The Meaning of beauty in Lumbini Garden, the birthplace of Buddha
ปรัชญาโดยทั่วไป คือความรู้ของกลุ่มคนที่เรียกว่า"นักปรัชญา" เมื่อนักปรัชญาได้ยินข้อเท็จจริงจากเรื่องราวใดเรื่องหนึ่ง พวกเขาจะรวบรวมข้อเท็จจริงเหล่านั้น เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ และใช้หลักฐานนั้นเป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ พวกเขาอนุมานความรู้ด้วยเหตุผลหรือคาดคะเนความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องราวนั้น โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา เพื่ออธิบายความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต
เมื่อนักตรรกวิทยาและนักปรัชญา มีอายตนะภายในที่มีความสามารถในการรับรู้ได้อย่างจำกัดและมีอคติต่อผู้อื่น ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน และขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อนักปรัชญาและนักตรรกวิทยาใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของพวกเขา เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลอย่างไม่ถูกต้อง บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผล เพื่ออธิบายเรื่องราวในลักษณะนี้ และบางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลในการอธิบายเรื่องนั้นได้ในลักษณะอย่างนั้น เมื่อการใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ยินความคิดเห็นของนักตรรกะศาสตร์และนักปรัชญา พระองค์ก็ทรงเกิดความสงสัยว่าเหตุผลของใครถูกต้อง และของใครไม่ถูกต้อง พระองค์ทรงคิดค้นกระบวนการในพิสูจน์ความจริง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล
ในปัจจุบัน นักปรัชญาตะวันตกแบ่งปรัชญาออกเป็นหลายสาขา เช่น อภิปรัชญา จริยศาสตร์ สุนทรียศาสตร์ ญาณวิทยาและตรรกศาสตร์ เป็นต้น นักปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาเรื่องความจริงของความงามและวิธีที่เรารู้ได้ว่าความงามนั้นมีอยู่จริง ดังนั้น นักปรัชญาจึงสนใจศึกษาต้นกำเนิดความงามของมนุษย์และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ องค์ประกอบของความงามของมนุษย์ วิธีพิจารณาความงามของมนุษย์ และความสมเหตุสมผลของความงามของมนุษย์ เป็นต้น ซึ่งเราสามารถอธิบายความงามในสวนลุมพินีสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า
๒.๑ ต้นกำเนิดแห่งความรู้เกี่ยวกับความงามของสรรพสิ่งเกิดขึ้น เมื่อจิตใจมนุษย์ใช้อายตนะภายในรับรู้ถึงอารมณ์ของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และสิ่งที่สร้างขึ้นจากจินตนาการของตนเอง ย่อมเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายใน และการรวบรวมเรื่องราวเหล่านี้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ มิใช่เพียงการรับรู้และการเก็บหลักฐานทางอารมณ์เท่านั้น แต่ยังมีธรรมชาติของนักคิด โดยวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์เหล่านั้น เพื่อพิจารณาว่าเป็นจริงหรือไม่ หากผลของการคิด คือ อารมณ์แห่งความสุข เมื่อความสุขเกิดขึ้นในจิตใจ ก็เกิดความพึงพอใจและความปิติยินดี เขาก็จะยึดติดกับอารมณ์เหล่านั้นและปรารถนาที่จะดื่มด่ำกับมันตลอดไป เขาไม่ต้องการให้อารมณ์เหล่านั้นหายไป เขาจึงหาวิธีคิดที่จะยึดติดกับมัน เป็นต้น
๒.๒วิธีการแสวงหาความรู้ทางสุนทรียะ
