The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

๒.ต้นกำเนิดแห่งความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับการผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ

The origins of Human Knowledge  regarding Prince Siddhartha was ordained

๑.บทนำ

                ชาวพุทธทั่วโลกต่างได้ยินเรื่องราวการเสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ของเจ้าชายสิทธัตถะเพื่อผนวชเป็นพระโพธิสัตว์    หลังจากพระองค์ทรงเห็นนิมิต    ๔   ประการคือ คนชรา  คนป่วย   คนตาย             และนักบวช   เป็นต้น  ชาวพุทธส่วนใหญ่่ทราบเรื่องนี้     จากพระธรรมเทศนาของพระภิกษุเถรวาทและมหายานในวัดต่าง ๆ ทั่วโลก พระภิกษุเหล่านี้ได้อธิบาย        ถึงเหตุผลในการผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระโพธิสัตว์     ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ได้ยินกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า ๒,๖๐๐ ปี      เมื่อชาวพุทธได้ทราบความจริงของเรื่องนี้พวกเขาก็ยอมรับโดยปริยายว่าเป็นจริงโดยไม่มีข้อสงสัยข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อีกต่อไป      ซึ่งอาจเป็นเพราะชาวพุทธมีความศรัทธาในพระรัตนตรัยอันได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์       เป็นที่พึ่งสูงสุดพวกเขาเชื่อว่า การทำบุญด้วยการให้ทาน    รักษาศีล   และเจริญภาวนานั้น  ก็เพียงพอสำหรับชีวิตแล้ว      เมื่อสั่งสมบุญไว้ในจิตใจแล้ว  เมื่อตายไปแล้ว วิญญาณจะไปสู่ภพภูมิที่ดี      เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง      พวกเขาสามารถปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘  อันประเสริฐได้จนกระทั่งบรรลุธรรมคือ  อภิญญา  ๖ ประการ   เป็นต้น

                   เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์ของอาณาจักรสักกะ      จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย      เราจะค้นพบความจริงในเบื้องต้นว่าในยุคก่อนพุทธกาล           แคว้นสักกะหรือประเทศสักกะ  (country)   มีอำนาจอธิปไตยของตนเอง  และปกครองภายใต้ระบบสามัคคีธรรม        ตามที่ระบุไว้ในกฎหมายวรรณะ  ขนบธรรมเนียม  และจารีตประเพณี  อาณาจักรสักกะแบ่งประชาชนออกเป็น  ๔ วรรณะ ได้แก่   วรรณะพราหมณ์  วรรณะกษัตริย์  วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร    ในขณะนั้น อาณาจักรต่าง ๆ     ในอนุทวีปอินเดีย   ล้วนเป็น  "รัฐศาสนาพราหมณ์"  (Brahmanical Religion State )  

                   ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ในเวลานั้นพราหมณ์ ซึ่งเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาเป็นที่เคารพนับถือและไว้วางใจจากทุกชนชั้นวรรณะ พวกเขาจึงมีอิทธิพลทางการเมือง         ทำให้สามารถนำความรู้จากคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์     มาประยุกต์ใช้บัญญัติกฎหมายวรรณะ  ขนบธรรมเนียม  และจารีตประเพณี   โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของเทพเจ้า   พราหมณ์สอนว่าพระพรหมทรงสร้างมนุษย์จากพระวรกายของพระองค์เอง  และสร้างวรรณะให้แก่พวกเขาที่พระพรหมสร้างขึ้น     เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะของตนได้ สิ่งนี้ทำให้ผู้คนมีความหวังในชีวิตอยู่     เพราะศรัทธาในเทพเจ้าหลายองค์           สามารถช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานได้ด้วยการบูชายัญของพราหมณ์ในวัดต่าง ๆทั่วทั้งอนุทวีปอินเดีย  

