวงศ์ว่า ด้วยพระประวัติของพระโคตมพุทธเจ้า ข้อ.๑๖ เราเห็นนิมิต ๔ ประการจึงทรงราชพาหนะคือม้าออกผนวชแล้วได้บำเพ็ญเพียรประพฤติทุกรกิริยาอยู่ ๖ ปี (จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ) 
  
           เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ข้างต้นแล้ว  ก็ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงผนวช (ordained) คือทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ แต่เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ไม่ได้ระบุรายละเอียดของข้อเท็จจริงไว้อย่างชัดเจนว่านิมิต ๔ ประการนั้นได้แก่ คนชรา คนป่วย คนตายและนักบวชมีความเป็นมาอย่างไร  เป็นใคร มาจากไหน และวรรณะใด ทำไมจึงต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนตามท้องถนนในเมืองใหญ่อย่างพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ นักปรัชญ์ชาวพุทธหลายคนจึงตีความหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ เพื่ออธิบายความจริงเกี่ยวกับนิมิต ๔ โดยการใช้เหตุผลของคำตอบในเรื่องนี้ตามความเข้าใจของตน  เมื่อเหตุผลยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่อง"สาเหตุการผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ" แตกต่างออกไป ผู้เขียนจึงไม่รู้คำตอบของนักปรัชญ์ท่านใดเป็นความรู้ที่ถูกต้อง เมื่อข้อเท็จจริงตามหลักฐานในพระไตรปิฎกยังไม่แน่ชัดว่าบุคคลในนิมิตทั้ง ๔ ประการมีประวัติความเป็นมาอย่างไร ? 

        เมื่อปัญหาของคนแก่ คนป่วย คนตาย และสมณะ เป็นความจริงที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในสังคมอินเดียในขณะนั้น และเป็นความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของชาวอนุทวีปอินเดียที่เข้าถึงความรู้นี้ได้ จึงไม่มีเหตุผลที่เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงสงสัยว่ามนุษย์จะต้องชรา  ป่วย  ตาย และ สมณะอีกต่อไป เมื่อผู้เขียนได้ฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นเช่นนี้ ผู้เขียนสงสัยว่า "นิมิต๔" จึงไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยผนวช นอกจากนี้ นักปรัชญ์ชาวพุทธหลายคนยังได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ และให้เหตุผลของคำตอบที่แตกต่างกัน จนไม่สามารถยืนยันความจริงของคำตอบในหัวข้อนี้ว่าคำตอบของใครคือความรู้ผ่านการตัดสินที่ถูกต้อง มีเหตุผล และไม่น่าสงสัยอีกต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ยังเป็นที่สงสัย ผู้เขียนชอบที่จะศึกษาในเรื่องนี้ต่อไปจึงตัดสินใจค้นคว้าหาหลักฐานเพิ่มเติมในการวิเคราะห์เพื่อยืนยันความจริงของคำตอบว่าบุคคลในนิมิต ๔ มีความเป็นมาอย่างไร และมาจากวรรณะใดโดยรวบรวมหลักฐาน ดังต่อไปนี้ 

๑.ประวัติของเจ้าชายสิทธัตถะ 
 

 
    เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๓๓  พระสุตตันตปปิฎก เล่มที่๒๕  ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ที่๒๕ โคตมพุทธวงศ์ 
   ข้อ.๑ ในกาลบัดนี้ตถาคตเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านามว่า "โคดม" เจริญใน "ศากยสกุล" บำเพ็ญความเพียรแล้ว ได้บรรลุสัมโพธิญาณอันประเสริฐ 
    ข้อ.๑๓ กรุงเราชื่อกบิลพัสดุ์  พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระบิดาของเรา พระมารดาบังเกิดเกล้าของเราชาวโลกเรียกพระนามว่า "มายาเทวี" 
     ข้อ.๑๕ เรามีนางสนมกำนัล ๔๐,๐๐๐ นางล้วนประดับประดาสวยงาม พระมเหสีเราชื่อว่ายโสธรา พระดอรสเราชื่อ ราหุล" และหลักฐานในพระไตรปิฎกของมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ ขุทททกนิกายอปทาน มหาวรรค [ภัททิยวรรค] ๖.กาลุทายีเถรปาทานี  ข้อ.(๑๘๓)  เจ้าชายสิทธัตถะผู้ทรงเป็นผู้องอาจกว่านรชนได้ประสูติแล้ว ที่สวนลุมพินีที่รื่นรมย์เพื่อเกื้อกูลและความสุขของสัตว์โลกทั้งมวล
     ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ผู้เขียนฟังข้อเท็จจริงได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมคือเจ้าชายสิทธัตถะ และพระนามสกุลว่า ศากยวงศ์ พระองค์ทรงประสูติ ณ สวนป่าลุมพินีตั้งอยู่ที่แคว้นสักกะ พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางมายาเทวี พระองค์ทรงสำเร็จจากสำนักของครูวิศวามิตรในหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาวิชา ทรงอภิเษกสมสกับพระนางยโสธรามีพระโอรสด้วยกัน ๑ พระองค์คือ  เจ้าชายราหุล  

