The greatest discovery is the natural laws of human life. That everyone is equal Without choosing a social caste as the basis for determining humanity When the soul is the real person of man That accumulates knowledge from the mind with reasons And show his intention to act accordingly Would receive the result of Own action

Breaking

Post Top Ad

Your Ad Spot

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ปํญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับวัดกัลยามัยบ้านเกิดของพระราชินีประชาบดีโคตรมี

Metaphysics  Problems regarding Wat Kalayamai,  the birthplace of Queen Prachabodi Kotamee 

บทนำ         

         ในการศึกษาปัญหาอภิปรัชญาเกี่ยวกับความจริงของมนุษย์ ตามหลักวิชาการทางปรัชญา เมื่อผู้ใดกล่าวถึงข้อเท็จจริงในเรื่องใด ๆ จะต้องมีหลักฐานมาวิเคราะห์เพื่อพิสูจน์ความจริงของคำตอบในเรื่องนั้นว่าเป็นความจริงหากไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความจริงถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ยินมาจากพยานหลักฐานเพียงปากเดียวไม่น่าเชื่อถือและนักปรัชญาไม่ยอมรับว่าเป็นความรู้แท้จริง เพราะธรรมชาติของมนุษบย์นั้นมักมีอคติต่อมนุษย์ด้วยกัน เนื่องจากจิตของมนุษย์มีความลำเอียงเพราะชอบพอ,  เกลียดชัง, โง่เขลาและลำเอียงเพราะกลัว นอกจากนี้มนุษย์ยังมีอวัยะอินทรีย์ ๖ มีข้อจำกัดในการรับรู้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเหตุการณ์ในสังคมที่เกิดขึ้นห่างไกลออกไปเป็นต้น   ด้วยเหตุผลที่กล่าวข้างต้น ตามหลักปรัชญาแดนพุทธภูมินั้นจึงแบ่งความจริงเป็น ๒ ประการคือ 

         ๑.ความจริงสมมติขึ้น โดนสภาพทางธรรมชาติที่อสังขตธรรม (สิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งได้) ๒. อสังขตธรรม (สิ่งปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้) ซึ่งเราสามารถอธิบายข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ๑.อสังขตธรรม ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ กำหนดหรือจำกัดความหมายที่แน่นอนว่าอสังขตธรรม คือสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งได้ ยกตัวอย่างชีวิตมนุษย์ เดิมทีตามแนวคิดของปรัชญาศาสนาพราหมณ์อารยันเชื่อกันว่าพระพรหมสร้างมนุษย์จากร่างของพระองค์ และสร้างวรรณะให้มนุษย์ทำงานตามวรรณะของตน  เมื่อมหาราชาแห่งอาณาจักรต่าง ๆศรัทธาในพระพรหมและพระอิศวร ดังนั้น หลักคำสอนของพราหมณ์ในเรื่องนี้ถูกตราขึ้นเป็นกฎหมายวรรณะจารีตประเพณีโดยแบ่งแยกประชาชนในแคว้นต่าง ๆ เป็น ๔ วรรณะ โดยกำหนดห้ามการแต่งงานระหว่างวรรณะและห้ามประชาชนปฏิบัติหน้าที่วรรณะอื่น ๆ หาก แต่มนุษย์มีชีวิตที่อ่อนแอควบคุมกิเลสตนเองไม่ได้ หักห้ามใจตนเองไม่ได้จึงเกิดการแต่งงานระหว่างวรรณะขึ้นมา จึงลงโทษจากคนในสังคมพิพากษาให้ขับไล่ออกจากถิ่นพำนักตน กลายเป็นนักโทษทางสังคมที่เรียกว่า "จัณฑาล" ต้องชายชีวิตเร่ร่อนตลอดชีวิตไปตามพระนครกบิลพัสดุ์ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นปัญหาจัณฑาลต้องใช้ชีวิตในวัยชรา ยามเจ็บป่วยและนอนตายข้างถนน เป็นต้น เป็นความรู้จากจากประสบการณ์ชีวิตผ่านประสาทสัมผัสของพระองค์ เมื่อทรงเห็นปัญหาพระองค์ทรงมีพระกรุณาช่วยให้จัณฑาลพ้นทุกข์และสิทธิและหน้าที่เท่าเทียมคนอื่น ทรงตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานซึ่งเป็นพยานบุคคลน่าเชื่อเช่นพราหมณ์ในฐานะปุโรหิต และพระองค์ทรงได้ฟังข้อเท็จจริงจากปุโรหิตว่าพระพรหมและอิศวรสร้างมนุษย์จริง แต่เมื่อพระองค์ทรงตรัสถามว่าพระพรหมและอิศวรมีความเป็นมาอย่างไร?ไม่มีพราหมณ์ปุโรหิตคนใดตอบพระองค์ได้ ทำให้พระองค์ทรงสงสัยการมีอยู่จริงของพระพรหมและพระอิศวร  เป็นต้น  

      เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงออกผนวชทรงปฏิบัติธรรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของชีวิตตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์ว่าตามกฎแห่งธรรมชาติ เห็นว่าเมื่อมนุษย์ตาย วิญญาณของพวกเขาจะออกจากร่างกายไปเกิดอีกในภพอื่น ตามอารมณ์ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจ แสดงว่าเห็นว่าชีวิตมนุษย์เกิดจากปัจจัยสองอย่างคือกายและจิต มิได้ขึ้นจากจิตใจหรือร่างกายเพียงอย่างเดียว องค์ประกอบของชีวิตเกิดจากปัจจัยทั้งสองอย่างคือร่างกายและจิตใจ เป็นต้น เมื่อตามคำสอนของพระพุทธเจ้าฟังข้อเท็จจริงได้เช่นนี้ ผู้เขียนเห็นว่าเมื่อปรัชญาของศาสนาพราหมณ์สอนว่าพระพรหมและพระอิศวรสร้างมนุษย์และชีวิตมนุษย์ตายแล้วสูญเปล่า แสดงให้เห็นว่าพวกพราหมณ์ปุโรหิตยังไม่รู้การปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อพัฒนาศักยภาพของชีวิตของพวกเขาเองจึงไม่มีญาณทิพย์เหนือมนุษย์ที่จะมองเห็นว่า เมื่อมนุษย์ตายวิญญาณจะออกจากร่างไปเกิดอีกในภพอื่นๆ   พราหมณ์ปุโรหิตจึงไม่มีความรู้เหนือขอบเขตของประสาทสัมผัสของมนุษย์เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ชีวิตมนุษย์จึงเป็นที่เกิดจากปัจจัยการปรุงแต่งของกายและจิตใจ  เป็นต้นบ้านเกิดของพระราชินีโคตรมีอยู่ในแคว้นโกลิยะโบราณซึ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายมารวมกันเป็นแคว้นโกลิยะโบราณ ประกอบด้วยชุมชนทางการเมืองตั้งอยู่ในอาณาเขตแน่นอน มีประชากรอาศัยอยู่  มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองและมีรัฐบาลทำหน้าที่บริหารประเทศ ปัจจุบันแคว้นโกลิยะโบราณได้สูญเสียอำนาจอำนาจอธิปไตยในการปกครองประเทศไปแล้ว เป็นเพียงตัวอย่างของความจริงตามหลักอสังขตธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เนื่องจากหลักฐานทางปรัชญาในฐานะพยานบุคคลสามารถยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนั้นได้  แต่ความไม่น่าเชื่อถือของพยานบุคคลมักมีอคติซ่อนอยู่ในจิตใจ และมนุษย์มักมีข้อจำกัดของตนเองในการรับรู้ความจริงผ่านประสาทสัมผัสของตนเอง อาจอ้างข้อเท็จจริงเป็นเท็จเพื่อช่วยเหลืออาชญากรในการฉ้อฉลเพื่อให้มาซึ่งประโยชน์ของผู้เสียหาย หรือให้การเท็จในเหตุแห่งปรากฏการณ์ทางสังคมเพื่อไปช่วยเหลือผู้อื่นทั้งนี้ปรัชญาได้จัดทำทฤษฎีความรู้ขึ้นมาเป็นมาตรฐานความรู้ การวัดความรู้ที่แท้จริงหรือความรู้ที่แท้จริงของมนุษย์เป็นต้น 

