Epistemological problems of the "Civilized Era."
โดยทั่วไป เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับยุคศิวิไลซ์ จากคำเทศนาของพระภิกษุทั้งในนิกายเถรวาทและนิกายมหายาน จากตำราเรียน หรือจากเว็บไซต์ทำนายดวงชะตาต่าง ๆก็จะว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายในอนาคต แม้ว่าเราจะยอมรับข้อเท็จจริงเหล่านี้โดยปริยายว่าเป็นความจริง แต่ตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นพระองค์ตรัสสอนว่าเมื่อเราได้ยินความคิดเห็นในเรื่องใด อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงให้สงสัยไว้ก่อน จนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงพอแล้ว มาวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงในความจริงในเรื่องนั้น ๆ ถ้าไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น ข้อความเห็นที่เราได้ยินก็ไม่น่าเชื่อ จึงไม่สามารถยืนยันความจริงในเรื่องนั้นได้ เนื่องจากพยานหลักฐานทางปรัชญาก็คือมนุษย์ (eyewitness)ที่เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ มักจะมีคติต่อผู้อื่นและอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ ของร่างกายมนุษย์มีขอบเขตในการรับรู้ต่อสิ่งรอบตัวมนุษย์ที่จำกัด ข้อความเห็นที่พวกเขาแสดงความคิดเห็นข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่งเรืองใด อาจมีสาเหตุมาจากอคติ ความไม่รู้เนื่องจากขาดการศึกษา หรือไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส จึงขาดความน่าเชื่อถือและไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการหรือนักปรัชญาทำให้เกิดความสงสัยของคนในสังคมว่า "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นความจริง" เช่น ปัญหาการแต่งงานข้ามวรรณะของคนในสังคมก่อนพุทธกาล ปัญหาสาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงหลบหนีออกจากพระราชวังกบิลพัสดุ์ พระสิทธัตถะโพธิสัตว์ตรัสรู้กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความจริงของชีวิตมนุษย์ซึ่งเป็นความรู้ที่เหนือของเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ขึ้น หากไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความจริงหรือคาดเดาความจริง ก็ถือว่าข้อเท็จจริงนั้นยังไม่ชัดเจนย่อมทำให้เราสงสัยถึงที่มาของเรื่องราวเหล่านั้น นักปรัชญาจึงเสนอแนวทางแก้ไขปัญหานี้ เมื่อได้ยินข้อความเห็นในเรื่องใด จะต้องสงสัยว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง จนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานไว้เป็นข้อมูล เพื่อการวิเคราะห์และหาเหตุผลมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้น ส่วนหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ ในหลักญาณวิทยาในฐานะพยานบุคคล (witness) จะต้องมีความรู้จากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสของชีวิตและสั่งสมอยู่ในจิตใจเท่านั้นจึงถือเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อและตรวจสอบได้
