The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559

ปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับสาเหตุการผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ(ตอน๓)

๒.โครงสร้างความรู้ของมนุษย์      เราสามารถแยกองค์ประกอบความรู้เพื่อพิจารณาดังนี้           

๑. มนุษย์                                        
๒.กระบวนการพิจารณาความจริงทางญาณวิทยา                              
๓.ความรู้สิ่งที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์

       ๒.๑.มนุษย์ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ด้วยญาณทิพย์ ซึ่งเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป   พระองค์ทรงเห็นดวงวิญญาณออกจากร่างของผู้ตาย ไปเกิดในภพภูมิอื่น    พระองค์เห็นดวงวิญญาณที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา    เจริญเติบโตเป็นทารกในครรภ์เป็นเวลา ๙ เดือนแล้ว แล้วจึงเกิดเป็นมนุษย์ฺ มีสิทธิตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย  สิ่งนี้ทำให้เราตระหนักรู้ว่าชีวิตของเราประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ และทั้งสองไม่อาจขาดได้     จิตใจของมนุษย์อาศัยร่างกายในการรับรู้เหตุการณ์และจัดเก็บเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นข้อมูลทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีลักษณะเป็นเพียงการรับรู้และเก็บเหตุการณ์ต่าง ๆ  ไว้เป็นข้อมูลทางอารมณ์เท่านั้น  แต่ยังเป็นธรรมชาติชีวิตของนักคิดด้วย เมื่อมนุษย์รับรู้สิ่งใด พวกเขาก็จะพิจารณาถึงสิ่งนั้น  โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงจากสิ่งที่ได้ยิน โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้เพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนั้น  

              เมื่อธรรมชาติของชีวิตมนุษย์มีอาตนะภายในมีข้อจำกัดในการรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต และมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่นเรื่องจากความไม่รู้ของตนเอง   ทำให้ชีวิตพวกเขาตกอยู่ในความมืดมน  ส่งผลให้ชีวิตมนุษย์ขาดปัญญาเข้าใจความจริงที่สมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ ดังนั้น ในสมัยพุทธกาล  พราหมณ์ในอนุทวีปอินเดีย ซึ่งเป็น "นักตรรกะ และนักปรัชญา"   มักแสดงความคิดเห็นตามหลักเหตุผล และคาดคะเนความจริงเกี่ยวกับความจริงของเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม  แต่การใช้เหตุผลของ  นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา อธิบายความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์     บางครั้งอาจใช้เหตุผลอย่างถูกต้องบางครั้งอาจใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง  บางครั้งอาจใช้เหตุผลในลักษณะนี้บ้าง หรือบางครั้งอาจใช้เหตุผลในลักษณะนั้น  เมื่อการใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะหรือพระพุทธเจ้า ได้ยินความคิดเห็นของนักตรรกะและนักปรัชญาอธิบายความจริงอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน  ย่อมไม่เชื่อเหตุผลของคำตอบของเรื่องนั้นว่าเป็นความจริง  

            ดังนั้น เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นนักตรรกะและนักปรัชญา และเป็นสัตว์ที่มีเหตุผลในการอธิบายความจริงของเรื่องราวต่าง ๆ    เช่น ชีวิตมนุษย์  โลก  จักรวาล  ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และข้อพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น   อย่างไรก็ตาม เมื่อนักตรรกะและนักปรัชญา มีลักษณะของอายตนะภายในที่มีข้อจำกัดในการรับรู้และมักมีอคติต่อผู้อื่น ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน  ส่งผลให้พวกเขาขาดปัญญาที่เข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์  พวกเขาจึงไม่รู้เหตุผลของคำตอบของใครถูกต้อง   หรือเหตุผลของคำตอบใครอธิบายอย่างไม่ถูกต้อง   หรือมีเหตุผลคลุมเครือและไม่ขัดเจนเนื่องจากอธิบายความจริงในลักษณะนี้บ้าง หรืออธิบายความจริงในลักษณะนั้นบ้าง     

          เมื่อข้อเท็จจริงของคำตอบให้กับสังคมมนุษย์ไม่ชัดเจนโดยเฉพาะเรื่องพระพรหมลงโทษที่เรียกว่า "พระพรหมลงพรหมทัณฑ์แก่มนุษย์" ตามคำสั่งสอนพราหมณ์อารยัน    เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้รับการศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาวิชา  พระองค์ทรงได้ยินเรื่องราวของพระพรหมลงโทษชาวสักกะในข้อหาร่วมประเวณีกับคนต่างวรรณะและปฏิบัติหน้าที่ในวรรณะอื่น  ๆ    แล้ว     พระองค์ทรงไม่ถือทันทีว่าเป็นความจริง  พระองค์ทรงสงสัยความจริงในเรื่องนี้ ไว้ก่อน    พระองค์ทรงสร้างวิธีพิจารณาความจริงของในเรื่องนี้     โดยเริ่มต้นศึกษาที่มาความรู้ของเรื่องพระพรหมลงโทษชาวสักกะ     องค์ประกอบของความรู้ของเรื่องการลงพรหหมทัณ์     วิธีพิจารณาความจริงเรื่องพระพรหมลงโทษชาวสักกะ    และความสมเหตุสมผลของความรู้เรื่องพระพรหมลงพรหมทัณฑ์ชาวสักกะ เป็นต้น     

๒.กระบวนการพิจารณาความจริง    

         โดยทั่วไป  เมื่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์นั้น  เป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติ  หรือข้อเท็จจริงที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้อื่น โดยธรรมชาติแล้ว  มนุษย์มีความสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต  มนุษย์จำเป็นต้องแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป      โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานมาวิเคราะห์หาเหตุผลโดยการอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ   เพื่ออธิบายความจริงจองคำตอบในเรื่องนั้นว่าจริงหรือเท็จ  เป็นต้น 

