3.Knowledge components regarding the reasons for Prince Siddhartha's ordination
๒.๒.องค์ประกอบความรู้เกี่ยวกับการอุปสมบทของเจ้าชายสิทธัตถะ

โดยทั่วไปแล้ว ความรู้ที่ศึกษาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยนั้น คือความรู้ของครูบาอาจารย์ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นนักปรัชญา นักตรรกะศาสตร์ ครูวิศวามิตร นักปรัชญาตะวันตกและนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ตามคำสอนของพราหมณ์ในสมัยพุทธกาล ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา มักแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์ นักปรัชญาตะวันตกและนักปรัชญาพุทธแบ่งความจริงเป็น ๒ ระดับคือความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญา และนักตรรกศาสตร์ใช้เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องตาย ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติที่ควบคุมชีวิตมนุษย์ได้ ส่วนความจริงที่สมมติขึ้นคือความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ผ่านอายตนะภายในของตนเองและสั่งสมเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ นั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ แต่ชีวิตมนุษย์มิได้มีลักษณะเพียงแค่รับรู้และสั่งสมเรื่องราวเป็นหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น ชีวิตมนุษย์มีลักษณะของการเป็นนักคิดอีกด้วย เมื่อพวกเขารู้สิ่งไหนก็จะคิดจากสิ่งนั้น โดยการจินตนาการไร้ขอบเขตจำกัดจากหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ เมื่อใช้เหตุผลอธิบายความจริงเป็นภาพขึ้นในใจของตนเอง จากจินตนาการของตนเองแล้ว สร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้อื่นด้วยเจตนาร้าย และเพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตและทรัพย์สิน เมื่อเกิดมาแล้ว มนุษย์มีอายตนะภายในร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นจิตใจมนุษย์ยังมีแนวโน้มที่จะอคติเข้าข้างผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ ความกลัว ความเกลียดชังและความรักของตนเอง ดังนั้น ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน มนุษย์จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ได้ แม้ว่าโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์จะเป็นนักคิดที่สามารถใช้เหตุผลและอธิบายความจริงได้ อย่างไรก็ตาม เหตุผลของพวกเขามักจะคลุมเครือและไม่ชัดเจน เนื่องจากมนุษย์ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดความเพียรในการศึกษา วิจัย และแสวงหาความรู้ ขาดสติในการควบคุมคิดเห็นของตนเอง ขาดสมาธิที่จะปฏิบัติหน้าที่หรือกิจกรรมต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงตามที่ต้องการ พวกเขาจึงมีจินตนาการอันไร้ขีดจำกัดเกี่ยวกับความจริงในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นผ่านอายตนะภายในชีวิต ดังนั้นมนุษย์จำเป็นต้องกำหนดขอบเขตความรู้ที่ต้องการศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจความจริงอย่างแจ่มแจ้ง เป็นต้น
มีปัญหาหนึ่งที่ต้องพิจารณาว่า ความรู้คืออะไร ?
เมื่อมนุษย์เป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญามีธรรมชาติของการเป็นนักคิดที่มีจินตนาการที่ไร้ขอบเขต และมีความสนใจแสวงหาความจริงเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ผ่านอายตนะภายในที่มีความสามารถในการรับรู้ได้จำกัดและมักอคติต่อผู้อื่น ชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นตามทัศนะของตนเองและคาดคะเนความจริงโดยใช้เหตุผลอธิบายความจริง การใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบ บางครั้งอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้องหรือบางครั้งอาจใช้เหตุผลอย่างไม่ถูกต้อง บางครั้งอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น ทำให้สงสัยว่าความรู้ของมนุษย์คืออะไร ?
ในการศึกษาหลักฐานในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ ให้นิยามคำว่า "ความรู้" ไว้ว่า ความรู้ของมนุษย์หมายถึงสิ่งที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์มาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะเช่น ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน การฟัง การคิด หรือการปฏิบัติ เช่น ความรู้เรื่องสุขภาพ ความรู้เรื่องนิทานพื้นบ้าน เป็นต้น ดังนั้น ความรู้ของมนุษย์ตามคำนิยามของพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.๒๕๕๔ ดังกล่าวนั้น เราสามารถแยกองค์ประกอบของความรู้ได้ดังนี้
๒.๑ มนุษย์ ๒.๒ สิ่งที่สั่งสมอยู่ในจิตมนุษย์ ๒.๓ กระบวนการพิจารณาความจริง ๒.๔. ความคิดเห็นของมนุษย์
เมื่อธรรมชาติของชีวิตมนุษย์มีอาตนะภายในมีข้อจำกัดในการรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต และมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นเรื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ทำให้ชีวิตพวกเขาตกอยู่ในความมืดมน ส่งผลให้ชีวิตมนุษย์ขาดปัญญาเข้าใจความจริงที่สมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ ดังนั้น ในสมัยพุทธกาล พราหมณ์ในอนุทวีปอินเดีย ซึ่งเป็น "นักตรรกะ และนักปรัชญา" มักแสดงความคิดเห็นตามหลักเหตุผล และคาดคะเนความจริงเกี่ยวกับความจริงของเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม แต่การใช้เหตุผลของ นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา อธิบายความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ บางครั้งอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้องบางครั้งอาจใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง บางครั้งอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้บ้าง หรือบางครั้งอาจใช้เหตุผลในลักษณะนั้น เมื่อการใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้า ได้ยินความคิดเห็นของนักตรรกะและนักปรัชญาอธิบายความจริงอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน ย่อมไม่เชื่อเหตุผลของคำตอบของเรื่องนั้นว่าเป็นความจริง
ดังนั้น เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นนักตรรกะและนักปรัชญา และเป็นสัตว์ที่มีเหตุผลในการอธิบายความจริงของเรื่องราวต่าง ๆ เช่น ชีวิตมนุษย์ โลก จักรวาล ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และข้อพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อนักตรรกะและนักปรัชญา มีลักษณะของอายตนะภายในที่มีข้อจำกัดในการรับรู้และมักมีอคติต่อผู้อื่น ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน ส่งผลให้พวกเขาขาดปัญญาที่เข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ พวกเขาจึงไม่รู้เหตุผลของคำตอบของใครถูกต้อง หรือเหตุผลของคำตอบใครอธิบายอย่างไม่ถูกต้อง หรือมีเหตุผลคลุมเครือและไม่ขัดเจนเนื่องจากอธิบายความจริงในลักษณะนี้บ้าง หรืออธิบายความจริงในลักษณะนั้นบ้าง
เมื่อข้อเท็จจริงของคำตอบให้กับสังคมมนุษย์ไม่ชัดเจนโดยเฉพาะเรื่องพระพรหมลงโทษที่เรียกว่า "พระพรหมลงพรหมทัณฑ์แก่มนุษย์" ตามคำสั่งสอนพราหมณ์อารยัน เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้รับการศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาวิชา พระองค์ทรงได้ยินเรื่องราวของพระพรหมลงโทษชาวสักกะในข้อหาร่วมประเวณีกับคนต่างวรรณะและปฏิบัติหน้าที่ในวรรณะอื่น ๆ แล้ว พระองค์ทรงไม่ถือทันทีว่าเป็นความจริง พระองค์ทรงสงสัยความจริงในเรื่องนี้ ไว้ก่อน พระองค์ทรงสร้างวิธีพิจารณาความจริงของในเรื่องนี้ โดยเริ่มต้นศึกษาที่มาความรู้ของเรื่องพระพรหมลงโทษชาวสักกะ องค์ประกอบของความรู้ของเรื่องการลงพรหหมทัณ์ วิธีพิจารณาความจริงเรื่องพระพรหมลงโทษชาวสักกะ และความสมเหตุสมผลของความรู้เรื่องพระพรหมลงพรหมทัณฑ์ชาวสักกะ เป็นต้น
๒.๑. การสั่งสมความรู้ของมนุษย์ ความรู้ถูกสั่งสมไว้ในจิตใจของมนุษย์โดยธรรมชาติผ่านการศึกษา การวิจัย ประสบการณ์ชีวิต และทักษะการปฏิบัติที่ได้มาจากการฟัง การคิดหรือการกระทำ จะได้เห็นว่า ความรู้ดั้งเดิมของมนุษจำกัดการรับรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้า มีเพียงพราหมณ์เท่านั้นที่สามารถประกอบพิธีกรรมบูชายัญ เพื่อสื่อสารกับเทพเจ้าผ่านพิธีกรรมบูชายัญได้ เนื่องจากกฎหมายวรรณะตามจารีตประเพณีได้กำหนดสภาพบังคับไว้ กล่าวคือ ห้ามมิให้ประชาชนทุกวรรณะสมสู่กับคนต่างวรรณะ หรือปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น
