A Dialectical Approach to the Search for Knowledge on the Patronage of Buddhism
วิธีการนี้เกี่ยวข้องกับการแสวงหาความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยการถามคำถาม ชักนำให้อีกฝ่ายหนึ่งตั้งคำถามในเรื่องนั้น โดยถามว่า จะยอมรับหรือปฏิเสขข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น ยกตัวอย่างเช่น เจ้าชายสิทัตถะตรัสถามว่า ภัคควะ มีสมณพราหมณ์บางพวกที่ประกาศทฤษฎีว่ากำเนิดของโลกตามลัทธิอาจารย์ว่า พระอิศวรและพระพรหมเป็นผู้สร้าง เราจึงเข้าใจได้ดังนี้ว่า "เรารู้ว่าท่านทั้งหลาย ตั้งทฤษฎีกำเนิดของโลก ตามคำสอนของครูบาอาจารย์ว่าเป็นความจริงหรือไม่ที่ พระอิศวรเป็นผู้สร้างหรือ พระพรหมเป็นผู้สร้าง เมื่อเราถามสมณและพราหมณ์เหล่านั้นปัญหาข้อนี้ พวกเขาก็ยืนยันว่าเป็นความจริง เราจึงถามต่อไปว่า พวกท่านกล่าวอ้างทฤษฎีที่ว่าต้นกำเนิดของโลก ตามคำสอนของครูบาอาจารย์ว่า พระอิศวรและพระพรหมมีต้นกำเนิดอย่างไร ? เป็นต้น สมณและพราหมณ์เหล่านี้ถูกเราถามปัญหานี้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถตอบได้
ตามบทสนทนาระหว่าเจ้าชายสิทธัตถะกับภัควะพราหมณ์นั้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามภควะพราหมณ์ในข้อเท็จจริงที่ว่า สมณพราหมณ์บางพวกประกาศทฤษฎีว่า ต้นกำเนิดของโลกตามคำสอนของศาสดาว่า พระอิศวรเป็นผู้สร้าง พระพรหมเป็นผู้สร้างโลก ในลักษณะตั้งคำถามนำ ที่จะทำให้พวกเขายอมรับความจริงหรือปฏิเสขความจริงในเรื่องนี้ เมื่อสมณพราหมณ์ยอมรับความจริงแล้ว พระองค์ตรัสถามต่อไปอีกว่า พระอิศวรเป็นผู้สร้าง พระพรหมเป็นผู้สร้าง พระองค์เกิดขึ้นได้อย่างไร ? เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงซักถามสมณพราหมณ์เหล่านั้นเช่นนี้ ไม่มีใครตอบคำถามของพระองค์ได้ว่าพระพรหมและอิศวรเกิดขึ้นอย่างไร ? เป็นต้น
เป็นวิธีการแสวงหาความรู้ในรูปแบบของคำถามและคำตอบเชิงปฏิเสข ซึ่งในตอนแรกยอมรับข้อเท็จจริงที่อ้างว่า พระพรหมและพระอิศวร เป็นผู้สร้างโลกจริง แต่ไม่ทราบว่าเทพเจ้าเหล่านั้นมีความเป็นมาอย่างไร ? ข้อเท็จจริงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่มีความรู้จากประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมอยู่ในจิตของตัวเอง ข้อเท็จจริงที่เขานำมาให้การยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แสดงว่าเป็นความรู้ที่ได้ยิน ได้ฟังมา อ่านจากคัมภีร์ใดคันภีร์หนึ่ง มิใช่จากการปฏิบัติบูชายัญโดยตรง เมื่อคำให้การของพวกเขาจึงขาดความน่าเชื่อถือไม่อาจรับฟัง เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงสงสัยในการมีอยู่ของพระพรหมและพระอิศวร เป็นต้น ทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยเสด็จออกผนวช เพื่อแสวงความจริงในเรื่องการมีอยู่ของเทพเจ้า
ปัญหาคือว่าเราจะรู้ได้อย่างไรการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสารเกิดขึ้นจริง ?
เมื่อจิตใจของมนุษย์อาศัยอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ นั้น มีข้อจำกัดในการรับรู้ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นเมื่อ๒,๕๐๐ กว่าปีที่แล้ว และมนุษย์มักมีอคติต่อผู้อื่น ชีวิตย่อมตกอยู่ในความมืดมนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงคิดหาเหตุผลมาอธิบายข้อเท็จจริงที่ผ่านเข้าในชีวิตไม่ได้ เพราะความไม่รู้ของตนเอง จึงขาดความเข้าใจชีวิตของตนเอง เมื่อชีวิตขาดการเรียนรู้ที่จะเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ย่อมเกิดความอิจฉาและริษยาผู้อื่น ที่ไม่สนองความต้องการของตนด้วยความรักและความเสน่หา นอกจากนี้ มนุษย์ที่อยู่ด้วยกันในสังคม มักจะช่วยเหลือกันในทางที่ผิด การอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ จึงไม่มีเหตุผลที่อธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องต่าง ๆ ให้ตนเองเข้าใจข้อเท็จจริงของนั้นที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ ทำให้เกิดความริษยาต่อผู้อื่นที่ไม่สนองความต้องการทางอารมณ์ของตนเองด้วยความรักและความเสน่หา เมื่อมีอคติต่อผู้อื่นมักจะช่วยเหลือกันในทางที่ผิด เป็นต้น แต่ผู้เขียนก็ชอบที่จะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของพระเจ้าพิมพิสาร โดยผู้เขียนจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอ เพื่อพิสจน์ความจริงกันต่อไป
ปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาครั้งแรกในพระไตรปิฎก(ตอน๖) ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา (ยังมีต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น