Introduction: Prince Siddhartha's Wisdom in Eliminating Human suffering
บทนำ ภูมิปัญญา เจ้าชายสิทธัตถะ ปรัชญา

โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ทั่วโลกเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ถึงธรรมชาติของชีวิต ทั้งของตนเองและของผู้อื่น แม้ว่าจะมีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในและได้สั่งสมเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจ ว่ามนุษย์เป็นอนิจจังและทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็กลัวตายแต่ไม่กลัวการเกิดใหม่ พวกเขาไม่ต้องการตาย เพราะมนุษย์โหยหาคนที่รักและต้องการอยู่ด้วยกันตลอดไป การพลัดพรากจากคนที่รักกลายเป็นความทุกข์ ดังนั้น มนุษย์จึงคิดค้นวิธีขจัดทุกข์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตนเอง แม้ว่ามนุษย์จะเป็นสัตว์ที่มีเหตุผล โดยใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่ออธิบายความจริงของคำตอบได้ก็ตาม เพื่อแก้ไขความทุกข์อยู่ในใจของตนได้ แต่มนุษย์ก็ได้คิดหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อแก้ไขความทุกข์ในจิตใจของผู้คน การศึกษาพระปัญญาอันล้ำเลิศของเจ้าชายสิทธัตถะ ทำให้เราสำรวจทั้งความรู้ทางปรัชญาและศาสนาได้แม้ว่าทั้งปรัชญาและพระพุทธศาสนาจะมีต้นกำเนิดแห่งความรู้จากมนุษยเหมือนกัน แต่ความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบความรู้ วิธีพิจารณาความจริงและความสมเหตุสมผลของความรู้นั้นต่างก็เป็นความรู้ของมนุษย์เช่นกัน แม้ว่าวิธีการพิจารณาเหล่านี้จะคล้ายคลึงกันแต่มีความแตกต่างกันอย่างมากในรายละเอียด
ยกตัวอย่างเช่น ในปรัชญาสมัยพุทธกาล คนส่วนใหญ่มักอาศัยความคิดเห็นของพยานบุคคลเป็นหลัก เพื่อยืนยันความจริงในเรื่องต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม พยานเหล่านี้มีอายตนะภายใน ซึ่งจำกัดความสามารถในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ พวกเขามักจะลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นำไปสู่ชีวิตที่มืดมน พยานเหล่านี้มักขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ จึงไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงในชีวิตของตน ซึ่งล้วนเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า ส่วนมนุษย์บางคนก็มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายในเช่นกัน แต่ทักษะทางปัญญาของพวกเขาเทียบไม่ได้กับพระพุทธเจ้า ในแง่ของการระลึกชาติในอดีต พระองค์ทรงสามารถระลึกชาติได้อย่างน้อย ๔ อสงไขย ๔ แสนกัปป์ ซึ่งเหนือกว่าพระอรหันต์ทุกองค์ในชาติก่อน ๆอย่างไรก็ตาม เนื่องจากปรัชญาและพระพุทธศาสนามีหน้าที่คำตอบที่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนี้จริง ? สำหรับสังคมมนุษย์ทั่วโลก พระพุทธเจ้าในฐานะศาสดาของโลก ทรงได้สอนมนุษย์ให้ศึกษาถึงต้นกำเนิดของความรู้ของมนุษย์ องค์ประกอบของความรู้ วิธีพิจารณาความจริง และความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์ ดังนั้น การแสวงหาความรู้จึงจำเป็นต้องอาศัยแนวปฏิบัติสากล ที่มนุษย์ทุกคนสามารถปฏิบัติได้อย่างเท่าเทียมกัน ผลลัพท์ของแนวปฏิบัติดังกล่าวควรเป็นความรู้ที่สมเหตุสมผล หรือไม่? คำตอบที่ได้จากกระบวนการพิจารณาความจริงของพุทธศาสนา หรือปรัชญาพุทธ คือความรู้ที่แท้จริง ความรู้นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และเป็นประโยชน์ต่อประชาชน สังคม และประเทศชาติ เป็นต้น