ตามทฤษฎีความรู้ประจักษ์นิยมว่า"ที่มาของความรู้ของมนุษย์จะต้องเป็นความรู้ ที่ได้รับจากประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัสเท่านั้น และสั่งสมอยู่ในจิตใจมนุษย์เท่านั้น" เมื่อศึกษาประวัติศาสตร์แนวคิดของมนุษย์ จากหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ เราได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ในสมัยพราหมณ์รุ่งเรือง มนุษย์สนใจศึกษาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความจริงของมนุษย์ และเชื่อตามคำสอนของพราหมณ์ว่าพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะ เพื่อให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา นอกจากนี้พระพรหมยังสามารถช่วยให้มนุษย์บรรลุความปรารถนาในชีวิตด้วยการบูชาสิ่งมีค่า เมื่อเสร็จแล้วสิ่งของมีค่าเหล่านี้ ตกเป็นของพราหมณ์ผู้ทำพิธี และนำความมั่งคั่งมาสู่นิกายพราหมณ์ต่าง ๆ การบูชาจึงเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อการบูชาเทพเจ้าเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน พราหมณ์ทุกนิกายแข่งขันกันเพื่อบูชาเทพเจ้าและสรรเสริญเทพเจ้า เพื่อรักษาศรัทธาในเทพเจ้าของนิกายของตน ในที่สุดการแข่งขันบูชาเทพเจ้ากลายเป็นประเด็นทางการเมือง เมื่อพวกพราหมณ์อารยันพยายามหาวิธีจำกัดสิทธิ และหน้าที่ของพราหมณ์ดราวิเดียนในการบูชาเทพเจ้า เมื่อพราหมณ์อารยันได้รับแต่งตั้งเป็นปุโรหิต (priesthood) ที่ปรึกษาของกษัตริย์ พวกพราหมณ์จึงมีอิทธิพลทางการเมือง พวกเขานำเสนอคำสอนของพราหมณ์ต่อรัฐสภาศากยวงศ์ เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์และตรากฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ โดยอ้างว่า พระพรหมได้สร้างมนุษย์จึงสร้างวรรณะให้มนุษย์ทุกคนที่พระองค์สร้างขึ้นมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา และมีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยวรรณะ จนกลายเป็นนักโทษสังคมตลอดชีวิต เป็นต้น
เมื่อชีวิตมนุษย์ทุกคนมีความไม่เที่ยง ความคิดของมนุษย์ก็เป็นไม่เที่ยงเช่นกัน เมื่อความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์โบราณ ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ชีวิตของมนุษย์ทุกคนตกอยู่ในความมืดมิด เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาดังกล่าว แต่พระองค์ไม่สามารถปฏิรูปสังคมให้หายจากความมืดมน พระพุทธเจ้าทรงรู้จักพัฒนาศักยภาพของชีวิตด้วยวิธิการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ โดยทั่วไปแล้ว บุคลิกภาพของมนุษย์มีความกลัวซ่อนอยู่ในใจโดยเฉพาะคนที่มีอำนาจมากกว่าตนในด้านความรู้ หน้าที่การงานและตระหนักรู้เหนือประสาทสัมผัสขึ้นไปเช่น ผู้มีอำนาจทำมนต์ดำเพื่อให้คนอื่นป่วยในชีวิต เป็นต้น ทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขามีชีวิตอ่อนแอเกินไปจิตใจก็เต็มไปด้วยกิเลส วิตกกังวล และอารมณ์ฟุ้งซ่านมากเกินไป จนไม่สามารถทำสมาธิได้ กลายเป็นคนหยาบคายชอบสร้างปัญหาจึงไม่มีบุคลิกอ่อนโยนและไม่เหมาะสมที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมไม่มั่นคงในอุดมคติของชีวิตและอ่อนไหวต่อการปฏิบัติหน้าที่การงานของตนเองต่อผู้อื่น จนขาดสติที่จะระลึกถึงความรู้จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านประสาทสัมผัสของตนเองและขาดปัญญาในการนำความรู้นั้น ไปใช้แก้ปัญหาด้วยตนเอง เป็นต้น เมื่อชีวิตมีอคติเพราะความกลัว ความโกรธ ความรักใคร่ และความโง่เขลา พวกเขาจำเป็นต้องแสวงหาที่พึ่งทางจิตวิญญาณเพื่อหาทางออกจากปัญหาชีวิตด้วยความช่วยเหลือจากหมอดู คนทรง (medium) นักจิตวิทยาและพระวิปัสสนาจารย์ (Vipassana instructor) เป็นต้น ดังนั้น เมื่อคนเรามีปัญหาในชีวิต คนจึงมักจะขาดสติปัญญา เพราะเราไม่สามารถรู้ทันความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของตนเองได้ เพื่อใช้ความรู้นั้นในการแก้ปัญหาและพิจารณาข้อเท็จจริงก่อนตัดสินใจว่า ข้อเท็จจริงนั้นเป็นจริงหรือเท็จ? ก่อนที่เขาลงมือกระทำความผิดต่อหลักศีลธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและกฎหมายได้
