Introduction Tapotha is where the Buddha first enacted the Vinaya in the Tripitaka
๑.บทนำ ความเป็นมาของตโปธาราม
โดยทั่วไป ตโปทาราม เป็นสวนที่อยู่ใกล้บ่อน้ำพุร้อนโบราณที่ชื่อว่า "ตโปทา"หรือตโปธารา ของชาวราชคฤห์ ตั้งอยู่บริเวณนอกเมืองราชคฤห์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธ เป็นสวนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและมีมาตั้งแต่ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเมืองราชคฤห์ เมื่อผู้เขียนศึกษาสภาพทางภูมิศาสตร์ในปัจจุบันบนแผนที่โลกของกูเกิลแล้ว สวนนี้ตั้งอยู่ในเขตสวนเวฬุวันซึ่งเป็นสวนหลวงแห่งพระนครราชคฤห์โบราณ เป็นสถานที่พักผ่อนของพระเจ้าพิมพิสาร สมาชิกราชวงศ์มคธและข้าราชบริพาร มีลักษณะเหมือนสวนไผ่ และมีบ่อน้ำพุร้อนเรียกว่า "ตโปธารา" ที่พระเจ้าพิมพิสารและข้าราชบริพารเคยเสด็จมาสรงน้ำที่บ่อน้ำพุร้อนเป็นประจำ
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้กฎธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ และทรงเห็นด้วยญาณทิพย์เหนือมนุษย์ทั่วไปว่า มนุษย์มีวิญญาณเป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของมนุษย์ ยังไม่เคยมีใครบรรลุถึงความจริงขั้นปรมัตถ์เรียกว่า "อภิญญา ๖" มาก่อน พระพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลแรกในโลก ที่ทรงค้นพบการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เมื่อทรงปฏิบัติแล้ว พระองค์ก็ทรงบรรลุถึงความจริงในระดับอภิญญา ๖ ดังนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเผยแผ่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ แก่ชาวอนุทวีปอินเดียเพื่อบรรลุความจริงของชีวิต โดยไม่ต้องถวายเครื่องบูชายัญแก่เทพเจ้าหลายองค์อีกต่อไป พระพุทธศาสนาจึงกลายเป็นความรู้สากลที่ชาวโลกทุกชาติทุกศาสนา สามารถศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและแนวทางปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าไปใช้ได้อย่างเท่าเทียมกัน และทุกคนจะได้รับผลแห่งการปฏิบัติอย่างเดียวกันคือพระนิพพาน
ดังนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงทำให้ผู้คนตระหนักว่าชีวิตของมนุษย์นั้นไม่ได้มาจากปัจจัยเพียงร่างกายเท่านั้น แต่จิตวิญญาณก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ถือกำเนิดในครรภ์มารดาเช่นกัน จิตวิญญาณของมนุษย์ก็อาศัยอายตนะภายในร่างกาย ในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมของโลก เมื่อมนุษย์รับรู้หรือได้ยินข้อเท็จจริงของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็จะรวบรวมหลักฐานทางอารมณ์ไว้ในจิตใจ จากนั้น จิตใจของมนุษย์ก็ใช้หลักฐานเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้ เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น โดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการอธิบายข้อเท็จจริงของคำตอบในเรื่องนั้น หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลแล้วเรื่องราวที่ไม่ชัดเจนก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา นักปรัชญาชอบศึกษาเรื่องนี้ต่อไป ดังนั้นการสืบเสาะข้อเท็จริงและรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์หาเหตุผลพิสูจน์ข้อเท็จจริงของคำตอบต่อไป
แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องชีวิตมนุษย์ว่า เมื่อคนตายไป วิญญาณในร่างกาย จำเป็นต้องปลดปล่อยร่างกายที่ถูกทำลายไป เพราะวิญญาณไม่สามารถใช้ร่างกาย เพื่อรับรู้อารมณ์ของโลกได้อีกต่อไป มีปัญหาอยู่ที่ว่าวิญญาณของมนุษย์จะไปอยู่ที่ไหนในภพหน้า เมื่อผู้เขียนศึกษาเรื่องนี้จากหลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณ เราได้ฟังข้อเท็จจริง(facts) เบื้องต้นว่า เมื่อมนุษย์ตาย' วิญญาณจะไปเกิดในภพอื่น ส่วนจะเป็นภพไหนขึ้นกับกรรมที่ทำ เพราะเมื่อทำกรรมแล้ว กรรมจะไม่หายไป แต่อารมณ์แห่งกรรมนั้น จะสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของผู้ทำตลอดไป ถ้ากรรมที่มนุษย์ทำเป็นกุศล ก็จะติดอยู่ในจิตส่งผลไปเกิดในภพที่ดี แต่ถ้ากรรมที่ชั่ว จิตก็จะไปเกิดภพที่ไม่ดี
ดังนั้น พระพรหมหรือพระอิศวรจึงไม่ได้สร้างมนุษย์ และวรรณะให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรณะที่ตนเกิดมา พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเท่าเทียมกันระหว่างมนุษย์ทุกคน เมื่อคนในวรรณะต่างๆได้อุปสมบทเข้าสู่คณะสงฆ์แล้ว พวกเขาจะต้องละทิ้งความประพฤติตามกฎเกณฑ์ของสังคมนั้น ๆ และยึดถือพระธรรมวินัยหลักในการอยู่ร่วมกันที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตของชาวพระนครราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารทรงพระราชทานอุทยานแห่งนี้ให้เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา เป็นสถานที่จำพรรษาของพระพุทธเจ้า และพระภิกษุอีก ๑,๒๕๐ รูป พระพุทธองค์ทรงใช้วัดนี้ เป็นที่สอนชาวพระนครราชคฤห์ เพื่อให้เข้าใจหลักคำสอนทางพุทธศาสนาและพัฒนาศักยภาพของชีวิตด้วยการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ และเป็นสถานที่สรงน้ำของพระภิกษุที่จำพรรษาในวัดเวฬุวันมหาวิหาร
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงสนใจศึกษาต้นกำเนิดของพระวินัยในพระไตรปิฎกที่แม่น้ำตโปทา โดยจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผลจากหลักฐานต่าง ๆ เช่น พระไตรปิฎก อรรถกถาและเว็บไซด์อื่น ๆ และพยานวัตถุที่เรียกว่า "ตโปธาราม" ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองราชคฤห์โบราณ ในปี ๒๐๐๒ ผู้เขียนได้เดินทางไปเยือนแม่น้ำตโปทารามหลายครั้ง โดยคำตอบที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการอนุมานความรู้ หรือคาดคะเนความจริงจากพยานเอกสารและพยานวัตถุนั้น จะเขียนคำตอบในรูปบทความวิชาการเชิงวิเคราะห์และบทความนี้ จะเป็นประโยชน์แก่พระธรรมทูตสายต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย ใช้บรรยายให้แก่ผู้แสวงบุญชาวไทยฟังในเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๔ แห่งของพระพุทธศาสนาหรือวัดต่าง ๆ ทัวโลก ให้มีเนื้อหาของพระพุทธศาสนาเป็นไปในแนวทางเดียวกัน กระบวนการคิดวิเคราะห์โดยการอนุมานความรู้หรือคาดคะเนความจริงตามหลักเหตุผลเพื่อพิสูจน์ความจริงนั้น จะเป็นประโยชน์แก่นิสิตระดับปริญญาเอกสาขาปรัชญาและพระพุทธศาสนา ในการวิเคราะห์หาเหตุผลของคำตอบจากพยานเอกสาร และพยานวัตถุจนเกิดความรู้ผ่านการวิเคราะห์อย่างสมเหตุสมผลและปราศจากข้อสงสัยในความจริงของเหตุผลอีกต่อไป
บรรณานุกรม
๑.พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๒ (ฉบับมหาจุฬาฯ) มหาวิภังค์ ภาค ๒ ชข้อ ๗ นหานสิกขาบทว่าด้วยการสรงน้ำนอกสมัยเรื่องพระเจ้าพิมพิสาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น