The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

ปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงผนวช (ตอน๒)

Epistemological problems regarding reasons why Prince Siddhartha was ordained. (Episode2)

๑.บทนำ

                ชาวพุทธทั่วโลกต่างได้ยินเรื่องราวการเสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ของเจ้าชายสิทธัตถะเพื่อผนวชเป็นพระโพธิสัตว์    หลังจากพระองค์ทรงเห็นนิมิต    ๔   ประการคือ คนชรา  คนเจ็บป่วย   คนตาย       และนักบวช   เป็นต้น  ชาวพุทธส่วนใหญ่่ทราบเรื่องนี้     จากพระธรรมเทศนาของพระภิกษุเถรวาทและมหายานในวัดต่าง ๆ ทั่วโลก พระภิกษุเหล่านี้  ได้อธิบายถึงเหตุผลที่เจ้าชายสิทธัตถะผนวชเป็นพระโพธิสัตว์  ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ยินกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน   เมื่อ ๒,๖๐๐ ปีก่อน  เมื่อชาวพุทธได้ทราบความจริงของเรื่องนี้       พวกเขาก็ยอมรับโดยปริยายว่าเป็นจริง        โดยไม่มีสงสัยข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อีกต่อไปอาจเป็นเพราะชาวพุทธมีความศรัทธาในพระรัตนตรัยคือ       พระพุทธ  พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งสูงสุด     พวกเขาเชื่อว่าการทำบุญด้วยการให้ทาน    รักษาศีล  และเจริญภาวนานั้น  เพียงพอสำหรับชีวิตแล้ว  เมื่อชีวิตได้สั่งสมบุญไว้ในจิตใจแล้ว   เมื่อตายไปแล้ว วิญญาณจะไปสู่ภพภูมิที่ดี   เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง      ก็สามารถปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘  ได้จนกระทั่งบรรลุธรรม คืออภิญญา  ๖ ประการ   เป็นต้น

                   เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์ของอาณาจักรสักกะจากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย      เราจะค้นพบความจริงในเบื้องต้นว่าในสมัยก่อนพุทธกาลแคว้นสักกะหรือประเทศสักกะ  (country) มีอำนาจอธิปไตยของตนเอง  และปกครองด้วยระบอบแบบสามัคคีธรรม   ภายใต้กฎหมายวรรณะ  ขนบธรรม เนียมและจารีตประเพณี     ประเทศสักกะแบ่งประชาชนออกเป็น  ๔ วรรณะ       ได้แก่วรรณะพราหมณ์  วรรณะกษัตริย์  วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร    ในขณะนั้น      ทุกประเทศในอนุทวีปอินเดีย   ล้วนเป็น  "รัฐศาสนาพราหมณ์"  (Brahmanical Religion State )  

                   ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า      ในสมัยนั้นพราหมณ์ ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเป็นที่เคารพและไว้วางใจจากชนทุกวรรณะ        พวกเขาจึงมีอิทธิพลทางการเมืองจนสามารถนำความรู้จากคัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์  บัญญติเป็นกฎหมายวรรณะ  ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี         โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของเทพเจ้า             พราหมณ์สอนว่าพระพรหมผู้ทรงสร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์เอง     และสร้างวรรณะให้แก่มนุษย์ที่พระพรหมสร้างขึ้น     เพื่อให้พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่เกิดมาได้ สิ่งนี้จึงทำให้ผู้คนมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ เนื่องจากศรัทธาในเทพเจ้าหลายองค์        สามารถช่วยให้พวกเขาหลีกหนีจากความทุกข์ทรมานผ่านการบูชายัญของพราหมณ์ในวัดต่าง ๆทั่วทั้งอนุทวีปอินเดีย  

