The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับเมืองเทวทหะเป็นบ้านเกิดของพระราชินีมายาเทวีในพระไตรปิฎก

 Metaphysical Problems,  Devdaha is the birthplace of Queen Maya Devi in Tripitaka.

บทนำ       

    อภิปรัชญาเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา  นักปรัชญามุ่งหวังสำรวจธรรมชาติของความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์และอยู่รอบตัวของมนุษย์เอง นักปรัชญามีความสงสัยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้จึงตั้งประเด็นขึ้นมาพิจารณาความเป็นจริง เริ่มต้นจากความสงสัยได้แก่ความเป็นจริงคืออะไร ? เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์ของแนวคิดทางปรัชญาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นักปรัชญาสนใจศึกษาปัญหาความจริงเกี่ยวกับมนุษย์ โลกปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและการมีอยู่ของเทพเจ้า เป็นต้น ตามปรัชญาพุทธภูมินั้นพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อเราได้ยินข้อเท็จจริงจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้รับการถ่ายทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราไม่ควรเชื่อเรื่องราวเหล่านั้นทันที เราควรสงสัยก่อนจนกว่าจะได้รับการตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เมื่อเรามีหลักฐานเพียงพอแล้ว เราก็สามารถวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้ เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบเรื่องนั้นได้ 

       หากไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงของเรื่องนั้น  ถือว่าข้อเท็จจริงนั้นไม่น่าเชื่อถือ และไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นความจริงได้  เพราะโดยธรรมชาติของมนษย์นั้นมีจะมีอคติต่อผู้อื่นและมนุษย์มีอายตนะภายในร่างกายของตนเองที่มีข้อจำกัดในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเช่น ฝนตก น้ำท่วม เป็นต้น  และเหตุการณ์ทางสังคมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เช่น การฆ่ากัน การลักขโมย  การข่มขืนกระทำชำเรา การดูหมิ่นผู้อื่น การดื่มสุราและเสพยา เป็นต้น  นอกจากนี้  วิชาอภิปรัชญา ยังมีความสนใจศึกษาความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้า เช่น พระพรหมและพระอิศวร ซึ่งเป็นความรู้ที่นอกเหนือขอบเขตประสาทสัมผัสของมนุษย์ เป็นต้น 

      เนื่องจากหลักฐานทางญาณวิทยาส่วนใหญ่เป็นพยานบุคคลและมนุษย์มักมีอคติต่อกัน มีการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ทางสังคมอย่างจำกัด เพื่อแก้ปัญหาความไม่น่าเชื่อถือของหลักฐาน นักปรัชญาจึงสร้างทฤษฎีความรู้ประสบการณ์นิยมขึ้นซึ่งมีแนวคิดว่า "บ่อเกิดความรู้ของมนุษย์จะต้องเป็นความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมเป็นอารมณ์อยู่ในจิตใจ"เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนั้น หากบุคคลนั้นไม่มีความรู้จากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสของตนเอง ก็จะขาดความน่าเชื่อถือและไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นได้ หากนำมาอ้างเป็นหลักฐาน จะถือว่าเป็นพยานเท็จ  เป็นต้น       

 

   ในการเขียนบทความนี้ผู้เขียนใช้ทฤษฎีความรู้แบบประจักษ์นิยมได้กำหนดหลักการว่า"บ่อเกิดความรู้ของมนุษย์จะต้องรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสของตนเองและสั่งสมอยู่ในจิตของเขาเองเท่านั้น"จากหลักการของทฤษฎีที่กล่าวมาข้างต้น ผู้เขียนตีความว่าพยานบุคคลที่น่าเชื่อและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เขาต้องมีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัส และสั่งสมความรู้ไว้ในจิตของเขาเองเพื่อให้สามารถยืนยันข้อเท็จจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนั้นได้ ถ้าผู้ใดไม่มีความรู้จากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของตนเอง ไม่สามารถยืนยันความจริงของคำตอบได้ เป็นต้น เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬา ฯ และได้ยินข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า เมื่ออภิปรัชญาสนใจศึกษาความรู้จริงเกี่ยวกับมนุษย์นั้น เราสามารถแบ่งความจริงตามหลักอภิปรัชญาออกเป็น ๒ ประการคือ๑.ความจริงที่สมมติขึ้น ๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์ซึ่งเราสามารถแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ได้ดังต่อไปนี้ 