          พยานเอกสารเกี่ยวกับเมืองเทวทหะเป็นสถานที่ประสูติของพระราชินีประชาบดีโคตรมี ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของพระราชินีมายาเทวี พระมารดาของพระพุทธเจ้า เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐาน ในพระไตรปิฎกออนไลน์ฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย  อปทาน  พุทธวงศ์ จริยาปิฎก [๒๑๓] " จากนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายพร้อมด้วยสามีได้ตายไป ก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บัดนี้เป็นภพสุดท้ายข้าพเจ้าได้กรุงเทวทหะ" เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลในพระไตรปิฎกมหาจุฬา ฯ และได้ฟังข้อเท็จจริงว่า ดวงวิญญาณของพระราชินีปชาบดีโคตมีได้ผ่านวัฏจักรแห่งความตาย และการกลับมาเกิดใหม่ในสังสารวัฏมาช้านานในภพชาติสุดท้ายได้ถือกำเนิดมาในพระนครเทวทหะเมืองหลวงของแคว้นโกลิยะ  

        หลักฐานบนเว็บไซต์ เมื่อผู้เขียนศึกษาหลักฐานบนเว็บไซต์ของแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ตและได้ฟังข้อเท็จจริงได้ว่าวัดกัลยามัย (Kalyamai Temple)  ตั้งอยู่ที่เขตเทศบาลเมืองเทวทหะ อำเภอรูปานฮีเด (rupanhide district)  จังหวัดลุมพินี (Lumbini province)  ชาวเมืองนี้เชื่อกันว่า วัดเคยเป็นที่ตั้งของพระราชวังเทวเทวทหะซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระราชินีประชาบดีโคตมีมาก่อน ต่อมาในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ทรงสร้างวัดบนสถานที่ตั้งของปราสาทพระราชินีประชาบดีมาก่อน เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงคุณของพระนางประชาบดีโคตร มีในฐานะที่พระองค์ทรงอภิบาลเจ้าชายสิทธัตถะจนกระทั่งพระองค์ทรงออกผนวชพุทธสาวกเรียกพระองค์ว่าพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาของมนุษย์และเทวดา  เมื่อพยานหลักฐานรับฟังได้เป็นข้อยุติเช่นนี้ และไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดยกขึ้นมาหักล้างข้อเท็จจริงในพระไตรปิฎกอีกต่อไปถือว่าสถานที่แห่งนี้เป็นพระราชวังเทวทหะเป็นที่สถานที่ประสูติของพระราชินีประชาบดีโคตตรมี            

        ผู้เขียนอ้างตนเองเป็นพยานถึงสถานที่ประสูติของพระนางประชาบดีโคตรมี กล่าวคือ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๓๓ น.  ผู้เขียนร่วมเดินทางไปกับคณะพระธุดงค์ (pilgirm) ในโครงการก้าวตามธรรม (follow dhrama project) ได้จาริกมาประตูเมืองเทวทหะผู้เขียนอ่านข้อความเป็นภาษาอังกฤษบนประตูเมืองเทวทหะได้ความว่า " welcom vistit Devdaha the birth place Mayadevi the mother of Lord Buddha แปลเป็นภาษาไทยว่า ยินดีต้องรับการมาเมืองเทวทหะบ้านเกิดของพระนางมายาเทวี พระมารดาของพระพุทธเจ้า เมื่อเข้าสู่ประตูเมือง สภาพของเมืองได้เปลี่ยนแปลงเป็นแบบทันสมัย ตามริมถนนเป็นอาคารพาณิชย์เป็นส่วนใหญ่ มีรถยนต์วิ่งผ่านไปมาตลอดเวลา ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองเทวทหะมีฐานะเทียบเท่ากับองค์การบริหารส่วนตำบลในประเทศไทยซึ่งเป็นตำบลขนาดเล็ก ๆ  คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ ชาวเทวทหะส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับราชการ ค้าขาย และเกษตรกรรม เป็นต้น นอกจากนี้ ชาวเทวทหะ (Devdaha people ) ส่วนเปิดร้านค้าในอาคารพาณิชย์ที่ออกแบบอย่างทันสมัย ถนนในเมืองเทวทหะลาดยางเกือบทั้งตำบลเทวทหะ  ชาวเมืองเทวทหะนี้ ส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดูบูชาเทพเจ้าหลายองค์ และรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นวิถีหลักในการชำระร่างกายและจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์เพื่อการหลุดพ้นไปสู่โมกษะ ลักษณะบ้านเรือนของชาวเทวทหะนั้นนิยมสร้างตัวบ้านตั้งอยู่ติดถนน บริเวณข้างบ้านจะปลูกถั่วไว้หลายไร่เพื่อทำเป็นอาหารมังสวิรัติของคนในครอบครัวและส่งไปขายที่ตลาด เมื่อคณะของพระธุดงค์เดินผ่าน พวกเขาจ้องมองด้วยความประหลาดใจที่เห็น ผู้เขียนและนักบวชในพระพุทธศาสนาที่เดินทางผ่านเขตนี้ หลายคนที่ทางไปประเทศไทยอาจเข้าใจวิถีชาวพุทธที่บ้านของบ้านของพวกเรา  