๒.การใช้ชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะในปราสาท ๓ ฤดู  

     เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกของมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๓๓ พระสุตันตปิฎกเล่มที่๒๕ ขุททกอปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์ ๒๕.โคตมพุทธวงศ์ ว่าด้วยพระประวัติของพระโคตมพุทธเจ้า ข้อ.๑๔ "เราครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปีมีปราสาทที่อุดมอยู่ ๓ หลังคือสุจันทปราสาท โกกันทปราสาทและโกญจปราสาท" 

       ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ที่กล่าวไว้ข้างต้น ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงใช้ชีวิตฆราวาสมา ๒๙ พรรษา พระองค์ทรงประทับอยู่ในปราสาท ๓ หลัง ซึ่งเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ ซึ่งตั้งอยู่ในพระราชวังโบราณ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ พระองค์ทรงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขท่ามกลางนางสนม ๔๐,๐๐๐ คนที่ปรนนิบัติพระองค์อย่างเพลิดเพลินและพระองค์ทรงหลงใหลในเสียงเพลงที่เหล่านางสนมบรรเลง เพื่อขับกล่อมให้พระองค์ทรงมีความสุขในยามค่ำคืนสัมผัสกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดที่ส่งกล่นหอมตลอดเวลาและเสวยพระกระยาหารที่ปรุงแต่งอย่างพิถีพิถัน เพื่อดับความหิว และอารมณ์อันน่ารื่นรมย์ ซึ่งเป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และทรงเก็บอารมณ์อันน่ารื่นรมย์นั้น สั่งสมอยู่ในพระทัยของพระองค์มาหลายปี เจ้าชายสิทธัตถะทรงเบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิตแบบนั้น พระองค์ทรงเสด็จออกจากเขตพระราชวังโบราณกบิลพัสดุ์ เพื่อทรงเยี่ยมราษฏรและเสด็จเยี่ยมชมสวนหลวงในกรุงกบิลพัสดุ์ เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาเกี่ยวกับจัณฑาล ซึ่งขาดสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ และเป็นผู้กระทำผิดตามกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ และถูกคนในสังคมลงโทษด้วยการถูกขับไล่ออกจากถิ่นพำนัก ต้องใช้ชีวิตเร่รอนในวัยชรา ป่วยเป็นไข้และเสียชีวิตข้างถนนในเขตพระนครกบิลพัสดุ์ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาเกี่ยวกับจัณฑาล และทรงเมตตาให้พ้นจากความมืดมิดแห่งชีวิต  ครั้นเจ้าชายสิทธัตถะทรงครุ่นคิดถึงปัญหาคนจัณฑาล จนลืมความยินดีในความมัวเมาแห่งชีวิตที่ทรงใช้มาหลายปีแล้ว 

๓.คำสอนของพราหมณ์เป็นหลัคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ  

     เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานจากที่มาของความรู้นพระไตรปิฎกของมหาจุฬา เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย ขันธวรรค๑. พรหมชาลสูตร ข้อ ๔๒ วรรคสอง "แม้พวกสัตว์ที่เกิดภายหลังก็มีความคิดอย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญนี้เป็นพระพรหม เป็นท้าวมหาพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีใครข่มเหงได้ เห็นท่องแท้เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง ผู้บันดาล ผู้ประเสริฐ ผู้บงกาล ผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของสัตว์ที่เกิดมาแล้วและกำลังจะเกิด พระพรหมผู้เจริญบันดาลเราขึ้นมาเพราะเหตุใดเพราะได้เห็นพระพรหมองค์นี้เกิดขึ้นในที่นี้ก่อนส่วนพวกเราเกิดมาภายหลัง"

     พระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ เล่มที่๒๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๘ ขุททกนิกายชาดก (มหานิบาต) ๖.ภูทัตตชาดก ข้อ ๙๐๖ กล่าว่าพวกพราหมณ์ถือเอาการสาธยายพระเวท พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดเกษตรกรรม พวกศูทรยึดการรับใช้วรรณะทั้ง ๔ เข้าถึงการงานที่อ้างมาแต่อย่างนั้นพระพรหมผู้มีอำนาจสร้างไว้เป็นต้น และพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่๒๘ ขุททกนิกายชาดก (มหานิบาต) ๖.ภูทัตตชาดก ข้อ ๙๓๓ ถ้าคำนี้จะพึงเป็นจริงเหมือนพวกพราหมณ์กล่าวไว้ ผู้ที่มิใช่กษัตริย์ไม่พึ่งได้ราชสมบัติ ผู้มิใช่พราหมณ์ก็ไม่พึ่งศึกษามนต์ นอกจากแพศย์ไม่พึ่งทำการเกษตรกรรม และพวกศูทรก็ไม่พึงพ้นจากการรับใช้ผู้อื่น  

      เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่าสมัยก่อนพุทธกาล ชาวสักกะเชื่อในคำสอนของพราหมณ์ว่าพระพรหมสร้างชาวแคว้นสักกะขึ้นมาจากกายของพระองค์และสร้างวรรณะให้สิทธิและหน้าที่แก่ชาวสักกะทำงานตามวรรณะที่ตนเกิด เช่นวรรณะพราหมณ์มีหน้าที่ทำพิธีบูชายัญและสาธยายพระเวท  วรรณะกษัตริย์มีหน้าที่ปกครองประเทศ วรรณะแพศย์มีหน้าที่ในการค้าขาย และทำการเกษตรกรรม และวรรณะศูทร มีหน้าที่รับใช้คนวรรณะอื่น เป็นต้นเมื่อคำสอนของพวกพราหมณ์ซึ่งเป็นกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยการแบ่งวรรณะและได้กำหนดหน้าที่ให้กับคนวรรณะใดแล้ว เป็นสิทธิหน้าที่ของวรรณะนั้น คนต่างวรรณะไม่มีสิทธิไปทำหน้าที่ของคนวรรณะนั้น๔.ระบอบการปกครองของรัฐสักกะ เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานจากที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ  เล่มที่๑๘ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๐ [ฉบับมหาจุฬา ฯ ]สังยุตตนิกาย  สฬายตนวรรค [สฬายตนสังยุต] อวัสสุตปริยายสูตร ข้อ๒๔๓ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ข้าพระองค์ทั้งหลาย คือเจ้าศากยะทั้งหลายผู้ครองกบิลพัสดุ์ รับสั่งให้สร้างท้องพระโรงขึ้นใหม่เสร็จได้ไม่นานยังไม่มีสมณะพราหมณ์ หรือมนุษย์คนใดคนหนึ่งเข้าไปอยู่อาศัยขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดใช้สอยท้องพระโรงนั้นก่อนเถิดพระพุทธเจ้าข้าพระองค์ทรงใช้ท้องพระโรงก่อนแล้วเจ้าศากยะทั้งหลายผู้ครองกบิลพัสดุ์ จักใช้สอยภายหลัง  การใช้สอยของพระองค์นั้นพึงเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เจ้าศากยะทั้งหลาย ผู้ครองกบิลพัสดุ์สิ้นกาลนาน" 

