เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้กฎธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษย์ และทรงเห็นด้วยญาณทิพย์เหนือมนุษย์ทั่วไปว่า มนุษย์มีวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ซึ่งเป็นความรู้ที่ก้าวข้ามขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ที่ไม่มีใครบรรลุถึงความรู้ที่แท้จริงในระดับอภิญญา ๖ มาก่อน เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระองค์แรกในโลก ด้วยวิธีการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ จนกระทั้งบรรลุถึงความรู้ระดับอภิญญา ๖ ดังนั้นกฎธรรมชาติจึงเป็นความรู้สากลที่ทุกคนสามารถนำอริยมรรคมีองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติได้ผลเหมือนกันทุกคน ดังนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงทำให้คนรู้ว่าชีวิตมนุษย์จึงไม่ได้มีปัจจัยเพียงร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีวิญญาณที่ปฏิสนธิอยู่ในร่างกายของมารดาด้วย ดวงวิญญาณของมนุษย์อาศัยอวัยวะรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสังคมของโลกมนุษย์ผ่านประสาทสัมผัสของตนเอง และมนุษย์รวบรวมหลักฐานเป็นอารมณ์สั่งสมอยู่ในจิตใจ เมื่อจิตใจของมนุษย์ใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผลของตนเองยืนยันข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้น หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลเและเรื่องราวที่ไม่ชัดเจน ก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา นักปรัชญาชอบศึกษาเรื่องนี้ต่อไป ดังนั้นการสืบเสาะข้อเท็จริงและรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์หาเหตุผลพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบต่อไป แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องชีวิตมนุษย์ว่า เมื่อคนตายวิญญาณที่อยู่ในร่างกายจำเป็นต้องปลดปล่อยร่างกายที่ถูกทำลาย เพราะวิญญาณไม่สามารถใช้ร่างกายเพื่อรับรู้อารมณ์ของโลกได้อีกต่อไป มีปัญหาว่าวิญญาณของมนุษย์ไปเกิดในภพไหนในโลกหน้า เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ ฟังข้อเท็จจริงได้ว่า เมื่อมนุษย์ตาย วิญญาณจะไปจุติในภพต่าง ๆ ส่วนจะเป็นโลกใดขึ้นกับกรรมที่ทำ เพราะหลังจากทำกรรมแล้ว กรรมไม่หาย แต่อารมณ์ทางกรรมนั้นสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของผู้กระทำตลอดไป หากกรรมที่มนุษย์กระทำที่เป็นกุศล ย่อมติดจิตวิญญาณไปเกิดในสุคติภูมิ แต่ถ้าการกระทำเป็นอกุศล จิตวิญญาณย่อมตกไปสู่ทุคติภูมิ ดังนั้น ชีวิตมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างโดยพรหมหรืออิศวร และถูกกำหนดตามพระประสงค์ของพรหมให้ทำงานตามวรรณะที่ตนเกิดมาพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเท่าเทียมกันในมวลมนุษยชาติ เมื่อวรรณะต่างๆได้อุปสมบทเข้าสู่คณะสงฆ์แล้ว ต้องละทิ้งความประพฤติตามกฎเกณฑ์ของสังคมนั้นเสีย ถือเอาพระธรรมวินัยอันใหญ่หลวงในการอยู่ร่วมกัน ตามพระวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้
ตโปทาเป็นสถานที่อาบน้ำพุร้อนโบราณของชาวพระนครราชคฤห์ ตั้งอยู่นอกเขตพระนครราชคฤห์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธ มีมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ตั้งอยู่ในเขตสวนหลวงแห่งพระนครราชคฤห์ เป็นสถานที่พักผ่อนพระอริยาบถของพระเจ้าพิมพิสาร พระบรมวงศ์ษานุวงศ์และข้าราชบริพาร มีลักษณะเหมือนสวนไผ่และมีธารน้ำร้อนเรียกว่า "ตโปธารา" ที่สรงน้ำของพระเจ้าพิมพิสารและข้าราชบริพารที่มาพักผ่อน เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตของชาวพระนครราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารทรงพระราชทานอุทยานแห่งนี้ให้เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา และเป็นสถานที่จำพรรษาของพระพุทธเจ้า และพระภิกษุอีก๑,๒๕๐ รูป พระพุทธองค์ทรงใช้วัดนี้เป็นที่สอนชาวพระนครราชคฤห์เพื่อให้เข้าใจหลักคำสอนทางพุทธศาสนาและพัฒนาศักยภาพของชีวิตด้วยการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ และเป็นสถานที่สรงน้ำของพระภิกษุที่จำพรรษาในวัดเวฬุวันมหาวิหาร
ในปัจจุบัน ตโปทาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของราชคฤห์ ที่นักท่องเที่ยวชาวอินเดียมาอาบน้ำพุร้อนแห่งนี้ทุกวัน ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวไทยที่เดินทางมาที่เมืองราชคฤห์ เข้ามาดูสถานทีอาบน้ำที่คนแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชาวอินเดียแท้ ๆ โดยเฉพาะปัญหาชนชั้นวรรณะเป็นมรดกทางอารยธรรมที่พราหมณ์ดราวิเดียนคิดขึ้นซึ่งยังคงหยั่งรากลึกในจิตใจของคนอินเดียตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลและได้สืบทอดมาหลายชั่วอายุคนจนถึงรุ่นปัจจุบัน แม้ว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญสูงสุดของสาธารณรัฐอินเดียจะกำหนดว่าคนอินเดียมีสิทธิและหน้าที่ในการทำงาน เสรีภาพที่เท่าเทียมกัน จะไม่มีการเลือกปฏิบัติทางวรรณะในสาธารณรัฐอินเดีย แต่สัญญาแห่งความทรงจำในเรื่องวรรณะยังคงมีให้เห็นในการเลือกปฏิบัติอยู่ทั่วไป
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นนั้น ผู้เขียนสนใจศึกษาเรื่องต้นบัญญัติพระวินัยในพระไตรปิฎก แม่น้ำตโปธาร โดยวิเคราะห์ที่มาของความรู้ในพระไตรปิฎก อรรถกถาและเวปไซด์อื่น ๆ และมีบ่อเกิดความรู้จากการรับรู้จากประสาทสัมผัสโดยตรงของผู้เขียนที่เดินทางมาเที่ยวชมแม่น้ำตโปทาหลายครั้ง คำตอบที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลจากพยานเอกสารและพยานวัตถุจะเป็นประโยชน์แก่พระธรรมวิทยากรใช้บรรยายให้แก่ผู้แสวงบุญชาวไทยฟังในแดนพุทธภูมิให้มีเนื้อหาเป็นไปในแนวทางเดียวกัน กระบวนการคิดวิเคราะห์ด้วยการอนุมานความรู้ จะเป็นประโยชน์แก่นิสิตระดับปริญญาเอกในการวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบจากพยานเอกสาร และพยานวัตถุจนเกิดความรู้ผ่านการวิเคราะห์อย่างสมเหตุสมผลและปราศจากข้อสงสัยในความจริงของเหตุผลอีกต่อไป
บรรณานุกรม
๑.พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ (ฉบับมหาจุฬาฯ) มหาวิภังค์ ภาค ๒ ชข้อ ๗ นหานสิกขาบทว่าด้วยการสรงน้ำนอกสมัยเรื่องพระเจ้าพิมพิสาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น