เมื่อเราพิจารณาต้นกำเนิดของความรู้ทางปรัชญาและพระพุทธศาสนาแล้ว ก็คือมนุษย์ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าได้ขจัดความมืดมนที่หยั่งรากลึกในชีวิตมนุษย์ ซึ่งผู้คนเชื่อว่าแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์นั้น มีต้นกำเนิดมาจากกายของพระพรหมและพระอิศวร อย่างไรก็ตาม ความเชื่อนี้ยังมีส่วนทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงอีกด้วย เมื่อสมาชิกรัฐสภาแห่งราชวงศ์ศากยะบัญญัติคำสอนของศาสนาพราหมณ์ให้เป็นกฎหมายวรรณะ ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีเมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายวรรณะแล้ว พลเมืองก็มีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตาม ได้แก่ ห้ามมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลในวรรณะอื่นและงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวสักกะเกิดมาโดยไม่รู้และขาดการศึกษาเกี่ยวกับความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ เมื่อพวกเขาละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะ จารีตประเพณีโดยการล่วงประเวณีกับบุคคลในวรรณะอื่น และปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่นพวกเขาถูกสังคมสอบสวนข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานที่เพียงพอ พวกเขาวิเคราะห์ข้อเท็จจริงโดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ เพื่ออธิบายความความจริงของการละเมิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี ดังนั้น พวกเขาจึงถูกสังคมตัดสินและลงโทษด้วยการขับไล่ออกจากสังคมที่พวกเขาเกิดมา เป็นต้น
ความรู้เกี่ยวกับปรัชญามนุษย์ เนื่องจากต้นกำเนิดของความรู้ทางปรัชญามาจากมนุษย์ นักศึกษาจึงเข้าใจความจริงทางปรัชญาได้ไม่ยากนัก หากเราเข้าใจคำว่า "แนวคิดของนักปรัชญา" เข้าใจวิธีพิจารณาความจริงทางปรัชญา และเข้าใจวิธีการอนุมานความรู้จากหลักฐาน โดยใช้เหตุผลเป็นเครื่องมือที่ใช้ เพื่ออธิบายความจริงเรื่องต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล เราก็จะเข้าใจพระพุทธศาสนาและปรัชญาได้ง่ายขึ้น เมื่อเราพิจารณาโครงสร้างหรืออัตลักษณ์ทางปรัชญาเราจะเห็นว่าปรัชญาพุทธภูมิ ก็คือความรู้ของมนุษย์ แหล่งที่มาของความรู้ของปรัชญาพุทธภูมิ ก็คือความรู้จากประสบการณ์ชีวิตที่รับรู้ผ่านอายตนะภายในและสั่งสมเป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจของมนุษย์ เมื่อตระหนักถึงอารมณ์ต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และเหตุการณ์ทางสังคมมนุษย์ที่เกิดขึ้น ตามแนวคิดของพระพุทธเจ้าที่ว่าเมื่อได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดแล้วไม่ควรเชื่อทันที่ว่าจริง จนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอ เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นได้ หากไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริงแล้วข้อเท็จจริงที่ได้ยินจากพยานเพียงคนเดียวนั้นไม่น่าเชื่อถือและเป็นความจริงในเรื่องนั้น เพราะมนุษย์มีอคติต่อกันอาจยืนยันความจริงให้สมเหตุสมผลและสอดคล้องกับความคิดเห็นของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพราะความไม่รู้ความเกลียดชัง ความกลัว และความเสน่หาส่วนตน เป็นต้น นอกจากนี้มนุษย์มีอายตนะภายใน ที่มีความสามารถในการรับรู้ได้จำกัดเหตุการณ์ทางสังคมของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นห่างไกลหรือในอาคาร เป็นต้น