                    อย่างไรก็ตาม   เมื่อคำสอนของพราหมณ์ ถูกบัญญัติเป็นกฎหมายวรรณะ  ประเพณีและขนบธรรมเนียมแล้ว     ประชาชนก็มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติตาม          โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามบุคคลมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลต่างวรรณะ   และปฏิบัติหน้าที่ต่างวรรณะ อย่างไรก็ตาม  เมื่อผู้คนมีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้  และมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง             ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน        พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์         จึงไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงของชีวิตอย่างถูกต้องได้ 

                 ดังนั้น    เมื่อชาวสักกะขาดความตระหนักรู้ในการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้        ขาดความุ่งมั่นในการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย  และขาดปัญญาที่จะเข้าใจในความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์      เมื่อพวกเขายึดติดกับอารมณ์ของโลกจนตกหลุมรักผู้คนต่างวรรณะ  เมื่อชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน    เมื่อพวกเขาจึงขาดปัญญาเข้าใจหลักศีลธรรมอันดีงามของชาวสักกะ  และกฎหมายวรรณะ   ขนบธรรมเนียมและประเพณี              พวกเขากระทำความผิดต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะด้วยความไม่รู้ของตนเอง   พวกเขาจะถูกลงโทษโดยสังคม          พวกเขาต้องเสียสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะไปตลอดชีวิต ไม่อาจกลับคืนสู่สถานะเดิมทางสังคม โดยคนในสังคมอ้างว่าพระพรหมลงโทษ

                    ในสมัยพุทธกาล     พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างให้มนุษย์เรียนรู้วิธีพัฒนาศักยภาพชีวิตของตนเอง     เพื่อบรรลุสัจธรรมสูงสุดอันเป็นความรู้ที่เหนือความเข้าใจของมนุษย์     พระพุทธเจ้าทรงค้นพบวิธีพิจารณาความจริงที่สมมติขึ้น และวิธีพิจารณาความจริงขั้นปรมัตถ์ด้วยการปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘  เพื่อบรรลุถึงความจริงขั้นปรมัตถ์ของชีวิต    ในยุคหลังพุทธกาล  พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระธรรมทูตต่างประเทศจากราชอาณาจักรโมริยะ     ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังโลกตะวันตก        นักปรัชญาตะวันตกได้บูรณาการหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเข้ากับปรัชญาตะวันตก        โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เหตุผลทางพุทธศาสนา   ซึ่งเป็นเครื่องมือที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ในการอธิบายสัจธรรมสูงสุดของชีวิตมนุษย์  พระองค์ทรงตรัสรู้นั้น     ไปใช้ในการอธิบายความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้า  เป็นต้น

      อย่างไรก็ตาม สังคมในโลกตะวันตกยังคงมืดมน  เพราะนักปรัชญาตะวันตกใช้เหตุผลทางพระพุทธศาสนา   เพื่ออธิบายความจริงของชีวิตมนุษย์     และสร้างความเข้าใจในความจริงที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ นั่นคือ การมีอยู่ของเทพเจ้าจากมุมมองของนักปรัชญาตะวันตก  อย่างไรก็ตาม   เหตุผลดังกล่าวเป็นทฤษฎีแห่งสัจธรรมเท่านั้น      เมื่อชาวตะวันตกไม่ได้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘      เพื่อเข้าถึงความจริงขั้นปรมัตถ์แล้ว         การศึกษาการใช้เหตุผลเชิงปรัชญานั้นเป็นการศึกษาเชิงทฤษฎีเท่านั้น ไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสัจธรรมของชีวิต  พวกเขาไม่สามารถบรรลุถึงความจริงของชีวิตได้ ดังนั้น ผู้คนในโลกตะวันตกจึงยังคงดำรงชีวิตอยู่ในความมืดมนต่อไป