แม้ว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะประสูติในวรรณะกษัตริย์และมีสิทธิและหน้าที่ปกครองอาณาจักรสักกะภายใต้กฎหมายวรรณะ แต่พระองค์ก็ทรงไม่สามารถประกอบพิธีกรรมบูชายัญได้ หากพระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะบูชายัญเทพเจ้าพร้อมกับของมีค่าด้วยพระองค์เอง พระองค์ก็จะทรงกระทำผิดฐานละเมิดคำสอนของศาสนา และกฎหมายวรรณะตามจารีตประเพณีอย่างร้ายแรง ในข้อหาฐานปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่นโดยมิชอบ ดังนั้น พระองค์ก็จะทรงถูกพระพรหมลงโทษด้วยโดยให้สังคมขับไล่พระองค์ออกจากชุมชนตลอดชีวิต กลายเป็นจัณฑาลต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนไปตลอดชีวิต
ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงผนวชเป็นพระโพธิสัตว์สิทธัตถะเพื่อแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ พระองค์ทรงได้ศึกษา และปฏิบัติธรรมหลายรูปแบบมาเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่ง พระองค์ทรงค้นพบอริยมรรคมีองค์ ๘ และปฏิบัติธรรมจนตรัสรู้ความจริงขั้นปรมัตถ์ ซึ่งเป็นความรู้ในระดับอภิญญาทั้ง ๖ และพระองค์ทรงเห็นความจริงของชีวิตมนุษย์ มนุษย์ทุกคนมีดวงวิญญาณเป็นของตนเอง เมื่อทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย ดวงวิญญาณก็จะออกจากร่างไปเกิดในภพภูมิอื่น เช่น สวรรค์ นรก กลับมาเกิดในโลกมนุษย์ เป็นต้น เมื่อกลับมาเกิดในภพภูมิมนุษย์ วิญญาณก็จะปฏิสนธิในครรภ์มารดา หลังจากตั้งครรภ์ได้ ๙ เดือน มารดาก็ให้กำเนิดทารก มีสภาพบุคคลตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น
๒.๒.วิธีการแสวงหาความรู้ของนักปรัชญา
โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ตามคำสอนเรื่อง "ขันธ์ห้า" ของพระพุทธเจ้านั้น ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ จิตใจของมนุษย์ใช้อายตนะภายในรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวมนุษย์ในขอบเขตที่จำกัด ยิ่งไปกว่านั้น จิตใจมนุษย์ยังมีแนวโน้มที่จะอคติต่อผู้อื่นโดยแสดงความคิดเห็นเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เมื่อมีข้อสงสัยกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มักจะยืนยันข้อเท็จจริงด้วยความเท็จแม้ว่าตนเองจะไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมไว้ในจิตใจของตนเองก็ตาม เช่น การฆาตกรรม ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ความผิดฐานละเมิดต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น เป็นต้น
แม้ว่าอภิปรัชญาจะเป็นสาขาหนึ่งปรัชญา แต่หน้าที่ของปรัชญาคือศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความจริงของชีวิต โลก ธรรมชาติและการดำรงอยู่ของเทพเจ้า โดยการอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากประสบการณ์ชีวิตของตนเอง โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้ เพื่ออธิบายความจริงเกี่ยวกับความจริงของคำตอบของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนกระทั่งเชื่ออย่างมั่นใจว่าเป็นความจริง แต่ข้อเท็จจริงที่ได้ยินมาเกี่ยวกับเทพเจ้านั้นป็นความรู้ที่อยู่เหนือการรับรู้ของมนุษย์ การค้นพบนี้เกิดขึ้นได้จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากคำให้การของพราหมณ์นิกายต่าง ๆ เป็นข้อมูลสำหรับวิเคราะห์โดยการอนุมานหรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริง โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องมนุษย์และเทพเจ้าก็ตาม แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามพราหมณ์ปุโรหิตถึงประวัติความเป็นมาของเทพเจ้านั้น ไม่มีใครตอบพระองค์ได้แสดงว่าพยานบุคคลเหล่านี้ ไม่มีความรู้เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพจริง จึงไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบประวัติความเป็นมาของเทพเจ้าได้ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยการมีอยู่ของเทพเจ้า จึงเป็นหน้าที่ของญาณวิทยาที่จะต้องหาคำตอบในเรื่องนี้โดยธรรมชาติแล้ว
ญาณวิทยาจะต้องศึกษาและตรวจสอบต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ โครงสร้างความรู้ของมนุษย์ วิธิการของมนุษย์ในการแสวงหาความรู้ ความรู้ที่สมเหตุสมผลของมนุษย์ ดังนั้นญาณวิทยาจึงมีหน้าที่ตอบคำถามที่มนุษย์สงสัยว่า"เราจะรู้ความจริงได้อย่างไร?" ในปัญหาดังกล่าวนักปรัชญาเช่น เจ้าชายสิทธัตถะ, พระโคตมะพุทธเจ้า, เรอเน เดการ์ตส์ ได้ศึกษาการมาของความรู้ที่ถูกต้องคืออะไร? โดยการสร้างกระบวนการพิจารณาความจริง ขึ้นมาอยู่ในขอบเขตของญาณวิทยาทั้งหมด ๔ วิธีด้วยกันคือ
๓.๑ วิธีแสวงหาความรู้จากความเชื่อของพราหมณ์ เมื่อผู้เขียนพิจารณาข้อเท็จริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เมื่อชาวอนุทวีปเชื่อตามคำสอนของพราหมณ์อารยันในเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าอย่างมั่นใจ มีพราหมณ์บางพวกสร้างทฤษฎีกำเนิดของโลกตามลัทธิอาจารย์ของตน เป็นการเชื่้อข้อเท็จจริงเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าโดยปริยายว่าเป็นความจริง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น