                    อย่างไรก็ตาม   เมื่อคำสอนของพราหมณ์ ถูกบัญญัติเป็นกฎหมายวรรณะ  ประเพณีและขนบธรรมเนียมแล้ว     ประชาชนก็มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติตาม          โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามบุคคลมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลต่างวรรณะ   และปฏิบัติหน้าที่ต่างวรรณะ อย่างไรก็ตาม  เมื่อผู้คนมีอายตนะภายในที่จำกัดในการรับรู้  และมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง             ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน        พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์         จึงไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงของชีวิตอย่างถูกต้องได้ 

                 ดังนั้น    เมื่อชาวสักกะขาดความตระหนักรู้ในการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้        ขาดความุ่งมั่นในการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย  และขาดปัญญาที่จะเข้าใจในความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์      เมื่อพวกเขายึดติดกับอารมณ์ของโลกจนตกหลุมรักผู้คนต่างวรรณะ  เมื่อชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน    เมื่อพวกเขาจึงขาดปัญญาเข้าใจหลักศีลธรรมอันดีงามของชาวสักกะ  และกฎหมายวรรณะ   ขนบธรรมเนียมและประเพณี              พวกเขากระทำความผิดต่อคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะด้วยความไม่รู้ของตนเอง   พวกเขาจะถูกลงโทษโดยสังคม          พวกเขาต้องเสียสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ตามกฎหมายวรรณะไปตลอดชีวิต ไม่อาจกลับคืนสู่สถานะเดิมทางสังคม โดยคนในสังคมอ้างว่าพระพรหมลงโทษ

                    ในสมัยพุทธกาล     พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างให้มนุษย์เรียนรู้วิธีพัฒนาศักยภาพชีวิตของตนเอง     เพื่อบรรลุสัจธรรมสูงสุดอันเป็นความรู้ที่เหนือความเข้าใจของมนุษย์     พระพุทธเจ้าทรงค้นพบวิธีพิจารณาความจริงที่สมมติขึ้น และวิธีพิจารณาความจริงขั้นปรมัตถ์ด้วยการปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘  เพื่อบรรลุถึงความจริงขั้นปรมัตถ์ของชีวิต    ในยุคหลังพุทธกาล  พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระธรรมทูตต่างประเทศจากราชอาณาจักรโมริยะ     ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังโลกตะวันตก        นักปรัชญาตะวันตกได้บูรณาการหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเข้ากับปรัชญาตะวันตก        โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เหตุผลทางพุทธศาสนา   ซึ่งเป็นเครื่องมือที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ในการอธิบายสัจธรรมสูงสุดของชีวิตมนุษย์  พระองค์ทรงตรัสรู้นั้น     ไปใช้ในการอธิบายความจริงของการมีอยู่ของเทพเจ้า  เป็นต้น

      อย่างไรก็ตาม สังคมในโลกตะวันตกยังคงมืดมน  เพราะนักปรัชญาตะวันตกใช้เหตุผลทางพระพุทธศาสนา   เพื่ออธิบายความจริงของชีวิตมนุษย์     และสร้างความเข้าใจในความจริงที่อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ นั่นคือ การมีอยู่ของเทพเจ้าจากมุมมองของนักปรัชญาตะวันตก  อย่างไรก็ตาม   เหตุผลดังกล่าวเป็นทฤษฎีแห่งสัจธรรมเท่านั้น      เมื่อชาวตะวันตกไม่ได้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘      เพื่อเข้าถึงความจริงขั้นปรมัตถ์แล้ว         การศึกษาการใช้เหตุผลเชิงปรัชญานั้นเป็นการศึกษาเชิงทฤษฎีเท่านั้น ไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสัจธรรมของชีวิต  พวกเขาไม่สามารถบรรลุถึงความจริงของชีวิตได้ ดังนั้น ผู้คนในโลกตะวันตกจึงยังคงดำรงชีวิตอยู่ในความมืดมนต่อไป