เนื่องจากปรัชญาเป็นมารดาแห่งศาสตร์ทั้งปวง นักวิทยาศาสตร์ จึงได้พัฒนาองค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์ขึ้นมาจากปรัชญา เมื่อนักวิทยาศาสตร์เห็นความรู้ของนักตรรกศาสตร์และนักปรัชญา เป็นมนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดความสามารถในการรับรู้และมีอคติ โดยการสร้างความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เพื่อช่วยนักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเพื่อเรียรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโลก ดวงอาทิตย์ ดวงดาวต่าง ๆ และสิ่งที่มีชีวิตเล็กทีี่สุด เป็นต้น นักวิทยาศาสตร์จึงแยกเนื้อหาของโลก ดวงดาว ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น ออกจากปรัชญา เพราะเนื้อหาของปรัชญาส่วนใหญามาจากแนวคิดของนักปรัชญา แต่นักปรัชญาก็มีข้อจำกัดในการรับรู้ผ่านอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ประการ และเป็นความรู้ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจมนุษย์นั้นว่ามีองค์ความรู้ไม่สมบูรณ์ในเรื่องนั้นๆ จำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวมรวมหลักฐานมเพิ่มเติม เมื่อความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มีเนื้อหาเพิ่มมากขึ้น เพราะเครื่องวิทยาศาสตร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ มาวิเคราะห์ โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้นหรือพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องต่าง ๆ ดังนั้น เนื้อหาของวิทยาศาสตร์จึงแยกออกจากปรัชญา เพื่อจัดตั้งเป็นสาขาวิทยาศาสตร์ ต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเครื่องมือวิทยาศาสตร์เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม เนื้อหาของวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ก็ถูกแยกเป็นสาขาวิชาใหม่ ๆ มากมายที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ประยุกต์ เป็นต้น
แม้ว่า วิทยาศาสตร์จะแยกเนื้อหาออกจากปรัชญาพุทธศาสนาก็ตามแต่นักวิทยาศาสตร์ใช้กระบวนการพิจารณาความจริงของปรัชญาพุทธศาสนาในวิชาวิทยาศาสตร์ของตนเอง โดยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เช่น หลักฐานที่เป็นความเห็นของผู้เชียวชาญ เอกสารเกี่ยวข้องกับการวิจัย ผลการตรวจเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสารพิษในร่างกายและเชื้อโรคต่าง ๆ เป็นต้น มาวิเคราะห์หลักฐานโดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นๆ เมื่อวิทยาศาสตร์สนองความต้องการของมนุษย์ยุคใหม่ได้ดีกว่าสาขาวิชาอื่น ๆ ด้วยการสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ช่วยวิเคราะห์หลักฐานหรือข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ได้แม่นยำกว่าจิตใจมนุษย์ เพราะมนุษย์มีการรับรู้ที่จำกัดและมีชีวิตที่อ่อนแอ ขาดกำลังสมาธิ ขาดความมั่นคงทางอุดมการณ์และอ่อนไหวในการปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้อื่นมาก มนุษย์มักจะมีอคติต่อผู้อื่น แม้ว่านักวิทยาศาสตร์ จะสามารถสร้างเครื่องมือที่ช่วยสืบสวนในเรื่องนี้ได้ก็ตาม และรวบรวมหลักฐานที่อยู่นอกเหนือขอบเขตการรับรู้ทางประสาทสัมผัสของมนุษย์ แต่ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าข้อเท็จจริงตามหลักฐานนั้นเป็นจริงหรือเท็จ
ดังนั้น เมื่ออาจารย์อธิบายให้นักศึกษาฟังว่า นักปรัชญาแต่ละคนคิดอย่างมีเหตุมีผลอย่างไร ? นักศึกษามักจะสงสัยว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความคิดเห็นในเรื่องนั้นเป็นจริง? มันสร้างประเด็นทางปรัชญาและเกิดข้อถกเถียงทางเหตุผลโดยไม่จบสิ้น พวกเขาไม่เห็นประโยชน์จากการศึกษาปรัชญา สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะอาจารย์ผู้สอนปรัชญาไม่เน้นวิธีพิจารณาความจริงของปรัชญา ที่เริ่มต้นเมื่อได้ยินความคิดเห็นในเรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต เราไม่ควรเชื่อทันที เราควรสงสัยไว้ก่อน จนกว่าจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง ๆ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบ ปัญหาของนักศึกษาที่สงสัยว่าเรียนปรัชญาไปทำไม จะไม่เกิดขึ้น การศึกษาโดยไม่อธิบายวิธีพิจารณาความจริงของปรัชญานั้น