The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559

๓.องค์ประกอบความรู้เกี่ยวกับสาเหตุการผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ

3.Knowledge components  regarding the reasons for Prince Siddhartha's ordination 

๒.๒.องค์ประกอบความรู้เกี่ยวกับการอุปสมบทของเจ้าชายสิทธัตถะ   

            โดยทั่วไปแล้ว  ความรู้ที่ศึกษาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยนั้น คือความรู้ของครูบาอาจารย์ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นนักปรัชญา นักตรรกะศาสตร์  ครูวิศวามิตร    นักปรัชญาตะวันตกและนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ตามคำสอนของพราหมณ์ในสมัยพุทธกาล  ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา มักแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์   นักปรัชญาตะวันตกและนักปรัชญาพุทธแบ่งความจริงเป็น ๒  ระดับคือความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญา และนักตรรกศาสตร์ใช้เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง    

            ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องตาย ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติที่ควบคุมชีวิตมนุษย์ได้  ส่วนความจริงที่สมมติขึ้นคือความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ  ที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ผ่านอายตนะภายในของตนเองและสั่งสมเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ นั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ   แต่ชีวิตมนุษย์มิได้มีลักษณะเพียงแค่รับรู้และสั่งสมเรื่องราวเป็นหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น ชีวิตมนุษย์มีลักษณะของการเป็นนักคิดอีกด้วย   เมื่อพวกเขารู้สิ่งไหนก็จะคิดจากสิ่งนั้น  โดยการจินตนาการไร้ขอบเขตจำกัดจากหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ   เมื่อใช้เหตุผลอธิบายความจริงเป็นภาพขึ้นในใจของตนเอง จากจินตนาการของตนเองแล้ว  สร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้อื่นด้วยเจตนาร้าย และเพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตและทรัพย์สิน   เมื่อเกิดมาแล้ว มนุษย์มีอายตนะภายในร่างกายมีข้อจำกัดในการรับรู้เหตุการณ์ในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นจิตใจมนุษย์ยังมีแนวโน้มที่จะอคติเข้าข้างผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้  ความกลัว ความเกลียดชังและความรักของตนเอง  ดังนั้น ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน     มนุษย์จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ได้  แม้ว่าโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์จะเป็นนักคิดที่สามารถใช้เหตุผลและอธิบายความจริงได้ อย่างไรก็ตาม เหตุผลของพวกเขามักจะคลุมเครือและไม่ชัดเจน เนื่องจากมนุษย์ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดความเพียรในการศึกษา  วิจัย และแสวงหาความรู้   ขาดสติในการควบคุมคิดเห็นของตนเอง          ขาดสมาธิที่จะปฏิบัติหน้าที่หรือกิจกรรมต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงตามที่ต้องการ พวกเขาจึงมีจินตนาการอันไร้ขีดจำกัดเกี่ยวกับความจริงในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นผ่านอายตนะภายในชีวิต    ดังนั้นมนุษย์จำเป็นต้องกำหนดขอบเขตความรู้ที่ต้องการศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจความจริงอย่างแจ่มแจ้ง  เป็นต้น 

มีปัญหาหนึ่งที่ต้องพิจารณาว่า ความรู้คืออะไร ?     

           เมื่อมนุษย์เป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญามีธรรมชาติของการเป็นนักคิดที่มีจินตนาการที่ไร้ขอบเขต และมีความสนใจแสวงหาความจริงเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ  ผ่านอายตนะภายในที่มีความสามารถในการรับรู้ได้จำกัดและมักอคติต่อผู้อื่น       ชีวิตมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความมืดมน      พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์   เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นตามทัศนะของตนเองและคาดคะเนความจริงโดยใช้เหตุผลอธิบายความจริง การใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบ บางครั้งอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้องหรือบางครั้งอาจใช้เหตุผลอย่างไม่ถูกต้อง บางครั้งอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น ทำให้สงสัยว่าความรู้ของมนุษย์คืออะไร ?       

         ในการศึกษาหลักฐานในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ ให้นิยามคำว่า "ความรู้" ไว้ว่า ความรู้ของมนุษย์หมายถึงสิ่งที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์มาจากการศึกษาเล่าเรียน  การค้นคว้า  หรือประสบการณ์รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะเช่น     ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน การฟัง การคิด หรือการปฏิบัติ เช่น     ความรู้เรื่องสุขภาพ ความรู้เรื่องนิทานพื้นบ้าน เป็นต้น    ดังนั้น ความรู้ของมนุษย์ตามคำนิยามของพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.๒๕๕๔ ดังกล่าวนั้น เราสามารถแยกองค์ประกอบของความรู้ได้ดังนี้  