              ในสมัยอินเดียโบราณ    พราหมณ์บางคนเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา     มักอธิบายความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของตนโดยใช้เหตุผลและคาดคะเนความจริง    การให้เหตุผลของพวกเขาบางครั้งก็ถูกต้องในการอธิบายความจริง บางครั้งก็ไม่ถูกต้อง   บางครั้งพวกเขาก็อธิบายความจริงด้วยวิธีนี้      บางครั้งก็แบบนั้น    เมื่อเหตุผลเกี่ยวกับความจริงของคำตอบของนักตรรกศาสตร์หรือนักปรัชญาคลุมเครือและไม่ชัดเจน         วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะแห่งราชวงศ์ศากยะ หรือพระพุทธเจ้าจะทรงไม่เชื่อความคิดเห็นของพราหมณ์  ซึ่งเป็นนักตรรกะหรือนักปรัชญาในเรื่องดังกล่าว        และจะไม่ยอมรับความคิดเห็นของพราหมณ์ ว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องดังกล่าว          ยกตัวอย่างเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ "จัณฑาล"     ถูกพระพรหมลงโทษตามกฎหมายวรรณะและจารีตประเพณีแล้ว      จัณฑาลเหล่านี้ถูกบังคับให้เร่ร่อนไปตามท้องถนนในนครใหญ่ไปตลอดชีวิต   พระองคทรงไม่ได้เชื่อทันทีว่า เรื่องราวนี้เป็นความจริง         พระองค์ทรงสงสัย  ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้       พระองค์จึงทรงสืบหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ    เช่นคำให้การของพยานจากพราหมณ์นิกายต่าง ๆ ที่อ้างว่าสื่อสารกับเทพเจ้าเป็นประจำผ่านพิธีบูชายัญ เพื่อขอพรให้ความปรารถนาของมนุษย์       อย่างไรก็ตามเมือพระองค์ทรงซักถามถึงที่มาของพระพรหมก็ไม่มีใครสามารถตอบได้  เป็นต้น       

                  ในยุคหลังพุทธกาล เมื่อวิธีการให้เหตุผลของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาและนักตรรกะชาวอินเดียโบราณ  ได้ถูกเผยแผ่ไปโลกตะวันตกผ่านพระธรรมทูตต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรโมริยะและการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ของบาทหลวงชาวตะวันตก    ไปยังตะวันออกไกล     พวกเขาเขียนจดหมายเหตุเล่าถึงอุปสรรคการเผยแผ่คำสอนของศาสนาคริสต์ในดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลก         บันทึกเรื่องราวเหล่านั้น   โดยเฉพาะคัมภีร์พระพุทธศาสนาไปยังประเทศของพวกเขา เพื่อพัฒนาความรู้เหล่านั้นไปพัฒนาเป็นความรู้ของพวกเขา      โดยนักปรัชญาตะวันตกนำความรู้ของพระพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้กับปรัชญาตะวันตก    ทำให้การคิดแบบมีเหตุผลในโลกตะวันตกเจริญรุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส    พวกเขามีความคิดแบบมีเหตุผล โดยใช้เหตุผลครอบงำความคิดของผู้คน เพื่อไล่ล่าอาณานิคมต่าง  ๆ  ทั่วโลก    

             อย่างไรก็ตาม       การคิดของนักตรรกะและนักปรัชญาที่มีเหตุผล  ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงตามหลักเหตุผลและการคาดคะเนความจริงเท่านั้น    อย่างไรก็ตามการใช้เหตุผลของนักปรัชญาและนักตรรกะนั้น  บางครั้งก็ถูกต้องบ้าง  บางครั้งไม่ถูกต้อง  บางครั้งก็ให้เหตุผลแบบนี้บางครั้งก็ให้เหตุผลแบบนั้นทั้งนี้เนื่องจากนักปรัชญาและนักตรรกะ  ซึ่งเป็นมนุษย์มีลักษณะของอายตนะภายในร่างกายที่มีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ   ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ยังมีอคติต่อผู้อื่นเนื่องจากความไม่รู้ ความกลัว  ความเกลียดชังและความรัก  เป็นต้น        พวกเขามักจะยืนกรานข้อเท็จจริงเพื่อเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง    ชีวิตของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความมืดมน ขาดความสามารถในการใช้เหตุผล    เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างสมเหตุสมผล     