การทำนายอนาคต แม้อนาคตจะไม่แน่นอน แต่มนุษย์ทุกคนก็อยากจะรู้ล่วงหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพวกเขา โดยเฉพาะอาชีพ เศรษฐกิจ สถานะทางสังคมและสุขภาพกาย เป็นต้น แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจากกิเลสที่แสดงออกตามเจตนาของตนก็ตาม คือพวกเขาก็ไม่มีความเข้าใจที่จะอธิบายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอนาคตของผู้คนในสังคม ผู้มีญาณทิพย์เช่นพระพุทธเจ้าทรงสามารถอธิบายข้อเท็จจริงของชีวิตนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้พัฒนาศักยภาพชีวิตด้วยการทำสมาธิ ชีวิตจะอ่อนแอ เพราะขาดกำลังสมาธิ จิตที่ไม่บริสุทธิ์ สั่งสมอารมณ์และกิเลสตัณหามากมาย จึงชอบมีอคติต่อผู้อื่น มีเพียงความมืดมิดที่เต็มไปด้วยอารมณ์เศร้า บุคลิกภาพหยาบไม่เหมาะกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ไม่มั่นใจในอุดมคติของชีวิตและอ่อนไหวต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อผู้อื่น เป็นต้น ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ตระหนักถึงปัญหาที่เข้ามา เพราะไม่สามารถจำความรู้จากประสบการณ์ชีวิตในอดีตที่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาชีวิตได้ แม้จะมีที่ปรึกษามาคอยช่วยเหลือ แต่ก็ต้องสอบสวนข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานวิเคราะห์เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องที่ยังมีข้อสงสัย และทำนายความเป็นไปของชีวิต ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งไม่เป็นความจริงเสมอไป เช่นการลงทุนในธุรกิจในปัจจุบันคือการตลาดทางอินเตอร์เน็ต หากจ้างพนักงาน โดยไม่ใช้เทคโนโลยี่ด้านคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตโดยตรงกับผู้บริโภค ไม่มีรายได้เพียงพอที่จะคลอบคลุมค่าใช้จ่าย อาจทำให้ธุรกิจล้มละลายได้ เมื่อการดำเนินธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ชีวิตไม่มั่นคง หรือบ้านเมืองไม่มีความสงบสุขตามหลักศีลธรรมและกฎหมาย แต่ผู้คนใช้ชีวิตอย่างไม่ละมัดระวัง ขาดการศึกษาที่จะเข้าใจชีวิต เขาจึงคิดกับตัวเองว่าสังคมไม่ยุติธรรมกับเขา เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่คนกลุ่มเล็ก ๆ ออกมาประท้วงทางการเมือง ประเทศจึงขาดความสงบสุขบนพื้นฐานของศีลธรรมและกฎหมายหรือเมื่อ COVID -19 แพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านการหายใจ ระหว่างบุคคลในที่ทำงาน ตลาด โรงงานอุตสาหกรรม ศูนย์การค้า การบริการรถไฟฟ้าใต้ดินสาธารณะเป็นวิถีชีวิตทางสังคมแบบสุ่มเสี่ยง แต่มนุษย์มักจะประมาทเลินเล่อ เพราะพวกเขาขาดความระมัดระวังที่ต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ของตนเอง ผู้กระทำผิดอาจใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้แต่ไม่เพียงพอ กรรมส่งผลให้ติดเชื้อผ่านระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น
