The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

ปัญหาญาณวิทยาเกี่ยวกับตโปธารามในพระไตรปิฎก

          Epistemological Problems regarding  

               Tapodharam in The Tripitaka


บทนำ เรารู้อย่างไรว่าเป็นความจริง


          โดยทั่วไปแล้ว ชาวพุทธทั่วโลกต่างก็เคยได้ยินเรื่อง "ตโปธาราม" บ่อน้ำพุร้อนสำหรับผู้คนทุกวรรณะในรัฐพิหาร  สาธารณรัฐอินเดีย  เรื่องราวนี้ถูกถ่ายทอดมาจากชาวพุทธไทยที่ไปแสวงบุญที่สังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง ในสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธสาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล  เมื่อได้ยินเรื่อง "ตโปธาราม" แล้ว     ชาวพุทธไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อว่า "ตโปธาราม" มีอยู่จริง     ยอมรับความจริงโดยปริยาย และไม่สงสัยในความจริงข้อนี้อีกต่อไป      

                แต่เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ "มนุษย์" จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ   พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าพราหมณ์บางคนในโลกเป็นนักตรรกศาสตร์ นักปรัชญา    เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์ โลก  ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และการพิสูจน์การมีอยู่ของเทพเจ้า  ที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือนักปรัชญา ในการอธิบายความจริงของเรื่องราวเหล่านี้ตามปฏิภาณของตนเองตามหลักการแห่งเหตุผล   หรือเพื่อคาดคะเนความจริงในสิ่งที่ได้ยินมา   อย่างไรก็ตาม นักตรรกศาสตร์และนักปรัชญามักแสดงความคิดเห็นโดยใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงในเรื่องนั้น  บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผล เพื่ออธิบายความจริงที่ถูกต้อง    บางครั้งพวกเขาใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงที่ไม่ถูกต้อง   บางครั้งพวกเขาอาจใช้เหตุผลเพื่ออธิบายความจริงเรื่องนั้นในลักษณะนี้     หรือในลักษณะนั้น  เมื่อเหตุผลของคำตอบไม่ชัดเจนว่ามันคืออะไร วิญญูชนจะไม่เชื่อว่าเป็นความจริงและไม่ยอมรับว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงของเรื่องนั้น         

               ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า       เมื่อได้ยินข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราไม่ควรเชื่อทันทีว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง เราควรสงสัยก่อนว่าสิ่งนั้นไม่จริง  จนกว่าเราจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน  เมื่อเรามีหลักฐานเพียงพอ เราจะใช้หลักฐานนั้นเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริง  โดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายความจริงในเรื่องนั้นอย่างมีเหตุผล   เป็นต้น  

๒.ตามวิชาญาณวิทยา  นักปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาของความจริง เกี่ยวกับต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์ องค์ประกอบของความรู้ของมนุษย์ วิธีการพิจารณาความจริงของพระพุทธเจ้า ความสมเหตุสมผลของความรู้ของมนุษย์ และทฤษฏีความรู้หรือญาณวิทยามีหน้าที่ตอบคำถามที่ว่า"เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นความจริง" 

            ในการศึกษาต้นกำเนิดความรู้ของมนุษย์    แหล่งกำเนิดของความรู้ของมนุษย์ต้องรับรู้ผ่านอายตนะภายใน และสั่งสมไว้ในจิตใจมนุษย์เท่านั้น    ดังนั้น บุคคลที่สามารถถือเป็นพยานหลักฐานเพื่อยืนยันความจริงของคำตอบในเรื่องที่น่าสงสัยได้ จะต้องมีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเองเท่านั้น  จึงจะสามารถเป็นพยานหลักฐานได้   หากปราศจากความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเอง เขาก็ไม่สามารถยืนยันความจริงในเรื่องนั้นได้ ดังนั้น ตามทฤษฏีความรู้หรือญาณวิทยานั้น   เมื่อนักปรัชญาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น    จะต้องมีหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น       หากไม่มีหลักฐานใดพิสูจน์ความจริง  นักปรัชญาจะถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ยินมานั้นเป็นเท็จ เป็นต้น  