๒.๑ มนุษย์                                                                                    ๒.๒ สิ่งที่สั่งสมอยู่ในจิตมนุษย์                                                          ๒.๓ กระบวนการพิจารณาความจริง                                                  ๒.๔. ความคิดเห็นของมนุษย์                        

       ๒.๑.มนุษย์  เมื่อความรู้ในสาขาปรัชญา  พระพุทธศาสนา   ปรัชญาตะวันตกและวิทยาศาสตร์ รวมทั้งสาขาวิชาอื่นๆ เป็นความรู้ของมนุษย์ ที่พัฒนามาจากประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ด้วยญาณทิพย์ ซึ่งเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป         พระองค์ทรงเห็นดวงวิญญาณออกจากร่างของผู้ตาย ไปเกิดในภพภูมิอื่น       พระองค์เห็นดวงวิญญาณที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา  เจริญเติบโตเป็นทารกในครรภ์เป็นเวลา ๙ เดือนแล้ว  จึงเกิดเป็นมนุษย์ฺ มีสิทธิตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย สิ่งนี้ทำให้เราตระหนักรู้ว่าชีวิตของเราประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ  และทั้งสองไม่อาจขาดได้          จิตใจของมนุษย์อาศัยร่างกายในการรับรู้เหตุการณ์และจัดเก็บเหตุการณ์เหล่านั้น             เป็นข้อมูลทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม        ชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีลักษณะเป็นเพียงการรับรู้และเก็บเหตุการณ์ต่าง ๆ  ไว้เป็นข้อมูลทางอารมณ์เท่านั้น    แต่ยังเป็นธรรมชาติชีวิตของนักคิดด้วย เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งใด           พวกเขาก็จะพิจารณาถึงสิ่งนั้น    โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยิน   โดยใช้เหตุผล         ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนั้น  

              เมื่อธรรมชาติของชีวิตมนุษย์มีอาตนะภายในมีข้อจำกัดในการรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต และมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นเรื่องจากความไม่รู้ของตนเอง   ทำให้ชีวิตพวกเขาตกอยู่ในความมืดมน  ส่งผลให้ชีวิตมนุษย์ขาดปัญญาเข้าใจความจริงที่สมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ ดังนั้น ในสมัยพุทธกาล  พราหมณ์ในอนุทวีปอินเดีย ซึ่งเป็น "นักตรรกะ และนักปรัชญา"   มักแสดงความคิดเห็นตามหลักเหตุผล และคาดคะเนความจริงเกี่ยวกับความจริงของเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม  แต่การใช้เหตุผลของ  นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา อธิบายความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์     บางครั้งอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้องบางครั้งอาจใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง  บางครั้งอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้บ้าง หรือบางครั้งอาจใช้เหตุผลในลักษณะนั้น  เมื่อการใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้า ได้ยินความคิดเห็นของนักตรรกะและนักปรัชญาอธิบายความจริงอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน  ย่อมไม่เชื่อเหตุผลของคำตอบของเรื่องนั้นว่าเป็นความจริง  

            ดังนั้น เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นนักตรรกะและนักปรัชญา และเป็นสัตว์ที่มีเหตุผลในการอธิบายความจริงของเรื่องราวต่าง ๆ    เช่น ชีวิตมนุษย์  โลก  จักรวาล  ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และข้อพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น   อย่างไรก็ตาม เมื่อนักตรรกะและนักปรัชญา มีลักษณะของอายตนะภายในที่มีข้อจำกัดในการรับรู้และมักมีอคติต่อผู้อื่น ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน  ส่งผลให้พวกเขาขาดปัญญาที่เข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์  พวกเขาจึงไม่รู้เหตุผลของคำตอบของใครถูกต้อง   หรือเหตุผลของคำตอบใครอธิบายอย่างไม่ถูกต้อง   หรือมีเหตุผลคลุมเครือและไม่ขัดเจนเนื่องจากอธิบายความจริงในลักษณะนี้บ้าง หรืออธิบายความจริงในลักษณะนั้นบ้าง     