ในยุคมืดแห่งปัญญา เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ ก็ได้ยินข้อเท็จจริงว่า ในสมัยรุ่งเรืองของพราหมณ์ ถือเป็นยุคมืดแห่งปัญญาของมนุษยชาติ เพราะคำสอนของพราหมณ์เกี่ยวกับพระพรหมสร้างมนุษย์และวรรณะ เป็นทั้งคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ ที่ตราขึ้นในอาณาจักรสักกะ เมื่อการบูชาเทพเจ้าสร้างรายได้มหาศาลและความมั่งคั่งให้กับพราหมณ์นิกายต่าง ๆ หารายได้จากการบูชา กลายเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจในหมู่พราหมณ์ เพื่อรักษาศรัทธาและผูกขาดการบูชาเทพเจ้าในนิกายของตน เพื่อความมั่นคงของประเทศ ปุโรหิตได้ให้คำแนะนำต่อสมาชิกรัฐสภา เพื่อนำหลักคำสอนของพราหมณ์ไปบัญญัติเป็นกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะ เพื่อจำกัดสิทธิและหน้าที่ของพราหมณ์นิกายอื่นในการทำประกอบพิธีบูชายัญ โดยแบ่งชาวสักกะออกเป็น ๔ วรรณะคือวรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เป็นต้น เมื่อคำสอนของพระพรหมณ์เป็นกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ ย่อมมีสภาพบังคับของกฎหมายคือการสมรสข้ามวรรณะ และห้ามประชาชนปฏิบัติหน้าที่ของวรรณะอื่นหากฝ่าฝืนถือว่า กระทำผิดต่อบทบัญญัติกฎหมายจารีตประเพณีและคำสอนในศาสนาพราหมณ์อย่างร้ายแรง ต้องเสียสิทธิและหน้าที่ในวรรณะเดิม และกฎหมายจารีตประเพณีว่าด้วยวรรณะให้อำนาจกับคนในสังคมขับไล่ผู้กระทำความผิดออกจากสังคมได้ เมื่อถูกคนในสังคมขับไล่กลายเป็นจัณฑาล และต้องหนีจากสังคมเก่าไปใช้ชีวิตเร่ร่อนตามท้องถนนในเมืองใหญ่ตลอดชีวิต และใช้ชีวิตในวัยชรา ล้มป่วยและตายบนท้องถนนในเมืองใหญ่ เป็นต้น
เมื่อชาวอนุทวีปอินเดียเชื่ออย่างมั่นใจว่า พระพรหมสร้างมนุษย์ และ ช่วยให้ผู้คนประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยการทำพิธีบูชายัญร่วมกับพราหมณ์เพื่อติดต่อกับเหล่าทวยเทพ ผลคือมนุษย์ปฏิเสธที่จะพัฒนาศักยภาพชีวิตของตน เนื่องจากมีเพียงเทพและเทวดาเป็นที่พึ่งเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาจัณฑาลนักโทษที่ถูกลงโทษจากคนในสังคมเพราะกระทำผิดฐานฝ่าฝืนคำสอนในศาสนาพราหมณ์และกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะอย่างร้ายแรง พระองค์ทรงเกิดความเมตตาและพระกรุณาอันยิ่งใหญ่ต่อจัณฑาลซึ่งเป็นประชาชนของพระองค์เช่นเดียวกับชนวรรณะอื่น ๆ พระองค์ต้องการปฏิรูปสังคมในแคว้นต่าง ๆ ทั่วชมพูทวีป แม้พระองค์จะสำเร็จการศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขาวิชาจากสำนักของครูวิศวามิตรก็ตาม แต่พระองค์ทรงไม่มีความรู้เหนือประสาทสัมผัสถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าตามคำสอนของพราหมณ์อารยัน และการมีอยู่ของเทวดาตามคำสอนของพราหมมิลักขะแต่อย่างใด เพราะว่าพระองค์ทรงไม่สามารถประกอบพระราชพิธีบูชายัญได้ด้วยพระองค์เอง เพราะเป็นการกระทำความผิดกฎหมายจารีตประเพณีเกี่ยวกับวรรณะ ที่ห้ามมิให้คนวรรณะอื่นที่ทิใช่พราหมณ์ทำพิธีบูชายัญ แต่พระองค์ทรงชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องนี้ต่อไป พระองค์ตัดสินพระทัยตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานจากพราหมณ์ปุโรหิต พวกเขาให้การยืนยันต่อพระองค์ถึงการมีอยู่ของพระพรหมณ์และพระอิศวร เพราะปุโรหิตรุ่นก่อน ๆ เคยเห็นพระพรหมและพระอิศวรนี้ปรากฏพระวรกายในแคว้นสักกะมาก่อน พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างมนุษย์และวรรณะให้ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่พวกเขาเกิดมา เมื่อรายได้ของพราหมณ์จากการสังเวยมหาศาลและสร้างความมั่งคั่งมาสู่พราหมณ์เจ้าของเทวสถานทั่วอนุทวีป ถ้าพราหมณ์ในนิกายใดทำพิธีบูชายัญ เพื่อช่วยให้มหาราชาพระองค์ประสบความสำเร็จในการปกครองรัฐ พระองคฺ์ทรงศรัทธและแต่งตั้งเป็นปุโรหิต เป็นพราหมณ์ที่ปรึกษาของมหาราชาในด้านกฎหมาย ขนบธรรมและจารีตประเพณี และนโยบายทางการเมืองของรัฐนั้น เมื่อปรากฏการณ์ทางสังคมในสมัยนั้น พราหมณ์มิลักขะทำพิธีบูชายัญต่อเทวดา และมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายในการปกครองประเทศด้วย เมื่อพราหมณ์ชาวอารยันมองเห็นอนาคตทางการเมืองของประเทศ ก็จะเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ของคนสองเชื้อชาตินี้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง ชาวอารยันในประเทศต่าง ๆ จึงคิดหาวิธีการจำกัดสิทธิและหน้าที่ของชาวมิลักขะในการศึกษา อาชีพ และทำพิธีบูชายัญสาธยายพระเวทเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ตัวอย่างเช่น ในรัฐโกลิยะในยุคพระเจ้าโอกกากราชพวกพราหมณ์ปุโรหิตชาวอารยัน แนะนำสมาชิกรัฐสภาชาวโกลิยะบัญญัติกฎหมายวรรณะเพื่อจำกัดสิทธิและหน้าที่ของพวกมิลักขะ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของรัฐศาสนาพราหมณ์ ซึ่งปกครองโดยชาวอารยันเพียงฝ่ายเดียว การประกาศใช้กฎหมายจารีตประเพณีแบ่งชั้นวรรณะก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมครั้งยิ่งใหญ่สำหรับมนุษยชาติ เมื่อมนุษย์ทุกคนถูกริดรอนสิทธิและหน้าที่ของตนต่อประเทศชาติ แม้แต่คนได้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ ก็ขาดการพัฒนาศักยภาพของชีวิตให้มีความรู้ในระดับเหนือประสาทสัมผัสขึ้นไปการแต่งงานข้ามวรรณะทำให้ชนวรรณะพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ และศูทรต้องสละวรรณะ ออกไปใช้ชีวิตข้างถนน เพราะถูกลงพรหมทัณฑ์จากสังคมและถูกเหยียดผิวกันซึ่งเป็นปัญหาทางสังคมจนถึงยุคปัจจุบันนี้
ยุคศิวิไลย์ในสมัยพุทธกาล
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นปัญหาที่แท้จริงของจัณฑาลที่ต้องใช้ชีวิตเร่รอนไปตามท้องถนน เพราะกระทำผิดคำสอนของศาสนาพราหมณ์ และกฎหมายวรรณะด้วยการแต่งงานข้ามวรรณะ พวกเขาจึงถูกคนในสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่ขับไล่ออกจากที่อยู่อาศัย เนื่องจากการแต่งงานข้ามวรรณะ ต้องเสียสิทธิและหน้าที่ตามวรรณะที่มีอยู่เดิมโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นการประกอบชีพ การศึกษา การมีส่วนในการปกครองประเทศและการทำพิธีบูชาในศาสนาของตน เนื่องจากกฎหมายวรรณะจารีตประเพณี มีบทบัญญัติที่ชัดเจน ห้ามมิให้คนวรรณะอื่น ๆ ประกอบอาชีพของคนวรรณะอื่น เช่น การประกอบพิธีกรรมบูชายัญซึ่งสิทธิและหน้าที่ของวรรณะพราหมณ์ ห้ามวรรณะอื่นทำหน้าที่บูชายัญและสาธยายพระเวท เป็นต้น การแต่งงานข้ามวรรณะเป็นสิ่งต้องห้ามเพราะลูกที่เกิดมานั้นไม่รู้ว่าตนอยู่ในวรรณะใด จะถูกลงโทษตามกฎหมายจารีตประเพณีโดยคนในสังคมให้ขับไล่พวกเขาออกจากบ้านที่อาศัย และใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายบนถนนในพระนครกบิลพัสดุ์ และพระนครใหญ่อื่น ๆยุคศิวิไลย์หลังสมัยพุทธกาล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น