The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2560

ปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับแม่น้ำตโปทาในพระไตรปิฎก

Problems with the origin of knowledge about the Tapothara  River in Tripitaka according to the philosophy of Buddhism


บทนำ เรารู้อย่างไรว่าเป็นความจริง

          โดยทั่วไปแล้ว ชาวพุทธทั่วโลกได้ยินข้อเท็จจริงเรื่องตโปธารเป็นสถานที่อาบน้ำพุร้อนของชนในวรรณะต่าง ๆในรัฐพิหารเห็นได้อย่างชัดเจนจากคำบอกเล่าของชาวไทยพุทธที่เคยได้มาแสวงบุญที่สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ที่สาธารณรัฐอินเดียและสหพันธสาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้วชาวพุทธไทยเชื่อความจริงโดยปริยาย และไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยข้อเท็จจริงในเรื่องแม่น้ำตโปธารนี้อีกต่อไปก็ตาม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าเมื่อได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว อย่าเพิ่งเชื่อทันทีเราควรสงสัยก่อน จนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานให้เพียงพอ  เป็นข้อมูลมาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงในเรื่องนั้นอย่างสมเหตุสมผล  เป็นต้น      

          ตามหลักญาณวิทยา  นักปรัชญามีความสนใจศึกษาปัญหาเกี่ยวกับความจริงของต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ องค์ประกอบความรู้ของมนุษย์ วิธีพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า ความสมเหตุสมผลของความรู้และญาณวิทยามีหน้าที่ให้คำตอบว่า "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นความจริง ในการศึกษาต้นกำเนิดความรู้ของความรู้ของมนุษย์ ที่มาของความรู้ของมนุษย์ จะต้องรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสและสั่งสมความรู้อยู่ในจิตใจมนุษย์เท่านั้น  ดังนั้น บุคคลจะถือเป็นพยานหลักฐานเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องที่น่าสงสัยได้ เขาจะต้องมีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสเท่านั้นจึงจะเป็นพยานหลักฐานได้ หากเขาไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเองแล้ว ก็ไม่สามารถให้การยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นได้ ตามหลักปรัชญา เมื่อนักปรัชญากล่าวถึงความจริงในเรื่องอื่นใดนั้น ก็ต้องมีหลักฐานมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นหากไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงนักปรัชญาถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ยินมานั้น เป็นความเท็จ เป็นต้น  ในปัญหาความจริงของมนุษย์ ตามหลักอภิปรัชญาถือว่ามนุษย์เป็นความจริงที่สมมติขึ้นกว่า ๒,๕๐๐ กว่าปีต่อมา พระนครราชคฤห์เมืองหลวงแห่งอาณาจักรมคธอันยิ่งใหญ่ได้กลายเป็นเมืองร้างที่ไม่มีผู้คนอาศัยเพราะย้ายไปทีเมืองปาฏลีบุตร เมืองชายแดนแห่งรัฐมคธโบราณ พระนครราชคฤห์กลายเป็นเมืองแห่งความทรงจำของมนุษยชาติเหลือพยานวัตถุเป็นภูเขาห้าลูกล้อมรอบพระนครแห่งนี้ไว้และหลักฐานเอกสารในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ  และเป็นสัญญาห่อหุ้มวิญญาณติดตามวิญญาณไปสู่ภพชาติอื่นๆ หรือกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์เป็นไปตามกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ จากพยานเอกสารไปสู่พยานวัตถุด้วยการสร้างโบราณสถานขึ้นมา เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกเหตุการณ์เกิดขึ้นในสมัยครั้งพุทธกาลแม้ความรู้หลายอย่างติดตามจิตวิญญาณของมนุษย์ในยุคสมัยพุทธกาลไปจุติจิตในภพภูมิอื่นก็ตาม เมื่อหมดอายุขัยในภพชาตินั้น ก็จะมาอุบัติในโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง การตามรอยบาทพระพุทธเจ้าจึงเริ่มต้นกลับมาสู่แดนพุทธภูมิอีกครั้งหนึ่งเมื่อมนุษยชาติเห็นคุณค่าของพระพุทธเจ้า ความเจริญรุ่งเรืองทางวิทยาศาสตร์แก่ช่วยสนองความอยากรู้ของมนุษย์มากเกินไป    