         เมื่อคณะพระธุดงค์เดินจากประตูเมืองเทวทหะ (Devdaha city) ประมาณ ๑ กิโลเมตร ก็มาถึงวัดกัลยามัย (kanyamai temple) ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในพระพุทธศาสนา  ในปัจจุบัน ผู้เขียนเห็นสภาพของวัดว่าสถานที่ปรักหักพัง (ruins) ของที่พักสงฆ์  อุโบสถ และวิหาร ที่สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงพระนางปชาบดีโคตรมี ซึ่งเป็นบุคคลที่ประเสริฐยิ่งต่อมนุษยชาติทั่วโลก เพราะพระราชินีประชาบดีโคตตรมีทรงเป็นพระมารดาให้น้ำนมแก่เจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมาพระองค์ทรงผนวชและพัฒนาศักยภาพของชีวิต จนทรงได้ตรัสรู้กฎธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษยชาติทั่วโลกที่มีวิถีชีวิตเท่าเทียมกัน จนพระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงเป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา ผู้เขียนเห็นว่าพระนครเทวทหะในสมัยปัจจุบัน นั่นคือเทศบาลตำบลเทวทหะ เป็นดินแดนที่ประสูติของพระราชินีประชาบดีโคตรอย่างแท้จริง. เมื่อผู้เขียนและพระธุดงค์มาถึงและเยี่ยมชมโบราณสถานแห่งนี้ ผู้เขียนเห็นโครงสร้างของวัด มีอุโบสถและที่พักสงฆ์  วัดกัลยามัยแห่งนี้ มีห้องปฏิบัติธรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์ แบ่งเป็นห้องต่าง ๆ เรียงกั้นเป็นแถว ตัวอาคารแสดงว่า เคยเป็นสถานที่ที่ พระภิกษุเคยเข้าพรรษาและมีทางเข้าเพียงทางเดียว  ต่อมาวัดแห่งนี้ถูกทิ้งร้าง เพราะมหาราชาผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ หมดศรัทธาในพระพุทธศาสนาแต่ศรัทธาในศาสนาฮินดู  ส่วนสาเหตุที่มหาราชาหมดศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็เพราะการปฏิบัติธรรมตามอริมรรคมีองค์ ๘ ไม่ตอบสนองกิเลสที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของพระองค์ เมื่อพวกวรรณะพราหมณ์ปฏิรูปตัวเองโดยการงดเว้นบูชายัญด้วยสัตว์อีกต่อไป ส่งเสริมพราหมณ์และวรรณะอื่น ๆ กินผักและผลไม้ละเว้นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูได้ฟื้นศรัทธาของประชาชนอีกครั้ง  
       แม้แต่ในปัจจุบันนี้ ประชากรส่วนใหญ่ของเมืองเทวทหะนับถือศาสนาฮินดูและรับประทานมังสวิรัติเป็นอาหารหลัก แต่สัญลักษณ์ของเมือง ชาวเมืองเทวทหะยังถือว่าสถานที่ประสูติของพระนางมายาเทวี พระมารดาของพระพุทธเจ้า ตำบลเทวทหะตั้งอยู่ในเขตปกครองของรูปันฮีเด จังหวัดหมายเลข ๕ ของสหพันธสาธารณรัฐสาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล แม้แต่สถานที่สักการะในพระพุทธศาสนาจะถูกทำลายหมดสิ้น หรือมีการเปลี่ยนแปลงจนไม่เหลือพุทธสถานอีกต่อไป ศาสนบุคคลในพระพุทธศาสนาถูกทำลายสิ้น และไม่มีอยู่ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวเมืองเทวทหะอีกต่อไป แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเกิดจากการพัฒนาศักยภาพ ของพระโพธิสัตว์สิทธัตถะเองโดยการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคมีองค์ ๘ จนเกิดญาณทิพย์เหนือมนุษย์และรู้กฏธรรมชาติแห่งชีวิตมนุษย์ว่า เมื่อมนุษย์ตายไป จิตวิญญาณมนุษย์จะออกจากร่างไปเกิดในโลกอื่น ตามอารมณ์ของมนุษย์เอง กรรมเป็นสิ่งที่มั่นคง ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ แม้ว่ามนุษย์ในแต่ละยุคสมัย  จะมีเหตุผลมาสร้างทฤษฎีใหม่เพื่อโต้แย้งและหักล้างคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ตาม  แต่เหตุผลเหล่านั้นเป็นเพียงการอธิบายความจริงเท่านั้น ไม่ใช่วิธีการพัฒนาศักยภาพของชีวิตมนุษย์ให้บรรลุความจริงขั้นปรมัตถ์ เหมือนวิธีปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้าในการมองเห็นจิตวิญญาณ อันเป็นแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ทุกคนจึงอาศัยอยู่ในร่างกายเพียงชั่วคราวเท่านั้น เป็นกฎธรรมชาติสากล มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน?   ศาสนาไหน?  วรรณะไหนพวกเขามีสถานะอะไร ?  แม้ว่าจะยากจนก็ตาม คนร่ำรวยล้วนอยู่ภายใต้กฎธรรมชาตินี้  เมื่อปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ก็จะเกิดผลเช่นเดียวกันคือบรรลุญาณชั้นอภิญญา ๖  ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัจธรรมของชีวิต      