              ในสมัยอินเดียโบราณ    พราหมณ์บางคนเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา     มักอธิบายความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของตนโดยใช้เหตุผลและคาดคะเนความจริง    การให้เหตุผลของพวกเขาบางครั้งก็ถูกต้องในการอธิบายความจริง บางครั้งก็ไม่ถูกต้อง   บางครั้งพวกเขาก็อธิบายความจริงด้วยวิธีนี้      บางครั้งก็แบบนั้น    เมื่อเหตุผลเกี่ยวกับความจริงของคำตอบของนักตรรกศาสตร์หรือนักปรัชญาคลุมเครือและไม่ชัดเจน         วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะแห่งราชวงศ์ศากยะ หรือพระพุทธเจ้าจะทรงไม่เชื่อความคิดเห็นของพราหมณ์  ซึ่งเป็นนักตรรกะหรือนักปรัชญาในเรื่องดังกล่าว และจะไม่ยอมรับความคิดเห็นของพราหมณ์ ว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องดังกล่าว          ยกตัวอย่างเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ "จัณฑาล"     ถูกพระพรหมลงโทษตามกฎหมายวรรณะและจารีตประเพณีแล้ว      จัณฑาลเหล่านี้ถูกบังคับให้เร่ร่อนไปตามท้องถนนในนครใหญ่ไปตลอดชีวิต   พระองคทรงไม่ได้เชื่อทันทีว่า เรื่องราวนี้เป็นความจริง         พระองค์ทรงสงสัย  ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้       พระองค์จึงทรงสืบหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ    เช่นคำให้การของพยานจากพราหมณ์นิกายต่าง ๆ ที่อ้างว่าสื่อสารกับเทพเจ้าเป็นประจำผ่านพิธีบูชายัญ เพื่อขอพรให้ความปรารถนาของมนุษย์       อย่างไรก็ตามเมือพระองค์ทรงซักถามถึงที่มาของพระพรหมก็ไม่มีใครสามารถตอบได้  เป็นต้น       

                  ในยุคหลังพุทธกาล เมื่อวิธีการให้เหตุผลของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาและนักตรรกะชาวอินเดียโบราณ  ได้ถูกเผยแผ่ไปโลกตะวันตกผ่านพระธรรมทูตต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรโมริยะและการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ของบาทหลวงชาวตะวันตก    ไปยังตะวันออกไกล     พวกเขาเขียนจดหมายเหตุเล่าถึงอุปสรรคการเผยแผ่คำสอนของศาสนาคริสต์ในดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลก         บันทึกเรื่องราวเหล่านั้น   โดยเฉพาะคัมภีร์พระพุทธศาสนาไปยังประเทศของพวกเขา เพื่อพัฒนาความรู้เหล่านั้นไปพัฒนาเป็นความรู้ของพวกเขา      โดยนักปรัชญาตะวันตกนำความรู้ของพระพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้กับปรัชญาตะวันตก    ทำให้การคิดแบบมีเหตุผลในโลกตะวันตกเจริญรุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส    พวกเขามีความคิดแบบมีเหตุผล โดยใช้เหตุผลครอบงำความคิดของผู้คน เพื่อไล่ล่าอาณานิคมต่าง  ๆ  ทั่วโลก    

             อย่างไรก็ตาม การคิดของนักตรรกะและนักปรัชญาที่มีเหตุผล  ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริง ตามหลักเหตุผลและการคาดคะเนความจริงเท่านั้น    อย่างไรก็ตามการใช้เหตุผลของนักปรัชญาและนักตรรกะนั้น  บางครั้งก็ถูกต้องบ้าง   บางครั้งไม่ถูกต้อง  บางครั้งก็ให้เหตุผลแบบนี้  บางครั้งก็ให้เหตุผลแบบนั้นทั้งนี้เนื่องจากนักปรัชญาและนักตรรกะ      ซึ่งเป็นมนุษย์มีลักษณะของอายตนะภายในร่างกายที่มีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ    ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ยังมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ ความกลัว   ความเกลียดชัง  และความรัก  เป็นต้น      พวกเขามักจะยืนกรานข้อเท็จจริงเพื่อเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน ขาดความสามารถในการใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างสมเหตุสมผล     