เมื่ออารมณ์และความรู้สึกในเรื่องราวต่าง ๆ ถูกถ่ายทอดผ่านอายตนะภายในร่างกายทุกวัน เมื่อมนุษย์เกิดมาโดยไม่รู้ตัวว่าชีวิตของตนมีดวงวิญญาณที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตมนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้และมีอคติต่อผู้อื่นอันเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ส่งผลให้ชีวิตเต็มไปด้วยความมืดมน ดังนั้น มนุษย์จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขาดำเนินบทบาทต่าง ๆ เช่น พราหมณ์บางท่านเป็นนักตรรกวิทยาและนักปรัชญา พวกเขาจะแสดงความคิดเห็นของตนเอง และคาดคะเนความจริงของเรื่องต่าง ๆ โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นักปรัชญาใช้ในการอธิบายความจริงของเรื่องต่าง ๆ เช่น ความงดงามของสวนลุมพินี สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า บางคนใช้เหตุผลถูกต้อง บางคนใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง บางคนใช้เหตุผลในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น เมื่อเหตุผลยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน วิญญูชนได้ยินความคิดเห็นคลุมเครือและไม่ชัดเจน ย่อมไม่เชื่อว่าเป็นความจริง เป็นต้น
เมื่อมนุษย์มีข้อจำกัดในการรับรู้ของอายตนะภายในของร่างกายตนเอง พระพุทธเจ้าทรงกำหนดกระบวนการพิจารณาความจริงขึ้นมาช่วยให้บรรลุความจริงในเรื่องต่างๆ โดยเริ่มต้นกระบวนการพิจารณาจากความสงสัยของมนุษย์นั้น เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ที่เรารับรู้ผ่านประสาทสัมผัสเข้ามาในชีวิตของเรา อาจจะเป็นเหตุการณ์ตามธรรมชาติหรือเหตุการณ์ตามธรรมชาติของแรงโน้มถ่วงระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ หรือ วิธีที่มนุษย์จะวิเคราะห์ข้อมูลทางอารมณ์อยู่ในจิตใจของตัวเอง ที่ได้รับมาแสวงบุญที่สวนลุมพินีสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่เนปาล เพื่อหาเหตุผลของคำตอบเกี่ยวกับความงามอันรื่นรมย์ของสวนป่าลุมพินีนั้น
ผู้เขียนจำเป็นต้องศึกษาความหมายคำว่า "รื่นรมย์" จากที่มาของความรู้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้นิยามคำว่า "รื่นรมย์" มีความหมายว่า "สบายใจ, บันเทิง" คำว่า "บันเทิง" แปลว่า เบิกบาน คำว่า "รื่นรมย์" ความรู้สึกเป็นสุข เป็นอาการของจิตของเราเกิดสภาวะปิติและความสุข กล่าวคือเมื่อชีวิตเราได้ผัสสะสวนป่าลุมพินีโดยเรารับรู้ผ่านอินทรีย์ ๖ ของเรา จิตผู้นั้นย่อมรู้สึกเป็นไปในทางเบิกบานเกิดขึ้นในจิตใจของตนเอง เป็นต้น ในอดีต สวนลุมพินีตั้งอยู่ในดินแดนของรัฐสักกะเต็มไปด้วยป่าสาละขนาดใหญ่มีธารน้ำใต้ดินที่เกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติไหลลงจากป่าฝนชื่นอันน่ารื่นรมย์ในเทือกเขาหิมาลัย และธารน้ำใต้ดินพุ่งขึ้นมา เป็นสองสายทั้งน้ำพุร้อนและน้ำพุเย็นไหลลงสู่สระโบกขรณีให้ผู้คนได้ดื่มกิน และอาบน้ำให้หายเหนื่อยล้า จากการเดินทางจนกลายเป็นจุดพักของนักเดินทางไกล เพื่อให้หายจากความเหนื่อยล้าและเดินทางต่อไป เป็นสถานที่ประสูติของพระศากยมุนีพระโพธิสัตว์จากพระครรภ์ของพระนางมายาเทวีพระนางมายาเทวีทรงเห็นควรเสด็จไปสู่เมืองเทวทหะเพื่อประสูติกาลพระโอรส จึงทรงตัดสินพระทัยเสด็จกลับเมืองเทวทหะเมืองหลวงของอาณาจักรโกลิยะ หลังจากเสด็จมาเป็นระยะทาง ๔๕ กิโลเมตรและ ใช้เวลาประมาณ ๙ ชั่วโมง คณะของพระนางมายาเทวก็เดินทางมาถึงสวนป่าลุมพินี เพื่อทรงพักผ่อนพระอิริยาบทและพระวรกายทรงหายจากเหนื่อยล้าจากการเดินทางนั้น