                    ในปัญหาเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์ ตามหลักอภิปรัชญามนุษย์ถูกมองว่าเป็นความจริงที่สมมติขึ้นกว่า ๒,๕๐๐ ปี  เมื่อนครราชคฤห์    เมืองหลวงแห่งอาณาจักรมคธอันยิ่งใหญ่ กลายเป็นเมืองร้างไร้ผู้คน    เนื่องจากพระเจ้าอชาตศัตรูย้ายนครราชคฤห์ ไปยังเมืองปาฏลีบุตร  เมืองชายแดนของรัฐมคธโบราณ   นครราชคฤห์จึงกลายเป็นนครแห่งความทรงจำของมนุษยชาติ  เหลือเพียงหลักฐานทางวัตถุ  เช่น ภูเขาห้าลูกที่โอบล้อมนครราชคฤห์โบราณ และหลักฐานเอกสารในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ  และความทรงจำกลายเป็นสัญญาห่อหุ้มดวงวิญญาณของชาวนครราชคฤห์ เมื่อตายไป  ก็จะติดตามดวงวิญญาณไปยังภพอื่น  หรือกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ตามกฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์    จากหลักฐานเอกสารสู่หลักฐานทางวัตถุโดยการสร้างโบราณสถานขึ้นมา เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงเหตุการณ์เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล        แม้ความรู้หลายประเภทติดตามวิญญาณของมนุษย์ในสมัยพุทธกาลไปเกิดในภพภูมิอื่น        เมื่อสิ้นอายุขัยของภพภูมินั้น พวกเขาจะกลับไปเกิดในภพภูมิมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง การตามรอยบาทพระพุทธเจ้าของชาวพุทธทั่วโลก จึงกลับคืนสู่ดินแดนแห่งพระพุทธเจ้าอีกครั้ง  เมื่อมนุษยชาติเห็นคุณค่าของพระพุทธเจ้า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็ช่วยสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ได้มากยิ่งขึ้นไป   

๒.๑ ทฤษฎีประสบการณ์นิยม เป็นทฤษฎีญาณวิทยาเกี่ยวกับต้นกำเนิดของความรู้ของมนุษย์ มีแนวคิดที่ว่า  มนุษย์รับรู้ผ่านประสาทสัมผัสเพียงเดียว   นั่นคือผู้เขียนรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของตนเอง เมื่อผู้เขียนได้เดินทางมาสู่ Saptadhara  เป็นแหล่งอาบน้ำพุร้อน ตั้งอยู่บนเส้นทางจากเมืองเก่าราชคฤห์ไปยังเมืองเก่านาลันทา ถัดจากวัดเวฬุวันมหาวิหารไปทางทิศตะวันออกนั้น    แหล่งอาบน้ำพุร้อนแห่งนี้เรียกว่าสัปตธารา  (Saptadhara)      ตั้งอยู่บนเชิงเขาไวภาวะ (Vaibhava)  เป็นสถานอาบน้ำร้อนตั้งอยู่ในวัดต่าง ๆ ทั้งหมด ๗ แห่งด้วยกัน  แต่ละวัดมีน้ำพุร้อนเป็นของตัวเอง ในแต่ละวัด  มีเทพเจ้าต่างๆ ประดิษฐานอยู่ในวัด  ซึ่งผู้คนสามารถมองเห็นได้ ผู้คนจะไปอาบน้ำพุร้อนในวัดที่มีเทพเจ้าที่ตนบูชา    บนยอดเขาไวภาวะเป็นที่ตั้งของถ้ำสัตบรรณคูหา         ซึ่งเป็นสถานที่ที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก. สายน้ำที่ไหลออกมาจากสัปตธาราเป็นสายน้ำเล็ก ๆ  เรียกว่า เป็นแม่น้ำเดือด  มีต้นกำเนิดจากแอ่งทะเลสาปใต้ภูเขาไวภาระ ไหลผ่านเมืองราชคฤห์ เมื่อไหลผ่าน "ขุมภีนรก"  แม่น้ำจะเดือดทันที   เนื่องจากสถานที่นี้  มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎก จึงทำให้ผู้เขียนสนใจศึกษาเรื่องราวของตโปทารา น่าจะมีประโยชน์ในการศึกษาพระพุทธศาสนา ให้มีความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้นไป.  

         ความสำคัญของแม่น้ำตโปธารานี้ตั้งอยู่ในพระราชอุทยานเวฬุวัน   ซึ่งเป็นพระราชอุทยานที่พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายเป็นที่จำพรรษาของพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป   ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อพัฒนาศักยภาพทางจิตของชาวเมืองราชคฤห์  แคว้นมคธ ในสมัยพุทธกาล   ให้มีการดำเนินชีวิตที่เข้มแข็ง มีความเพียรพยายาม อดทนต่ออารมณ์ต่าง ๆ  ที่เข้ามาในชีวิตตลอดเวลา     เพราะการปฏิบัติธรรมทำให้จิตไม่อ่อนแอ  ปราศจากกิเลสในจิต  เป็นผู้บริสุทธิ์ มีจิตใจอ่อนโยน   เหมาะกับการทำงาน..ไม่มีจิตใจหยาบกระด้าง  มีสมาธิมั่นคง  จิตจะไม่หวั่นไหวในอารมณ์ต่าง ๆ  ผ่านอายตนะภายในร่างกาย และสั่งสมไว้ในจิต 

          ตโปธารามเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญสำหรับการท่องเที่ยวเชิงศาสนาฮินดู ในเมืองราชคฤห์  ดังนั้น ผู้เขียนได้เคยมาที่นี้หลายครั้งในฐานะพระวิทยากรสอนธรรมะให้กับผู้แสวงบุญชาวไทยมาหลายปี การเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ช่วยให้เราเข้าใจวิธีคิดในเชิงปรัชญาและศาสนาได้เป็นอย่างดี การเดินทางในแดนพุทธภูมิจะไม่สูญเปล่าจากความพึงพอใจของการเดินทางที่รู้สึกเหมือนเสียเวลาและเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ทำให้เราเข้าใจความทุกข์ของชีวิต

          เมื่อเราศึกษาพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ (ฉบับมหาจุฬาฯ) มหาวิภังค์ ภาค ๒  ชข้อ ๗ นหานสิกขาบทว่าด้วยการสรงน้ำนอกสมัยเรื่องพระเจ้าพิมพิสาร ข้อ ๓๕๗. ว่า สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน  สถานที่ให้เหยื่อกระแต  เขตกรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นพระภิกษุทั้งหลายทรงน้ำในแม่น้ำตโปทา ที่นั้นพระเจ้าพิมพิสาร จอมทัพมคธรัฐ เสด็จไปแม่น้ำตโปทา  ด้วยพระราชประสงค์จะทรงสนานพระเศียร ประทับรออยู่ด้านหนึ่งด้วยพระดำริว่า เราจะสนานต่อเมื่อคุณเจ้าทั้งหลายสรงน้ำเสร็จแล้ว" พระภิกษุสรงน้ำจนพลบค่ำ ครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสารจอมทัพรับมคธทรงสนานพระเศียรในเวลาพลบค่ำ  เมื่อประตูเมืองปิดจำเป็นต้องประทับนอกเมือง  เช้าตรูจึงเสด็จไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับทั้ง ๆ ที่เครื่องประทินพระวรกายยังไม่จางหาย  ครั้งแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วประทับในที่อันควร พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถาม พระเจ้าพิมพิสาร จอมทัพรัฐมคธ เห็นชัด ชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมิกถา ลำดับนั้นพระเจ้าพิมพิสาร จอมทัพรัฐมคธผู้ซึ้งพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นชัด  ชวนให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมิกถา ทรงลุกขึ้นจาอาสนะถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วประทักษิณแล้วเสด็จไป.  

เมืองราชคฤห์ 
         ทรงประชุมสงฆ์บัญญัติสิกขาบทลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งประชุมทรงสงฆ์เพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า "ภิกษุทั้งหลาย ทราบว่าพวกเธอเห็นพระราชาอาบน้่ำยังไม่รู้จักความพอดีจริงหรือ"ภิกษุทั้งหลายทูลว่า" จริงพระพุทธเจ้าขา "พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตำหนิว่า "ฯลฯ ภิกษุทั้งหลายไฉนพวกโมฆบุรุษเหล่านั้น เห็นพระราชาแล้วยังอาบน้ำไม่รู้ความพอดีเล่า ภิกษุทั้งหลายการกระทำอย่างนี้ มิได้ทำคนที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส  หรือทำคนที่เลื่อมใสอยู่แล้วให้เลื่อมใส ยิ่งขึ้นเลย ฯลฯ แล้วจึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงดังนี้ บัญญัติก็ภิกษุใด ยังไม่ถึงครึ่งเดือน อาบน้ำต้องอาบัติปาจิตตีย์  สิกขาบทนี้พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้แก่พระภิกษุทั้งหลายดังนี้. 

           จากพระไตรปิฎกเราวิเคราะห์ได้ว่า ตโปธาม เป็นสถานที่ตั้งอยู่ในวัดเวฬุวันมหาวิหาร เพราะเคยเป็นพระราชอุทยานมาก่อน แต่ถวายเป็นที่จำพรรษาของพระพุทธเจ้า หลังจากพระองคืได้เสด็จมาเผยแผ่พุทธศาสนา ทำให้ผู้คนสละวรรณะเดิมออกบวชเป็นจำนวนมากและเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งในยุคต่อมา.  จากหลักฐานในพระไตรปิฎกนั้น พระเจ้าพิมพิสารทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธเจ้าและพุทธสาวก ทรงรอเข้าคิวสนานน้ำพุร้อนหลังจากพระภิกษุในวัดเวฬุวันจนถึงดึก จนเสด็จเข้าสู่ตัวเมืองราชคฤห์ไม่ได้เพราะประตูเมืองปิดก่อนเป็นต้นเหตุพระพุทธเจ้าทรงประชุมสงฆ์ เพื่อบัญญัติพระธรรมวินัยให้สรงน้ำ ๑๕ วันครั้งยกเว้นมีเหตุจำเป็นอื่น ๆ  

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