Problems with the truth of consciousness and wisdom of Buddha in the Tipitaka Mahachulalongkornrajavidyalaya
บทนำ ปัญหาความจริงเกี่ยวกับภูมิปัญญาของเจ้าชายสิทธัตถะในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ
ในการศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับภูมิปัญญาของเจ้าชายสิทธัตถะในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ นั้น ถือเป็นปัญหาทางอภิปรัชญาซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาพุทธภูมิ เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับมนุษย์ จึงถือเป็นปัญหาอภิปรัชญาที่น่าสนใจในการศึกษา และค้นคว้าความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตามหลักวิชาการของพระพุทธศาสนาและปรัชญา ได้กำหนดวิธีพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้าไว้ว่า เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องหนึ่งเรื่องใด อย่าเชื่อทันทีว่าจริงให้สงสัยไว้ก่อน จนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบ หรือพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ถ้าไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ให้ถือว่าข้อเท็จจริงจากพยานเพียงคนเดียวนั้น นักปรัชญาถือว่าไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถฟังข้อเท็จจริงได้เพราะมนุษย์มักมีอคติต่อกัน เกิดจากความเกลียดชัง ความชอบรักใคร่ ความกลัว และความโง่เขลา เป็นต้น และมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ในร่างกาย มีข้อจำกัดในการรับรูั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมเกิดขึ้น หากบุคคลเหล่านี้เป็นพยานยืนยันความจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทำให้เกณฑ์ตัดสินความรู้จริงนั้นขาดความสมเหตุสมผล ขาดความน่าเชื่อ ไม่เป็นสากลและไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงนี้ว่าเป็นความจริงได้ ดังนั้นความรู้ของมนุษย์ตามคำสอนของเจ้าชายสิทธัตถะ มีทั้งความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของมนุษย์และสั่งสมอยู่ในจิตใจ เช่นมนุษย์ โลก และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เป็นต้น ขณะเดียวกันเจ้าชายสิทธัตถะทรงเสด็จออกผนวช เพื่อศึกษาสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ซึ่งเป็นความรู้เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ เช่น การมีอยู่ของเทวดาบนโลกสวรรค์เป็นต้น ตามหลักอภิปรัชญาแบ่งความเป็นจริงออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑.ความจริงที่สมมติขึ้น ๒. สัจธรรม ซึ่งเราสามารถอธิบายเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจได้ดังนี้
๑. ความจริงที่สมมติขึ้น โดยทั่วไปแล้ว มันเป็นความจริงประเภทหนึ่ง อาจเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเหตุการณ์ทางสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้นซึ่งเเป็นสภาวะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งและดับลงหายไปจากสายของมนุษย์ แต่ก่อนสภาวะเเหล่านี้จะดับลง มนุษย์สามารถรับรู้สภาวะะเหล่านี้เป็นความรู้จากประสบการณ์ชีวิตรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของพวกเขาเอง และสั่งสมเป็นความรู้อยู่ในจิตใจ ตัวอย่างเช่น ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ เมื่อเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาและก็ตายลงไป ถือว่ามนุษย์เป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสเท่านั้น การฆ่าคนตายเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และเสื่อมสลายไป, การลักทรัพย์หรือการหลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่น, การประพฤติผิดในกาม, การดูหมิ่นผู้อื่น, การแสวงหาความสุขด้วยสราและยาเสพติด เป็นความรู้ระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์ จึงเป็นความจริงที่สมมติขึ้นเท่านั้น