          ๒.๓. การสั่งสมความรู้ของมนุษย์  โดยธรรมชาติแล้ว   ความรู้คือสิ่งที่ส่งสมอยู่ในจิตของมนุษย์   ผ่านการศึกษา  วิจัยหรือประสบการณ์ชีวิต รวมทั้งความสามารถในทางปฏิบัติด้วย    สิ่งที่ได้รับจากการฟัง  การคิดหรือการกระทำ   เป็นต้น       เราจะได้เห็นว่าความรู้ดั้งเดิมของมนุษย์ในศาสนาพราหมณ์นั้น   มนุษย์ถูกจำกัดในการรับรู้ถึงการมีอยู่ของเทพเจ้า เว้นแต่วรรณะพราหมณ์เท่านั้น   ที่สามารถทำพิธีกรรมติดต่อเทพเจ้าได้ผ่านพิธีกรรมบูชายัญ เพราะเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ ที่ห้ามทุกวรรณะปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น  ด้วยเหตุนี้พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยเสด็จออกผนวช  แสวงหาความรู้ในเรื่องนี้     ทรงศึกษาและปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่าง ๆ มานานหลายปี จนกระทั่ง    พระองค์ทรงได้ค้นพบวิธีปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ จนบรรลุธรรมเป็นความรู้ในระดับอภิญญา ๖  และพระองค์ทรงเห็นความจริงของชีวิตมนุษย์   คือมนุษย์ทุกคนมีดวงวิญญาณเป็นของตนเอง เมื่อมนุษย์เกิดมาก็ต้องตายกันทุกคน  ดวงวิญญาณก็จะออกจากร่างไปเกิดในภพภูมิอื่น  เช่น โลกสวรรค์  หรือทุคติ  อบาย นรก   เป็นต้น  เมื่อกลับมาเกิดในโลกมนุษย์  ดวงวิญญาณก็จะมาปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดา  มารดาตั้งครรภ์เป็นเวลา ๙ เดือน ก็คลอดออกมาเป็นทารก มีสภาพบุคคลตามกฎหมาย  เป็นต้น

๓.วิธีการแสวงหาความรู้ของนักปรัชญา  

                    โดยทั่วไป มนุษย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่องขันธ์  ๕ ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ   ลักษณะของมนุษย์ มีร่างกายส่วนอวัยวะอินทรีย์ทั้งหก ส่วนมีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบตัวมนุษย์     และจิตของมนุษย์เป็นคนแก่ตัวมักจะมีอคติต่อผู้อื่น   เมื่อมีกรณีสงสัยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  มักจะให้การยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยความเท็จก็ได้  ทั้งที่ตนเองไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตใจของตนเอง  เช่น  การฆาตกรรม  ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ความผิดฐานละเมิดต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น   เป็นต้น  แม้ว่าอภิปรัชญาเป็นสาขาหนึ่งปรัชญา  มีหน้าที่ศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับชีวิต   โลก ธรรมชาติและการมีอยู่ของเทพเจ้า โดยการอนุมานความรู้จากประสบการณ์ชีวิตของตนเอง เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงเกี่ยวกับความจริงของคำตอบจนเกิดความเชื่ออย่างมั่นใจว่าเป็นความจริงก็ตาม  แต่ข้อเท็จจริงที่ได้ยินมาเกี่ยวกับเทพเจ้านั้น  เป็นความรู้เหนือประสาทสัมผัสของมนุษย์โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานจากพราหมณ์นิกายต่าง ๆ มาวิเคราะห์โดยการอนุมานจากประสบการณ์ทางศาสนาพราหมณ์ เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องมนุษย์และเทพเจ้าก็ตาม แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามพราหมณ์ปุโรหิตถึงประวัติความเป็นมาของเทพเจ้านั้น ไม่มีใครตอบพระองค์ได้แสดงว่าพยานบุคคลเหล่านี้           ืไม่มีความรู้เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพจริง จึงไม่สามารถตอบประวัติความเป็นมาของเทพเจ้าได้ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยการมีอยู่ของเทพเจ้า จึงเป็นหน้าที่ของญาณวิทยาที่จะต้องหาคำตอบในเรื่องนี้โดยธรรมชาติแล้ว  ญาณวิทยาจะต้องศึกษาและตรวจสอบต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ โครงสร้างความรู้ของมนุษย์   วิธิการของมนุษย์ในการแสวงหาความรู้  ความรู้ที่สมเหตุสมผลของมนุษย์  ดังนั้นญาณวิทยาจึงมีหน้าที่  ตอบคำถามที่มนุษย์สงสัยว่า"เราจะรู้ความจริงได้อย่างไร?" ในปัญหาดังกล่าวนักปรัชญาเช่น  เจ้าชายสิทธัตถะ,   พระโคตมะพุทธเจ้า, เรอเน เดการ์ตส์  ได้ศึกษาการมาของความรู้ที่ถูกต้องคืออะไร? โดยการสร้างกระบวนการพิจารณาความจริง ขึ้นมาอยู่ในขอบเขตของญาณวิทยาทั้งหมด ๔  วิธีด้วยกันคือ   

           ๓.๑  วิธีแสวงหาความรู้จากความเชื่อของพราหมณ์      เมื่อผู้เขียนพิจารณาข้อเท็จริงจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ  ได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า  เมื่อชาวอนุทวีปเชื่อตามคำสอนของพราหมณ์อารยันในเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าอย่างมั่นใจ มีพราหมณ์บางพวกสร้างทฤษฎีกำเนิดของโลกตามลัทธิอาจารย์ของตน เป็นการเชื่้อข้อเท็จจริงเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้าโดยปริยายว่าเป็นความจริง


ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