   ๑.ความจริงที่สมมติขึ้น คือความเป็นความจริงชนิดหนึ่ง  ที่บุคคลบางคนซึ่งเป็นนักตรรกะและนักปรัชญา ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตของตน โดยผ่านอาตนะภายในร่างกาย และสั่งสมเรื่องราวต่าง ๆ เป็นอารมณ์ไว้ในจิตใจ เป็นต้น ความจริงที่สมมติขึ้นจึงมีลักษณะเกิดขึ้น มันตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็หายไปในอากาศแต่ก่อนที่สิ่งนี้จะหายไป       จิตใจมนุษย์จะรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นผ่านอาตนะภายในร่างกายและสั่งสม เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจของมนุษย์  แต่ธรรมชาติของจิตใจของมนุษย์ไม่เพียงแต่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต และสั่งสมเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐานทางอารมณ์ในจิตใจเท่านั้น  แต่จิตใจของมนุษย์ยังมีหน้าที่คิดวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่างๆเพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นด้วย   แต่ข้อความเห็นเพียงคนเดียวยังขาดความน่าเชื่อถือเพราะมนุษย์มีอวัยวะอินทรีย์ทั้ง ๖ มีข้อจำกัดในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต และมนุษย์ชอบมีอคติต่อผู้อื่นโดยความไม่รู้  ความกลัว ความเกลียดชัง และความรักใคร่ชอบพอเป็นการส่วนตัว เป็นต้น  ดังนั้นเมื่อข้อความคิดเห็นในเรื่องหนึ่งเรื่องใด ยังขาดความน่าเชื่อถือหากผู้ใดต้องการศึกษาในเรื่องนั้นต่อไป จำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ  ให้เพียงพอ  มาวิเคราะห์โดยอนุมานความรู้จากหลักฐานต่าง  ๆ  เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงในเรื่องนั้น ตอบที่ได้จากการวิเคราะห์หาเหตุผลอธิบายความจริงจะเป็นความรู้ที่แท้จริงในเรื่องนั้น  เป็นต้น

         ตัวอย่างเช่น เมืองเทวทหะ (Devdaha city)   เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโกลิยะ เป็นบ้านเกิดของพระราชินีมายาเทวี พระมารดาและพระราชินีประชาบดีโคตรมี    พระมารดาเลี้ยงของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์      ทรงเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ในปัจจุบันพระนางมายาเทวีเสด็จสวรรคตแล้ว    และพระวิญญาณทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นฟ้าทั้งหลาย   ส่วนพระภิกษุณีประชาบดีโคตรมีเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว  เมื่อเมืองเทวทหะเป็นชุมชนทางการเมือง  ที่สร้างขึ้นจากภูมิปัญญาของมหาราชหลายองค์ ในปัจจุบัน   อาณาจักรโลลิยะแห่งนี้ได้เสียเอกราชเพราะไม่มีอำนาจอธิปไตยของตนเองในการปกครองแล้ว   เทวทหะเป็นเพียงเทศบาลเล็ก  ๆ แห่งหนึ่งอยู่กับอำเภอรูปันเทหี จังหวัดหมายเลข๕ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล 

     ๒.ความจริงขั้นปรมัตถ์ เป็นความจริงขั้นสูงสุดตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเช่น การปรินิพพาน โดยทั่วไปแล้ว เมื่อธรรมชาติของมนุษย์มีข้อจำกัดในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของตนเองและมักจะมีอคติต่อผู้อื่นอยู่เสมอทำให้ชีวิตมีความมืดมิดอยู่เสมอ เมื่อรับรู้เรื่องต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจึงไม่สามารถแยกแยะความจริงว่าเรื่องราวใดจริงเรื่องราวใดเท็จ หรือปัจจัยอะไรทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ นั้น ตามหลักปรัชญาเพราะแก่นแท้ของเมืองเทวทหะเป็นชุมชนทางการเมือง ที่ตั้งขึ้นโดยพระเจ้าโอกกากราชตั้งอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และก็ดับไปตามกฎไตรลักษณ์แต่เมืองเทวทหะโบราณได้ทิ้งร่องรอยไว้ เป็นเมืองหลวงเก่าและเป็นอารยธรรมที่สร้างขึ้นจากความคิดของมนุษย์   แม้หลักฐานในพระไตรปิฎกมหาจุฬาฯ จะกล่าวถึงเรื่องเมืองเทวทหะโบราณไว้อย่างชัดเจน  แต่ยังไม่ชัดเจนว่าเมืองเทวทหะโบราณนี้ ตั้งอยู่ที่ใดในโลกมนุษย์ก็เป็นเรื่องที่เราจะตรวจสอบข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานพิสูจน์ความจริงกันต่อไป 

   ปัญหาคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เทศบาลเมืองเทวทหะ(Devdaha  municipality) ที่ตั้งอยู่ในเขตรูปานเดฮี (Rupandehi distruct)จังหวัดลุมพินี (Lumbini Province) เป็นเมืองเทวทหะโบราณที่พระมารดาของพระพุทธเจ้า พระนางมายาเทวีประสูติ ผู้เขียนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ว่าในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ผู้เขียนได้เดินทางไปแสวงบุญจากเมืองตันเซ็นไปยังเทศบาลตำบลเทวทหะ ซึ่งตั้งอยู่ที่เขตรูปานเดฮี จังหวัดลุมพินี โดยใช้แผนที่โลกของกูเกิล ซึ่งเป็นเอกสารดิจิทัล เป็นแผนที่นำทาง กลุ่มของผู้เขียนได้เดินทางจากเมืองตันเซ็นไปเมืองเทวทหะ โดยได้แจ้งไว้อย่างชัดเจนผ่านทางอินเตอร์เน็ตในโทรศัพท์มือถือของผู้เขียน เมื่อผู้เขียนเดินเข้าไปในเมืองเทวทหะสภาพของเมืองได้เปลี่ยนไปสิ้นเชิง ลักษณะอาคารสถานที่อยู่อาศัยของชาวเมืองเทวทหะนั้น แตกต่างจากข้อความที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกมหาจุฬาลงกรณโดยแสดงให้เห็นว่า เมืองเทวทหะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ชั่่วระยะเวลาหนึ่ง และเสื่อมสลายตามกฎไตรลักษณ์  เหลือไว้แต่ซากปรักหักพังไว้ของเมืองโบราณ เมืองเทวทหะจึงเป็นความจริงที่สมมติขึ้น 

       แต่ซากปรักหักพังของโบราณสถานเหล่านี้ กลับเป็นพยานหลักฐานที่นักปรัชญาคาดคะเนความจริงโดยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นเครื่องมือของนักปรัชญา ในการบอกเล่าถึงร่องรอยอารยธรรมที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงโปรดให้สร้างขึ้นจากปัญญาของชาวปัฏตาลีบุตรในปัจจุบันเมืองเทวทหะสมัยใหม่ มีถนนตัดเป็นเส้นตรงปูด้วยแอสฟัลต์คอนกรีตด้วยเทคโนโลยี่ที่ทันสมัย และที่อยู่อาศัยของชาวเมืองเทวทหะเป็นแบบทันสมัย ไม่มีซากปรักหักพังของเมืองเทวทหะโบราณเหลือให้ผู้เขียนเห็นหลักฐานที่ชัดเจน เมื่อวิเคราะห์หลักฐานที่ผู้เขียนรับรู้จากประสาทสัมผัสของตนเองยังไม่ชัดเจนเพราะไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ว่าเป็นเมืองเทวทหะโบราณ เป็นสาเหตุให้ผู้เขียนสงสัยว่า Devdaha municipality คือพระนครเทวทหะเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโกลิยะ เป็นที่ประสูติของพระราชินีมายาเทวี และพระราชินีประชาบดีโคตรมี  หลักฐานนี้พบในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ แม้ว่าจะมีหลักฐานเหลือเพียงเล็กน้อยให้เราศึกษา แต่ชาวพุทธในเมืองนี้มีจำนวนน้อยมากที่สามารถนับได้   อย่างไรก็ตามไม่ได้ทำให้ความยิ่งใหญ่ของพระนครเทวทหะโบราณสูญเสียเสน่ห์ ซึ่งก็คือความเป็นจริงตามกฎธรรมชาติของสรรพสิ่ง อย่างไรก็ตาม  ตราบใดที่ผู้คนยังต้องการทราบประวัติของพระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้า ประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาก็ยังคงเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การศึกษาต่อไป (ยังมีต่อ)  


ไม่มีความคิดเห็น:

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