        จากหลักฐานดังกล่าว ผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เจ้าศากยะทั้งหลายผู้ครองกบิลพัสดุ์ได้สร้างท้องพระโรงขึ้นใหม่ ยังไม่มีผู้ใดใช้ประโยชน์ เจ้าศากยะทั้งหลายขอให้พระพุทธเจ้าโปรดใช้สอยก่อนเมื่อถ้อยคำในพระไตรปิฎกกล่าวว่าเจ้าศากยะทั้งหลายผู้ครองกบิลพัสดุ์ไม่ได้กล่าวว่าพระเจ้าสุทโธทนะเป็นกษัตริย์ปกครองพระนครกบิลพัสดุ์ เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงดังกล่าวและตีความว่าอาณาจักรสักกะมีระบอบการปกครองแบบสามัคคีธรรมโดยแบ่งประชาชนตามกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ ออกเป็น ๔ วรรณะได้แก่วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น และสมาชิกศากยวงศ์ทุกพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาศากยวงศ์ ซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ในการปกครองประเทศและมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจอธิปอธิปไตยทั้ง๓อำนาจ นั่นคืออำนาจนิติบัญญัติในการตรากฎหมายจารีตประเพณีทั้งหมด อำนาจบริหารประเทศ และอำนาจตุลาการในการพิจารณาตัดสินอรรถคดีทั้งปวง ดังนั้นแม้ว่าพระเจ้าสุทโธทนะทรงเป็นกษัตริย์ปกครองแต่พระองค์ทรงไม่ได้ใช้อำนาจอธิปไตยเพียงลำพัง ท้องพระโรง (Thron Hall) เป็นที่ตั้งของสำนักงานของรัฐสภาศากยวงศ์ เพื่อให้ชนวรรณะกษัตริย์หลายราชวงศ์มาประชุมกันดังมีหลักฐานในพระไตรปิฎกกล่าวว่า "เจ้าศากยทั้งหลายเป็นผู้ใช้สอยท้องพระโรงผู้เขียนตีความว่า เจ้าชายแห่งศากยะทั้งหลายใช้ท้องพระโรงนี้เป็นสถานที่ประชุมรัฐสภาศากยวงศ์เพื่อใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการในการปกครองประเทศ เมื่อเจ้าชายศากยะทั้งหลายทรงใช้ท้องพระโรงแต่เพียงฝ่ายเดียวแสดงให้เห็นว่าเมื่อแคว้นสักกะประกาศบังคับใช้กฎหมายวรรณะจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ ประชาชนถูกแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะได้แก่วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น เมื่อเจ้าชายศากยะทุกพระองค์มีสิทธิและหน้าที่ในการปกครองรัฐสักกะตามวรรณะกษัตริย์ รัฐสักกะจึงมีกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีเป็นหลักสูงสุดในการบริหารปกครองที่เรียกว่า "ธรรมของกษัตริย์" หรือ สิ่งที่นักปรชาญ์ชาวพุทธยอมรับว่าเป็นหลักธรรมสำหรับผู้บริหารเรียกว่า "หลักอปริหานิยธรรม"ดังนั้นกฎหมายที่ประกาศใช้ภายหลังจึงไม่อาจขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญสูงสุดได้ เมื่อรัฐสภาศายวงศ์ได้บัญญัติกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ ซึ่งปรากฏอยู่ในหลักคำสอนของพราหมณ์ไว้แล้วต่อมาภายหลังพระมหากษัตริย์ทรงเมตตาต่อจัณฑาลโดยประสงค์ให้มีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับวรรณะอื่น ๆ จะเสนอร่างพระราชบัญญัติยกเลิกวรรณะให้รัฐสภาแห่งศากยวงศ์พิจารณา แต่เมื่อสมาชิกรัฐสภาแห่งชาติศากยวงศ์ได้เข้าประชุมและพิจารณาแล้ว จะมีมติไม่ให้ผ่านร่างกฎหมายยกเลิกวรรณะเพราะขัดกับหลักอปริหานิยธรรมซึ่งเป็นหลักคำสอนของพราหมณ์และพระพรหมสร้างวรรณะขึ้นเพื่อห้ามมิให้ยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติไว้ดีแล้ว          

.ปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับความจริงของคนแก่ คนเจ็บ คนตายและสมณะ

        เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงรู้สึกเบื่อหน่าย (feel bored) ความสุขในการใช้บนปราสาท ๓ หลังซึ่งเป็นสถานที่ประทับส่วนตัวของพระองค์มาหลายปี จึงทรงตัดสินพระทัยไปเสด็จเยี่ยมราษฏรและเสด็จชมสวนหลวงในเขตพระนครกบิลพัสดุ์ ในขณะเสด็จประทับนั่งบนรถม้าไปตามท้องถนนในเขตพระนครกบิลพัสดุ์ พระองค์ทรงเห็นปัญหาที่แท้จริงของประชาชนที่อาศัยอยู่ตามท้องถนนในวัยชรา ต้องเจ็บป่วย และนอนตายบนท้องถนน  เป็นต้น  เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ ได้ฟังข้อเท็จจริงว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงพระเนตรนิมิต ๔ เท่านั้น มิได้ระบุรายละเอียดอื่นใดให้ชัดเจน ทำให้ผู้เขียนสงสัยว่าคนทั้ง ๔ ประเภท มีที่มาอย่างไร จึงไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร มาจากไหนและอยู่ในวรรณะใด  และผู้เขียนเห็นว่าความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นความไม่เที่ยงของชีวิตมนุษย์ และมองเห็นง่ายในชีวิตประจำวันของมนุษย์ สมัยนั้นเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีข้าราชบริพาร ๔๐,๐๐๐ คนและที่พระองค์ทรงไม่เคยเห็นชีวิตไม่เที่ยงเช่น คนแก่ คนเจ็บ คนตายและสมณะในพระนครกบิลพัสดุ์นั้น ถือว่ามีเหตุผลเลื่อนลอยไม่น่ารับฟังว่ามูลเหตุการทรงออกผนวชได้ ส่วนคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นระหว่างทางเสด็จเยี่ยมราษฏรนั้นผู้เขียนฟังข้อเท็จจริงในยุคนั้นว่าแคว้นสักกะเป็นรัฐศาสนาพราหมณ์ชาวสักกะเชื่อในศาสนาพราหมณ์ตามคำสอนของพราหมณ์ว่า พระพรหมสร้างมนุษย์และสร้างวรรณะให้มนุษย์ทำงานตามวรรณะของตน เพื่อป้องกันมิให้ประชาชนฝ่าฝืนบทบัญญัติของคำสอนของศาสนาพราหมณ์ สมาชิกรัฐสภาศากยวงศ์ได้เอาหลักคำสอนของพราหมณ์ในเรื่องพระพรหมสร้างวรรณะไปบัญญัติเป็นกฎหมายจารีตประเพณีแบ่งชั้นวรรณะและมีบทลงโทษให้ผู้คนในสังคมพรหมทัณฑ์แก่ผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายจารีตประเพณีด้วยการแต่งงานข้ามวรรณะ โดยให้ขับไล่ไปจากสังคมที่อยู่อาศัยนั้นได้ เมื่อถูกขับไล่พวกเขาต้องไปใช้ชีวิตเร่รอนอยู่ข้างถนนในเมืองใหญ่และถูกเรียกว่า จัณฑาล พวกนี้ไม่มีสิทธิหน้าที่ในการประกอบอาชีพตามกฎหมายนั้น อาชีพทั้งหมดกฎหมายสงวนไว้เฉพาะชนวรรณะสูงเท่านั้น เมื่อไม่มีงานทำย่อมไม่เงินมาซื้อบ้านเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของตัวเองได้จำเป็นต้องอาศัยเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินของเจ้าชายสิทธัตถะนั้น ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่คนวรรณะสูงต้องออกจากบ้านมาใช้ชีวิตไม่เที่ยงในความแก่ ความเจ็บ และความตายบนข้างถนนเช่นนั้นเพราะพวกเขาเหล่านั้นมีรายได้จำนวนมหาศาล สร้างปราสาทได้หลายหลังย่อมใช้ชีวิตในความแก่ ความเจ็บ และความตายในปราสาทของตนดีกว่าตายข้างถนนสาธารณะในพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นต้น ผู้เขียนจึงมีความเห็นว่า คนแก่ คนเจ็บป่วยและคนตายนั้นเป็นพวกจัณฑาลนั้นเองทรงระลึกได้ว่าในวันที่ ๔ ของการเสด็จพระราชดำเนินประพาสพระนครนั้น ทรงพบเห็นนักบวชและทรงนึกคิดพัฒนาต่อยอดออกไปว่า การออกบวชน่าจะเป็นวิธีการหาความรู้ที่ดีที่สุดที่จะได้เห็นสัจธรรมของชีวิตได้ เมื่อทรงออกผนวชแล้วก็ละทิ้งวรรณะเดิมไม่เกี่ยวข้องโคตรหรือตระกูลเดิมอีกต่อไปทำให้ทรงมีเวลาที่จะได้ศึกษาหา ความรู้เพื่อบรรลุถึงความจริงของชีวิตต่อไป   

บรรณานุกรม.  

1.http: // www.84000.org/tipitaka/attha/ attha.php? b =33.2&i=26
2.พระไตรปิฎก ที่  33  ในพระสุตตันตปิฎกเล่ม24 ฉบับมหาจุฬา ฯ .....ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ข้อที่16.

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