The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2560

บทนำ ตโปธารามเป็นที่ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยเป็นครั้งแรก




 Introduction  Tapotha is where the Buddha first enacted the Vinaya in the Tripitaka


๑.บทนำ  ความเป็นมาของตโปธาราม         

        เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้กฎธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษย์ และทรงเห็นด้วยญาณทิพย์ว่า มนุษย์มีวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ ยังไม่เคยมีใครบรรลุถึงความจริงขั้นปรมัตถ์เรียกว่า "อภิญญา ๖"  มาก่อน พระพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลแรกในโลกที่ทรงค้นพบการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เมื่อทรงปฏิบัติแล้ว พระองค์ก็ทรงบรรลุถึงความจริงในระดับอภิญญา ๖   ดังนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเผยแผ่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ แก่ชาวอนุทวีปอินเดียให้บรรลุความจริงของชีวิตโดยไม่ต้องถวายเครื่องบูชายัญ  วิชาพระพุทธศาสนาจึงเป็นความรู้สากลที่ทุกคนสามารถนำ  แนวคิด ทฤษฎีและแนวทางปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘  และได้ผลการปฏิบัติเหมือนกันทุกคน คือนิพพาน 

          ดังนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงทำให้คนตระหนักว่าชีวิตของมนุษย์นั้น มิได้เกิดมาจากปัจจัยเพียงร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีวิญญาณเป็นปัจจัยสำคัญที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดาอีกด้วย ดวงวิญญาณของมนุษย์อาศัยอายตนะภายในร่างกายในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมของโลก เมื่อมนุษย์รับรู้ได้ยินข้อเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว ก็จะเก็บหลักฐานทางอารมณ์สั่งสมอยู่ในจิตใจ   หลังจากนั้น จิตใจของมนุษย์ใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้น โดยการใช้เหตุผลซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญาในการอธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้น หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลแล้วเรื่องราวที่ไม่ชัดเจนก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา นักปรัชญาชอบศึกษาเรื่องนี้ต่อไป ดังนั้นการสืบเสาะข้อเท็จริงและรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์หาเหตุผลพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบต่อไป  

         แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องชีวิตมนุษย์ว่า  เมื่อคนตายไป วิญญาณในร่างกาย จำเป็นต้องปลดปล่อยร่างกายที่ถูกทำลายไป เพราะวิญญาณไม่สามารถใช้ร่างกาย เพื่อรับรู้อารมณ์ของโลกได้อีกต่อไป  มีปัญหาอยู่ที่ว่าวิญญาณของมนุษย์จะไปอยู่ที่ไหนในภพหน้า เมื่อผู้เขียนศึกษาเรื่องนี้จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ  เราได้ฟังข้อเท็จจริง(facts) เบื้องต้นว่า เมื่อมนุษย์ตาย' วิญญาณจะไปเกิดในภพอื่น  ส่วนจะเป็นภพไหนขึ้นกับกรรมที่ทำ เพราะเมื่อทำกรรมแล้ว กรรมจะไม่หายไป แต่อารมณ์แห่งกรรมนั้น จะสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของผู้ทำตลอดไป ถ้ากรรมที่มนุษย์ทำเป็นกุศล ก็จะติดอยู่ในจิตส่งผลไปเกิดในภพที่ดี   แต่ถ้ากรรมที่ชั่ว จิตก็จะไปเกิดภพที่ไม่ดี    

        ดังนั้น  พระพรหมหรือพระอิศวรจึงไม่ได้สร้างมนุษย์ และวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา  พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเท่าเทียมกันระหว่างมนุษย์ทุกคน เมื่อคนในวรรณะต่างๆได้อุปสมบทเข้าสู่คณะสงฆ์แล้ว พวกเขาจะต้องละทิ้งความประพฤติตามกฎเกณฑ์ของสังคมนั้น  ๆ   และยึดถือพระธรรมวินัยหลักในการอยู่ร่วมกันที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ 

