The epistemological problem of Phu Chee Fah

๑.บทนำ ปัญหาญาณวิทยาของภูชี้ฟ้า
ในการศึกษาปรัชญาเกี่ยวกับความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา เช่น การมีอยู่ของภูชี้ฟ้า การมีอยู่ของเมืองกบิลพัสดุ์โบราณเป็นต้น แม้ว่ามนุษย์จะยอมรับการมีอยู่ของของภูชี้ฟ้าโดยปริยาย โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงของเรื่องการมีอยู่ของภูชี้ฟ้าในฐานะภูเขาสูงเท่าเทียมเมฆที่ลอยอยู่เบื้องหน้า มีอากาศเย็นสบาย บางคนก็อ้างว่ามีนักท่องเที่ยวมาเยือนภูชี้ฟ้ามากมาย จนมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากป้ายบอกทาง การจราจรติดขัดและสามารถมองเห็นภูชี้ฟ้าแต่ไกล แต่พวกเขาก็ประทับใจที่ได้เห็นนักท่องเที่ยวมากมายเช่นนี้ เป็นต้น เมื่อได้ยินความคิดเห็นเช่นนี้ เราก็ยอมรับการมีอยู่ของภูชี้ฟ้าโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมนุษย์มีอายตนะภายในที่จำกัดสามารถในการรับรู้และมีความลำเอียงต่อผู้อื่น โดยเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเนื่องจากความไม่รู้ของตนเอง ส่งผลให้ชีวิตของมนุษย์เต็มไปด้วยความมืดมน พวกเขาจึงขาดปัญญาที่จะเข้าใจความจริงที่สมมติขึ้นและความจริงขั้นปรมัตถ์ จึงไม่สามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงอย่างสมเหตุสมผลได้ แม้ว่ามนุษย์จะสามารถใช้เหตุผลอธิบายความจริงได้อย่างสมเหตุสมผล แต่เราไม่อาจรู้ได้ว่าเหตุผลของใครถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง บางคนไม่เคยไปภูชี้ฟ้ามาก่อน แต่สามารถอธิบายความจริงของภูชี้ฟ้าได้ในลักษณะนี้หรือในลักษณะนั้น ทำให้การใช้เหตุผลอธิบายความจริงของคำตอบคลุมเครือและไม่ชัดเจน เมื่อวิญญูชนได้ยินความคิดเห็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยังคงสงสัยเกี่ยวกับภูชี้ฟ้าอย่างไม่สิ้นสุด ในปัญหาเกี่ยวกับความจริงของต้นกำเนิดความรู้ของภูชี้ฟ้า องค์ประกอบความรู้ของภูชี้ฟ้า วิธีพิจารณาความจริงที่สมมติขึ้นและความเหตุสมผลของความรู้เกี่ยวกับภูชี้ฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่นักปรัชญาจำเป็นต้องศึกษา ค้นคว้า และแสวงหาคำตอบต่อไป
๒.ญาณวิทยา
เนื่องจากญาณวิทยาเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา นักปรัชญาสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิตมนุษย์ ซึ่งรวมถึงต้นกำเนิดของความรู้ของมนุษย์ องค์ประกอบของความรู้มนุษย์ วิธีการแสวงหาความรู้มนุษย์ และความสมเหตุผลของมนุษย์ บุคคลจะถือว่ามีความรู้ที่แท้จริงได้ ก็ต่อเมื่อได้รับประสบการณ์ผ่านอายตนะภายในของชีวิตมนุษย์ กล่าวคือ เมื่อมนุษย์ใช้อายตนะภายในรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับโลก จักรวาล และมนุษย์ บุคคลนั้นจะได้รับความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านอายตนะภายใน และสั่งสมไว้ในจิตใต้สำนึกของตนเอง