                       การสร้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์  เมื่อชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมน       จึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์        มนุษย์ที่เป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาจึงไม่สามารถคิดอย่างมีเหตุผล เพื่ออธิบายความจริงของเรื่องนั้นได้อย่างสมเหตุสมผล     ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์   โลก   จักรวาล  ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  และดวงดาวที่อยู่ไกลออกไป     นักวิทยาศาสตร์ได้ก้าวข้ามข้อจำกัดของอายตนะภายในการรับรู้ดวงดาวอันไกลโพ้น   ด้วยการสร้างกล้องโทรทรรศน์           เพื่อสำรวจข้อเท็จจริงดวงดาวต่าง ๆ และรวบรวมหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ความจริงของดวงดาวต่าง ๆ        หรือสร้างกล้องจุลทรรศน์ขึ้นเพื่อดูจุลภาคขาดเล็กที่สุด     สิ่งนี้ได้ขยายขอบเขตความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างไม่สิ้นสุดและเปิดกว้างทางการศึกษาใหม่สำหรับวิชาเหล่านี้   งานวิจัยหลายชิ้นที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาสังคม ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้ และสามารถสืบสานและต่อยอดความรู้เหล่านั้นให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น 

            ในยุคหลัง ๆนักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ประยุกต์เพื่อสร้างเทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต        เพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนทั่วโลก   ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม   วิถีชีวิต     และเพิ่มประสิทธิภาพของมนุษย์ด้วยการใช้เทคโนโลยี่คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ในการจัดการ       และจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นข้อมูลยังสามารถถูกดึงมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น        รวดเร็วขึ้นและแม่นยำสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของระบบเมื่อความรู้ทางวิชาการทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก      เราได้เห็นข้อจำกัดในการรับรู้ผ่านอายตนะภายในของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัย  ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและปฏิรูปให้เหมาะสมกับสังคมมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไป 

             อันเนื่องมาจากความคิดเห็นของมนุษย์ที่เรียกว่า "มโนกรรม"  นำไปสู่การกระทำทางวาจาที่เรียกว่า "วจีกรรม"และการกระทำทางกายที่เรียกว่า "กายกรรม"     ต่อมาเมื่อความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้นวิศวกรคอมพิวเตอร์ได้คิดค้นนวัตกรรมใหม่  ๆ     โดยการสร้างแอปพลิเคชั่น เพื่อเผยแพร่ความรู้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  และพระไตรปิฎกฉบับหลวง     แอบพริเคชั่นเหล่านี้อำนวยความสะดวกในการศึกษาพระไตรปิฎก    เพียงพิมพ์คำที่ต้องการลงในแอปพลิเคชั่น พระไตรไตรปิฎกราชวิทยาลัย   ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อเท็จจริงที่ต้องการศึกษาในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยได้อย่างง่ายดายขึ้น ไม่จำเป็นต้องอ่านพระไตรปิฎกทุกเล่มอีกต่อไป ไม่ว่จะเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ  สังคม ศาสนาพราหมณ์ ความเชื่อเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้าและพิธีกรรมบูชายัญที่เกิดขึ้นในอินเดียโบราณ ไม่จำเป็นต้องอ่านพระไตรปิฎกทั้ง  ๔๕ เล่ม และอรรถกถา ๙๑ เล่มต่อไป                 