             ๒.๑ ทฤษฎีประจักษ์นิยม เป็นทฤษฎีบ่อเกิดความรู้ของความมนุษย์ มีแนวคิดว่า มนุษย์ผู้ใดรับรู้จากประสาทสัมผัสเพียงเดียวเท่านั้นกล่าวคือผู้เขียนรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของผู้เขียน เมื่อได้เดินทางมาสู่ Saptadhara  เป็นสถานที่อาบน้ำพุร้อน ตั้งอยู่บนเส้นทางเข้าเมืองราชคฤห์เก่าเดินทางผ่านไปสู่เมืองนาลันทาเก่า ติดกับวัดเวฬุวันมหาวิหารทางทิศตะวันออกนั้นสถานอาบน้ำพุร้อนแห่งนี้มีชื่อว่าสัปตธารา(Saptadhara)ตั้งอยู่บนเชิงเขาไวภาวะ (Vaibhava)  เป็นสถานอาบน้ำแยกไปตามวัดต่าง ๆ ทั้งหมด ๗ วัดด้วยกัน  แต่ละวัดก็จะมีสายน้ำร้อนเป็นของตัวเอง ในแต่ละวัดก็จะมีเทพเจ้าต่างๆ สถิตอยู่ในเทวสถานตั้งอยู่ให้เห็นผู้คนก็จะไปอาบน้ำในวัดที่มีเทพเจ้าแต่ละคนที่นับถือตั้งอยู่ บนยอดเขาไวภาวะ เป็นสถานที่ตั้งของถ้ำสัตบรรณคูหาซึ่งเป็นที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑. สายน้ำไหลพุงออกมาจากสัปตธาราเป็นสายน้ำเล็ก ๆ ชื่อว่า เป็นแม่น้ำสายน้ำเดือดพล่านมีต้นกำเนิดจากแอ่งทะเลสาปใต้ภูเขาไวภาระไหลตัดผ่านพระนครราชคฤห์ เมื่อไหลผ่านขุมภีนรกทำให้สายน้ำนี้เดือดพล่านขึ้นมาทันเมื่อสถานที่แห่งนี้มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎก ทำให้ผู้เขียนสนใจศึกษาเรื่องราวของตโปทารา น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาพระพุทธศาสนา ให้มีความรู้ความเข้าใจยิ่งๆ ขึ้นไป.  

         ความสำคัญของแม่น้ำตโปธาราแห่งนี้ตั้งอยู่ในพระราชอุทยานเวฬุวันขนาดใหญ่ที่สุด...เป็นพระราชอุทานที่พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายเป็นที่จำพรรษาของพระพุทธเจ้าและพรภิกษุชฏิล ๑๐๐๐ รูป เพื่อใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติบูชาเพื่อพัฒนาศักยภาพทางจิตของผู้คนชาวเมืองราชคฤห์  แคว้นมคธ ในสมัยพุทธกาล ให้มีชีวิตที่มีความแข็งแกร่ง มีความเพียร อดทนต่อผัสสสะทั้งหลายที่เข้ามาสู่ชีวิตตลอดเวลาเพราะการฝึกสมาธิทำให้จิตหายความอ่อนแอ  ปราศจากกิเลสที่มีอยู่ในจิต  มีความบริสุทธิ์ มีจิตใจอ่อนโยนเหมาะแก่การทำงาน..ไม่มีจิตหยาบกระด้าง  มีความมั่นคงเพราะมีสมาธิ ย่อมสติไม่หวั่นไหวในผัสสะที่ผ่านเข้ามาทางอินทรีย์ ๖ ของชีวิต สั่งสมอยู่ในจิต สถานที่แห่งหนึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงศาสนาฮินดูอีกแห่งหนึ่ง ที่มีความสำคัญในเมืองราชคฤห์  ดังนั้น ผู้เขียนเคยมาสถานที่แห่งนี้หลายในฐานะเป็นพระธรรมะวิทยากรบรรยายให้แก่ผู้แสวงบุญชาวไทยหลายปีด้วยกัน การเขียนเรื่องราวที่ ณ สถานที่แห่งนี้ช่วยให้เราเข้าใจวิธีคิดทางปรัชญาและศาสนาได้เป็นอย่างดี การท่องเที่ยวในแดนพุทธภูมิจะไม่รู้สูญเปล่าจากความพอใจในการเดินทางมาที่รู้สึกว่าเสียทั้งเวลาและเสียทรัพย์สินทอง ทำให้เราเข้าใจความทุกข์ของชีวิตเรา.