๒.๑ ต้นกำเนิดของความรู้ของผู้เขียนเกี่ยวกับ อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า กล่าวคือ เมื่อชีวิตของผู้เขียนประกอบด้วยปัจจัยทางร่างกายและจิตใจ ผู้เขียนใช้จิตใจของตนเองรับรู้ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภูชี้ฟ้าจากนักท่องเที่ยว ที่เล่าให้ฟังถึงความประทับใจในการเดินทางไปท่องเที่ยวภูชี้ฟ้าได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าในท่ามกลางหมู่เมฆหมอก ที่ลอยบนท้องฟ้าในระดับภูเขาสูง เมื่อพวกเขามองลงมาจากภูชี้ฟ้าเป็นภาพสวยงามตระกาลตามาก หรือเราอ่านข้อความในเวปไซด์ต่าง ๆ และรวบรวมเรื่องดังกล่าวไว้เป็นหลักฐาน ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในความงามของอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า เมื่อได้ความรู้ทางประสบการณ์ทางผัสสะแล้ว หรือมีอายตนะภายในเป็นสะพานเชื่อมระหว่างมนุษย์กับความรู้ในเรื่องราวเกี่ยวกับภูชี้ฟ้า แต่ความรู้ผ่านผัสสะตัวกลางเรานี้ แค่ทำให้เราได้นึกคิดจินตนาการถึงความจริง ที่มีอยู่เลยประสาทสัมผัสของตนออกไปหลายร้อยกิโลเมตร เรายังไม่ได้ผัสสะในความจริงเกี่ยวกับภูชี้ฟ้าแต่อย่างใด เราต้องเดินทางไปท่องเที่ยว เพื่อผัสสะภูชี้ฟ้าด้วยตัวเราจึงจะเกิดความรู้และความเป็นจริงเกี่ยวกับภูชี้ฟ้า
![]() |
| ภูชี้ฟ้าโดยปรัชญาแดนพุทธภูมิ |
ภูชี้ฟ้าเคยเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ ต่อมากลายแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงฤดูหนาว เพราะมีปัจจัยของทะเลหมอกที่สวยงามในฤดูหนาว หมอกมีให้เห็นทุกฤดูกาลแต่จะมีมากน้อยขึ้นอยู่กับความกดดันอากาศของโลกยอดเขาแห่งนี้ ห่างจากที่พักวัดพระเนตร ๔๒.๕ กิโลเมตรถือว่า ไกลพอสมควรใช้เวลาเดินทาง ๑ ชั่วโมง แต่ในวันนี้เป็นช่วงฤดูร้อนแล้วท้องฟ้าสว่างเร็วกว่าฤดูหนาว เมื่อคณะของเราเดินทางไปถึงภูชี้ฟ้าท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ในวันนี้คนมาน้อยมากเพราะหมอกแทบไม่มีให้ เห็นฉันทักทายกับนักท่องเที่ยว ๒-๓ คนเพิ่งเดินลงมาจากภูชี้ฟ้าภูชี้ฟ้า เป็นเคยเป็นภูเขาหัวโลนจึงต้นไม้น้อยมากมีหญ้าขึ้นอยู่ทั่วไป อากาศวันนี้เย็นสบายดีมากเดินมาที่ภูชี้ฟ้ายังไม่รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใดเหมาะแก่คน จะมาเดินออกกำลังกายเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกาย ยอดเขาห่าง ๗๐๐ เมตรจากล้านจอดรถที่อยู่เชิงเขาภูชี้ฟ้า เมื่อคณะของเราไปถึงยอดเขาภูชี้ฟ้าก็ไม่มีคนแล้ว พวกเขาเดินลงมาจากภูชี้ฟ้าช่วงนี้ใกล้เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว เมฆหมอก เริ่มหายไปหมดแล้ว เหลือแต่หมอกควันที่มนุษย์เผ่าไฟลอยขึ้น แต่อย่างไรลมเย็นก็พัดมาแม้จะน้อยไปแต่รู้สึกสบายดี จิตวิญญาณมนุษย์ต้องการพักผ่อนเช่นเดียวกับร่างกาย

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น