                       การสร้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์  เมื่อชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมน       จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์        มนุษย์ที่เป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาจึงไม่สามารถคิดอย่างมีเหตุผล เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้นได้อย่างสมเหตุสมผล     ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์   โลก   จักรวาล  ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  และดวงดาวที่อยู่ไกลออกไป    นักวิทยาศาสตร์ได้ก้าวข้ามข้อจำกัดของอายตนะภายในการรับรู้ดวงดาวอันไกลโพ้น   ด้วยการสร้างกล้องโทรทรรศน์  เพื่อสำรวจข้อเท็จจริงดวงดาวต่าง ๆ          และรวบรวมหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ความจริงของดวงดาวต่าง ๆ       หรือสร้างกล้องจุลทรรศน์ขึ้นเพื่อดูจุลภาคขาดเล็กที่สุด     สิ่งนี้ได้ขยายขอบเขตความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างไม่สิ้นสุด     และเปิดกว้างทางการศึกษาใหม่สำหรับวิชาเหล่านี้        งานวิจัยหลายชิ้นที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาสังคม ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้         และสามารถสืบสานและต่อยอดความรู้เหล่านั้นให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น  

             ในยุคหลัง ๆ  นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ประยุกต์เพื่อสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต       เพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนทั่วโลก  ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม   วิถีชีวิต        และเพิ่มประสิทธิภาพของมนุษย์ด้วยการใช้เทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ในการจัดการ   และจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นข้อมูลยังสามารถถูกดึงมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น  รวดเร็วขึ้นและแม่นยำ      สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของระบบเมื่อความรู้ทางวิชาการทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก      เราได้เห็นข้อจำกัดในการรับรู้ผ่านอายตนะภายในของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัย  ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการพัฒนา     และปฏิรูปให้เหมาะสมกับสังคมมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไป 

             อันเนื่องมาจากความคิดเห็นของมนุษย์ที่เรียกว่า "มโนกรรม"  นำไปสู่การกระทำทางวาจาที่เรียกว่า "วจีกรรม"และการกระทำทางกายที่เรียกว่า "กายกรรม"     ต่อมาเมื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้นวิศวกรคอมพิวเตอร์ได้คิดค้นนวัตกรรมใหม่  ๆ     โดยการสร้างแอปพลิเคชั่น เพื่อเผยแพร่ความรู้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  และพระไตรปิฎกฉบับหลวง     แอบพริเคชั่นเหล่านี้อำนวยความสะดวกในการศึกษาพระไตรปิฎก    เพียงพิมพ์คำที่ต้องการลงในแอปพลิเคชั่น พระไตรไตรปิฎกราชวิทยาลัย   ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อเท็จจริงที่ต้องการศึกษาในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยได้อย่างง่ายดายขึ้น ไม่จำเป็นต้องอ่านพระไตรปิฎกทุกเล่มอีกต่อไป ไม่ว่จะเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ  สังคม ศาสนาพราหมณ์ ความเชื่อเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าและพิธีกรรมบูชายัญที่เกิดขึ้นในอินเดียโบราณ ไม่จำเป็นต้องอ่านพระไตรปิฎกทั้ง  ๔๕ เล่ม และอรรถกถา ๙๑ เล่มต่อไป                 

๒.ญาณวิทยาเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา  

                  โดยทั่วไป     มนุษย์ทุกคนมีอายตนะภายในของตนเอง  มีความสามารถในการรับรู้ที่จำกัดและมักมีอคติต่อกัน     ส่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตมนุษย์มืดมน    และขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์    จึงสามารถใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงของความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างสมเหตุสมผล    ดังนั้น   ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าในสมัยพุทธกาล  พราหมณ์บางคนเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา   มักจะแสดงความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่คนในสังคมสงสัยของตนเองตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริง  นักตรรกะและนักปรัชญามักใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น  บางครั้งใช้เหตุผลอย่างถูกบ้าง    บางครั้งใช้เหตุผลอย่างผิด  ๆ  บ้าง   บางครั้งใช้เหตุผลในลักษณะเป็นอย่างนั้น   บางครั้งใช้เหตุในลักษณะเป็นอย่างนี้บ้าง เป็นต้น        เมื่อข้อเท็จจริงของคำตอบไม่ชัดเจนว่ามีความเป็นมาอย่างไร    วิญญูชนเห็นว่าเหตุผลของคำตอบไม่น่าเชื่อถือ  ไม่สามารถยืนยันความจริงได้    คำตอบในเรื่องนั้นไม่สามารถยอมรับว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้นได้       