          เมื่อข้อเท็จจริงของคำตอบให้กับสังคมมนุษย์ไม่ชัดเจนโดยเฉพาะเรื่องพระพรหมลงโทษที่เรียกว่า "พระพรหมลงพรหมทัณฑ์แก่มนุษย์" ตามคำสั่งสอนพราหมณ์อารยัน    เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้รับการศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาวิชา  พระองค์ทรงได้ยินเรื่องราวของพระพรหมลงโทษชาวสักกะในข้อหาร่วมประเวณีกับคนต่างวรรณะและปฏิบัติหน้าที่ในวรรณะอื่น  ๆ    แล้ว     พระองค์ทรงไม่ถือทันทีว่าเป็นความจริง  พระองค์ทรงสงสัยความจริงในเรื่องนี้ ไว้ก่อน    พระองค์ทรงสร้างวิธีพิจารณาความจริงของในเรื่องนี้     โดยเริ่มต้นศึกษาที่มาความรู้ของเรื่องพระพรหมลงโทษชาวสักกะ     องค์ประกอบของความรู้ของเรื่องการลงพรหหมทัณ์     วิธีพิจารณาความจริงเรื่องพระพรหมลงโทษชาวสักกะ    และความสมเหตุสมผลของความรู้เรื่องพระพรหมลงพรหมทัณฑ์ชาวสักกะ เป็นต้น     

๒.กระบวนการพิจารณาความจริง    

                  โดยทั่วไปในสมัยพุทธกาลพราหมณ์ในอนุทวีปอินเดียเป็นนักตรรกศาสตร์          และนักปรัชญา  พวกเขาได้เรียนรู้ความจริงจากเรื่องราวที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน  เช่น แนวคิดเกี่ยวกับ  มนุษย์  โลกเที่ยง      ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและการมีอยู่ของเทพเจ้า   พวกเขามักแสดงความคิดเห็นโดยใช้เหตุผลของตนเอง เพื่ออธิบายความจริงหรือคาดคะเนความจริง  อย่างไรก็ตาม        นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญามักใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา        ในการอธิบายความจริงของเรื่องเหล่านั้น บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง บางครั้งไม่ถูกต้อง     บางครั้งพวกเขาให้เหตุผลในลักษณะนี้ บางครั้งเป็นเช่นนั้น   เมื่อการใช้เหตุผลของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาอธิบายความจริงอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน       วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อได้ยินความคิดเห็นของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาแล้ว             จะไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความจริง           ดังนั้นเมื่อความคิดเห็นของมนุษย์ เป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาดังกล่าว       ขาดความน่าเชื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสร้างกระบวนการพิจารณาความจริงขึ้นมา      เพื่อเป็นเกณฑ์ตัดสินความจริงในประเด็นที่น่าสงสัย           เช่น ประเด็นเรื่องพระพรหมลง โทษมนุษย์    สาเหตุการผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ    เป็นต้น     

          ๒.๑. การสั่งสมความรู้ของมนุษย์   ความรู้ถูกสั่งสมไว้ในจิตใจของมนุษย์โดยธรรมชาติผ่านการศึกษา  การวิจัย  ประสบการณ์ชีวิต และทักษะการปฏิบัติที่ได้มาจากการฟัง  การคิดหรือการกระทำ จะได้เห็นว่า ความรู้ดั้งเดิมของมนุษจำกัดการรับรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้า มีเพียงพราหมณ์เท่านั้นที่สามารถประกอบพิธีกรรมบูชายัญ  เพื่อสื่อสารกับเทพเจ้าผ่านพิธีกรรมบูชายัญได้    เนื่องจากกฎหมายวรรณะตามจารีตประเพณีได้กำหนดสภาพบังคับไว้ กล่าวคือ ห้ามมิให้ประชาชนทุกวรรณะสมสู่กับคนต่างวรรณะ หรือปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น    

         แม้ว่าเจ้าชายสิทธัตถะจะประสูติในวรรณะกษัตริย์และมีสิทธิและหน้าที่ปกครองอาณาจักรสักกะภายใต้กฎหมายวรรณะ แต่พระองค์ก็ทรงไม่สามารถประกอบพิธีกรรมบูชายัญได้ หากพระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะบูชายัญเทพเจ้าพร้อมกับของมีค่าด้วยพระองค์เอง พระองค์ก็จะทรงกระทำผิดฐานละเมิดคำสอนของศาสนา  และกฎหมายวรรณะตามจารีตประเพณีอย่างร้ายแรง ในข้อหาฐานปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่นโดยมิชอบ  ดังนั้น พระองค์ก็จะทรงถูกพระพรหมลงโทษด้วยโดยให้สังคมขับไล่พระองค์ออกจากชุมชนตลอดชีวิต กลายเป็นจัณฑาลต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนไปตลอดชีวิต   