          เมื่อเราศึกษาพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ (ฉบับมหาจุฬาฯ) มหาวิภังค์ ภาค ๒  ชข้อ ๗ นหานสิกขาบทว่าด้วยการสรงน้ำนอกสมัยเรื่องพระเจ้าพิมพิสาร ข้อ ๓๕๗. ว่า สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน  สถานที่ให้เหยื่อกระแต  เขตกรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นพระภิกษุทั้งหลายทรงน้ำในแม่น้ำตโปทา ที่นั้นพระเจ้าพิมพิสาร จอมทัพมคธรัฐ เสด็จไปแม่น้ำตโปทา  ด้วยพระราชประสงค์จะทรงสนานพระเศียร ประทับรออยู่ด้านหนึ่งด้วยพระดำริว่า เราจะสนานต่อเมื่อคุณเจ้าทั้งหลายสรงน้ำเสร็จแล้ว" พระภิกษุสรงน้ำจนพลบค่ำ ครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสารจอมทัพรับมคธทรงสนานพระเศียรในเวลาพลบค่ำ  เมื่อประตูเมืองปิดจำเป็นต้องประทับนอกเมือง  เช้าตรูจึงเสด็จไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับทั้ง ๆ ที่เครื่องประทินพระวรกายยังไม่จางหาย  ครั้งแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วประทับในที่อันควร พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถาม พระเจ้าพิมพิสาร จอมทัพรัฐมคธ เห็นชัด ชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมิกถา ลำดับนั้นพระเจ้าพิมพิสาร จอมทัพรัฐมคธผู้ซึ้งพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นชัด  ชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมิกถา ทรงลุกขึ้นจาอาสนะถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วประทักษิณแล้วเสด็จไป.  

เมืองราชคฤห์ 
         ทรงประชุมสงฆ์บัญญัติสิกขาบทลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งประชุมทรงสงฆ์เพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า "ภิกษุทั้งหลาย ทราบว่าพวกเธอเห็นพระราชาอาบน้่ำยังไม่รู้จักความพอดีจริงหรือ"ภิกษุทั้งหลายทูลว่า" จริงพระพุทธเจ้าขา " พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตำหนิว่า "ฯลฯ ภิกษุทั้งหลายไฉนพวกโมฆบุรุษเหล่านั้น เห็นพระราชาแล้วยังอาบน้ำไม่รู้ความพอดีเล่า ภิกษุทั้งหลายการกระทำอย่างนี้ มิได้ทำคนที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส  หรือทำคนที่เลื่อมใสอยู่แล้วให้เลื่อมใส ยิ่งขึ้นเลย ฯลฯ แล้วจึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงดังนี้ บัญญัติก็ภิกษุใด ยังไม่ถึงครึ่งเดือน อาบน้ำต้องอาบัติปาจิตตีย์  สิกขาบทนี้พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้แก่พระภิกษุทั้งหลายดังนี้. 

           จากพระไตรปิฎกเราวิเคราะห์ได้ว่า ตโปธา เป็นสถานที่ตั้งอยู่ในวัดเวฬุวันมหาวิหาร เพราะเคยเป็นพระราชอุทยานมาก่อน แต่ถวายเป็นที่จำพรรษาของพระพุทธเจ้า หลังจากพระองคืได้เสด็จมาเผยแผ่พุทธศาสนา ทำให้ผู้คนสละวรรณะเดิมออกบวชเป็นจำนวนมากและเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งในยุคต่อมา.  จากหลักฐานในพระไตรปิฎกนั้น พระเจ้าพิมพิสารทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธเจ้าและพุทธสาวก ทรงรอเข้าคิวสนานน้ำพุร้อนหลังจากพระภิกษุในวัดเวฬุวันจนถึงดึก จนเสด็จเข้าสู่ตัวเมืองราชคฤห์ไม่ได้เพราะประตูเมืองปิดก่อนเป็นต้นเหตุพระพุทธเจ้าทรงประชุมสงฆ์ เพื่อบัญญัติพระธรรมวินัยให้สรงน้ำ ๑๕ วันครั้งยกเว้นมีเหตุจำเป็นอื่น ๆ  

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