พระนางมายาเทวีจึงทรงประสูติกาลเจ้าชายสิทธัตถะใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีซึ่งเป็นสวนป่าตั้งอยู่ในหมู่บ้านลุมพินีในอาณาจักรสักกะโดยเจ้าชายแห่งราชวงศ์ศาากยะทั้งหลายทรงเป็นเจ้าของสวนลุมพินีแห่งนี้ เมื่อผู้เขียนตรวจสอบข้อเท็จจริงจากพยานเอกสารดิจิทัลคือแผนที่โลกกูเกิล (Google Map) แล้ว มีการระบุสถานที่ตั้งของMaya Divi temple ตั้งอยู่ในสวนลุมพินีห่างจากแม่น้ำโรหินี ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างแคว้นสักกะกับแคว้นโกลิยะ เมื่อศึกษาแล้วประมาณ ๓๗. ๙ กิโลเมตรและจากแม่น้ำโรหินีไปสู่เมืองรามคาม Ramkham อันเป็นสถานที่ตั้งของเมืองเทวทหะนั้นประมาณ ๑๘.๙ กิโลเมตร
สวนลุมพินี ในสมัยก่อนพุทธกาลเป็นสถานที่หยุดแวะพักผ่อนของผู้เดินทางไกลใช้เป็นเส้นทางสัญจรไปมา ระหว่างพระนครกบิลพัสดุ์แคว้นสักกะกับพระนครเทวทหะแห่งแคว้นโกลิยะลักษณะเด่นของสวนลุมพินีเป็นพื้นที่ราบลุ่ม และมีป่าสาละขนาดใหญที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ต้นสาละยืนต้นสูงตระหง่านให้ร่มเงาแก่ผู้คน ไม่ว่าจะเป็นขบวนเกวียนขนส่งสินค้าไปต่างประเทศ หรือระหว่างรัฐและภูมิภาค ที่เหน็ตเหนื่อย จากการเดินทางไกลเพื่อหลบร้อนและผ่อนคลายความเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่เร่งรีบ เมื่อหยุดพักและนอนหลับจนถึงอาทิตย์ตกในยามบ่าย แสงอาทิตย์ก็ส่องแสงจ้าและแรงขึ้น เมื่อร่างกายไม่เหนื่อยล้าอีกต่อไป ชีวิตของนักเดินทางไปกลก็เริ่มต้นเดินทางต่อเพื่อไปถึงจุดหมายที่ตั้งไว้
นอกจากนี้ สวนลุมพินียังมีธารน้ำพุใต้ดิน ๒ สาย คือธารน้ำพุร้อนและธารน้ำพุเย็นที่ไหลขึ้นสู่ท้องฟ้าตลอดเวลา ให้ผู้เดินทางไกล พ่อค้าแม่ค้า นักเดินทางไกลเพื่อไปแสวงโชคได้หยุดเพื่อพักผ่อนถูกใช้เป็นสถานที่อาบน้ำร้อน ชำระล้างสิ่งสกปรกบนร่างกายระหว่างการเดินทางไกลทำให้ร่างกายสะอาด จิตใจปลอดโปร่ง และดื่มน้ำเย็นจากธารน้ำเย็น เพื่อคลายความกระหายและความเหนื่อยล้าจากการขาดน้ำได้เป็นอย่างดี ถนนระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะจึงเป็นเส้นคมนาคมระหว่างเมืองต่าง ๆ ในปัจจุบัน สวนลุมพินีตั้งอยู่ในจังหวัดหมายเลข ๕ ซึ่งเป็น ๑ ใน ๗จังหวัดของประเทศเนปาล ซึ่งก่อตั้งขึ้นรัฐธรรมนูญใหม่ของประเทศเนปาล เพื่อเป็นเมืองหลวงชั่วคราวของจังหวัดหมายเลข ๕
สวนลุมพินีเป็นสถานอันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของพระพุทธศาสนาทุกนิกาย เพราะเป็นสถานที่แสวงบุญที่พระพุทธเจ้าศากยมุนีทรงอนุญาตให้ชาวพุทธทั่วโลก เดินทางมาสักการะบูชาพระพุทธเจ้าสักครั้งในชีวิต เพื่อพัฒนาศักยภาพทางจิตวิญญาณของพวกเขาให้บรรลุความรู้ และความจริงของกฎธรรมชาติในชีวิตมนุษย์ เพื่อที่ทุกคนจะได้ไปเกิดโลกสวรรค์ สวนลุมพินีมีความสำคัญต่อชีวิตของผู้เขียนมาก เพราะสถานที่ปฏิบัติบูชาแห่งนี้ ได้หล่อหลอมให้ผู้เขียนมีความศรัทธาอันแรงกล้าที่จะศึกษาพระพุทธศาสนาบรรลุถึงจิตวิญญาณแห่งความภาคภูมิใจในการเกิดเป็นพุทธศาสนิกชน ได้ปฏิบัติบูชาตามหลักสากลที่ผู้คนทั่วโลกที่ได้ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกอย่างถ่องแท้ พวกเขาสามารถปฏิบัติบูชาตามมรรคมีองค์ ๘ และได้รับผลเช่นเดียวกับการปฏิบัติบูชาทั่วโลก กล่าวคือความรู้แจ้ง เกิดความปิติ มีความสุข มีความสงบในชีวิต
เมื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับต้นกำเนิดของความรู้ในสวนลุมพินี พบว่าเป็น ๑ ใน ๔ ของสังเวชนียสถานที่พระพุทธเจ้าศากยมุนีทรงกล่าวไว้ในพระไตร ปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ ทีฆนิกายมหาวรรค ๓. มหาปรินิพพานสูตรว่าด้วยปัญหาของพระอานนท์ ข้อ [๒๐๒] พระอานนท์กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อนภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาในทิศทั้งหลายมาเฝ้าตถาคต ข้าพระองค์ทั้งหลายย่อมได้พบย่อมได้ใกล้ชิด ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นที่เจริญใจ ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จล่วงลับไป ข้าแต่พระองค์ทั้งหลายจะไม่ได้พบ ไม่ได้ใกล้ชิด ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นที่เจริญใจอีก"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "อานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่งนี้ เป็นสถานที่ (เป็นศูนย์รวม) ที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาควรไปดู สังเวชนียสถาน ๔ แห่งอะไรบ้างคือ๑. สังเวชนียสถานที่กุลบุตรผู้มีศรัทธาควรไปดูด้วยระลึกว่า"ตถาคตประสูติในที่นี้"
...อานนท์ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งจาริกไปยังเจดีย์จักมีจิตเลื่อมใส ตายไปชนเหล่านั้นทั้งหมดหลังจากตายแล้ว จะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษา "สังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง" ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณลงกรณราชวิทยาลัย ที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ผู้เขียนได้วิเคราะห์พยานหลักฐาน คือพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ โดยอนุมาณความรู้หรือคาดคะเนความจริงเพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงเรื่องนี้ได้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าศากยมุนีตรัสไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่าเมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว ภิกษุทั้ง ๔ ทิศจะไม่มีโอกาสได้พบ พระพุทธเจ้าเพื่อการสนทนาธรรมอย่างใกล้ชิด จนจิตจะมีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติจนกระทั่งบรรลุธรรม จนเบิกบานใจเหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ เมื่อเราระลึกถึงเรื่องนี้ เราควรพิจารณาการปฏิบัติต่อไปอย่างไรกัน พระพุทธเจ้าศากยมุนีตรัสไว้อย่างชัดเจนว่าพระภิกษุผู้ที่เกิดในยุคหลัง ควรเดินทางไปแสวงบุญยังสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่งที่ควรไปเยี่ยมชม คือ สถานประสูติ ณ สวนลุมพีนี การเดินทางไปยังสถานที่ประสูตินั้น ด้วยศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและระลึกถึงคำสอนที่พระองค์ทรงค้นพบว่า ชีวิตมนุษย์ทุกชีวิตมีจิตวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริง เมื่อชีวิตเกิดมาแล้วก็ต้องตาย แต่ความตายมิได้ทำให้ชีวิตสูญสิ้น ยังมีวิญญาณออกจากร่างเหมือนท่อนไม้นั้นไปเกิดในภพภูมิอื่น ส่วนภพภูมิใดที่วิญญาณจะไปนั้น ขึ้นอยู่กับการกระทำของท่านเองว่า หากคุณค่าของการกระทำนั้นคือกรรมชั่ว วิญญาณของผู้นั้นจะไปเกิดในทุคติภูมิ กรรมนั้นเป็นกรรมดี จิตวิญญาณของผู้นั้น จะไปเกิดในภพภูมิอบายภูมิ เป็นต้น เมื่อพระนางมายาเทวีและคณะทรงแวะที่สวนลุมพินีระหว่างทางเสด็จกลับสู่พระนครเทวทหะ ราว ๘๐ ปีก่อนพุทธศักราช และพระองค์ประสูติพระโอรสคือเจ้าชายสิทธัตถะที่สวนลุมพินีแห่งนี้ ก็เพราะตามประเพณีและวัฒนธรรมโบราณที่ปฏิบัติกันมาเป็นเวลานานแล้ว สตรีในชมพูทวีปไม่ควรแยกจากครอบครัวของตน พระนางมายาเทวีก็เช่นกันเมื่อพระองค์ทรงครรภ์อยู่หลายเดือน พระองค์ทรงระลึกถึงข้อนี้ว่าตามธรรมเนียมของราชวงศ์ศากยะและโกลิยะที่ปฏิบัติกันมาช้านาน เมื่อพระองค์จะประสูติกาลพระราชโอรสและพระราชธิดานั้น พระมารดาทรงไม่ควรแยกจากการดูแลเอาใจใส่จากบุคคลในครอบครัวฝ่ายพระมารดาของพระองค์เอง เมื่อทรงระลึกถึงเหตุผลของคำตอบนี้ พระนางมาเทวีเสด็จกลับพระนครโกลิยะ




ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น