           ด้วยเหตุนี้     พระองค์จึงทรงผนวชเป็นพระโพธิสัตว์สิทธัตถะเพื่อแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้  พระองค์ทรงได้ศึกษา และปฏิบัติธรรมหลายรูปแบบมาเป็นเวลาหลายปี        จนกระทั่ง พระองค์ทรงค้นพบอริยมรรคมีองค์ ๘ และปฏิบัติธรรมจนตรัสรู้ความจริงขั้นปรมัตถ์ ซึ่งเป็นความรู้ในระดับอภิญญาทั้ง ๖  และพระองค์ทรงเห็นความจริงของชีวิตมนุษย์ มนุษย์ทุกคนมีดวงวิญญาณเป็นของตนเอง เมื่อทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย  ดวงวิญญาณก็จะออกจากร่างไปเกิดในภพภูมิอื่น  เช่น สวรรค์  นรก   กลับมาเกิดในโลกมนุษย์  เป็นต้น  เมื่อกลับมาเกิดในภพภูมิมนุษย์  วิญญาณก็จะปฏิสนธิในครรภ์มารดา  หลังจากตั้งครรภ์ได้ ๙ เดือน มารดาก็ให้กำเนิดทารก มีสภาพบุคคลตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  เป็นต้น

                ๒.๒.วิธีการแสวงหาความรู้ของนักปรัชญา  

                    โดยทั่วไปแล้ว  มนุษย์ตามคำสอนเรื่อง "ขันธ์ห้า" ของพระพุทธเจ้านั้น  ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ  จิตใจของมนุษย์ใช้อายตนะภายในรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวมนุษย์ในขอบเขตที่จำกัด  ยิ่งไปกว่านั้น  จิตใจมนุษย์ยังมีแนวโน้มที่จะอคติต่อผู้อื่นโดยแสดงความคิดเห็นเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง    เมื่อมีข้อสงสัยกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มักจะยืนยันข้อเท็จจริงด้วยความเท็จแม้ว่าตนเองจะไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมไว้ในจิตใจของตนเองก็ตาม เช่น  การฆาตกรรม  ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ความผิดฐานละเมิดต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น   เป็นต้น  

                 แม้ว่าอภิปรัชญาจะเป็นสาขาหนึ่งปรัชญา  แต่หน้าที่ของปรัชญาคือศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความจริงของชีวิต   โลก ธรรมชาติและการดำรงอยู่ของเทพเจ้า โดยการอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากประสบการณ์ชีวิตของตนเอง   โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาใช้ เพื่ออธิบายความจริงเกี่ยวกับความจริงของคำตอบของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง          จนกระทั่งเชื่ออย่างมั่นใจว่าเป็นความจริง  แต่ข้อเท็จจริงที่ได้ยินมาเกี่ยวกับเทพเจ้านั้นป็นความรู้ที่อยู่เหนือการรับรู้ของมนุษย์    การค้นพบนี้เกิดขึ้นได้จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานจากคำให้การของพราหมณ์นิกายต่าง ๆ เป็นข้อมูลสำหรับวิเคราะห์โดยการอนุมานหรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริง   โดยใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องมนุษย์และเทพเจ้าก็ตาม แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามพราหมณ์ปุโรหิตถึงประวัติความเป็นมาของเทพเจ้านั้น ไม่มีใครตอบพระองค์ได้แสดงว่าพยานบุคคลเหล่านี้ ไม่มีความรู้เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพจริง จึงไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบประวัติความเป็นมาของเทพเจ้าได้ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยการมีอยู่ของเทพเจ้า จึงเป็นหน้าที่ของญาณวิทยาที่จะต้องหาคำตอบในเรื่องนี้โดยธรรมชาติแล้ว  

         ญาณวิทยาจะต้องศึกษาและตรวจสอบต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ โครงสร้างความรู้ของมนุษย์   วิธิการของมนุษย์ในการแสวงหาความรู้  ความรู้ที่สมเหตุสมผลของมนุษย์     ดังนั้นญาณวิทยาจึงมีหน้าที่ตอบคำถามที่มนุษย์สงสัยว่า"เราจะรู้ความจริงได้อย่างไร?" ในปัญหาดังกล่าวนักปรัชญาเช่น  เจ้าชายสิทธัตถะ,   พระโคตมะพุทธเจ้า, เรอเน เดการ์ตส์  ได้ศึกษาการมาของความรู้ที่ถูกต้องคืออะไร? โดยการสร้างกระบวนการพิจารณาความจริง ขึ้นมาอยู่ในขอบเขตของญาณวิทยาทั้งหมด ๔  วิธีด้วยกันคือ   

           ๓.๑  วิธีแสวงหาความรู้จากความเชื่อของพราหมณ์      เมื่อผู้เขียนพิจารณาข้อเท็จริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ  ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า  เมื่อชาวอนุทวีปเชื่อตามคำสอนของพราหมณ์อารยันในเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าอย่างมั่นใจ มีพราหมณ์บางพวกสร้างทฤษฎีกำเนิดของโลกตามลัทธิอาจารย์ของตน เป็นการเชื่้อข้อเท็จจริงเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าโดยปริยายว่าเป็นความจริง


ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