              ตโปธารามเป็นสถานที่อาบน้ำพุร้อนโบราณของชาวพระนครราชคฤห์ ตั้งอยู่บริเวณนอกเมืองราชคฤห์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธมีมาตั้งแต่ก่อนที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ในเขตสวนหลวงแห่งพระนครราชคฤห์ เป็นสถานที่ประทับพักผ่อนของพระเจ้าพิมพิสาร สมาชิกแห่งพระราชวงศ์และข้าราชบริพาร  มีลักษณะเหมือนสวนไผ่และมีน้ำพุร้อนเรียกว่า "ตโปธารา" ที่พระเจ้าพิมพิสารและข้าราชบริพารเคยเสด็จมาสรงน้ำ  เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตของชาวพระนครราชคฤห์      พระเจ้าพิมพิสารทรงพระราชทานอุทยานแห่งนี้ให้เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา เป็นสถานที่จำพรรษาของพระพุทธเจ้า และพระภิกษุอีก  ๑,๒๕๐ รูป พระพุทธองค์ทรงใช้วัดนี้  เป็นที่สอนชาวพระนครราชคฤห์  เพื่อให้เข้าใจหลักคำสอนทางพุทธศาสนาและพัฒนาศักยภาพของชีวิตด้วยการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘  และเป็นสถานที่สรงน้ำของพระภิกษุที่จำพรรษาในวัดเวฬุวันมหาวิหาร

             
ในปัจจุบัน ตโปทารามถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งในเมืองราชคฤห์โบราณ      ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย มักมาแชร์น้ำพุร้อนแห่งนี้กันทุกวัน ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวไทยที่เดินทางไปเมืองราชคฤห์       มักจะมาชมสถานทีอาบน้ำที่แบ่งชนชั้นซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชาวอินเดียแท้ ๆ         โดยเฉพาะปัญหาเรื่องวรรณะ  ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรม      ที่พราหมณ์ชาวอารยันค้นคิดขึ้นมา ซึ่งยังคงฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของชาวอินเดียมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล  และสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนจนถึงปัจจุบัน      แม้ว่ารัฐธรรมนูญสูงสุดของสาธารณรัฐอินเดีย     จะบัญญัติให้ชาวอินเดียมีสิทธิ เสรีภาพ  และหน้าที่ในการทำงานเท่าเทียมกัน   และไม่มีการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของวรรณะในสาธารณรัฐอินเดีย      แต่ความทรงจำเรื่องวรรณะก็ยังคงปรากฏให้เห็นในทุกหนทุกแห่ง 

         ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงสนใจศึกษาต้นกำเนิดของพระวินัยในพระไตรปิฎกที่แม่น้ำตโปทา  โดยจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ  เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผลจากหลักฐานต่าง ๆ  เช่น พระไตรปิฎก อรรถกถาและเว็บไซด์อื่น ๆ   และพยานวัตถุที่เรียกว่า "ตโปธาราม" ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองราชคฤห์โบราณ   ในปี ๒๐๐๒ ผู้เขียนได้เดินทางไปเยือนแม่น้ำตโปทารามหลายครั้ง  โดยคำตอบที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงจากพยานเอกสารและพยานวัตถุนั้น  จะเขียนคำตอบในรูปบทความวิชาการเชิงวิเคราะห์ และบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่พระธรรมทูตสายต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย ใช้บรรยายให้แก่ผู้แสวงบุญชาวไทยฟังในเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งของพระพุทธศาสนาหรือวัดต่าง ๆ ทัวโลก  ให้มีเนื้อหาของพระพุทธศาสนาเป็นไปในแนวทางเดียวกัน กระบวนการคิดวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผลเพื่อพิสูจน์ความจริงนั้น จะเป็นประโยชน์แก่นิสิตระดับปริญญาเอกสาขาปรัชญาและพระพุทธศาสนา ในการวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบจากพยานเอกสาร และพยานวัตถุจนเกิดความรู้ผ่านการวิเคราะห์อย่างสมเหตุสมผลและปราศจากข้อสงสัยในความจริงของเหตุผลอีกต่อไป
บรรณานุกรม 
           ๑.พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ (ฉบับมหาจุฬาฯ) มหาวิภังค์ ภาค ๒  ชข้อ ๗ นหานสิกขาบทว่าด้วยการสรงน้ำนอกสมัยเรื่องพระเจ้าพิมพิสาร       

ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