             นักปรัชญามีความสนใจในศึกษาเกี่ยวกับต้นกำเนิดของความรู้ของมนุษย์     โครงสร้างของความรู้ของมนุษย์    วิธีพิจารณาความจริงในการแสวงหาความรู้   ความสมเหตุสมผลของความรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นต้น           จึงเป็นหน้าที่ของญาณวิทยาสร้างวิธีพิจารณาความจริง  โดยการอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ      เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายคำตอบในปัญหาที่เกิดขึ้นว่า"       เราจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อเท็จจริงที่เราได้ยินเป็นเรื่องจริง?"      มีมาตรฐานใดบ้างที่กำหนความรู้ของมนุษย์ว่าข้อเท็จจริงใดเป็นจริงหรือเท็จ ?   ความรู้ของมนุษย์คืออะไร ? ลักษณะเฉพาะของความรู้ของมนุษย์คืออะไร   ?     จำแนกเป็นเชิงอัตนิยมหรือปรนัยนิยม         เราจะสร้างความรู้ได้อย่างไร ?  ปัจจัยใดที่สร้างความรู้ขึ้น?  ในปัญหานี้ นักปรัชญาหลายคนได้ค้นพบวิธีแสวงหาความรู้ที่เป็นสากล        ซึ่งทุกคนสามารถใช้เพื่อแสวงหาความจริงได้ผลลัพท์อย่างเดียวกัน     โดยสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาความจริงในรูปแบบต่าง ๆ    โดยการอนุมานความรู้จากหลักฐาน เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงในเรื่องนั้นในขอบเขตของญาณวิทยา  เป็นต้น 

๒.๑.ต้นกำเนิดของความรู้ของมนุษย์   

                     โดยทั่วไป   ความรู้เกี่ยวกับปรัชญา      พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ล้วนเป็นความรู้ของมนุษย์     ปัญหาว่าความรู้ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่าง    เดิมชีวิตของมนุษย์ตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน  นั้น         พระะพรหมเป็นผู้สร้างมนุษย์   แม้เราจะยอมรับความจริงโดยปริยายว่า บุคคลนี้คือนักปรัชญา พระพุทธเจ้าและนักวิทยาศาสตร์ มีวิชาความรู้ในสาขานั้นจริง แต่มนุษย์เป็นสิ่งไม่เที่ยง ความรู้สั่งสมอยู่ในจิตใจก็จะสูญหายไปพร้อมความตายของผู้นั้น   เมื่อกลับมาเกิดใหม่พร้อมกับความไม่รู้        เพราะสภาพสังคมที่เกิดมานั้นเปลี่ยนไปจนหมดสิ้นแล้ว ปัญหาว่า "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นความจริง?"     จุดเริ่มต้นความรู้ของมนุษย์นั้น       เกิดขึ้นเมื่อจิตใจของมนุษย์อาศัยร่างกายของตนเองรับรู้เรื่องต่าง   ๆ ที่เป็นวัตถุต่าง ๆ เช่น ภูเขา แม่น้ำ อาคารบ้านเรือน รถยนต์ และนามธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่างเช่นกลิ่นต่าง  ๆ คลื่นวิทยุ เสียงต่าง ๆคลื่นอินเตอร์เน็ต เป็นต้น