๒.ญาณวิทยาเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา  

                  โดยทั่วไป     มนุษย์ทุกคนมีอายตนะภายในของตนเอง  มีความสามารถในการรับรู้ที่จำกัดและมักมีความคิดที่อคติเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง       สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมนและขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้น     และความจริงขั้นปรมัตถ์  จึงไม่สามารถคิด  โดยใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างมีเหตุผล   ดังนั้นตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า           พราหมณ์บางคนเป็นนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญาพวกเขามักจะแสดงความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ตามหลักเหตุผลและคาดคะเนความจริงเป็นอย่างนี้    นักตรรกะและนักปรัชญามักใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น  บางครั้งใช้เหตุผลอย่างถูกต้องหรืออาจใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง   บางครั้งใช้เหตุผลในลักษณะนั้น หรือบางครั้งใช้เหตุในลักษณะนั้น    เมื่อการใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างคลุมเครือและไม่ชัดเจน        วิญญูชนเช่นเจ้าชายสิทธัตถะได้ยินความคิดเห็นแล้วย่อมไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถยอมรับว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้นได้       

                 เมื่อนักปรัชญามีความสนใจศึกษาต้นกำเนิดของความรู้ของมนุษย์     โครงสร้างของความรู้ของมนุษย์    วิธีพิจารณาความจริงของความรู้ของมนุษย์  ความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์     เป็นต้น แม้ว่านักปรัชญาและนักตรรกะศาสตร์   จะสามารถอธิบายความจริงของเรื่องใด  ๆ   ได้อย่างมีเหตุผล         แต่ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์     คือ  อายตนะภายในมีความสามารถในการรับรู้ที่จำกัด    และมีแนวโน้มที่จะคิดอย่างลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง    สิ่งนี้ทำให้ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืดมน         ส่งผลให้พวกเขาขาดปัญญาในการเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ได้  เมื่อพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริง    บางครั้งพวกเขาก็ใช้เหตุผลที่ถูกต้อง บางครั้งก็ใช้เหตุผลไม่ถูกต้อง  หรือบางครั้งใช้เหตุผลคลุมเครือในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น  

              ดังนั้น  จึงเป็นหน้าที่ของญาณวิทยาที่จะสร้างวิธีการพิจารณาความจริงโดยการอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ       เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายคำตอบของปัญหาที่ว่า"     เราจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อเท็จจริงที่เราได้ยินเป็นความจริง   ?      อะไรเป็นตัวกำหนดว่าข้อเท็จจริงใดเป็นจริงหรือเท็จ ?       ความรู้ของมนุษย์คืออะไร ?      ลักษณะเฉพาะของความรู้ของมนุษย์คืออะไร   ?         เป็นความรู้เชิงอัตวิสัยหรือวัตถุวิสัย  เราสร้างความรู้ได้อย่างไร ?  ปัจจัยใดบ้างที่เอื้อต่อความรู้ ?  ในการแก้ปัญหานี้ นักปรัชญาหลายท่านได้ค้นพบวิธีแสวงหาความรู้     ซึ่งวิธีการสากลที่ทุกคนสามารถใช้ได้           การแสวงหาความจริงและบรรลุผลเดียวกัน  คือ การสร้างความรู้เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาความจริงในรูปแบบต่าง ๆ    โดยการอนุมานความรู้จากหลักฐาน      โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้น ๆ   ภายใต้ขอบเขตของความรู้เชิงญาณวิทยา  เป็นต้น 