เป็นการศึกษาที่ไม่มีจุดมุ่งหมายในการแสวงหาความรู้จากนักปรัชญาเหล่านั้น นักศึกษาจะสงสัยว่าทำไมเราจึงศึกษาแนวคิดของนักปรัชญาคนนั้น ? ผู้เรียนจะรู้สึกเบื่อกับการเรียนปรัชญา เพราะรู้สึกว่าเปล่าประโยชน์ เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์ความคิดเห็นของนักปรัชญา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเราจะเห็นอัตลักษณ์ของปรัชญาและเข้าใจหลักการได้ง่ายขึ้น เห็นความแตกต่างในแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ปรัชญา และพระพุทธศาสนาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ภูมิปัญญาของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรด้านศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขา พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมชาวพระนครกบิลพัสดุ์ และทรงมองเห็นปัญหาที่แท้จริงของจัณฑาลที่ถูกคนในสังคมลงโทษ เพราะพวกเขาไม่สามารถควบคุมตัณหาของตนได้ ดังนั้นพวกเขาจึงกระทำความผิดอย่างร้ายแรงต่อหลักคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ โดยฝ่าฝืนข้อห้ามกาแต่งงานระหว่างวรรณะและการห้ามปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่น ศาลประชาชนตัดสินให้พวกเขาถูกไล่ออกจากสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่มาตลอดชีวิต ต้องอยู่อย่างคนเร่ร่อนตามท้องถนนในวัยชรา เจ็บป่วยและเสียชีวิตตามท้องถนน เป็นต้น เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นปัญหาชีวิตของจัณฑาลพระองค์ทรงหาหนทางที่จะช่วยเหลือจัณฑาลให้พ้นทุกข์แห่งชีวิตด้วยพระองค์ทรงเมตตากรุณาแล้ว พระองค์ทรงสติ(ใคร่ครวญ) ถึงความรู้ที่ศึกษาจากสำนักของครูวิศวมิตร ทำให้พระองค์ทรงสงสัยเกี่ยวกับความเป็นมาของจัณฑาล เจ้าชายสิทธัตถะทรงสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจัณฑาลและรวบรวมพยานบุคคลซึ่งเป็นปุโรหิต ที่ปรึกษาของมหาราชาแห่งแคว้นสักกะ ในกฎหมาย ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี เมื่อพระองค์ทรงได้ฟังข้อเท็จจริงจากปุโรหิตว่าพระพรหมและพระอิศวรเป็นผู้สร้างมนุษย์และวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา ปุโรหิตยืนยันข้อเท็จจริงด้วยว่า ปุโรหิตรุ่นก่อน ๆ เคยเห็นพระพรหมและพระอิศวรในอาณาจักรสักกะมาก่อน แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสถามประวัติของพรหมและอิศวร ก็ไม่มีใครตอบได้ เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว พระองค์จึงทรงสงสัยว่าพระพรหมและพระอิศวรมีอยู่จริงหรือไม่ เพราะพระองค์ทรงไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตจากการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของพระองค์เองเมื่อได้รับข้อมูลเพียงพอแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยปฏิรูปสังคมในอาณาจักรสักกะ โดยเสนอกฎหมายให้ยกเลิกกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ แต่เมื่อสมาชิกรัฐสภาแห่งอาณาจักรสักกะมาประชุมกันเพื่อพิจารณาลงมติให้ตรากฎหมายยกเลิกการแบ่งวรรณะนั้น เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายสมาชิกรัฐสภาแห่งแคว้นสักกะเห็นว่า การเสนอยกเลิกฎหมายนั้นขัดต่อหลักราชอปริหานิยธรรม ซึ่งเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีสูงสุดในการปกครองประเทศ จึงมีมิติที่เป็นเอกฉันท์ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายตามที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสนอให้พิจารณา
เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองในอาณาจักรสักกะเป็นเช่นนี้เจ้าชายสิทธัตถะทรงระลึกถึงคำสอนของพราหมณ์ ซึ่งเป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี นอกจากนี้กฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีที่กำหนดรูปแบบการปกครองสูงในประเทศสักกะ จึงเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปสังคมในอาณาจักรสักกะ หากพระองค์จะทรงรักษาสิทธิและหน้าที่ของราชวงศ์ศากยะ เพื่อปกครองอาณาจักรสักกะต่อไป พระองค์ก็ทรงไม่สามารถประกอบพระราชพิธีบูชายัญต่อพระพรหมได้ด้วยพระองค์เอง ที่จะขอพระพรหมผู้สร้างวรรณะได้ยกเลิกระบบวรรณะในอาณาจักรสักกะได้ เพราะเป็นสิ่งต้องห้ามตามคำสอนในศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี ซึ่งห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากพราหมณ์อารยันทำพิธีบูชายัญเพื่อขอพรจากพระพรหมและพระอิศวรช่วยประชาชนในอาณาจักรสักกะได้ และหากพระองค์เสนอตรากฎหมายยกเลิกวรรณะจารีตประเพณีก็คงไม่ได้รับการอนุมัติจากสมาชิกรัฐสภาเช่นเดิม เพราะการยกเลิกกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้วเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมายรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีแห่งราชอาณาจักรสักกะ พระองค์ก็ทรงพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่พระองค์ทรงสามารถทำได้ คือพระองค์ทรงละทิ้งสิทธิและหน้าที่ในการปกครองอาณาจักรสักกะ ตามวรรณะกษัตริย์ที่พระองค์ประสูติมาโดยพระองค์เสด็จออกไปผนวช เพื่อศึกษาและหาความรู้เกี่ยวกับความจริงของชีวิตมนุษย์ว่า พระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์และวรรณะตามคำสอนของพราหมณ์หรือไม่
เมื่อผู้เขียนได้ยินข้อเท็จจริงที่กล่าวมาข้างต้น แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าภูมิปัญญาของเจ้าชายสิทธัตถะเป็นอย่างไร ? แต่ผู้เขียนชอบที่จะแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป ผู้เขียนจึงตัดสินใจสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ อรรถกถา และคัมภีร์พระพุทธศาสนา เป็นต้น มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่างๆ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับภูมิปัญญาของเจ้าชายสิทธัตถะ บทความในเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อ พระธรรมทูตแห่งราชอาณาจักรไทยในต่างประเทศ เพื่อเผยแผ่คำสอนพระพุทธศานาและการปฏิบัติมรรคมีองค์๘ เพื่อพัฒนาชีวิตคนทั่วโลกให้มีปัญญาและตระหนักรู้อยู่ปัจจุบัน พระธรรมทูตสายต่างประเทศจะใช้บทความนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในภารกิจเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ โดยเฉพาะสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง เพื่อให้เนื่อหาของพระพุทธศาสนาไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนผู้สนใจศึกษาพระพุทธเจ้าก็จะมีความรู้ความเข้าในพระพุทธศาสนามากขึ้น ส่วนวิธีพิจารณาความจริงของปรัชญาคือ การสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอ มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานนั้นเพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบเกี่ยวกับภูมิปัญญาของเจ้าชายสิทธัตถะนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อนิสิตระดับปริญญาเอกในสาขาปรัชญา พระพุทธศาสนา และนิติศาสตร์ ใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูลจากหลักฐานต่าง ๆ คำให้การพยานบุคคลและพยานวัตถุ เช่น โบราณสถานและพุทธสถานต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องที่น่าสงสัย สามารถใช้เหตุผลในการอธิบายความจริงของคำตอบได้อย่างสมเหตุสมผล และสามารถตรวจสอบกระบวนการวิเคราะห์หลักฐานได้อย่างแม่นยำ บริสุทธิ์ และยุติธรรมต่อทุกฝ่าย เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น