๒.ความจริงขั้นปรมัติถ์หรือสัจธรรม คือความจริงที่อยู่เหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ ที่ไม่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสของตนเองได้ เพราะการรับรู้ของมนุษย์นั้นมีจำกัด ถ้ามนุษย์พัฒนาศักยภาพในชีวิตด้วยการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ก็จะสามารถถึงความรู้ในระดับอภิญญา ๖ ได้ อันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ได้ เป็นสัจธรรมซึ่งเป็นความรู้อยู่เหนือขอบเขตของการรับรู้ประสาทสัมผัสของมนุษย์ เช่น สภาวะนิพพานซึ่งบุคคลที่จะรับรู้ถึงความรู้ที่แท้จริง ก็ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น และการพัฒนาศักยภาพชีวิตใช้เวลาหลายเวลาปีกว่าจะบรรลุถึงความรู้ในระดับอภิญญา ๖ ได้ ตัวอย่างเช่น การรลึกถึงอดีตชาติของตน การเห็นวิญญาณออกจากร่างกายไปจุติจิตอีกโลกหนึ่ง การบรรลุถึงสภาวะนิพพาน เป็นต้น ส่วนความรู้ในระดับวิทยาศาสตร์แม้นักวิทยาศาสตร์จะสร้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์ เพื่อค้นหาความจริงในเรื่องสัจธรรมนี้ก็ตาม แต่ไม่มีหลักฐานการวิจัยของการค้นพบความรู้ที่แท้จริงในระดับอภิญญา ๖ ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด แต่ความรู้ในระดับประสาทสัมผัสที่ละเอียดยิ่งขึ้นนักวิทยาศาสตร์ก็สร้างเครื่องมือวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ในการค้นหาความจริงของสิ่งต่าง ๆ โดยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานและวิเคราะห์ข้อมูลจากหลักฐานต่าง ๆ นั้น แต่สุดท้ายผู้อ่านค่าของข้อมูล ก็ต้องใช้จิตมนุษย์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เพื่อหาเหตุผลพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องที่น่าสงสัยนั้น เป็นต้น
ในการศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความจริงของชีวิต เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าตามหลักฐานพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ วิชชา ๓ จุตูปปาตญาณ ข้อ ๑๓.เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง อ่อนเหมาะแก่การใช้งาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว เรานั้นได้น้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ ดังนี้ คำถามว่า"สติ" คืออะไร เมื่อศึกษาจากหลักฐานในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ. ศ. ๒๕๕๔ หมายถึง"ความระลึกได้" ส่วนตำว่า"ความระลึกได้" หมายถึง" คิดถึงหรือนึกถึงเรื่องราวหรือเหตุการณ์ในอดีต กล่าวคือ เมื่อธรรมชาติของมนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ คุณสมบัติของจิตใจอาศัยอยู่ในกายและใช้อวัยวะอินทรีย์ ๖ เชื่อมต่อกับวัตถุแห่งกิเลส (มนุษย์, เครื่องประดับ, โทรศัพท์มือรุ่นใหม่) หรืออารมณ์แห่งกิเลส (เสียงไพเราะ กลิ่นหอม หรือกลิ่นมนุษย์) แล้ว เกิดสภาวะที่เรียกว่า "ตัณหา" คือ ความปรารถนาของจิตที่จะแสวงหาสิ่งต่าง ๆ เพื่อสนองตัณหาของตัวมันเอง หากหาเงินมาซื้อของที่สนองตัณหาของจิตด้วยการทำงานสุจริต เรียกว่า "กุศล" ถ้าหาเงินซื้อของจากงานไม่สุจริตที่เรียกว่า "อกุศล" กรรมที่กระทำแล้วไม่สูญเปล่า แต่เป็นอารมณ์ (หรือพลังงาน) สั่งสมอยู่ในจิตใจของตน ตัวอย่างเช่น วางแผนที่จะให้ลูกดื่มยาพิษจนเกิดผลเสียต่อร่างกาย ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วยท่าทีน่าสงสารว่าไม่มีค่ารักษาพยาบาลเพราะรายได้ไม่เพียงพอจ่าย และแชร์ข้อความทางอินเตอร์เน็ต เพื่อหาเงินบริจาคค่ารักษาพยาบาลได้หลายล้านบาท เป็นต้น หากผู้กระทำมีสติระลึกว่าหากทำเช่นนั้น เมื่อพาเด็กไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา จะต้องได้รับการตรวจหาสารอันตรายในร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากตนใช้ปัญญาพิจารณาว่า ความเห็นของแพทย์นำไปสู่การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล และหาสาเหตุของการละเมิดกฎหมายและความสงบเรียบร้อยด้วยศีลธรรมของประชาชน เมื่อแชร์ข่าวออนไลน์บนอินเตอร์เน็ต ผู้คนจะวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของตนบนเอกสารดิจิทัลตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่นำเสนอข่าวนั้น เมื่อเป็นผู้ต้องหา ต้องนำตัวขึ้นพิจารณาคดี ศาลพิพากษาว่าตนกระทำผิดกฎหมายอาญาต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ต้องรับโทษตามกฎหมายอาญาต่อไป และการฝ่าฝืนหลักศีล ๕ ของพระพุทธเจ้า แม้สภาพที่เกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่งได้หายไปจากสายตาแล้ว แต่กรรมนั้นไม่ดับ เพราะจิตนี้ได้รับสภาวะแห่งกรรมด้วยตัวเองและถูกเก็บไว้ในจิตวิญญาณของตน จนกลายเป็นสัญญาอยู่ในดวงวิญญาณนั้น และติดตามจิตวิญญาณไปเกิดอีกภพอื่นด้วย เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น