๒.๑.ต้นกำเนิดแห่งความรู้ของมนุษย์   

                    โดยทั่วไปแล้ว   ความรู้ด้านปรัชญา พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ ถือเป็นความรู้ของมนุษย์ แล้วมนุษย์จะมีความรู้ได้อย่างไร ? เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์ความรู้ในศาสตร์ต่าง   ๆ  เราได้ยินข้อเท็จจริงทางที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบันนั้น เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์      ชาวแคว้นสักกะและชาวแคว้นโกลิยะเชื่อตามคำสอนของพราหมณ์นิกายต่าง ๆ ว่า          ชีวิตมนุษย์ถูกสร้างขึ้นจากกายของพระพรหม            ดังนั้น ความรู้ในหลักสูตรศิลปศาสตร์   ๑๘ สาขานั้นจึงถูกประทานแก่มนุษยโดยพระพรหมเอง     แม้เราจะยอมรับความจริงข้อนี้โดยปริยายว่าเป็นความจริง    แต่เมื่อพราหมณ์นำความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ จนนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน      เสรีภาพและหน้าที่และเลือกปฏิบัติต่อบุคคลในสังคม           เมื่อความรู้เรื่องการมีอยู่ของพระพรหม ถูกนำไปใช้เพื่อบัญญัติกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี   โดยอ้างว่าพระพรหมได้สร้างวรรณะขึ้น       เพื่อให้มนุษย์  ซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา          ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อประกาศบังคับใช้แล้ว  ย่อมมีสภาพบังคับตามกฎหมายที่ประชาชนต้องปฏิบัติตาม   กล่าวคือ  การห้ามมิให้ประชาชนแต่งงานข้ามวรรณะ และการห้ามประชาชนปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นของวรรณะอื่น    

                  ปัญหาก็คือว่า "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความรู้นี้เป็นความจริง  ? "           ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์นั้น มีต้นกำเนิดจากจิตใจมนุษย์ ซึ่งใช้อายตนะภายใน    เพื่อรับรู้สิ่งต่าง ๆ เช่น ภูเขา แม่น้ำ อาคารบ้านเรือน  รถยนต์   และสิ่งที่จับต้องไม่ได้   เช่น กลิ่น คลื่นวิทยุ  เสียง คลื่นอินเตอร์เน็ต        เมื่อสิ่งเหล่านี้เข้ามาในชีวิตเรา แต่จิตใจมนุษย์เป็นสิ่งจับต้องไม่ได้     จึงไม่สามารถเก็บวัตถุที่จับต้องได้หรือไม่มีรูปร่างไว้ในจิตใจของตนเองได้    นอกจากการรวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ  ของสิ่งเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์       อย่างไรก็ตาม  ธรรมชาติของจิตใจมนุษย์คือเมื่่่่อรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง  มักจะคิดจากสิ่งนั้น  โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานทางอารมณ์ภายใน   โดยใช้เหตุผล  เป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของคำตอบนั้น       หากข้อเท็จจริงใดที่จิตใจรับรู้แล้วเป็นที่น่าพอใจ ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจ          หากข้อเท็จจริงใดที่จิตรับรู้แล้ว  ไม่เป็นที่น่าพอใจ  ก็จะให้เกิดความทุกข์    

              ดังนั้น ต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์       จึงมีจุดเริ่มต้นที่จิตใจมนุษย์รับรู้เหตุการณ์ต่าง       ๆ    ผ่านอายตนะภายใน  ซึ่งมีทั้งสิ่งที่จับต้องได้และนามธรรม   และรวบรวมเหตุการณ์เหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์อยู่ในจิตใจ        อย่างไรก็ตาม  ธรรมชาติของมนุษย์ มิได้เพียงแค่รับรู้และเก็บหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจเท่านั้น        แต่มีธรรมชาติของนักคิดอีกด้วย    เมื่อรู้สิ่งไหน  พวกเขาก็จะคิดจากสิ่งนั้นโดยจิตใจมนุษย์จะวิเคราะห์หลักฐานทางอารมณ์   โดยอนุมานความรู้เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น   โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือในการอธิบายความจริงของเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล    เหตุผลของคำตอบเรื่องนั้น  ถือว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงของมนุษย์คนนั้น  กล่าวอีกนัยหนึ่งจิตใจของมนุษย์    ถือเป็นต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ในทุกสาขาวิชาเป็นต้น 

ติดตามปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงผนวช  (ตอน๓)


ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