                 สิ่งเหล่านี้ผ่านเข้ามาในชีวิตของตนเองแต่ธรรมชาติของจิตมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่างจึงไม่สามารถเก็บวัตถุที่มีรูปร่างหรือนามธรรมไม่มีรูปร่างไว้ในจิตของตนเองได้    เว้นแต่จะเก็บอารมณ์ของเรื่องราวต่างๆ  ของสิ่งเหล่านั้นสั่งสมอยู่ในจิตใจของตน    แต่ธรรมชาติของจิตมนุษย์         เมื่่่่อรับรู้สิ่งใดมักจะวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากอารมณ์ของข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในจิตใจของตนนั้น        เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นแล้ว      หากข้อเท็จจริงใดที่จิตใจของตนเองรับรู้นั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีก็เกิดสุขเวทนา  ถ้าเรื่องที่จิตรับรู้นั้นไม่น่ายินดีก็เกิดทุกขเวทนา  ดังนั้น ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์มีจุดเริ่มต้นเมื่อจิตมนุษย์รับรู้เรื่องราวต่าง       ๆ ผ่านอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ส่วนมีทั้งสิ่งที่มีรูปร่างและนามธรรม   เมื่อจิตของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่างจึงไม่สามารถรับรู้สิ่งที่มีรูปร่างและนามธรรมที่เป็นคลื่นวิทยุ คลื่นไฟฟ้า เป็นต้น  มาเก็บไว้ในจิตใจของตนเองได้ เว้นแต่อารมณ์เรื่องราวต่าง ๆ  ของสิ่งที่ไม่มีรูปร่างและพลังงานต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตของตนเองเท่านั้น     เมื่อจิตวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานหรือข้อมูล   เพื่อหาเหตุผลอธิบายความจริงของเรื่องนั้นเหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบถือว่า  เป็นความรู้ของมนุษย์คนนั้นดังนั้น    จิตมนุษย์จึงเป็นต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ทุกสาขาวิชาเป็นต้น 

๒.๒.โครงสร้างความรู้ของมนุษย์    

            โดยทั่วไปเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาเข้าในชีวิตมนุษย์นั้นมีทั้งข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นเรื่องจริง   เช่น มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องตายซึ่งเป็นกฎธรรมชาติเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ทุกคน  และข้อเท็จจริงที่เป็นเท็จนั้น ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นด้วยเจตนาทุจริต เมื่อมนุษย์เกิดมามีความไม่รู้    เนื่องจากมนุษย์มีข้อจำกัดของอายตนะภายในร่างกายในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ   ที่เกิดขึ้นในชีวิต      จึงไม่สามารถรับรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัส หรือความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์  มนุษย์จำเป็นต้องแสวงหาความรู้มาสั่งสมอยู่ในจิตใจของตนเอง เพื่อให้ติดตามชีวิตไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อใช้ความรู้นั้นเป็นหลักพิจารณาความจริงในเรื่องต่างๆเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของตนเอง เป็นต้น มีปัญหาที่ต้องพิจารณาว่าความรู้คืออะไร?ในเรื่องนี้     เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ.๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายของคำว่า "ความรู้" ไว้ว่า ความรู้ของมนุษย์คือสิ่งที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์ มาจากการศึกษาเล่าเรียน     การค้นคว้าหรือประสบการณ์รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะเช่นความรู้เรื่องประวัติศาสตร์สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน การฟัง การคิดหรือการปฏิบัติเช่นความรู้เรื่องสุขภาพ ความรู้เรื่องนิทานพื้นบ้าน เป็นต้น  

         ดังนั้นโครงสร้างความรู้ของมนุษย์เราสามารถองค์ประกอบเพื่อพิจารณาดังนี้         

๒.๑ มนุษย์                                                                                    ๒.๒ กระบวนการพิจารณาความจริงของความรู้                        ๒.๓ สิ่งที่สั่งสมอยู่ในจิตมนุษย์  

ติดตามปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงผนวช  (ตอน๓)

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