           การค้นพบโบราณสถานซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพุทธสถาน โดยเฉพาะเสาหินอโศกที่สร้างเป็นอนุสาวรีย์ เพื่อให้ชาวโลกระลึกถึงพันธกิจของพระพุทธเจ้าศากยมุนี ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยทรงปฏิรูปสังคมในอนุทวีปอินเดียโดยยกเลิกระบบวรรณะ และให้ประชาชนมีสิทธิและหน้าที่ในการทำงาน และการเข้าถึงบริการที่เป็นสาธารณประโยชน์ของรัฐอย่างเท่าเทียมกันตามกฎหมาย โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติต่อประชาชน โดยให้สิทธิและหน้าที่แก่ประชาชนบางส่วนในลักษณะใด แม้ว่าเสาอโศก จะเป็นหลักฐานยืนยันเหตุการณ์ทางพุทธประวัติไว้ ถูกดัดแปลงเป็นศิวลึงค์แล้ว   แต่ร่องรอยของเสาอโศกก็ยังคงเป็นหลักฐานทางโบราณคดีได้ มีเหตุผลเพียงพอที่จะตีความหมายได้ว่า เมื่อก่อนเคยเป็นพุทธสถานมาก่อน ผู้เขียนกับพระธุดงค์หมู่ใหญ่เดินไปตามถนนในเมืองเทวทหะนั้น ผู้ที่เห็นเราต่างยกมือไหว้และกล่าวว่า "นมัสเตต่อพวกเรา"     เมื่อคนศรัทธาในเรา ถวายขนมกับน้ำชาร้อน ๆ แก่พวกเรา แม้ในปัจจุบัน พระนครเทวทหะเป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นโกลิย คือตำบลเทวทหะขึ้นกับอำเภอรูปานฮีเด จังหวัดลุมพินีของประเทศเนปาลแล้ว และเป็นที่ตั้งของวัดกัลยามัย   ชึงนักโบราณคดีเนปาลเชื่อว่า ครั้งหนึ่งเคยเป็นพระราชวังเดิม และเป็นที่ประสูติของนางประชาบดีโคตรมี เป็นจุดแรกที่คณะของเราเดินทางไปที่ เทศบาลตำบลเทวทหะแห่งนี้ และมีหลักฐานหลงเหลืออยู่บ้างไหมว่า เดิมเคยเป็นพระวังเทวทหะมาก่อน เมื่อผู้เขียนได้รับรู้แล้ว สามารถจินตนาการไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ ๒,๕๐๐ ปีก่อน  เป็นสิ่งที่น่าศึกษาและค้นคว้าข้อมูล เพื่อหาเหตุผลมาอธิบายความจริงของคำตอบเรื่องวัดกัลยามัยกันต่อไป 

2 ความคิดเห็น:

Santamano กล่าวว่า...

อ่านแล้วได้ความรูัดีมากครับท่านพระอาจารย์ ดร. เมืองเทวทหะ บ้านเกิดของพระนางปชาบดี โคตมี

Dr.P. Y. Pulperm กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Post Top Ad

Your Ad Spot

หน้าเว็บ